ณ ป่าชิงโต่ว
ดวงตาของซวนอวี้เปิดขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย
"ที่ไหนกัน...ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วหรอ...อึก"
ฉับพรันความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวก็ปะทุขึ้น ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขาดั่งสายลำธาร ซวนอวี้นั่งอยู่สักพัก ก่อนจะดีดตัวขึ้นยืนพร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทีสับสน
"ฉันไม่สิ...ข้าเป็นใครกันแน่?"
ซวนอวี้กล่าวออกมาพรางมองดูรอบๆที่มีเพียงต้นไม้และพุ่มไม้เท่านั้น แต่เมื่อค้นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเขาก็ต้องตกใจ
"ที่นี้มัน...หรือว่าโต้วหลัว"
[มิผิด]
"ใครน่ะ!!"
ซวนอวี้หันมองไปรอบๆด้วยท่าทางระวัง บนทวีปโต้วหลัวมีอันตรายอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่สัตว์วิญญาณแต่รวมถึงมนุษย์เช่นกัน
[อย่ากลัวไปเลย ข้าคือระบบของท่านมีชื่อว่าระบบจักรวาล]
"ระบบรึ"
ซวนอวี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าระบบมันหมายถึงอะไรและยังยินดีอีกด้วยที่ระบบพูดคุยกันเขา เห็นอย่างนี้แต่เขาก็ไม่ได้เก่งในเรื่องของการต่อสู้หรือเอาตัวรอดเลย
ดังนั้นการมีระบบก็ถือเป็นอะไรที่ดีกับเขามากโดยเฉพาะการฝึกฝน ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอนี้ พลังคือทุกอย่างจริงๆ
[ระบบมีของขวัญเริ่มต้นอยู่ต้องการหรือไม่?]
"ต้องการ"
[ยินดีด้วยท่านได้รับวิญญาณยุทธ์ เพลิงจักรพรรดิและดาบพิชิตสวรรคฺ์]
"วิญญาณยุทธ์ของข้า มันดูแข็งแกร่งมากแถมยังมีถึง2อีก"
ซวนอวี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสนใจ ก่อนจะเริ่มกดดูความสามารถของวิญญาณยุทธ์ทั้งสอง
[เพลิงจักรพรรดิ สายควบคุม
เพลิงจักรพรรดิคือจุดสูงสุดของเพลิงทั้งหมด ความร้อนที่สามารถเผาได้แม้กระทั่งนามธรรม ยิ่งการควบคุมดีเท่าไหร่ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น]
[ดาบพิชิตสวรรค์ สายโจมตี
อาวุธของเทพลึกลับที่มีพลังมากจนสามารถตัดมิติที่12ได้อย่างง่ายดาย อยู่เหนือกฎและเหตุผลทั้งปวง ต่อให้ต่อต้านแค่ไหนก็ไร้ผล]
"มันจะเทพเกินไปแล้ว!!"
ซวนอวี้อุทานออกมาหลังอ่านความสามารถและรายละเอียดของวิญญาณยุทธ์ เขาค่อนข้างแปลกใจที่ระบบให้สิ่งของเหนือสวรรค์นี้ แต่ยังไงมันก็ดีต่อตัวเขา
"ตอนนี้ข้าควรหาวงแหวนก่อน...แล้วอายุกี่ปีดีล่ะ"
[ระบบแนะนำอายุหมื่นปีขึ้นไป]
"เอ๊ะ มันไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอ?"
เขาพูดพร้อมกับหน้าที่ค่อนข้างกลัวนิดหน่อย เพราะจากที่เคยดูมานั่นพวกสัตว์วิญญาณหมื่นปีไม่ใช่เล่นๆเลย แถมมันยังเหมือนกับว่าเขาไปหาความตายซะอย่างนั้น
[หมายความว่ายังไง นี้ท่านกำลังดูถูกวิญญาณยุทธ์ของตนเองอยู่หรอ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตอนนี้แม้แต่ราชทินนามพรหมยุทธ์ระดับ99 ก็ไม่อาจจะฆ่าท่านให้ตายได้ ต่อให้ถูกฆ่ากี่ครั้งก็จะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง]
[แถมอีกอย่างขณะนี้ตัวท่านอยู่เหนือผู้คนทั้งโต้วหลัวแล้ว หากไม่นับเทพเจ้าล่ะก็คนที่สามารถต่อสู้กับท่านได้มีน้อยสุดๆ]
"เอ่อระบบ มันเหมือนกับว่าเจ้ากำลังอวยข้าอยู่นะ"
[เงียบและฟังระบบ]
"โอเค.."
