NovelToon NovelToon

CUBIC

บทที่ศูนย์ คำนำ

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน...

 ใครจะรู้เล่าว่าในวันพรุ่งนี้ชีวิตของเราจะดำเนินไปเช่นไร เราอาจได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่จะพลิกชีวิตของเราให้เปลี่ยนไปตลอดกาลก็เป็นได้...

เช่นเดียวกับ ฤทัยนาค เด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี ที่ครอบครัวเก็บกระเป๋าหนีไปทิ้งเธอไว้เป็นของใช้หนี้มาเฟียฮ่องกงแทน นันทกา พี่สาวของเธอตามสัญญา

แต่นี่ไม่ใช่นิยาย ที่ของใช้นี่เป็นหญิงสาวแสนสวย และได้รักกับมาเฟียเจ้าหนี้ อันนำไปสู่ตอนจบที่สมบูรณ์แบบ เพราะฤทัยนาคไม่ใช่คนสวย หุ่นก็ไม่ดี อีกทั้ง หลิน หลานเซ่อ มาเฟียเจ้านี้ก็ไม่เคยคิดใยดี แถมยังชิงชังเธออีกต่างหาก และเพราะเหตุนั้นฤทัยนาคจึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ก่อนจะจับพลัดจับผู้ได้ตำแหน่ง ‘เงา’ คนใหม่ ภายใต้โคดเนม ‘CUBIC’ ที่คนในวงการมืดและตำรวจตามหากันให้ควั่กโดยไม่ได้ตั้งใจ

_______________________________________

​​​​ติดตามเนื้อเรื่องต่อได้ในวันที่ 31/01/66 เวลา 12:30 เป็นต้นไป...อัพทุกๆสิบวันไรท์เตอร์ท่านนี้ไม่ค่อยว่าง😔

{ คำไม่พอ;-; }

ลมอ่อนพัดโชยมา น้ำตาก็ไหลริน

เหลือเพียงกลิ่นหัวใจ คลุ้งไปกับความเหงา

รักยังไม่จางไป ตรึงติดชิดดวงใจ

ยังหอมรัญจวนชวนให้ฝัน

เคยแอบแนบเคียงกาย อิงแอบมิรู้คลาย

ใต้เงาของแสงจันทร์ เย้ายวนไม่เลือนหาย

ซ่อนเก็บไว้ข้างใน ตรงสุดลึกดวงใจ

ถนอมเธออยู่ในนั้น

คงไว้ได้แค่กลิ่น ที่ไม่เคยเลือนลา

ยังหอมดังวันเก่า ยามเมื่อลมโชยมา

ทิ้งไว้เพียงอดีต ที่ไม่เคยหวนมา

ซ่อนเธอไว้ในใจ

เจ้าดอกไม้ซ่อนกลิ่น หอมบาดลึกเกินใคร

หอมเกินหักห้ามใจ ทุกคราวต้องหวั่นไหว

ร้อยเก็บเจ้ามาลัย ทัดเธอไว้ในใจ

เพื่อคงกลิ่นหอมไว้อย่างนั้น

คงไว้ได้แค่กลิ่น ที่ไม่เคยเลือนลา

ยังหอมดังวันเก่า ยามเมื่อลมโชยมา

ทิ้งไว้เพียงอดีต ที่ไม่เคยหวนมา

ซ่อนเธอไว้ในใจ (ซ่อนเธอไว้ในใจ)

คงไว้ได้แค่กลิ่น ที่ไม่เคยเลือนลา

ยังหอมดังวันเก่า ยามเมื่อลมโชยมา

ทิ้งไว้เพียงอดีต ที่ไม่เคยหวนมา

ซ่อนเธอไว้ในใจ

เคยแอบแนบเคียงกาย

ซ่อนเธอไว้ในใจ (ซ่อนเธอไว้ในใจ)

ทิ้งไว้เพียงอดีตที่ไม่เคยหวนมา

ซ่อนเธอไว้ในใจ

{ คำพอล่ะ52553535 }

บทที่หนึ่ง เหยื่อมีเขี้ยวเล็บ

ซ่า!

โครมแรกยังกระโดดโหยงเหยงหลบทัน

ซ่า!

แต่โครมที่สองนี่สิอ้าปากรับเข้าไปเต็มๆ อย่างไม่ทันนึกว่าจะมีแผนสองกันเหนียวไว้ด้วย

เสียงซ่าๆ เหมือนฝนตกนี้ เล่นเอาคนที่ดูพยากรณ์อากาศทุกเช้ายืนเซ็ง เมื่อพิธีกรในทีวีไม่ได้เตือนว่าฟ้าจะรั่ววันนี้ แต่เป็นเพราะถังใส่น้ำถูพื้น ลื่นหลุดมือใครบางคน " อย่างตั้งใจ " จากอาคารเรียนชั้นสามเทโครมมาใส่กบาลคนที่ได้แต่ยืนเปียกแข็งทื่อเป็นรูปปั้นอนุเสาวรีย์ชัยฯ

" อยากจะสาดก็สาดลงมาอีกซี่! "

ซ่า!

พูดไม่ทันขาดคำ น้ำทิพย์กลิ่นคาวผ้าขี้ริ้วจากสวรรค์ชั้นสามก็เทลงมาตามประสงค์คนปากดี

" เอาจนได้สินะวันนี้ "

เธอบ่นกระปอดกระแปดพลางสบัดศีรษะไล่หยดน้ำ ก่อนเดินดุ่มๆ ไปที่โรงพละ

…สำหรับเธอ การถูกกลั่นแกล้งนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเธอเจอมันประจำตั้งแต่เล็กจนโตเหมือนต้องกินข้าววันละสามมื้อ แต่ไม่เคยคิดโกรธแค้นใครเป็นพิเศษ เพียงแค่รู้สึกเบื่อหน่ายซ้ำซากที่ต้องเจออยากเลี่ยงไม่ได้

เด็กสาวร่างเปียกปอนเดินเข้าโรงพละเพื่อเปลี่ยนชุดนักเรียนเป็นชุดกีฬาแก้ขัดไปก่อน แต่ก่อนที่เธอจะถึงตูล็อกเกอร์ ที่สูงเท่าศรีษะมีป้ายชื่อ " นาค " ติดอยู่ แต่เธอก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเดินผ่านกระจกบานใหญ่

เด็กสาวรูปร่างอ้วนนิดๆสะท้อนอยู่ในกระจก ยังดีที่ส่วนสูง 168 เซนติเมตรช่วยให้เธอดูไม่อ้วนจนเกินไป แต่กระนั้นก็ไม่ได้ดูดีนะ เธอไม่ใช่คนขาวแต่ก็ไม่จัดว่าดำ ใบหน้ากลมแลดูจืดจืด ที่พินิจตรงไหนก็ไม่มีส่วนใดมีเสน่ห์ ตาไม่มีชั้น ขนตาสั้น เส้นผมสีน้ำตาลเข้มไม่ได้รับการจัดแต่งมากไปกว่าการผูกหางม้าง่ายไปตามกฎระเบียบโรงเรียน และมีหน้าม้าบางๆปิดหน้าผาก

" เออ…ขี้เหร่เข้าไปสิ " เด็กสาวร่างท้วมว่าคนในกระจงก่อนระบายลมหายใจอีกรอบ นี่คงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เธอทุกคนอื่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ไม่ชวนให้ใครมาชายตามอง สำหรับเธอมันเป็นแบบนี้มา 17 ปีเต็มแล้ว ถึงโวยวาย โอดครวญ โทษลมโทษฝนไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากทำใจกับข้อด้อยของตนเอง

ร่างท้วมๆ ผละออกจากกระจกตรงหน้ากลับไปเผชิญกับความจริง หยิบเสื้อพละออกมาเปลี่ยนก่อนจะตัวปอดบวม เกิดตายขึ้นมา ไม่มีใครไปงานศพ จะเสียหน้าผีตนอื่นๆ ซะหมด

" นาค! "เสียงคุ้นเคยดังขึ้นเมื่อเด็กสาวเดินออกมาจากโรงพละ ทำให้นาคต้องหันไปมองต้นเสียง ถึงเธอจะมีรูปร่างท้วม แต่เรื่องความคล่องแคล่วเธอกลับไวกว่าคนร่างผอมเพรียวหลายเท่าตัว

เจ้าของเสียงหวานที่กำลังวิ่งเหยาะๆ มาทางเธอเป็นเด็กสาวผิวขาวรูปร่างเพรียวที่มีใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนรับกับผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวตรงถึงกลางหลัง จมูกโด่งรั้นนิดๆ เข้ากันกับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ พวงแก้มแดงแบบมีเลือดฝาดดูน่าหยิกราวตุ๊กตา ทั้งน่าทะนุถนอม ทั้งหน้ากอด...สวย จนชนิดที่ว่าตรงกันข้ามกับเด็กสาวที่เธอร้องเรียกโดยสิ้นเชิง

นาคเลิกคิ้วมองเด็กสาวตรงหน้า

" อ่าวๆ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย " เธอว่าพลางอมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางเร่งรีบของ 'พี่สาว'

ใช่...พี่สาวแท้ๆ ที่เล่นเอาเธอต้องหยุดดูกระจกทุกครั้งที่เห็นหน้า เพราะความแตกต่างแบบสุดขั่ว ทั้งหน้าตา ทั้งอุปนิสัย ไม่มีส่วนไหนเหมอนกันเลยสักนิดเดียวจนชวนสงสัยว่าแม่เธอโครโมโซมผิดเพี้ยนตอนตั้งท้องเธอรึปล่าว

" โดนแกล้งอีกแล้วเหรอ ให้พี่จัดการแทนไหม " คนสวยน่ารักตีสีหน้าจริงจังแสดงความรู้สึกโกรธแทน แต่กลับดูน่าขันในสายตานาค เพราะเธอดูน่ากอดมากกว่าน่ากลัว

" โอ๊ย...จัดขบวนรถไฟหนุ่มๆ ของพี่ไม่ให้ชนกันก่อนดีกว่ามั้ง " เด็กสาวร่างท้วมสัพยอกคนเป็นพี่อย่างไม่คิดติดใจการโดนกลั่นแกล้งที่ผ่านมา ก็บอกแล้วไงว่าเธอชินแล้ว

ถ้าคนพวกนั้นมีปัญญาแกล้ง เธอก็มีปัญญาอดทนเหมือนกัน...

