ในช่วงปลายราชวงค์หมิง ปีคศ.1641 รัชศกฉงเจิง เป็นปีที่เกิดสงครามซงจิ่น ศึกสงครามแตกหักระหว่างหมิงกับชิง
ในปี คศ.1644 ผืนธงที่โบกสะบัดบนกำแพงเมืองเป่ยจิง ถูกเปลี่ยนไปหลายครา พร้อมกับการขึ้นครองราชบังลังก์ขององค์จักรพรรดิ์ ที่ผันเปลี่ยนถึง 3 พระองค์ภายในหนาวเดียว
จนกระทั้งถึงรัชศกฉงเจินปีที่ 17 แม่ทัพอู๋ซานกุ้ย ผู้รักษาด่านซานไห่กวน มีใจผันเปลี่ยนสวามิภักดิ์ ชักศึกเข้าบ้าน นำซือหม่าตีฝ่าด่านซานไห่กวน
หลี่จื้อเฉิง ที่เข้าบุกยึดกรุงปักกิ่ง ได้เสียชีวิตในสนามรบ และกองทัพหมิงได้ปราชัย พร้อมกับการสูญเสียองค์จักรพรรดิ์หมิงซือจง ผู้ทำการอัตวินิบาตกรรม แขวนพระศอ ที่ภูเขาเหมยซานหลังพระราชวัง ราชวงค์หมิงถึงคราล่มสลาย เมื่อซือหม่าชิงเข้ายึดปักกิ่งเป็นราชธานี
ราชนิกูลที่ยังคงเหลือรอด ได้อพยพลงไปทางฝั่งตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง เกิดเหตุผันพลิกมากมาย เพื่อกอบกู้ราชวงค์หมิง ทว่าไม่สำเร็จ เปรียบดั่งใบไม้เขียวขจี ที่โรยรา ผละร่วงหวนคืนสู่ผืนพสุธา
แผ่นดินต้าหมิงล่มสลาย ผู้คนล้มตายวิ่งโผล่ ซุกไซร้แทบเท้าผู้มีอำนาจ หวังเอาตัวรอดปกป้องชีวี ยามนี้ราษฏรเดือดร้อนเหลือคณา แมนจูขึ้นปกครองตั้งตนเป็นฟ้าใหม่
หน่อเชื้อพระวงค์ พระราชโอรสขององค์จักรพรรดิ์หมิงซือจง จูเจิ้นอวี้ ได้ถูกจับกุมขณะเดินร่อนระหกระเหิน สุดท้ายฟ้าลิขิต ให้ตามารมาพบเห็น
ตามธรรมเนียมต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทว่าละโทษประหาร เพื่อซื้อใจราษฏร แสดงให้เห็นน้ำใจยิ่งใหญ่ของราชวงค์ชิง ผู้เป็นแสงตะวันดวงใหม่
หลังจากที่ชาวแมนจูขึ้นตั้งตัวเป็นราชวงค์ชิง พวกเขาออกนโยบายประณีประนอมชาวฮั่น ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ จัดพระราชพิธีศพ ขององค์จักรพรรดิ์หมิงซือจงกับพระมเหสี สร้างสุสานถวายอย่างสมพระเกียรติ
ทั้งยังเชิดชูขุนนางหมิง ผู้พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ยกเลิกแนวคิดปกครองเอารัดเอาเปรียบ พร้อมสืบสาน พิธีคัดเลือกข้าราชการตามแบบแผนของราชวงค์หมิง
องค์ชายจูเจิ้นอวี้ เชื้อสายคนสุดท้ายของราชวงค์หมิง ได้ถูกดูแล และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ในพระราชวังหลวง ทว่า หามีผู้ใดรู้ไม่ นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอก
บุรุษหนุ่ม ผู้มีใบหน้างดงามดั่งเทพจากสรวงสวรรค์ ใบหน้าเรียวสวย ผิวพรรณนวลละมุน เส้นผมเหยียดตรงสะบัดพัดพลิ้วตามสายลม
คมสันจมูกสูงโด่งไล้รับกับเรียวปากบางสีเนื้อ เหนือขึ้นเป็นคมคิ้วสีอ่อนพาดเฉียง ตัดคมกับนัยน์ตาดอกท้อ สีดำขลับ เพริดแพร้วคลับคล้ายดวงดารา ที่เรียงร้อยบนผืนนภา
สตรีใดได้เห็นย่อมหลงใคร่ฝัน ท่าทางวางเฉย บนใบหน้างามหมดจด ไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าสำหรับบางคนแล้ว ช่างปลุกไฟมาร รีดเค้นโลกีย์ สาวความอยาก ต้องการครอบงำ คนงามล้ำ ที่เก็บมาจากข้างถนน
.........
........
.......