[ถึงแม้สัตว์วิญญาณหมื่นปีจะแข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่าท่านมีดาบพิชิตสวรรค์อยู่ หากใช้มันล่ะก็แม้แต่ราชันย์เทพก็ยากที่จะต้านทาน]
"งั้นหรอ...ขอบใจที่บอกนะระบบ"
[ยินดีช่วยเหลือตลอด]
ซวนอวี้พยักหน้าพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าทางเขตในของป่าชิงโต่วทันที ตอนนี้อายุของเขานั่นได้กลายเป็นเด็กอายุ12ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นด้วยพรสวรรค์ของเขามันก็ไม่ยากที่จะตามคนอื่นๆในวัยเดียวกัน
แต่แน่นอนว่าด้วยวิญญาณยุทธ์ที่แข็งแกร่งของเขา มันก็ยากที่จะพัฒนาได้ราบลื่นตลอดเวลา เพราะการที่จะพัฒนาของระดับสูงย่อมต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าปรกติ
ดังนั้นการฝึกฝนของเขาจะเร็วแค่ช่วงแรก แต่หลังจากปรมจารย์วิญญาณขึ้นไปมันจะกลายเป็นความยากลำลากทันที ต่อให้ใช้พวกของระดับสูงก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าระดับของเขาจะพัฒนาขึ้น
. . .
2ชั่วโมงต่อมา
ซวนอวี้เดินมาพบกับหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดประมาณ3เมตร และด้วยสิ่งนี้ทำให้ซวนอวี้รู้ได้ทันทีว่ามันคือสัตว์วิญญาณหมื่นปีแน่นอน
"เจอเป้าหมายแล้ว...เจ้านี้คงสักประมาณ2หมื่นปีต้นๆ"
ซวนอวี้วิเคราะห์สัตว์วิญญาณตรงหน้าอย่างละเอียด อารมณ์ของเขาตอนนี้จริงจังมากเมื่อเทียบกับตอนแรก แน่นอนว่าถึงแม้จะได้รับการคอนเฟิร์มจากระบบแล้วว่าเขาสามารถชนะมันได้แน่นอนก็ตาม แต่ด้วยตัวของเขาที่ขาดประสบการณ์หลายๆอย่าง มันทำให้ซวนอวี้ค่อนข้างกังวลว่าตนจะไม่สามารถฆ่ามันได้
"คงต้องโจมตีตอนมันกำลังเผลอ..."
ฟูม
เปรวเพลิงสีแดงฉานได้ครอบคลุมมือของซวนอวี้ เขามองไปที่หมาป่าที่ตอนนี้กำลังนอนอย่างสงบข้างๆรังของมัน ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปทีละก้าว
"เอาล่ะนะ"
ตูม!!!
ตูม!!