เพราะมันไม่นักหนาเท่ากับการที่เธอต้องทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่หลายร้อยล้านของพ่อ... ฟังดูหรู แต่น่าขยาด เพราะงานที่ว่าน่ะไม่ใช่การนั่งในห้องแอร์หยิบโน่นหยิบนี่ หรือชงกาแฟให้ประธานบริษัทซึ่งเป็นพ่อของเธอ หรือได้ทำงานสบายในฐานะลูกสาว...ไม่เลย...หยุดคิดได้

พ่อยัดงานทุกอย่างมาให้เธอ ตั่งแต่งานจับกังยันงานติดต่อธุรกิจ จนถึงขนาดครั้งหนึ่งได้ให้เธอไปเจรจาธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ ถึงไม่ใช่โดยตรงแต่ก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญ พ่อคิดได้ยังไง เธอเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี...เด็กผู้หญิงอายุแค่สิบเจ็ดปี ใครที่ไหนจะไว้ใจ แค่เธอเป็นภาษาหน่อยก็โยนงานนี้มาให้แบบที่เธอต้องอ้าปากหวอ...เสียแต่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เธอยกธงขาวไม่ได้

ช่วงแรกๆ น่ะผลออกมาแย่มาก โดยเฉพาะเรื่องการเจรจาธุรกิจซึ่งไม่ใช่งานสำหรับเด็กอย่างเธอเลย แต่ถ้าเรียนรู้เรื่องวาทศิลป์ดีๆ อายุก็จะกาลายเป็นแค่ตัวเลข สำหรับนักธุรกิจพวกนั้นก็เหมือนกัน โชคดีที่เธอรู้จักที่จะเรียนรู้ การเจรจาธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ สามครั้ง เธอล้มเหลวไปสอง สำเร็จหนึ่ง ใช่...แค่หนึ่ง อาจไม่ดี แต่ก็มากเกินสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ด

นาค หรือ ฤทัยนาค เป็นคุณหนูที่เกือบเรียกว่าไม่ใช่คุณหนูเธอทำงานหนักเหมือนทาส เคยแม้แต่ขุดหลุมฝังเสาเข็มให้บริษัทสาขาย่อยของพ่อเธอ ว่าง่ายๆ... งานกรรมกรนั่นแหละ บอกแล้วว่าเธอทำงานตั้งแต่จับกังถึงติดต่อธุรกิจ ด้วยเหตุผลข้างๆคูๆ ของพ่อที่บอกว่าเธอมี ' พรสวรรค์ ' ...พรสวรรค์บ้าอะไรเธอไม่รู้ แต่เธอไม่เคยได้ออกโชว์หน้าโชว์ตาในงานสังคมไฮโซเลย ... เคยไปอยู่ครั้งหนึ่ง... ที่เธอต้องทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูหน้างานตามคำสั่งของพ่อ ด้วยเหตุผลที่ว่า 'พ่ออยากให้แกเรียนรู้ทุกอย่าง' เรียนรู้ทุกอย่างบ้าบออะไร เธอทำงานทุกอย่างในบริษัทไม่เว้นแม้แต่เปลี่ยนหลอดไฟ จนได้ข้อสรุปที่ถือว่าเป็นคติประจำใจว่า 'หน้าตากับรูปร่างสวยๆเท่านั้นถึงจะได้บัตรวีไอพีของชีวิต'

พี่สาวเธอสิคุณหนูของจริง พ่อไม่เคยให้พี่สาวคนนี้รู้เรื่องธุรกิจอะไรเลย ในขณะที่เธอรู้ไส้รู้พุงของบริษัททุกขด รู้แม้กระทั่งข้อมูลคู่แข่งทางธุรกิจ กลยุทธ์ทางการตลาดเต็มสมองเธอไปหมด

นัน หรือ นันทกา พี่สาวอายุสิบแปดปีของเธอ ทำงานอย่างมากก็แค่เดินตามพ่อไปทั่วบริษัท และออกงานสังคม ซึ่งพี่เธอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ในสายตาของนาคพี่สาวเหมือนนางเอกนิยายสมัยใหม่แบบรักใสๆ ที่เห็นเกลื่อนตลาด พวกสาวแซ่บซ่าแข็งนอกอ่อนใน เจอพระเอกเข้าไปหน่อยก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนู รักความยุติธรรมจนบางครั้งอาจมองข้ามความเป็นจริงของโลกไป ซึ่งมันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์กับชายหนุ่มทั้งหลายแหล่ ในขณะที่นาครับบทเหมือนตัวประกอบฉาก หรือไม่ก็ผู้ช่วยพระเอก

ใช่...แค่ผู้ช่วย

"ก็เอาแต่ยอมแบบนี้ ไอ้พวกนั้นก็เลยได้ใจน่ะสิ" นันทกาว่าอย่างโมโหแทน แต่น่ากลับแค่โบกมืออย่างปลงอนิจจังกับพี่สาว

"พี่นัน คนมีสมองเขาไม่ใช้วิธีแก้แค้นกันหรอกนะ ระบบธุรกิจยังต้องสู้ทางช่องโหว่ขอศัตรูเลย ลุยมันเข้าไปโต้งๆเขาก็สวนกลับมาง่ายๆ น่ะสิ" คนเป็นน้องสอนประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการทำงาน

"แต่ยอมมันก็ไม่ดีนะ" นันทกายังเถียงเสียงเข้ม

นาคมองพี่สาว รู้สึกระอากับนิสัยไม่ยอมคนอย่างไร้เหตุผลนั่นจริงๆ "เฮ้อก็เอาแต่ตีความหมายคำว่า 'ยอม' เป็นไม่ดีซะหมดน่ะสิ" นาคเริ่มบ่น "แต่ช่างเถอะเดี๋ยวพี่นันก็หาเรื่องเถียงข้างๆคูๆ อีก"

"อะไร...ก็มันจริงนี่ คนอุตส่าห์เป็นห่วงนะ" ใบหน้าใสๆ หงิกอย่างหาคำเถียงไม่ได้

แต่ก่อนที่น่าจะได้เดินกลับขึ้นไปเรียนหนังสือพร้อมพี่สาว เด็กสาวร่างท้วมก็สังเกตเห็นรถลีมูซีนสีดำเงาคันยาวจอดอยู่ข้างกำแพงโรงเรียนใกล้ทางเข้าออกประตู

เธอเงียบและเริ่มหรี่ตามองมันนิ่ง พร้อมวิเคราะห์

" รถลีมูซีนสิบประตูสีดำ มีตราหน้ารถเหมือนตราบริษัทเป็นภาษาจีน...จอดอยู่หน้าโรงเรียนตอนแปดโมงกว่าไม่ได้มาส่งลูกคุณหนูที่ไหน...หรือรอรับ อือ...เป็นไปไม่ได้โรงเรียนเลิก 15:30 น อะไรจะต้องเฝ้าขนาดนั้น อีกอย่าง ไม่ได้มาส่งใครคงไม่มีใครให้รับกลับ แล้วที่นี่ก็ไม่ได้มีเด็กต่างชาติสักหน่อย จะจอดรออะไร... จับตามองใครหรือไง"

การเป็นคนช่างสังเกตและช่างสงสัยของนาค ทำให้เธอหยุดมองรถคันหรูอย่างสนอกสนใจ และมีสีหน้าครุ่นคิด แถมวิเคราะห์เป็นฉากๆ กับตัวเองอย่างเคยตัว

" ทำนิสัยเหมือนคุณพ่อไปได้ ไอ้ช่างสงสัย ช่างสังเกต เห็นอะไรแปลกตาเข้าหน่อยก็หยุดดูเนี่ย แล้วนี่มันเรื่องจริงนะไม่ใช่หนัง ไม่มีอะไรหรอกน่า อาจจะแค่รถรอรับคนจริงๆก็ได้"

