เมื่อนิลครามได้ทะลุมิติเข้าไปเกิดใหม่ในโลกแห่งอาถรรพ์ และได้พบกับ
'***นิลคราม' เด็กสาวผู้มีญาณอาถรรพ์ที่แรงกว่าลัลทริมามากและล่วงรู้เบื้องหลังของทุกคน
'การิน' เด็กชายผู้คลั่งไคล้ศาสตร์อาถรรพ์และเรื่องเหนือธรรมชาติที่สนใจในตัวของเธอ
'เชียร' คู่ปรับตลอดการของการินและต้องการให้เธอมาเป็นสาวกของเขา
'ภาม' ชายสวมหมวกแกะที่หน้าอาจจะดูเด็ก แต่ความจริงอายุไม่เด็กตามวัย
'ลัลทริมา' เพื่อนสนิทที่คอยช่วยนิลในเรื่องต่างๆ เป็นคนใจดี เรียบร้อยและมีญาณอาถรรพ์
'ชุติมา' เด็กสาวที่คลั่งไคล้ในเรื่องเหนือธรรมชาติ
มีนิสัยชอบลองของ
'กิ่งแก้ว' เพื่อนสาวหัวร้อน ไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ รักเพื่อนพ้องมาก
'อิงอร' เด็กสาวอัจฉริยะ ผู้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติและชื่นชอบการคำนวน***
💮💮💮
ไฮ~ ไรท์ปลาทองแอ้งแม้งเอ๊งง~
ที่ตัดสินใจแต่งฟิคเรื่องนี้เพราะความชอบส่วนตัว
เราชอบนิยายเรื่องนี้มาก
ยังไงไรท์ก็ฝากติดตามด้วยนะ
เตือนก่อนอ่าน!!!
เนื้อหาในฟิคอาจไม่ตรงกับต้นฉบับ 100%
อาจมีคำผิดบ้าง เล็กๆน้อยๆ
ดาร์ก 80% น่ารัก 20%
ใครรับ 3 ข้อก่อนหน้าไม่ได้เชิญออก!
💮💮💮
💮💮💮
"แอ๊ะ แอ้"หิวนมแล้วค่ะ!
"แม่มาแล้วจ้ะคราม" เสียงหวานหยดปลุกให้ฉันรู้ตัว
หลังจากที่ฉันตายและมาเกิดใหม่ได้หนึ่งเดือน คนที่ฉันคุ้นเคยมากที่สุดก็คงหนี่ไม่พ้นคุณแม่ในชาตินี้หรอก คุณสงสัยหรือเปล่าว่าฉันตายได้ยังไง?
เอาละ เราลองย้อนไปดูช่วงเวลาที่ฉันตายกันดีกว่า---
ในชาติก่อนฉันเป็น'พิมพา'พนักงานอัจฉริยะที่ได้รางวัลพนักงานดีเด่น 4 ปีซ้อน วันนั้นคือวันธรรมดาทั่วๆไป แต่เพราะความรีบร้อนของฉันเองที่ทำให้รถที่ฉันขับมาเสียหลักและพุ่งชนกับรถสิบล้อและนั่นทำให้ฉันเสียชีวิตในทันที
...ทั้งที่ฉันควรจะได้ไปชดใช้กรรมแต่รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในเปลทารกซะแล้ว... แถมความทรงจำจากชาติก่อนก็ยังติดตัวมาอีก!
ในชาตินี้ฉันมีคุณแม่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียว คุณแม่ของฉันเป็นสาวชาวเหนือ เธอมีผิวขาวอมชมพู ปากนิด จมูกหน่อย ผมสีเปลือกไม้ยาวสยายถึงกลางหลังและตาสีเดียวกับผม
ชื่อของคุณแม่คือ 'จุมออน' คำๆนี้ในภาษาเหนือแปลว่า 'สีชมพู' ส่วนชื่อของฉันน่ะเหรอ?
คุณแม่ตั้งให้ฉันว่า 'นิลคราม' เพราะในวันที่ฉันเกิดท้องฟ้าแจ่มใส ฉันในชาตินี้มีตาสีเลือดส่วนผมของฉันก็สีเปลือกไม้น่ะแหละ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ
ตั้งแต่เกิดฉันก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อในชาตินี้เลย แต่ก็ทำได้แค่เก็บคำถามไว้ในใจ เพราะยังถามออกไปตอนนี้ไม่ได้...แต่ตาสีเลือดของฉันจะต้องได้มาจากคุณพ่อแน่ๆ เพราะสีตาของคุณแม่คือสีน้ำตาลล่ะ! บางทีพ่อของฉันอาจเป็นคนต่างชาติก็ได้นะ!
ฉันค่อนข้างเบื่อกับการที่ต้องนอนแหมะอยู่ในเปลเด็กแล้ว ฉันได้แต่ภาวนาให้ตัวเองโตไวๆ จะได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกซะที
แต่ก็ดูเหมือนว่าเราคงต้องรอกันอีกยาวเลยละ....
ถึงคุณแม่จะเอาของเล่นมาให้บ่อยๆก็เถอะ แต่เข้าใจจิตวิญญาณคนทำงานมั้ย! กระผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว~ อยากออกไปจากเปลไปชมนกชมไม้บ้างจังเลย
ในห้องของฉันเป็นห้องไม้แสนเย็นสบาย มีเปลเด็กสีฟ้าตั้งอยู่ และอุปกรณ์ดูแลเด็กแบบครบครัน รวมถึงของเล่นกรุ๊งกริ๊งหลากสีสันและตุ๊กตาของเด็กอยู่เพียบ
ฉันเคยได้ยินคุณแม่พูดให้ฟังว่าเราอาศัยอยู่บนเขาใน ภาคเหนือที่มีลมเย็นสบาย และยังได้ยินอีกว่าข้างนอกบ้านมีวัดบนเขาที่ตั้งอยู่ที่ตีนเขาอีกด้วย รวมถึงธรรมชาติแสนงดงามของภาคเหนือ
เพราะงั้นฉันเลยกินนมเยอะๆ จะได้รีบโตไวๆเพื่อที่จะได้ออกไปเล่นข้างนอกแล้ว
ในชาติก่อนฉันยังไม่เคยได้มาเที่ยวที่ภาคเหนือเลย เกิดใหม่คราวนี้ฉันต้องไปดูให้ได้!