ไฟสีแดงลุกลามไปทั่วผืนป่าอย่างรวดเร็ว พวกมันล้อมรอบตัวของหมาป่าสีเทาเอาไว้ ก่อนจะปรากฏมังกรเพลิงสีแดงค่อยๆบินขึ้นมาเหนือหมาป่าเทา
บนหัวของมังกรมีซวนอวี้กำลังยืนมองหมาป่าเทา ด้วยสายตาสงบนิ่งพร้อมกับออกคำสั่งให้เปลวเพลิงทั้งหมดโจมตีไปที่หมาป่าเทา
กรร
หมาป่าเทาคำรามออกมาเสียงดังสนั่นเมื่อเห็นว่ามีผู้คืดจะฆ่าตน มันกระโดดหลบเปลวเพลิงมากมายที่ถาโถมเข้าใส่ พร้อมกับค้นหาทางหนีเพราะมันรู้ดีว่าไม่อาจต้านทานอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
เพลิงที่มีความร้อนสูงมากจนแค่เข้าใกล้ก็รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณถูกเผา คงไม่มีใครโง่พอจะเข้าปะทะกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ
หมาป่าเทามองไปที่ซวนอวี้บนหัวมังกรแดง
ถ้าหากเป็นเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดมันได้เปรียบอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ศัตรูของมันกำลังอยู่ที่สูงและอันตราย หากมันพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะทำให้ชีวิตของทันต้องสิ้นสุดลง และกลายเป็นวงแหวนของอีกฝ่าย
ด้านซวนอวี้
"คิดจะหนีแล้วค่อยหาทางโจมตีข้าสินะ...น่าเสียดายที่ศึกนี้ข้าอยากให้มันจบภายใน1นาที"
ซวนอวี้พูดพร้อมกับเรียกดาบพิชิตสวรรค์ออกมา ทำให้มิติรอบข้างของเขาเกิดการบิดเบี้ยวในทันที เป็นการบอกว่าดาบเล่มนี้ทรงพลังมากถึงขั้นทำให้ทุกสิ่งรอบตัวต้องพังทะลาย
เวลาต่อมาดาบสีทองม่วงค่อยๆปรากฏขึ้นบนมือของซวนอวี้ เมื่อมาถึงจุดนี้มิติและความว่างเปล่าในระยะ1ลี้ถูกตัดขาดสบั้น แม้แต่หมาป่าเทาที่กำลังหาช่องโหว่ก็ต้องตกใจเพราะตอนนี้ร่างกายของมันเหลือเพียงหัวไปเสียแล้ว
พลังวิญญาณของซวนอวี้ลดลงอย่างรวดเร็ว การใช้ดาบพิชิตสวรรค์นี้กินพลังวิญญาณเขาไปเยอะเป็นอย่างมาก แค่การถือเอาไว้ก็สามารถทำให้โลกโต้วหลัวต้องพังทลาย
หากเขาใช้มันโจมตีแบบเต็มที่ไม่ใช่ว่าแม้แต่จักรวาลโต้วหลัวก็ไม่อาจทนมันได้หรอ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญ
ซวนอวี้หันไปมองวงแหวนวิญญาณสีดำที่ค่อยๆลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ น่าแปลกที่บางจุดของมันมีลอยเหมือนถูกตัดขาด ซึ่งซวนอวี้คาดเดาว่าอาจจะเกิดจากพลังของดาบพิชิตสวรรค์
"เห้อ ช่างเรื่องนั้นก่อนดีกว่าตอนนี้ข้าต้องดูดซับวงแหวน"
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของวงแหวนก่อนจะนั่งลงและเริ่มดูดซับมันทันที พลังวิญญาณสีดำค่อยๆไหลออกจากวงแหวนก่อนจะรวมตัวกันด้านหลังของซวนอวี้ และเริ่มอัดแน่นเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเพลิงสีดำขาว
ดวงตาของซวนอวี้เปิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ เขาลุกขึ้นยืนแล้วค่อยเรียกวงแหวนออกมา แรงกดดันมากมายพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา
ซวนอวี้มองไปด้านหน้าของเขาซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ วงแหวนสีดำก็เริ่มสว่างขึ้นซวนอวี้จึงตะโกนออกมา
"ทักษะที่1 เพลิงผลาญวิญญาณ"
เมื่อเขากล่าวจบเพลิงสีดำขาวก็พวยพุ่งออกมา กลายร่างเป็นหมาป่าสีเทาก่อนจะพุ่งเข้าไปทำลายต้นไม้ด้านหน้าของมัน
ตูม!!