นันทกาเป็นฝ่ายหยุดความคิดของนาค เมื่อรู้สึกว่าน้องสาวคิดมากเกินไป น่ากินไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องอยู่

สำหรับนันทกา แม้คนอื่นจะมองน้องสาวเป็นพวกเฉื่อยๆ โง่ๆ เพราะเจ้าหล่อนไม่ชอบแสดงภูมิของตนเองเท่าไหร่นัก แต่เธอรู้ว่าน่าน่ะเก่งขนาดไหน เก่งจนเธอยังนึกอิจฉาพรสวรรค์ด้านมันสมองของนาคอยู่บ่อยๆ นาคเป็นนักเก็บความรู้ตัวยง เธอสนใจสิ่งที่อยู่นอกเหนือบทเรียนในวิชาเรียนหลายๆเรื่อง และค่อนข้างศึกษาจริงจังจนบางครั้งเหมือนหมกมุ่น

แถมหน้าเข้ากับคนง่าย ปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ ได้เร็วอย่างกับกิ้งก่า และเธอก็ไม่ใช่คนซีเรียสกับอะไรง่ายๆ โกรธยากมาก มันเป็นนิสัยที่ถูกปลูกฝังจากพ่อของเธอล้วนๆ ซึ่งนันทการู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อะไรจากพ่อเลยจริงๆ

"เฮ้ย ฉันไม่เหมือนพ่อนะ คนแกะพันนั้นเอาบริษัทไปไม่รอดหรอก!" น้ากรีบโวยวายปฏิเสธ ไม่ชอบให้ใครเอาเธอไปเทียบกับพ่อ แล้วรีบพูดตัดปัญหา "โอเคฉันเลิกสนใจไอ้ลีมูซีนสีดำนั่นก็ได้ มันเป็นแค่รถหรูที่จอดรอรับคุณหนูช่างอ้อร้อที่พ่อแม่ต้องส่งคนมาคอยคุมความประพฤติทั้งวัน... พอใจหรือยัง" หน้าหันมาถามด้วยคำพูดประชดทีเล่นทีจริงกับนันทกา ซึ่งพี่สาวเธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับคำประชดนั้นอย่างช่วยไม่ได้

คุณหนูช่างอ้อร้อที่พ่อแม่ต้องส่งคนมาคอยคุมความประพฤติงั้นรึ... ช่างคิดนะ

พี่สาวคนสวยได้แต่รำพึงในใจกับคำพูดตัดปัญหาของน้องสาวก่อนพากันขึ้นไปเรียน

ถ้าว่านาคยังจ้องรถคันหรูที่หน้าโรงเรียนไม่วางตา จนตัวเธอหายเข้าไปในอาคารเรียนสีขาว

ในขณะที่ในรถลีมูซีนคันเดิมซึ่งนาคอาจลืมสังเกตชายหนุ่มสวมสูตรสีเข้มตรงตำแหน่งที่นั่งคนขับ เขาสวมแว่นตาสีดำปิดดวงตาบนใบหน้าคม ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เส้นผมสีดำขลับ ซึ่งตัดกับสีผิวขาวจัดถูกเสยไปข้างหลังอย่างเรียบร้อย หากประเมินจากสายตา เขาน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ หรือไม่ก็สามสิบต้นๆ

คนในรถคันหรูเฝ้าจับตามองร่างบางน่ารักของเด็กสาวผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่เดินคู่ไปกับร่างท้วมๆ ของเด็กผู้หญิงอีกคนไม่วางตา ก่อนที่มือเรียวแข็งแรงของเขา จะกดปุ่มบนมือถือแบบพับเครื่องเล็กในมือ รายชื่อในมือถือเป็นภาษาจีนหรือไม่ก็เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เขาหยุดที่ชื่อคนๆหนึ่ง กดต่อสายแล้วแนบมือถือเข้ากับหู

เมื่อมีคนรับสาย เขาก็พูดขึ้นเป็นภาษาจีนกวางตุ้งว่า "我想她開始注意到了。[ผมคิดว่าเธอเริ่มสังเกตเห็นแล้วครับ]" คำพูดสุภาพบอกถึงคู่สายเป็นผู้มีอำนาจสูงกว่า

" 沒關係,你還是要把它帶回來。[ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องจับตัวกลับมาอยู่ดี]" เสียงห้วทุ้มเข้มดังกลับมา

"我明白明天我們會把她帶給你,林小姐 [เข้าใจแล้วครับ พรุ่งนี้เราจะนำตัวเธอไปให้ท่านครับ คุณหลิน]" เขาให้คำมั่นกับนายของตน ตามด้วยคำกำชับหนักแน่นจะปลายสายอีกครั้งที่ส่งมาจาก 'ฮ่องกง'

"好吧,不管它是什麼,你必須得到 Nanthaka Ritthiwong 並把它帶給我。[ดี ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาตัว นันทกา ฤทธิวงษ์ มาให้ฉันให้ได้]"

ชายหนุ่มวางสายจากคู่สนทนาหลังจบคำสั่งจับตัว นันทกา ฤทธิวงษ์ คงไม่ใช่ปัญหา...

แต่ไอ้การจ้องเขม่นจากเด็กสาวร่างท้วมข้างตัวเด็กสาวที่ถูกหมายหัวไว้นี่สิ... ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหล่อนจะเป็นปัญหาได้

บ้านหลังโตจนเหมือนคฤหาสน์ย่านชานเมืองกรุงเทพมหานคร ที่เป็นมรดกสืบทอด มาจากรุ่นปู่โทรมนิดหน่อยแต่สไตล์ยุโรปทำให้ดูทันสมัยขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าในบ้านหลังใหญ่ หนีจะมีคนอาศัยอยู่แค่สามคนเท่านั้น ไม่มีแม้คนใช้ที่คอยดูแลบ้านหรือคนทำความสะอาด

ทำไมน่ะเหรอ... ข้อนี้ฤทัยนาค ลูกสาวคนเล็กของบ้านตอบได้

เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ของพ่อเธอใกล้ถึงกาลอวสาน พ่อถูกคนเก่าแก่ที่ไว้ใจที่สุดหรอกต้มจนหมดตัว บริษัทโดนผลาญเงินจนไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว พ่อต้องใช้เงินส่วนตัวที่สะสมมานานจ่ายค่าแรงลูกน้องจนตอนนี้ใกล้หมดตัวเต็มที โดนคนใกล้ตัวเล่นซะน่วมทั้งที่เธอเคยเตือนแล้ว แต่เหมือนพ่อเธอจะไม่ค่อยเชื่อคนอายุน้อยกว่าเท่าไหร่

โอเคไม่ใช่แค่ 'ไม่ค่อย' หรอกแต่ 'มากๆ' เลยต่างหาก สุดท้ายเลยต้องทิ้งบ้านหรูใจกลางกรุงฯ มาอยู่ย่านชานเมืองกับมรดกที่เหลือทิ้งไว้ชิ้นสุดท้ายคือบ้านหลังนี้ และแน่นอนว่านันทกาไม่รู้เรื่องนี้ พี่เป็นคนเดียวที่พ่อไม่อยากให้รู้เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น ผิดกับเธอที่ต้องรับรู้เรื่องร้ายๆทุกอย่าง

เออ เธอมันพวกกิ้งก่าเปลี่ยนสีนี่ รับได้ทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ไม่งั้นคงโวยวายเป็นบ้าเป็นหลังไปนานสองนานแล้วล่ะ

การย้ายบ้านถูกอ้างด้วยเหตุผลว่าอยากไปอยู่ใกล้ชนบท ใช่...ชนบท ฟังมีรสนิยมแต่นี่ย่านชานเมืองกรุงเทพฯ มันมีแต่น้ำเน่า และไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ใกล้ท้องทุ่งแม้แต่นิดเดียว เสียงก็ยังอึกทึกเหมือนเดิม ส่วนเรื่องที่ไม่มีคนใช้ก็ถูกอ้างว่ายังหาไม่ได้...หาไม่ได้มาสองเดือนแล้ว มันจะหาได้ยังไง ในเมื่อไม่ได้แปะป้ายประกาศว่ารับสมัครคนงานนี่

ยิ่งคิดยิ่งทำให้เด็กสาวร่างท้วมซึ่งนั่งอยู่โต๊ะอาหารเซ็งอยากบอกไม่ถูก ไม่ใช่สิ่งที่ต้องมาอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเมื่อก่อน แต่เซ็งกับนิสัยของพ่อเธอต่างหาก ถ้าเชื่อคำเธอสักหน่อย คงไม่ต้องมานั่งชูคอเป็นไฮโซตีนเปล่าแบบนี้หรอก แล้วนี่ยังโกหกลูกสาวคนโตของตัวเองอีกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก็ได้...นาคยอมรับว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องในการต้มตุ๋นนันทกา มันช่วยไม่ได้ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่

"เอ่อ...พี่นัน...พ่อมีเรื่องจะถามเล่นๆ สักข้อ" ผู้ที่พูดนั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะ เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตขาวกับเนคไทที่ผูกหลวมๆ ใบหน้าแต้มด้วยยิ้มละไมแต่แฝงความหม่นหมอง ผมขาวที่เกิดขึ้นบนศีรษะช่วงหลังๆบ่งบอกถึงความเครียดสะสมและเขาคนนี้คือ ยุทธพงษ์ ฤทธิวงษ์ หัวหน้าครอบครัวฤทธิวงษ์ และประธานบริษัทที่กำลังจะเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่

"ค่ะ ถามมาได้เลย" เด็กสาวแสนสวยตอบรับอย่างร่าเริง ไม่ทันดูสีหน้าคนถาม นายยุทธพงษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่นาคเริ่มเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว เมื่อสังหรณ์บางอย่างกำลังร้องเตือนเธอ

คนเป็นพ่อตัดสินใจเอ่ยออกมา "ถ้าสมมุติ...ถ้าสมมุติธุรกิจของพ่อล้มละลายนันจะว่ายัง..."