" อะ อึก! อย่าแตะต้องข้า...อย่า..." เสียงสั่นสะท้านของคนงาม รวมกับนัยน์ตาคู่สวย ฉายสะท้อนความหวั่น ช่างทำให้ ฟู่เฉวียน พระราชโอรสของจักรพรรดิ์ชิงซื่อจู่ อยากจะกลืนกินลูกกวางน้อยตัวนี้เสียจริง
ฟูเฉวียน เป็นบุรุษผู้มีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ ร่างกายสูงใหญ่ กำยำแข็งแรง แผงอกล่ำไปด้วยมัดก้อนกล้ามเนื้อ แขนขาเรียวยาวได้สรีระบุรุษรูปงาม
เขายกตัวกดทับร่างที่เพรียวเล็กกว่าของจูเจิ้นอวี้ ไว้บนที่นอน ก่อนกรีดนิ้วเชิดคางกลมมนอีกฝ่าย โผพุ่ง ตะโบมปิดเรียวปากเนื้องาม ด้วยการบดขยี้แช่หน่วง ก่อนรีบผละเรียวปากสีแดงระเรือออก
"อึ่ม!!" อีกฝ่ายก็บุรุษเช่นกัน หาได้ยินยอมผู้ใดโดยง่าย ทั้งดีด ทั้งดิ้น เมื่อแรงน้อยกว่า ดั่งเหยื่อถูกล่า ก็ขอท้าสู้ด้วยใจ อาจหาญ แม้เป็นเพียงแค่สายตา ซึ่งเริ่มมีหยาดอุ่นเคล้าคลอ
"หึ! ช่างกล้ากัดริมฝีปากข้ารึ ดีล่ะ! วันนี้เจ้าเดือดร้อนแน่!!" เสียงทุ้มต่ำเอ่ย พลางยกเรียวนิ้วปาดหยาดโลหิต ก่อนเริ่มซุกไซร้ซอกคอ สูดเร้นกลิ่นบุรุษเพศ
^^^"อย่า! ปล่อย! ข้ามิสนบุรุษ! ออกไปนะ อ้ายคนสารเลว!" ^^^
นัยน์ตาคมกริบ กวาดมองใบหน้าคนงาม ที่พวงแก้มเปลี่ยนเป็นแดงระเรือ ราวกับถูกตีตรากุหลาบ ก่อนจะยกฝ่ามือกดไปยังลำคอ ร่างที่ดีดดิ้น อยู่ใต้อ้อมแขนไอดังค่อก
"อย่าขัดขืนจะดีกว่า เจ้าน่าจะรู้ ว่าสู้แรงข้ามิได้!" เขากล่าวเสียงต่ำ ทว่าแฝงเร้นไปด้วยการข่มขู่ ขณะที่อีกฝ่ายหยุดเงียบเสียง พลันเขม่นตา จับจ้องเหลียวมอง คนเบื้องหน้า ที่แสยะยิ้ม ด้วยความชิงชัง
เจ้ากวางน้อย คิดอย่างไรไม่สน ทว่า เขาชอบ...ชอบความรู้สึกที่ได้เป็นผู้เหนือกว่า ชอบสายตาขัดขืนจากคนงาม ที่ห้อปาก ใบหน้าฉาบไปด้วยหยาดน้ำตา ยามถูกรุกราน
..."ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า เกลียดทุกสิ่ง อา...อ้า!"...
.........
........
.......
ย้อนไปเมื่อ 3 เดือนก่อน หลังจากพระราชบิดา กับพระราชมารดา ได้สูญสิ้น เหล่าข้าราชการขุนนางรอบตัว ที่พาเขาหลบหนีซือหม่าชิง ต่างพากันปกป้องเขาจนตัวตาย
จูเจิ้นอวี้ รังเกียจระคนสมเพชในความอ่อนแอของตนยิ่งนัก เขาไม่มีแล้ว ทั้งอำนาจ ทั้งเงินทอง เพื่อต่อรองชีวิตข้าราชบริพารผู้ภัคดี จบสิ้นทุกอย่าง...
เขานั้นถูกเลี้ยงดู มาในพระราชวังอย่างสุขสบายชั่วชีวี จนกระทั่งอายุ 18 หนาว มิเคยต้องเรียนรู้ วิถีการดำรงชีวิต หาเลี้ยงปากท้องของราษฏร และคิดว่าคงไม่จำเป็น
ที่สำคัญคือการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา พร้อมกับมี รัชทายาทไว้สืบสกุล ปกครองแผ่นดินต้าหมิงตราบชั่วกาลนาน
ทว่าทุกอย่างไม่เป็นดั่งที่เคยคิดฝัน เขาไม่มีสิ่งใดนอกจากร่างกาย ที่นับวันเริ่มจะพุพัง ตามเสียงหัวใจ
จากรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ กลับกลายเป็นเพียงเด็กหนุ่มขอทาน ที่กลางวันแอบซือหม่า กลางคืนเดินขุดคุ้ยหาเศษอาหารประทังชีวิตทั้งน้ำตา
ในคืนหนึ่ง ที่แสงนวลสาดส่อง จันทราราวกับไข่มุกเม็ดงาม ลอยต่ำเหนือทิวแมกไม้ แสงเยือกเย็นโรยรา ฉาบร่างสันทัด แม้สกปรก ทว่าความงามช่างเฉิดฉายไม่แพ้ดวงเดือน
"พ่อหนุ่มๆ มานี่หน่อย" ชายหนุ่มได้ยินเสียงเรียก ครันเหลียวซ้ายแลขวาหันไปมอง ก็พบกับโต๊ะตั้งเตี้ย ของหมอดู วัยกลางคน ที่จับจ้องกวาดตามองเขาหัวจรดเท้า พลันลูบเคราแพะปลายแหลมอย่างครุ่นคิด
"โหงวเฮ้วเปล่งประกายดั่งไม้เนื้องาม โหนกคิ้วยกสูงพาดเฉียง รับคมจมูก เครื่องหน้าสมบูรณ์ยากหาผู้ใดเปรียบ บ่งบอกถึงวาสนาสูงศักดิ์ เท่าแผ่นฟ้า เจ้าเป็นบุตรชายสกุลใหญ่ที่ใดหรือ?"