การโจมตีของหมาป่าสีเทาทำให้เกิดเพลิงสีดำขาวลามไปทั่ว สัตว์วิญญาณในระยะ2กิโลเมตรถูกเพลิงเผาจนตายไปในทันที รวมถึงวงแหวนวิญญาณของพวกมันที่ถูกเผาจนไร้ร่องรอย
ซวนอวี้จ้องมองไปที่ผลงานของตนเองด้วยสายตาทึ่ง เขาไม่คิดเลยว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้สมกับเป็นวงแหวนหมื่นปี
[ขอแสดงความยินดีกับการได้รับวงแหวนวงแรก ท่านได้รับรางวัลเป็นทักษะร่างแยก]
เมื่อเสียงของระบบดังขึ้น ซวนอวี้ก็เลิกสนใจการร่องรอบการทำลายล้างของตนเอง ก่อนจะหันมาสนใจระบบที่กำลังแจ้งเตือนเกี่ยวกับวงแหวนและรางวัล
"ร่างแยกรึ?มันคืออะไร"เขาถามด้วยความสงสัยแต่ในใจก็รู้แล้วว่ามันจะต้องทรงพลังอย่างแน่นอน
[ทักษะร่างแยกนี้จะทำการสร้างร่างแยกของท่านขึ้นมา โดยพวกมันสามารถฝึกฝนและต่อสู้ได้ แถมยังมีสติปัญญาเป็นของตัวเองอีกด้วยและยังไม่ทรยศท่านอีก]
เมื่อซวนอวี้ได้ฟังก็ต้องตกใจกับความสามารถของมัน เขาพูดได้คำเดียวเลยว่าทักษะนี้มันสุดยอดมาก
"แล้วมันสามารถกำหนดหน้าตาได้หรือไม่?"
[ท่านเคยอ่านเรื่องระบบเจ้าสำนักนิ น่าจะรู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง]
"งั้นหรอ...แต่เดี๋ยวสิทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่ะว่ามันคือทักษะจากเรื่องนั่น]
ซวนอวี้พูดด้วยน้ำเสียงสงสัยเพราะตอนแรกเขาไม่รู้ว่าทักษะนี้มันจะช่วยทำอะไรได้บ้าง แต่เมื่อเขารู้แล้วว่ามันมาจากเรื่องอะไรมันก็สามารถทำให้เขาสามารถใช้พวกมันได้อย่างดีเยี่ยม
[ก็ตัวท่านไม่ถาม]
"เห้อ ช่างเถอะเถียงกับเจ้าไปมันจะได้อะไรล่ะ"
ซวนอวี้ส่ายหน้าก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อลองใช้ทักษะนี้ดู
"สร้างหลินต้งจากมหายุทธ์หลุดพิภพและเซียวเหยียนจากสัประยุทธ์หยุดพิภพ"
วูบ!!
แสงสีทองและสีแดงสว่างไปทั่วบริเวณนั่น ก่อนจะปรากฏเป็นชายหนุ่มสองคนอายุพอๆกับเขา แต่ทั้งสองคนนั่นกลับไม่มีพลังใดๆในร่างเลย
มันทำให้ตัวของซวนอวี้รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองร่างนี้จะต้องฝึกฝนเสียก่อน โดยการฝึกที่เหมาะที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพวกพลังชี่และพลังหยวน
"เอาล่ะพวกเจ้าต่อจากนี้คือสหายของข้า"
ทั้งสองที่ได้ยินก็สั่นเล็กน้อยก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม
"ได้"*2
2ปีต่อมา
ตอนนี้พวกเขาทั้งสามได้โตมาจนกระทั่งมีอายุ14เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าการฝึกฝนของพวกเขาจะต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน
โดยตัวของเซียวเหยียนนั่นตอนนี้อยู่ระดับยอดยุทธ์9ดาว แถมยังมีไฟวิเศษอย่างเพลิงบัวแก่นพิภพและเพลิงหฤทัยดาวตกที่ได้รับมาจากระบบ