แกร๊ง!

เด็กสาวร่างท้วมโยนชอนลงจานขัดคำถามของพ่อ จนทุกคนหันไปมองเธอเป็นตาเดียว

"หนูอิ่มแล้ว" นาคพูดเสียงห้วนหน้าตาย และส่งสายตาเป็นเชิงบอกพ่อว่าให้หยุดพูดเรื่องนี้กับพี่สาวเธอ

"มีอะไรกันรึปล่าว" นันทการีบถามอย่างงมงัน เมื่อเธอปฏิกิริยาแปลกๆจากพ่อและน้องสาว นาคมีวิธีทำให้พี่สาวของเธอเลิกสนใจปัญหาตรงหน้า " พี่นันวันนี้เวรฉันล้างจาน อีกอย่างฉันว่าละครเกาหลีเรื่องโปรดของพี่มาแล้ว"

ได้ผลทันตาเห็นเมื่อโดนจี้จุดสำคัญ นันทการีบขอบใจน้องสาวที่ช่วยเตือนก่อนวิ่งออกไปดูละครเกาหลีเรื่องโปรดของเธอ ลืมปัญหาที่อยู่ด้านหลังไปหมด

ที่โต๊ะอาหารเหลือสองชีวิตนั่งอยู่ เด็กสาวเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

" ไหนพ่อบอกว่าจะไม่ให้พูดเรื่องนี้กับพี่นันไง ไหงพูดซะเองแบบนี้ล่ะ"

" ก็แค่อยากลองดูปฏิกิริยาของพี่นันเท่านั้น" พ่อตอบเหมือนขอไปที นาคมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาอย่างน่าเบื่อหน่ายก่อนจะประชดกลับไป "เออ ใช่สิ ลูกสาวพ่อเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีทุกคนนี่"

คำประชดเรียกเสียงหึในลำคอของนายยุทธพงษ์ได้ เขารู้ว่านาคแอบว่าเขาเรื่องที่ไม่เคยเห็นเธอสำคัญบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าไม่สำคัญ เพียงแต่ลูกสาวคนเล็กของเขาคนนี้เป็นความภูมิใจของเขาต่างหาก เธอได้ดั่งใจทุกอย่าง สมกับที่เขาตั้งชื่อเธอว่า ฤทัยนาค 'ฤทัย' ที่แปลว่า หัวใจ และ 'นาค' ที่มาจาก ตัวนากหรือพญานาคซึ่งแปลเต็มๆว่าหัวใจของพญานาค และเพราะว่าเธอเป็นความภูมิใจ มีหัวใจที่แข็งแกร่งของพญานาคที่รับกับทุกอย่างที่ดาหน้าเข้ามาได้ ถึงไม่จำเป็นต้องคอยทะนุถนอมยังไงล่ะ

" นาค... แกน่าจะได้เป็นพี่มากกว่าน้องนะ"

" โอ๊ย... พอเหอะพ่อ อย่าเริ่ม หนูเซ็งประโยคนี้เต็มที" นักร้องดักคออย่างรู้ทัน ก่อนที่เธอจะเริ่มร่ายยาวอย่างอารมณ์เสีย ปกติเธอไม่ใช่คนอารมณ์เสียง่าย แต่เปิดบทสนทนากับพ่อทีไรอารมณ์ขึ้นทุกที "รู้ไหม ความจริงหนูไม่ได้คิดว่าธุรกิจพ่อกำลังจะเจ๊ง แต่หนูคิดว่ามันเจ๊งไปนานแล้ว แต่หนูไม่สน หนูไม่สนเลยเพราะว่าเทอมนี้หนูจ่ายค่าเรียนไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดหนูก็สามารถเรียนได้จนจบเทอม แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือค่าน้ำค่าไฟของเดือนนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย บางทีคงต้องยอมโดนตัดน้ำตัดไฟสัก 2-3 เดือนแล้วค่อยว่ากัน หนูว่าหนูควรหางานทำ เอางานอะไรก็ได้ที่เขาไม่ดูกันที่หน้าตาอย่างเดียวน่ะ สมัยนี้หายากเป็นบ้า อย่างอย่างหนูเอาไปแปลงโฉมก็ไม่ขึ้นซะด้วยสิ"

"แต่พ่อว่าแกได้ทุกงานนะ แกมีพรสวรรค์พิเศษ แถมมีความสามารถด้านอาชญากรรมด้วยซ้ำ พร้อมวงการธุรกิจที่แกอยู่ก็เหมือนวงการอาชญากรรม แกน่าจะดีใจนะที่ฉันคอยยัดเยียดทุกอย่างให้แก จะได้ทันคนอื่นเขา" นายยุทธพงษ์ยังกล่าวอย่างราบเรียบและกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างภูมิใจ แม้จะมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย

นาคเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเฉยชาก่อนจะว่าขึ้นใหม่ " ใช่ เห็นแล้ว พ่อเพิ่งยกบริษัททั้งหมดให้อาชญากรรมใกล้ตัวไป"

คำประชดร้ายกาจรอบนี้ เล่นเอาผู้เป็นพ่อเงียบไปทันใด ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างเจ็บปวดกับความผิดพลาดและการโดนหักหลัง เขาก้มหน้า วางมือประสานกันบนโต๊ะกินข้าวพร้อมกับนิ่งเงียบ ท่าทางเช่นนั้นทำให้หน้าสำนึกผิดเมื่อรู้ว่าตนเองพูดแรงเกินไป

นาคยกมือขึ้นถูหน้าตัวเองไปมาเพื่อคลายความเครียดและระงับอารมณ์ที่เริ่มพุ่งพล่าน ก่อนหยุดมือและพูดขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง " โอเค หนูพูดแรงไปหนูขอโทษ แต่ขอทีกับไอ้ที่พ่อชอบบอกว่าหนูมีพรสวรรค์เนี่ย โดยเฉพาะด้านอาชญากรรมอะไรนั้น เพราะจะยัดเยียดตะรางให้หนูเหรอ หนูเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดบางคนยังเดินหลงทางอยู่เลย บางคนยังขึ้นรถเมล์ไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่หนูต้องทำงานตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ ก่อนผู้ใหญ่บางคนจะหางานได้ซะอีก... แต่หนูก็แค่ทำงานตามที่พ่อสั่งเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถ้าอยากให้ดูพิเศษนะต้องที่นันไปเลย ได้นั้นสิถึงจะมีคนสนใจจริงๆ" หน้าเริ่มรู้สึกเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยบ้างเมื่อต้องพูดเรื่องทำนองนี้อยู่เป็นประจำ

ความจริงมันเป็นวิธีสะกดจิตตัวเองของเธอด้วย สะกดจิตว่าเธอไม่ได้มีความสามารถอะไร แค่เด็กผู้หญิงธรรมดา สาวน้อยลูกเป็ดขี้เหร่ตลอดกาล อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเธอที่เกลียดการตกเป็นเป้าสายตาและถูกมองว่าผิดแปลกจากคนอื่น เลยทำให้เธอไม่พยายามหาข้อดีของตัวเองมากนัก

เมื่อบรรยากาศในห้องรับประทานอาหารเงียบไป ดั้งท่วมก็เริ่มลงมือเก็บจานชามบนโต๊ะ ในขณะที่พ่อของเธอเงยหน้าขึ้นพร้อมพูดว่า

" รู้ไหม 'พิเศษ' ของฉันคนละความหมายกับแก"

หน้าแค่ไหวไหล่ตอบอย่างไม่แยแส

" และฉันจะบอกแกด้วยว่า... ฉันติดหนี้..."