ครันชายหนุ่มได้ยินเสียงทายทักหมอดู เขาอดแค่นหัวร่อในลำคอเสียไม่ได้ ก็ทายถูก แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว นี่คงทัก หวังจะได้เม็ดเงินจากขอทานคุ้ยขยะ เฉกเช่นเขาหรือ?
"ทายผิด! ข้ามิใช่ผู้มีวาสนา และก็ไม่มีเงินจ่ายค่าหมอดูให้เจ้าหรอก!" จูเจิ้นอวี่เอ่ย พลางหันหลังให้เขา พร้อมก้าวเดินออกไป
"ข้าไม่เคยทำนายพลาด เจ้าจะได้เป็นใหญ่! จะมีวาสนาสูงเทียบเท่าแผ่นฟ้า" เสียงหมอดูร้องตะโกนดังก้องมา ช่างเป็นคำพูดที่เสียดแทงหัวใจเหลือเกิน ถ้าคำทำนายเป็นจริง ทำไมเขาถึงมีสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ล่ะ!
ชายหนุ่มยังคงก้าวเดิน ต่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย หาได้รู้ว่า มีบุรุษส่อท่าพิรุธ ซุ่มซ่อนหลังพุ่มไม้ ลอบมองเขา มาตั้งหลายเค่อ
ครันเห็นอีกฝ่ายมิระวังตัว มันรีบก้าวทะยานโผพุ่ง เงื้อลำแขนขนยาวรุงรัง คว้าเนื้ออกคนงามไว้ พลางยอบกายยกตอหนวดถูไถใบหน้า จนชายหนุ่มขนลุกชันทั่วกาย
"ปล่อยข้านะ อ้ายชาติชั่ว! อื้ออ!!!" เขาตะโกนร้องเสียงก้อง ดวงตาดอกท้อเหลียวมอง ถามหาคนช่วยเหลือ ทว่าคงมีแต่เสียงกรีดร้องแมลงระเบ็งเซ็งแซ่ ท่ามกลางความมืดมิด
"เจ้างาม!...ช่างงามต้องใจเหลือเกิน" เสียงทุ้มสั่นอีกฝ่ายเอ่ย พลางเหยียดกายทาบร่าง ถูไถสะโพกจากทางด้านหลังไปมา
"อ้าย!!..." เขาสบถกำลังจะเหลียวหลังหันไปกระแทกศอกใส่ ทว่ากลับมีร่างบุรุษสูงใหญ่คนหนึ่ง ยกเท้าถีบ พลันสืบเท้าหวดหน้าแข้งใส่ชายโครงอีกฝ่ายซ้ำ ตามด้วยกระทืบลงเท้าไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายแน่นิ่งไป
ข้าเบิกตามองผู้มีพระคุณ ก่อนที่ เอื้อนเอ่ยวาจาขอบคุณ แทนที่ จะได้ฟังคำพูดทำนองปลอบใจ หรือแยกจากกันด้วยดี ทว่าอีกฝ่าย กลับปรายสายตาดูถูกหยามเหยียด
"หึ! นั่นใช่ใจจริงหรือ? เจ้าเองก็มีปัญหามิใช่หรือ? ท่าทาง เจ้ามันก็ชมชอบบุรุษ เมื่อครู่ คงเป็นการแสดงงิ้ว เพื่อสร้างอารมณ์ พลอดรักใช่ไหมล่ะ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ข้าใบหน้าแดงก่ำ ร้อนชา ลามไปถึงริมฝีปาก อ้ายบุรุษปากไม่สร้างสรรค์ บังอาจด่าว่า ผู้ที่เคยเป็นถึงรัชทายาทเชียวรึ!
ข้ากัดริมฝีปาก วิ่งตรงไปยังร่างเขา ก่อนยกเข่ากระทุ้งตรงกลางระหว่างขา ร่างสูงใหญ่ผงะ พลางทรุดยวบ เกาะกุมเป้ากางเกงลงไปนอนกลิ้งบนพื้น
"เฮอะ! อ้ายคนสารเลว คิดเอง เออเอง แต่เพียงผู้เดียว!" ข้าสบถด่า ก่อนถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าเขา พลางวิ่งก้าว ออกฝีเท้า จากไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!