ส่วนหลินต้งก็ข้ามไปถึงขุมพลังระดับเจ้าขั้นฮว่าระยะต้นแล้ว อีกไม่นานคงไปถึงระดับเนี่ยผานและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากซวนอวี้ แล้วยิ่งตัวของหลินต้งมีหินสืบทอดและตรากลืนกินอยู่ด้วย ทำให้ยากที่จะมีใครสามารถต่อกรกับเขาได้
ด้านซวนอวี้นั่นตอนนี้เขาได้มาถึงระดับปรมจารย์วิญญาณแล้ว แถมยังมีวงแหวนที่4อยู่ในระดับแสนปีพร้อมกับกระดูกวิญญาณส่วนนอกอย่างปลอกแขนกิเลน
ในเวลานี้หากไม่ใช่ราชทินนามพรหมยุทธ์แล้วล่ะก็คงไม่มีระดับไหนสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสามได้อีกแล้ว
บนยอดเขา
ทั้งสามกำลังนั่งบ่มเพาะอย่างตั้งใจและขยันขันแข็ง เพื่อที่จะไม่อ่อนแอไปกว่าใครๆพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น และไม่กลายเป็นจุดอ่อนของทีม
ซวนอวี้ลืมตาขึ้นเป็นคนแรกพร้อมหันสายตาไปมองทั้งสองที่นั่งบ่มเพาะอยู่ บนยอดเขานี้มีสิ่งที่เรียกว่าหินเซียนอยู่ซึ่งเขาได้รับมันมาจากระบบ โดยมันสามารถให้พลังกับพวกเขาได้แถมยังปรับสภาพให้เหมาะกับการฝึกฝนของแต่ละคนอีกด้วย ส่วนคนที่ได้รับประโยชน์ที่สุดคงจะเป็นหลินต้ง เพราะอีกฝ่ายสามารถใช้หินเซียน1ก้อนในการก้าวข้ามไปสู่ระดับเนี่ยผานได้
แถมยังมีพลังมากกว่าระดับเนี่ยผานปรกติอีก เรียกได้ว่าในกลุ่มนี้เขาคือคนที่โชคดีที่สุดแล้ว
ซวนอวี้หันสายตามาที่ตนเอง ตอนนี้หากไม่ใช้ดาบพิชิตสวรรค์ล่ะก็เขาคงจะอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ด้วยระดับพลังที่ขึ้นช้าบวกกับวิญญาณยุทธ์สายควบคุมที่ดูเหมือนจะได้เปรียบกับเซียวเหยียนเพียงคนเดียวเท่านั้น
แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่หลินต้งสามารถขึ้นไปถึงระดับเนี่ยผานได้ เพราะเมื่อตอนนั้นมาถึงคงมีแต่ดาบพิชิตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้
แต่ด้วยความเชื่อใจมันทำให้เขารู้ดีว่าต่อให้จะตาย อีกฝ่ายก็ไม่มีวันที่จะทรยศเขาอย่างแน่นอน
ซวนอวี้จึงปัดความคิดเรื่องการฝึกฝนออกไปก่อน แล้วหันมาสนใจเกี่ยวกับสมาชิกทีม ในโลกโต้วหลัวนี้ทีมที่ดีที่สุดจะมีทั้งหมด7คนซึ่งตอนนี้พวกเขามีอยู่สาม และทั้งหมดล้วนเป็นสายโจมตีและควบคุม หากต้องการทีมที่สมบูรณ์แบบพวกเขาจะต้องมีสายป้องกันและสนับสนุนเข้ามาร่วมด้วย สายโจมตีว่องไวยิ่งดีไปใหญ่
"สายป้องกันเราสามารถตัดออกไปได้เพราะทุกคนล้วนมีวิชาป้องกันอยู่แล้ว ส่วนสายโจมตีว่องไวก็คงต้องเป็นพวกที่มีความเร็วเป็นเลิศมากกว่าผู้อื่น"
ในด้านของสายสนับสนุนนั่นตัวของซวนอวี้ได้เล็งเอาไว้อยู่แล้ว ว่าจะหาคนของสำนักหอแก้วเจ็ดสมบัติมาสักคนแล้วค่อยทำให้วิญญาณยุทธ์ของอีกฝ่ายเลื่อนขั้นกลายเป็นหอแก้วเก้าสมบัติ ซึ่งคนๆนั้นจะต้องไม่พักดีต่อสำนักหอแก้วเพราะไม่งั้นมันจะทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่กับเขาไปตลอดหรือไม่
"หัวใจหลักของทีมไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถควบคุมทีมและแก้สถานการณ์ได้ดีที่สุด ซึ่งข้าไม่ใช่คนแบบนั้น"
"ดูเหมือนว่าข้าต้องตามหาใครสักคนที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าข้า...แต่ตอนนี้ควรเน้นไปทางด้านการฝึกฝนเสียก่อน หืมอะไรน่ะ"
ซวนอวี้กล่าวจบก็กำลังจะบ่มเพาะต่อ แต่เมื่อเขาหันมองขึ้นไปบนฟ้าก็พบว่าได้มีพลังงานบางอย่างรวมตัวกันอยู่ โดยสิ่งที่เรียกมันมาก็คือหลินต้งที่ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามขุมพลังระดับเจ้าขั้นฮว่าระยะต้น
กลายเป็นระยะปลายและได้ดูดซับหินเซียนไปจำนวนมาก จนตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับเนี่ยผานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คือภัยพิบัติเนี่ยผานที่จะต้องก้าวเข้าสู่ขั้นที่1เสียก่อน และนั้นก็แปลว่าหลินต้งไม่เพียงแต่จะกลายเป็นระดับเนี่ยผาน แต่ยังสามารถเรียกภัยพิบัติเนี่ยผานได้อีกด้วย
ในเวลานี้หลินต้งคงมีพลังพอๆกับราชทินนามพรหมยุทธ์แล้วกระมัง
"หึฮ่าๆๆในที่สุดข้าก็เข้าสู่ระดับเนี่ยผานได้เสียที"
หลินต้งกล่าวออกมาหลังจากรับภัยพิบัติเนี่ยผานไปเต็มๆ เวลานี้ตัวของเขาปล่อยออร่าน่าเกรงขามออกมาทำให้เซียวเหยียนและซวนอวี้รู้สึกกดดัน จนกระทั่งหลินต้งปลดแรงกดดันออกทั้งสองจึงกลับมาสบายตัวอีกครั้ง
"เก่งเหมือนกันนิร่างแยก"
ซวนอวี้พูดชมหลินต้งที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ด้านเซียวเหยียนที่ได้ยินก็พยักหน้าตาม ส่วนหลินต้งนั้นได้ยิ้มออกมาและกล่าวกับซวนอวี้
"เดี๋ยวอีกไม่นานเจ้าก็จะนำตัวของข้าไปได้อยู่แล้ว...ว่าแต่ทำไมเจ้าไม่สร้างร่างแยกมาเยอะแล้วค่อยผสานกันเลยล่ะ แบบนั้นพลังของเจ้าก็จะขึ้นได้เร็วมากเลยนะ"
สีหน้าของหลินต้งเต็มไปด้วยความสงสัย แต่อยู่ดีๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่าพลังวิญญาณของซวนอวี้นั้นแตกต่างออกไป ต่อให้เป็นร่างแยกแต่ก็ไม่มีพลังแบบร่างหลัก เหมือนกับหลินต้งและเซียวเหยียนที่ไม่มีวิญญาณยุทธ์ นั้นก็เพราะพวกเขาถูกสร้างมาให้แตกต่างกับร่างหลักอยู่แล้ว
ต่อให้ซวนอวี้จะพยายามสร้างร่างแยกและหลอมรวมมากเท่าไหร่ แต่ระดับพลังที่จะเพิ่มขึ้นนั่นกลับไม่ใช่พลังหลักของเขา
"เห้อ เจ้าก็รู้นิว่ามันมีเหตุผลอยู่แต่ช่างเรื่องนั่นก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าคิดว่าพวกเราควรหาประสบการณ์สักหน่อย..."
ซวนอวี้พูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกสองคนก็สงสัยนิดหน่อยว่าพวกเขาจะไปเก็บประสบการณ์ที่ไหน
"ส่วนสถานที่ก็คือเมืองสั่วทัวยังไงล่ะ"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!