คำสารภาพจากคนเป็นพ่อเล่นเอาลูกสาวที่วุ่นวายกับการเก็บโต๊ะชะงัก ก่อนตวัดเสียงตอบ "เหนือคาดเหลือเกิน...กับ 'มาเฟีย' ด้วยรึปล่าว" เจ้าหล่อนประชดใช้อย่างหนึ่งเหลืออด แต่เล่นเอาคนเป็นพ่อสะดุ้งเฮือกเพราะเธอทายแม่นอย่างกับจับกวาง

กับมาเฟีย... ประชดได้ตรงเป้าเลย

หากก่อนที่น่าจะเดินออกไป เสียงคนเป็นพ่อก็รั้งไว้จนเธอต้องหมุนตัวกลับมามองอย่างหงุดหงิดเพราะข้าวของเต็มมือ

นายยุทธพงษ์เดินมาตกปลาลูกสาวคนเล็กเบาๆ 2-3 ที

"จงเป็นเหยื่อที่เหนือกว่าผู้ล่า... นาค ขอบคุณพรสวรรค์ของตัวเอง แล้วก็ใช้มันให้เต็มที่ด้วย"

เขาสั่งสอนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวเป็นคำพูดสุดท้ายที่จะได้พูดกับเธอ แต่คนเป็นลูกเพียงระบายลมอย่างเบื่อๆ กับพ่อเธอไม่วายวนมาพูดเรื่องเดิมที่เธอเกลียดที่สุด

" หนูว่าขอบคุณคนสร้างบ้านนี้ที่ให้ห้องกินข้าวอยู่ไกลห้องโทรทัศน์ดีกว่าพี่นันถึงไม่ได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน" เธอทิ้งท้ายก่อนหายไปในห้องครัว โดยไม่ทันสะกิดใจกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ...ว่าเขากำลังโยนงานที่ใหญ่และยากที่สุดในชีวิตให้เธอ

_______________________________________

Please follow the next episode.

บทที่สอง ผู้ล่ากับเหยื่อ [1]

วันนี้เป็นอีกวันที่ดูปกติ นันทกายังไปโรงเรียนพร้อมนาคด้วยการขึ้นรถเมล์

และแน่นอนว่านาคต้องโกหกนันทกาอีกว่า รถของพ่อนอนตายอยู่ในอู่ซ่อมรถ ทั้งที่ความจริงมันอยู่ในโกดังรถของนายหน้าค้ารถไปแล้ว

อากาศแจ่มใส ชีวิตปกติ และนาคก็ยังถูกคนอื่นแกล้งเหมือนปกติ

ออดบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น เวลานี้นันทกาชอบมาชวนน้องสาวไปกินข้าวเพราะรู้ว่านาคไม่ค่อยมีเพื่อนและมีเธอเป็นคนรู้ใจเพียงคนเดียว หรืออีกแง่หนึ่ง... ความจริงตัวนันทกาเองนั่นแหละที่ติดนาคแจ

แต่วันนี้ไม่มีเค้าว่าจะเห็นตัวพี่สาวคนสวยแม้เงา

นาคไปตามถึงห้องเรียนและได้รับคำตอบเพียงว่า 'นันทกาขอลากลับก่อนไปตั้งแต่ตอนคาบเรียนที่สอง'

และแน่นอนว่านิสัยอย่างน่าชักได้กลิ่นทะแม่งๆ แล้ว แต่เธอก็พยายามระงับความช่างสังสัยไว้เพราะไม่อยากคิดในแง่ลบ แถมเรื่องเจ้ารถลีมูซีนสีดำคันนั้นก็ยังไม่ยอมหลุดออกจากหัวเธออีก

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไอ้สองเรื่องนี้มันพัวพันกันแปลกๆ

อาจเป็นเพราะเจ้ารถคันหรูนั่นไม่อยู่ที่หน้าโรงเรียนวันนี้ พร้อมกับพี่นันทกาทำตัวแปลกๆพอดีละมั้ง

"เอาน่านาค มันก็แค่บังเอิญ แค่บังเอิญ" เด็กสาวร่างท้วมเริ่มสะกดจิตตัวเองอย่างเคยเมื่อรู้ว่าเธอชักคิดในแง่ลบเกินลิมิต ในขณะที่มือสองข้างถือของกินอย่างไม่สนสายตาโดยรอบ โดยเฉพาะเหล่าสาวสวยหุ่นเพรียวลมทั้งหลายที่กำลังคำนวณน้ำหนักแคลอรี่ในอาหารที่เธอถืออยู่

นาคมองท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มบ่งบอกถึงเวลาเย็น มือข้างที่เพิ่งยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากจนหมดล้วงหาใบปลิวที่ประกาศรับพนักงานเสิร์ฟ เธอเริ่มหางานอย่างที่เคยบอกจริงๆ ในกระเป๋าของเธอมีทั้งใบปลิวและหนังสือพิมพ์หน้าประกาศรับสมัครพนักงานอยู่หลายแผ่นจนกระเป๋าตุง

" พนักงานเสิร์ฟอาหาร...ไม่ๆๆ ร้านนี้หรู พนักงานคงไม่พ้นต้องสวยหรูเหมือนกัน...ผ่าน" นักวิเคราะห์ใบปลิวในมือทีละแผนขณะเดินกลับบ้าน และโยนมันทิ้งตามทางเหมือนโปรยเศษขนมปัง หากแผ่นไหนไม่ผ่านการพิจารณาของเธอ

เด็กสาวร่างท้วมสวมชุดนักเรียนเดินไปวิจารณ์ใบปลิวในมือจนหมด แต่ก็ไม่มีแผ่นไหนที่ถูกใจเธอ แล้วสุดท้ายก็บ่นอีกเช่นเดิมว่า "งานตำแหน่งสูงๆ ในประเทศนี้รับแต่คนหน้าตาดีหรือไง แล้วจะเรียนสูงๆ ไปทำบ้าอะไรวะ" บ่นจบ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเธอก็มาถึงบ้านแล้ว

นาคเลิกคิ้วขึ้นกับความเงียบของบ้าน เธอนึกว่าจะได้เห็นไฟในบ้านเปิดซะอีกเพราะนันทกากลับมาตั้งแต่ตอนสาย แต่ตอนนี้เงียบ...เงียบจนน่าสงสัย

เด็กสาวร่างท้วมเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้านช้าๆ มองซ้ายมองขวาระแวงระวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อถึงประตูบ้านเธอก็ค่อยๆเปิดมันออก...และเป็นไปตามคาด

บ้านไม่ได้ล็อก!

เพียงเท่านั้นเด็กสาวก็ก้าวถอยหลังทันใด ทว่าวินาทีนั้นประตูบ้านก็ถูกกระชากเปิดออก ตามด้วยความรู้สึกถึงการดึงคอเสื้อจากข้างหลังอย่างแรง

โครม!

ร่างของเด็กสาวโดนกระชากลงมากระแทกนอนคว่ำหน้ากับพื้นห้องหน้าประตูบ้าน ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกถึงแรงกดทับด้วยเข่า มือสองข้างโดนรวบไปไขว้กันจนเธอรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ไหล่ขึ้นมาถึงหัวเหมือนถูกไฟชอร์ต

สภาพเธอตอนนี้ราวกันเป็นผู้ร้ายที่โดนนายตำรวจจับล็อกอย่างไรอย่างนั้น

เสียงกริ๊กข้างหูจากการที่เจ้าปืน CZ 75 B ถูกเหนี่ยวนกสับ พร้อมกับความเย็นของโลหะจากปากกระบอกปืนที่จ่อขมับของเธอ เรียกความรู้สึกสับสนและตื่นตระหนกถาโถมใส่ ยามนี้เธอโดนล็อคตัวจนดิ้นไม่ได้ และไม่มีเสียงจะร้องเพราะมันกลืนหายไปกับความตกใจในวินาทีแรกที่โดนกระชากตัวแล้ว

"Where is Nanthaka Ritthiwong and who is she?[นันทกา ฤทธิวงษ์ อยู่ไหน แล้วเธอเป็นใคร]" คนบนร่างของเธอถามกร้าวด้วยภาษาอังกฤษอย่างหัวเสีย พร้อมใช้ปืนกดศีรษะเธอให้แนบพื้นเย็นของบ้านมากขึ้น

นาคพยายามหันมองผู้รุกรานเมื่อสติเริ่มกลับมา แต่เธอก็ต้องกัดฟันกรอดเมื่อเจ้าคนที่กดร่างเธอไว้ใช้มือใหญ่ๆ ดันศีรษะของเธอกลับลงไปนาบกับพื้นบ้านอีกครั้งอย่างไม่ปราณี

แต่กระนั้น เด็กสาวก็พยายามเหลือบมองร่องนิ้วนั้นอย่างสุดความสามารถและเห็นว่าคนที่ถือปืนจ่อศีรษะเธออยู่กำลังเหนี่ยวไก หัวใจเธอตกวูบ พร้อมสมองสั่งการให้เธอหาวิธีเอาตัวรอดอย่างเร่งด่วนก่อนปืนจะลั่นขึ้น

"I don't know about that, but Nanthaka Ritthiwong, that's my sister! [เรื่องนั้นฉันไม่รู้แต่ นันทกา ฤทธิวงษ์ นั่นพี่สาวชั้น!]" หน้าตะโกนบอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างร้อนรน เมื่อรู้สึกถึงหายนะที่อยู่ชิดศีรษะ

และมันได้ผล เพราะมือที่กำลังเหนียวไกหยุดการกระทำนั้นทันที ก่อนค่อยๆยกปืนออกจากศีรษะของนาค ซึ่งยามนี้หอบจนตัวโยนความกลัว ถ้าว่าเขายังไม่ยอมเลิกกดร่างของเธอให้จมลงกับพื้น