"ลูกควรจะนอนได้แล้วนะจ๊ะ เด็กดี" พลันก็มีเสียงหวานที่กล่อมให้ฉันหลับ เสียงนั้นปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์
ถึงจะไม่อยากนอนก็เถอะ แต่เพราะเหตุผลอะไรไม่รู้ เปลือกตามันก็ดันปิดลงเอาง่ายๆเลย
•นิลครามตอนเด็กๆ•
💮💮💮
💮💮💮
หลังจากเรื่องครั้งนั้นก็ผ่านเลยมาจนฉันอายุ 4 ปีแล้ว
ฉันรู้สึกผิดกับความคิดสมัยเด็กของตัวเองที่เคยคิดจะออกมาดูโลกภายนอกเร็วๆเลยละ...
คงเพราะข้างนอกมีแต่'สัมภเวสี'วนเวียนอยู่บ่อยๆกระมั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มาชาตินี้ฉันดันเห็นผีได้เฉย! สัมผัสที่ 6 ว่างั้น? ตอนที่ออกมาครั้งแรกฉันถึงกับร้องไห้จ้า เพราะตกใจ แต่ตอนนี้ฉันก็เริ่มชินบ้างแล้วละ
ถึงที่นี่จะมีวัด...ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่ไม่มีผี...มันคือสิ่งที่ฉันได้รับเป็นบทเรียนราคาแพงจากชาตินี้ เพราะในวัดน่ะมีผีขอส่วนบุญเต็มไปหมดเลยน่ะสิ! เพลียกับตัวเองจังเล้ย~
ฉันเกือบลืมบอกไป! เรื่องพ่อแท้ๆของฉัน พอเวลาฉันถามไปคุณแม่ก็จะเลี่ยงไม่ตอบ แต่วันหนึ่งฉันได้ยินคุณแม่เป็นกังวลอยู่กับเรื่องนี้ ดังนั้นฉันเลยไม่พูดถึงเรื่องคุณพ่ออีก แต่ถึงจะไม่มีพ่อ...ฉันก็ยังมีคุณแม่อยู่นะ!
ปกติชีวิตของฉันก็เหมือนเด็กทั่วๆไป ฉันได้ไปอยู่ที่วัดบนตีนเขาตอนที่คุณแม่ลงจากเขาเพื่อไปทำงาน ฉันจึงคุ้นเคยกับเหล่าพระสงฆ์ที่วัดเป็นอย่างดี
ฉันได้รู้จักกับหลวงพี่ต้น "หลวงพี่ต้นคือคนที่รู้ความลับว่าฉันมองเห็นผี" เขาจึงสอนให้ฉันฝึกจิตและนั่งสมาธิบ่อยๆ นอกจากนั้นยังสอนบทสวดและคาถาต่างๆให้อีกด้วย เพราะวิญญาณข้างในคือพนักงานอัจฉริยะ จึงจดจำที่หลวงพี่ต้นสอนได้ไม่ยากนัก (ทั้งที่ยัง 4 ขวบ)
นอกจากหลวงพี่ต้น ฉันยังรู้จักกับหลวงพ่อลาน เขาเป็นพระสงฆ์ที่นั่งสมาธิได้นานจนฉันต้องนับถือเลยนะ เอาเป็นว่าหลวงพ่อลานน่ะนั่งสมาธิทั้งวันก็ยังได้เลย!
ฉันที่ 4 ขวบนั้นไม่ได้เข้าเรียนอนุบาลเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ฉันกลับได้มาเรียนที่วัดแทน เพราะบนเขานั้นไม่มีโรงเรียนอนุบาลจึงทำให้ต้องศึกษาด้วยตนเอง
บางทีคุณแม่ก็ซื้อหนังสือจากในเมืองมาสอนให้ฉันเองเลยล่ะ อยากจะตะโกนออกไปดังๆว่าฉันน่ะเคยเรียนมาแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเดี๋ยวคุณแม่จะด่าเอานะซี ตอนคุณแม่โกรธน่ะ--แค่คิดก็ บรึ๋ย~ น่าขนลุก
แต่พนักงานอัจฉริยะทั้งที ต้องเรียนได้อยู่แล้วละ ฉันอ่านออกเขียนคล่องได้จนคุณแม่ยังแปลกใจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันหรอก แค่นี้จิ๊บๆน่ะ
"คราม มากินข้าวได้แล้วจ้ะ" เสียงของคุณแม่ทำฉันเกือบสะดุ้ง
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วสินะ นี่ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขนาดนั้นเชียว
"ค่า~" ฉันตอบรับและลุกไปนั่งที่โต๊ะอาหารกลางบ้าน
ต้องขอยอมรับเลยล่ะว่าอาหารที่คุณแม่ทำน่ะอร่อยมากๆ บนโต๊ะมีทั้งไข่เจียว ผัดผักบุ้งและปลาทอดซิวกรอบที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว แต่บรรยากาศจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเหล่าสัมภเวสีมาป้วนเปี้ยนด้วยน่ะนะ
หลังกินข้าวเสร็จฉันก็ไปอาบน้ำและเข้านอนอย่างไว
•ดอกไม้ที่ประจำบ้าน•
💮💮💮
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!