กว่าที่เขาจะยอมลุกจากตัวเด็กสาว ข้อมือสองข้างที่ไพล่หลังอยู่ก็ถูกเชือกมัดไว้จนแน่นแล้ว เธอถูกดึงตัวขึ้นมาจากพื้น และต้องมายืนเข่าอ่อนต่อ เพราะแรงที่กดร่างของเธอไว้หนักซะจนขาเธอชาไปหมด ดีนะที่เธอชินกับการแบกของหนักไม่อย่างนั้นคงหลายนาทีกว่าจะกลับมายืนได้อีก

นาคถูกหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับคนที่ประทุษร้ายเธอ แรกๆสมองของเธอยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่สติก็ค่อยๆกลับมาจนครบถ้วนทีละน้อย เตรียมรับมฝกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีเหมือนทุกครั้ง

หน้าเริ่มวิเคราะห์ร่างสูงโปร่งของชายชาวตะวันออกสวมชุดสูทสีดำที่ยังจ่อปืนมาที่เธออย่างไม่ได้วางใจ สีผิวขาวจัดทำให้เด็กสาวเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นคนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ใบหน้าเรียวคมดูน่าเกรงขามมีแว่นตาสีดำสวมปิดบังดวงตาเรียวที่หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย บนปกเสื้อสูทมีเข็มกลัดเล็กๆสีเงินวาวที่ประทับตราบางอย่างเหมือนที่เธอเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ เพลงไปสักพักถึงรู้ว่าเป็นตราแบบเดียวกับรถลีมูซีนคันสีดำเมื่อวาน นาคหรี่ตามองชายตรงหน้าอยู่อีกสักพัก จึงเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ "Are you a creditor Yuthapong Ritthiwong?[เป็นเจ้าหนี้ ยุทธพงษ์ ฤทธิวงษ์ ใช่ไหม]" ท่าทางของเด็กสาวตรงหน้าที่หายหวาดกลัวอย่างรวดเร็วทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจไม่น้อยและไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนว่าเสียงเย็นเยียบ "She doesn't have the right to ask, just answer where is Nanthaka Ritthiwong?[เธอไม่มีสิทธิ์ถามแค่ตอบว่า นันทกา ฤทธิวงษ์ อยู่ที่ไหน]"

"I do not know[ฉันไม่รู้]" นาคยังงงงานเล็กน้อยกับสถานการณ์

เธอรู้แค่ว่าเจ้าหนี้เพราะเธอกำลังตามหาตัวพี่สาวเธออยู่ แต่จะตามหาไปทำไม ทำไมไม่ไปทวงเงินกับพ่อเธอล่ะ แถมพ่อเธอกับพี่สาวเธอหายไปไหนก็ไม่รู้ หน้าหยุดคิดเพียงเท่านั้นก่อนจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องใหม่

นันทกาหายไปตั้งแต่ตอนสายๆ อ้างว่าไม่สบายขอกลับก่อน และเมื่อวานพ่อสารภาพว่าติดหนี้ก้อนใหญ่ พ่อกลับมาบ้านก็ไม่มีใครอยู่ เจ้านี้มาตามหาตัวพี่นัน แถมเมื่อวานพ่อพูดกับเธอแปลกๆ ว่า 'จงเป็นเหยื่อที่เหนือกว่าผู้ล่า...นาค ขอบคุณพรสวรรค์ของตัวเองแล้วก็ใช้ให้เต็มที่ด้วย'

"เวรเอ๊ย!" นาคสบถลั่นอย่างโมโหเมื่อประดิดปะต่อเรื่องจบ ทำเอาคนที่กำลังถือปืนเล็งเธอถึงกับตกใจเล็กน้อย เพราะอยู่ดีๆเจ้าหล่อนก็ตะโกนออกมา แถมเป็นภาษาไทยที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง

เด็กสาวกลับมาสนใจเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว แถมเสียงกร้าวนิดๆด้วยภาษาอังกฤษ

"Did my father take my sister to scrub the flowers?[พ่อฉันเอาพี่สาวฉันไปขัดดอกรึไง]"

clever...[ฉลาด...]

เป็นคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม เพราะเท่าที่เห็นในตอนแรก ยัยเด็กตรวน่าดูถ้าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ใช้เวลาไม่นานเก็บเศษข้อมูลรวมตัวก็เดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ แถมปฏิกิริยาของเจ้าหล่อนค่อนข้างไว ตอนที่เปิดประตูเข้ามา พอรู้ว่าไม่ได้ล็อคก็ถอยหลังออกไปทันที บอกได้ว่าเธอเป็นคนที่มีเซ้นส์ที่ดีอีกอย่างท่าทางของเธอตอนนี้ดูไม่ได้หวาดกลัวอีกแล้ว

เด็กผู้หญิงตรงหน้าคงมีเนื้อในอะไรดีๆอยู่บ้าง...

"Mr. Yuthaphong Ritthiwong owes my boss Mr. Lin. Who is a Hong Kong mafia, he signed a contract to pay off the debt as a daughter named Nanthaka Ritthiwong, which I have to take her today.[ นาย ยุทธพงษ์ ฤทธิวงษ์ ติดหนี้คุณหลินเจ้านายของฉัน ที่เป็นมาเฟียฮ่องกงเขาเซ็นสัญญาใช้หนี้เป็นลูกสาวชื่อ นันทกา ฤทธิวงษ์ ซึ่งฉันต้องรับตัวเธอไปวันนี้]" เขาบอกด้วยท่าทางเย็นชาแข็งกระด้างอย่างน่าหวาดหวั่น โดยไม่ลดมือที่ถือปืนลงแม้แต่น้อย

"Well, then my father would have moved in time to flee with his beautiful daughter to scrub the flowers and leave the unrelated daughter behind instead.[เออ...แล้วพ่อฉันก็คงไหวตัวทันหนีไปพร้อมลูกสาวแสนสวยที่เอาไว้ขัดดอกและทิ้งลูกสาวที่ไม่เกี่ยวข้องไว้แทนไง]" นาคยังขบกรามแน่นอย่างโมโหที่โดนพ่อตัวเองหักหลังซะเอง ถึงแม้ครึ่งหนึ่งในใจเธอจะยอมรับว่าพ่อเกริ่นเรื่องนี้ไว้กลายๆ ให้เธอรับผิดชอบ แต่การที่โยนปัญหามาให้ทั้งหมดในขณะที่ตัวเองแจวหนีไปมันก็ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี เธอก็เป็นลูกสาวของพ่อคนนึงเหมือนกันนะ... ถึงจะไม่น่ารักก็เถอะ มันทั้งหน้าโมโหทั้งหน้าน้อยใจเลยเว้ย

นาคโมโหอยู่ครู่ก่อนคำว่า 'มาเฟีย' จะมากระตุ้นต่อสมองเธออีกครั้ง เล่นเอาเธอสังหรณ์ถึงลางหายนะอยู่ร่ำไร ระดับมาเฟียไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว

น่ากลับมาสงบสติอารมณ์อีกครั้งก่อนว่าขึ้นใหม่

"So how are you going to take it? Nan is not here anymore. And I don't even know about it. Are you going to shoot me here and end it?[แล้วนายจะเอายังไง พี่นันไม่อยู่ที่นี่แล้ว แล้วชั้นก็ไม่รู้เรื่องด้วย จะยิงฉันทิ้งตรงนี้แล้วก็จบเรื่องเลยใช่มั้ย]" นาคพยักพเยิดไปทางปืนที่เล็งมาที่หน้าเธอ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หรี่ตามองท่าทางของเหยื่อที่เขาไม่เคยเจอ โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงแบบนี้่ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงปกติคงร้องห่มร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก กลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกไปแล้ว หรือไม่ก็คงพยายามหาทางหนี แต่ท่าทางของเธอดูใจเย็นเกินกว่าจะเป็นผู้ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และเป็นคนที่ถูกพ่อตัวเองทิ้ง...

"Look, she's not that scared.[ดูเธอไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่]" ชายหนุ่มว่าถ้าทางสงบนิ่งเช่นเดิม

ในขณะที่น่ากลับเบิกตากว้างจนเกือบถลน "Are you crazy? I'm getting punched by a gun. How can I not be afraid? What part do you think? I'm a normal person love your life But if you want to shoot for death I don't want to be hurt for a long time [จะบ้าหรือไง ฉันโดนปืนเจาะอยู่นะจะไม่กลัวได้ยังไง เอาส่วนไหนคิด ฉันก็เป็นคนปกติ รักชีวิตตัวเอง แต่ถ้าจะยิงขอจุดตาย ฉันไม่อยากเจ็บนาน]" เธอโวยวายยังกับว่าคนตรงหน้าจี้โดนต่อมโมโหของเธอเข้า ปากบอกว่ากลัว แต่ที่แสดงออกมามันตรงกันข้ามชัดๆ

บอกแล้วว่าเธอไม่ชอบถูกมองว่าผิดปกติจากมนุษย์คนอื่น

ขายขุดดำลดปืนลงข้าๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋าและหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน เขาพูดกับคู่สายเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ปล่อยให้นาคขมวดคิ้วเงียบหูฟังอย่างสงสัยแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม เมื่อสนทนากับคู่สายจบ เขาก็เก็บมันเข้ากระเป๋าเช่นเดิมก่อนหันมาที่เด็กสาวร่างท้วมซึ่งยังถูกพันธนาการมือไว้ด้านหลัง

“If so, then I would have to take her to Hong Kong first. But probably not going to replace her sister because of her appearance...[ถ้างั้นอย่างงั้นฉะนคงต้องเอาตัวเธอไปฮ่องกงก่อน แต่คงไม่ได้ไปแทนพี่สาวเธอเพราะว่าด้วยรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว...]”เขาหยุดพูดแค่นั้น และเริ่มไล่มองร่างท้วมๆ ของนาคตั้งแต่หัวจดเท้า และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดต่อ คนถูกมองด้วยสายตาปรามาสก็ร้องดักคอขึ้นก่อนที่จะได้ยินอะไรที่เป็นมลพิษทางเสียง

“Stop it...stop it my house has a mirror I know myself, okay?[หยุดเลย...หยุด บ้านฉันมีกระจก ฉันรู้ตัวเองดี โอเคมั้ย]”นาครีบพูดรัวเร็วเพื่อหลีกหนีคำพูดแทงใจดำ ก่อนเธอจะถามเขาอีก“So what will you take me in?[แล้วจะเอาฉันไปในฐานะอะไร]”

“hostage[ตัวประกัน]”เขาตอบหน้าตาย

“If so, then I would have to take her to Hong Kong first. But probably not going to replace her sister because of her appearance...[ถ้างั้นอย่างงั้นฉะนคงต้องเอาตัวเธอไปฮ่องกงก่อน แต่คงไม่ได้ไปแทนพี่สาวเธอเพราะว่าด้วยรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว...]”เขาหยุดพูดแค่นั้น และเริ่มไล่มองร่างท้วมๆ ของนาคตั้งแต่หัวจดเท้า และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดต่อ คนถูกมองด้วยสายตาปรามาสก็ร้องดักคอขึ้นก่อนที่จะได้ยินอะไรที่เป็นมลพิษทางเสียง

“Stop it...stop it my house has a mirror I know myself, okay?[หยุดเลย...หยุด บ้านฉันมีกระจก ฉันรู้ตัวเองดี โอเคมั้ย]”นาครีบพูดรัวเร็วเพื่อหลีกหนีคำพูดแทงใจดำ ก่อนเธอจะถามเขาอีก“So what will you take me in?[แล้วจะเอาฉันไปในฐานะอะไร]”

“hostage[ตัวประกัน]”เขาตอบหน้าตาย

นาคระบายลมหายใจ มองอีกฝ่ายด้วยสีน่าเบื่อหน่าย “No smart person has left an important hostage to the villain. And I thought my father was smart too. Otherwise, you would have already acquired my elder sister.[ไม่มีคนฉลาดที่ไหนทิ้งตัวประกันสำคัญไว้ให้ผู้ร้ายหรอกนะ แล้วฉันก็คิดว่าพ่อฉันฉลาดด้วย ไม่อย่างนั้นนายคงได้ตัวพี่นันไปแล้ว]” นาคหยุดพูดเพียงเท่านั้น เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดอวดดีกับอีกฝ่าย ก่อนระบายลมหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับสายหน้าน้อยๆ บังคับไม่ให้ตัวเองพูดอะไรร้ายกาจออกไป เธอไม่ได้อยากอวดเก่งหรือกวนอารมณ์คนที่มีปืนอยู่ในมือหรอกนะ

นาคว่าขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “...You know, the truth is, I don't want to be ironic to you. Or your boss? but as i said What's it worth that you take me back? I didn't get the results, so I had to find something to recover my face or something.[...รู้ไหมความจริงฉันไม่ได้อยากแดกดันนาย หรือเจ้านายของนายหรอกนะ แต่อย่างที่ฉันบอก มันจะมีค่าอะไรที่นายจะเอาตัวฉันกลับไปด้วย ไม่ได้ผลงานก็เลยต้องหาอะไรไปกู้หน้าหน่อยหรือยังไง]”

“then the debtor [งั้นก็ลูกหนี้]” เขาตัดบท เล่นเอาเด็กสาวอ้าปากค้างเพราะหาคำเถียงไม่ได้แล้ว ลูกหนี้ดูเป็นอะไรที่เหมาะสมกับเธอที่สุดในตอนนี้ พ่อติดหนี้ลูกก็โดนด้วยเล่นเอาซะเธออยากเปลี่ยนนามสกุลซะเดี๋ยวนี้

ชายหนุ่มชักรู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีอะไรที่น่าสนใจ จากการพูดจาของเธอแสดงถึงความมีไหวพริบ แถมใช้ภาษาอังกฤษคล่องทีเดียว นิสัยก็ประหลาดทีแรกเขาว่าปาวๆ แต่สุดท้ายก็วนมาขอโทษเรื่องที่ตัวเองว่าซะงั้น เดาไม่ถูกว่าจะเอายังไงกันแน่ อีกอย่างพ่อของเด็กสาวดันทิ้งเธอไว้ให้แทนพี่สาวของเธอตามสัญญา...มันน่าสงสัยว่าทำไม

ชักมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าเด็กสาวที่ดูธรรมดาตรงหน้า อาจจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเห็น

เอี๊ยด...

รถลีมูซีนสีดำเเล่นมาจอดที่หน้าบ้านโทรมๆ สไตล์ยุโรปตามที่ชายหนุ่มเพิ่งโทร. สั่งให้คนของตนเองขับมารับ

นาคลังเลที่จะตามชายตรงหน้าขึ้นรถคันหรูไป แต่สุดท้ายก็ต้องเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้งที่มือสองข้างยังโดนมัดอยู่ แต่ก่อนที่จะได้เหยียบขึ้นรถคันหรูเสียงห้าวๆ ของชายที่จับเธอมัดก็ดังตามหลัง

“what's your name [เธอชื่ออะไร]”

นาคหันมาเลิกคิ้วกับคำถามที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเธอคิดว่าเขาคงไม่คิดสนใจเด็กผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ไม่เอาอ่าว แถมเป็นลูกหนี้อย่างเธอแน่ๆ

“Naga...Ruthai Nak A girl who was abandoned from the Rittiwong family. [นาค...ฤทัยนาค เด็กสาวที่ถูกทิ้งจากตระกูลฤทธิวงษ์]” เป็นคำติดประชดประชันที่ค่อนข้างกัดเจ็บ

“So... Ruthainak You should prepare your mind to return to Young Fiat a bit. Because it is a industry that is not kind to girls. It's all about business and business. [งั้น...ฤทัยนาค เธอควรเตรียมใจกลับมาเฟียหนุ่มสักหน่อย เพราะมันเป็นวงการที่ไม่ได้ใจดีกับเด็กผู้หญิง ทุกอย่างสนแค่เรื่องธุรกิจ และธุรกิจ]” เขาทิ้งท้ายอย่างเย็นชาราวกับจะข่มขวัญ

ธุรกิจเหรอ คิดว่าฉันหมกตัวมาตลอดชีวิตกับอะไร ไอ้ธุรกิจเฮงซวยของพ่อเฮงซวยนี่แหละ

นาคสบถในใจพลางกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายกับคำข่มขู่ของชายร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะสวนกลับด้วยคำพูดที่ทำให้คนข่มขวัญต้องชะงักไป

“First, don't teach me business. Second, I don't care about the kindness of people who put a gun to my temple. And lastly...I'm a girl who's never thought of being kind. [อย่างแรก อย่ามาสั่งสอนฉันเรื่องวงการธุรกิจ อย่างที่สอง ฉันไม่สนความใจดีจากคนที่เอาปืนมาจ่อขมับฉัน และอย่างสุดท้ายนะ...ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยมีใครคิดจะใจดีด้วยอยู่แล้ว]”

เข้าใจตอบ...

ชายหนุ่มเลิกคิ้วกับตอบเล็กน้อย แต่ในใจนั้นชักอยากให้เจ้าเด็กตรงหน้าไปเจอนายของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในมาเฟียที่มีอิทธิพลสูงสุดในแถบเอเชียแล้วเหมือนกัน

อยากรู้ว่าจะยังแน่อยู่รึปล่าว

“What's your name?[นายชื่ออะไรนะ]”คำถามภาษาอังกฤษถูกส่งมาจากเด็กสาวร่างท้วมสวมชุดนักเรียน ที่มีรอยเปื้อนจากการถูกกดกับพื้น มือสองข้างเธอยังคงโดนจับมัดไพล่หลัง จึงได้แตนั่งนิ่งบนเบาะทีี่นั่งในเครื่องบินส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเครื่องบิน C-130

 เจ้าของใบหน้าเริ่มบวมขึ้นสีม่วงครึ่งหนึ่งเพราะโดนจับกระแทกพื้นชักสีหน้านิดๆ กับความเงียบขรึมของชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำภูมิฐาน ที่ไม่ยอมตอบคำถามเธอแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มเอกสารในมือมาตั้งแต่เธอโดนย้ายยานพาหนะจากรถลีมูซีนคันหรู ขึ้นมานั่งหน้าช้ำบนเครื่องบินส่วนตัวที่จอดรอรับอยู่ที่สนามบินซึ่งเช่าพื้นที่ไว้ โดยที่ตัวเครื่องมีตราบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ประดับอยู่ซึ่งเธอจำได้ว่าพ่อเธอเคยทำธุรกิจกับบริษัทนี้ เพิ่งรู้นี่แหละว่าเป็นของคนฮ่องกง แถมเป็นมาเฟียอีกต่างหาก

นาคเริ่มมองซ้ายมองขวา หาอะไรที่มันแปลกตามองแก้เบื่อ แต่ไอ้เครื่องบินบ้านี่ที่เธอนั่งมาเป็นชั่วโมงแล้ว อะไรที่เคยเห็นว่ามันสวยในตอนแรก มันก็งั้นๆไปแล้ว อีกอย่างเธอรู้ว่าไอ้ของหรูหรามากมายตั้งแต่รถลีมูซีนยันเครื่องบินส่วนตัวลำนี้มีไว้ต้อนรับนันทกา พี่สาวเธอโดยเฉพาะ ถ้าเกิดพ่อมาเสียเจ้านี่รู้ว่าไฟเอามาให้เธอนั่งแทนสงสัยว่าเขาอาจจะต้องทุกเครื่องบินลำนี้กับรถลีมูซีนนั่นทิ้ง

​​​​​​ตึก

เมื่อหาอะไรแก้เซ็งไม่ได้นาคก็เริ่มโยกตัวกระแทกพนักเก้าอี้เบาๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ยามที่พ่อแม่ไม่ได้สนใจ แต่เธอไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไร เพียงติดเป็นนิสัยยามที่เธอไม่มีอะไรทำ

เสียงตึกแรกยังเรียกแค่นัยน์ตาสีดำเดียวคุมให้ตวัดขึ้นมองเพียงครู่ และวกกลับไปสนใจเอกสารในมือต่อ

ตึก

เสียงหลังกระแทกเบาะส่งมาใส่หูเขาอีกรอบ ทำให้มือที่กำลังเปิดแฟ้มอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง

ตึก

คราวนี้เขาถึงกับหยุดค้างร่างกายทั้งหมด เพื่อทำสมาธิกับเสียงกวนประสาทจากเด็กสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม เจ้าหล่อนไม่ได้หันมาเผชิญหน้าเขาเลย แต่กำลังปวดตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อย พร้อมกับกระแทกตัวกับพนักเก้าอี้เบาๆ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้ใครหมดความอดทน

ตึก

ปับ!

เสียง ‘ตึก’ จากนาครอบนี้ทำให้เส้นอารมณ์คนในเครื่องบินลำหรูอีกคนขาดสะบั้น เขาปิดแฟ้มเอกสารในมือ เสียงดังลั่นจนเธอสะดุ้งโหยงหยุดก่อเสียงน่ารำคาญ และหันมามองหน้าเขาตาปริบๆ ทันที เหมือนกับมีคำว่า ‘เกิดอะไรขึ้นเหรอ’

“I'm not asking for attention [ฉันเปล่าเรียกร้องความสนใจนะ]” นาคแก้ตัวทันที

“ she's done [เธอทำไปแล้ว]” คนมาดขรึมว่าเสียงเข้มกับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

นาคไหวไหล่ก่อนตอบ “Well, I have ADHD...at least it's a bit, so I can't stay still, and you've been tying up my hands for two hours. Do you know what it feels like when the blood doesn't walk? [ก็ฉันเป็นโรคสมาธิสั้นนิ...อย่างน้อยก็เป็นหน่อยๆ เลยอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้ แล้วนายก็มัดมือฉันมาสองชั่วโมงแล้ว รู้หรือเปล่าว่าความรู้สึกยามเลือดไม่เดินมันเป็นยังไงน่ะ]”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และวกไปหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านอีกครั้งทำที่ไม่สนใจเด็กสาวตรงหน้า แต่เปิดไปได้ไม่กี่หน้าเสียงของเธอก็ดังขึ้นอีก

“You know, even if you're going to read your income and expense account hundreds of times. I can only say No matter what, the portion of the exported product must earn less income. Because during this period, the global currency has strengthened. including the Hong Kong dollar [รู้ไหม ถึงนายจะอ่านบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นเป็นร้อยๆรอบ ฉันก็บอกได้แค่ว่า ไม่ว่าอย่างไรสินค้าส่วนที่เป็นสินค้าส่งออกก็ต้องได้รับรายได้น้อยลง เพราะช่วงนี้ค่าเงินทั่วโลกมันแข็งตัวขึ้น รวมถึงดอลลาร์ฮ่องกงด้วย แต่นายจะได้เงินเยอะมากขึ้นจาก สินค้าที่ขายในประเทศมากกว่า เพราะค่าเงินของนายกำลังแข็ง]”

เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยต้องเงยขึ้นสบตาเด็กสาวอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ “How do you know it's an income and expense account? since it's all in Cantonese [รู้ได้ยังไงว่าเป็นบัญชีรายรับรายจ่าย ในเมื่อมันเป็นภาษาจีนกวางตุ้งทั้งหมด]”

นางชะโงกหน้าดูข้อมูลในเอกสารอีกนิด ก่อนตวัดนัยน์ตามองดวงตาดุดันหลังกรอบแว่นตาดำนั้น และตอบอย่างปกติ “There are only income and expenses that numbers are large and sorted like that. The number of digits exceeds the number of products. The key behind the number has a dollar currency symbol. And I also know that in your account there is money laundering, I saw in the account. [มีแต่รายรับรายจ่ายที่ตัวเลขมันเยอะและเรียงลำดับลงแบบนั้น เลขหลายหลักเกินกว่าจะเป็นจำนวนสินค้า ที่สำคัญข้างหลังตัวเลขมีสัญลักษณ์สกุลเงินดอลลาร์ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าในบัญชีของนายมีการฟอกเงินฉันเห็นในบัญชีพอจะรู้ว่านายซื้อที่ดินหรืออะไรหลายอย่างที่น่าจะมีราคาสูงพอกับเงินที่นายรับเข้ามาตามบัญชีนั้น แล้วใครในราคาที่ต่ำกว่าเดิมสักแสนาองแสน ซื้อแล้วขายอย่างนั้นยาวเหยียดเลย แบบนั้นมันฟอกเงินชัดๆ... นายไม่รู้จักบริษัทฟอกเงินดีๆหรือไงถึงใช้วิธีนี้]”

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องหยุดฟังนาค โดยไม่รู้ว่าเด็กสาวจะทันสังเกตรอยกระตุกที่มุมปากของเขาหรือเปล่า

เด็กผู้หญิงประหลาด...สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือไง นึกว่าเด็กผู้หญิงจะนั่งฝันเพ้อเจ้อเป็นอย่างเดียว

“Do you think that the products that the Mafia sells or receives are like ordinary goods? [เธอคิดว่าสินค้าที่พวกมาเฟียขายหรือรับเข้ามามันเหมือนสินค้าธรรมดาทั่วไปหรือไง]”

“taxable goods with no tax It's not trading differently. It—well—just—exchange—change. [สินค้าที่เสียภาษี กับไม่เสียภาษีเนี่ย มันไม่ได้ซื้อขายต่างกันหรอกนะ มัน—ก็—แค่—แลก—เปลี่ยน]”

นาคเน้นคำสุดท้ายหนักๆช้าๆ เหมือนจะบอกว่าเธอรู้จักรูปแบบมันดี และกล่าวขึ้นใหม่ “and said again And I know you're deliberately reading the folder in your hand so you can assess me.[แล้วฉันก็รู้ว่านายจงใจอ่านแฟ้มในมือนั่นเพื่อจะได้ประเมินฉันด้วย]”

ถึงสีหน้าของคนที่สวมแว่นตาดำจะนิ่งเฉยเช่นเคย แต่นาคก็รับรู้ได้ถึงการยอมรับจากเขาอยู่บ้าง และเป็นอีกครั้งได้เขาปิดแฟ้มเอกสารในมือ

เขาชักอยากรู้แล้วจริงๆว่า ถ้าเธอเจอกับเจ้านายของเขาจะเป็นยังไง... ขนาดขู่ไปหลายรอบยังดูไม่กลัวเลย แถมเจ้านายของเขาคงเดือดแน่ ถ้ารู้ว่าไม่ได้ยายเด็กนันทกาแสนสวยใสซื่อนั่นมา แต่ดันได้ยายเด็กหน้าตาจืดนี่มาแทน แถมกลัวอะไรไม่เป็นแล้วรู้ไปซะทุกเรื่อง

“I... Fei Zhong Xin[ฉัน...เฟ่ย จงซิน]”

นาคยิ้มรับกับคำกล่าวของอีกฝ่ายอย่างถูกใจ เมื่อเขายอมตอบคำถามที่เธออยากรู้จนได้...

_______________________________________

Please follow the next episode

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!