ถังเสี่ยวหลิน เด็กน้อยวัย 5 ขวบ นั่งแกว่งขาเล่นอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน มองดูมารดาคนงามกวาดใบไม้อย่างรู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีนางชื่อรดา เพิ่งจะอายุ 23 ก็ต้องตกตายเพราะโรคประจำตัว ยังไม่ทันได้ร่ำลาพ่อแม่ ยาย รวมถึงพี่น้องท้องเดียวกัน วิญญาณของนางก็ถูกแรงกระชากสายหนึ่งเข้าโดยที่ไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวอีกทีนางก็ฟื้นขึ้นมาในร่างของถังเสี่ยวหลินที่เสียชีวิตเพราะป่วยไข้แล้ว
นับสัปดาห์ที่นางได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ในหมู่บ้านเซินหลิน หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับป่าขนาดใหญ่ อีกทั้งไม่ไกลนั้นมีมหาสมุทรกว้างใหญ่อยู่ด้วย ยามนี้บิดาของนางกับท่านอาหนุ่มอายุมากกว่านาง 10 ปี ได้เข้าไปขายปลาที่หาได้จากทะเล คงจะกลับมาอีกครั้งยามบ่าย
"เบื่อหรือลูก" ฮุ่ยหนิงเอ่ยถามบุตรสาวตัวน้อยที่นั่งถอนหายใจเฮือกๆ อย่างกับคนที่มีเรื่องเครียดนักหนา
"เจ้าค่ะท่านแม่" ใบหน้ากลมเงยหน้ามองหญิงสาวหน้าตาสะสวยราวกับดาราในโลกเดิม มือเรียวสวยแต่หยาบกร้านลูบหัวเล็กของนางเบาๆ
"อย่างนั้นไปเก็บผักป่ากับแม่หรือไม่ เผื่อจะเจอผลไม้ป่าอร่อยๆ จะได้เก็บมากิน ดีไหมจ๊ะ" ใบหน้างดงามยิ้มให้บุตรสาวตัวน้อย ถังเสี่ยวหลินตาพร่าเมื่อถูกคนงามยิ้มให้ในระยะใกล้ ใบหน้าน้อยพยักหน้าหงึกหงักจนผมปลิว ฮุ่ยหนิงหัวเราะเบาๆ กับภาพน่ารักน่าเอ็นดูนั้น
"ไปเถอะ ไปเปลี่ยนชุดกัน อึ้บ!" นางอุ้มบุตรสาวขึ้นมาเข้าเอวแล้วพากันเดินเข้าบ้านไป
ครู่หนึ่ง สองแม่ลูกก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จูงมือกันออกมา บนหลังของฮุ่ยหนิงมีตะกร้าใบใหญ่ที่บรรจุ มีด กระบอกน้ำ และห่อข้าวเอาไว้กินในมื้อเที่ยง ส่วนเสี่ยวหลินตัวน้อยเองก็มีตะกร้าของนางเช่นกัน ท่านพ่อของนางได้สานตะกร้าสะพายหลังใบเล็กไว้ให้ยามที่นางเข้าป่าจะได้มีตะกร้าใส่ของเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง
สองร่างเล็กใหญ่เดินจูงมือกันไปยังผืนป่าที่อยู่ห่างจากบ้านราวหนึ่งลี้ ระหว่างทางก็พบเจอกับชาวบ้านหลายคนที่เดินทางเข้าป่าเช่นเดียวกัน เหล่าป้า ยาย รวมถึงท่านลุงหลายคนต่างเอ่ยทักเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ร่างเล็กๆ ที่สะพายตะกร้าใบน้อยเดินจูงมือไปกับมารดาอีกทั้งยังทำท่าทางขึงขังราวกับผู้ใหญ่
"เสี่ยวหลินน้อยก็เข้าป่าเหมือนกันหรือ น่ารักจริงเชียว" หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมา ใบหน้าเล็กๆ หันไปมองแล้วยิ้มให้จนตาหยี
"เสี่ยวหลินอยากช่วยท่านแม่เก็บผักเจ้าค่ะ" หลายวันที่ผ่านมาก็พอที่จะยอมรับกับชีวิตใหม่ได้บ้างแล้วนางจึงทำตัวให้สมวัย หากโตขึ้นคงจะโหยหาช่วงเวลานี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นนางจะใช้ชีวิตวัยเด็กให้เต็มที่
"อย่างนั้นหรือ เด็กดี" มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหัวทุยของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู หลายคนที่ได้ยินเสี่ยวหลินพูดเจื้อยแจ้วก็อยากจะขโมยบุตรคนอื่นแล้วหิ้วกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ ทำไมบุตรของพวกเขาไม่น่ารักได้อย่างนางกันนะ
"ท่านยายหลิวเข้าป่าคนเดียวหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยหนิงเอ่ยถามหญิงชราที่ยืนคุยกับบุตรสาวของนาง
"ใช่แล้วล่ะ วันนี้อาห้าวเข้าเมืองไปหางานรับจ้างน่ะ" นางหลิวตอบกลับมา นางอยู่อาศัยกับหลานชายวัย 18 ปี เพียงสองคน เพราะบิดามารดาของเขาล้วนตกตายไปหมดแล้ว
"อย่างนั้นไปกับข้าและเสี่ยวหลินดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอบใจมากนะ" นางหลิวส่งยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะพากันเดินเข้าไปในป่า
เสี่ยวหลินมองไปรอบป่าอย่างสนใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเข้าป่า แต่เพราะนางอยากเจอสมุนไพรดีๆ จะได้เอาไปขาย นางรู้ดีว่ามันไม่ได้หาง่ายขนาดนั้นแต่ในใจก็ยังหวังว่าจะหาเจอ บิดากับท่านอาของนางจะได้ไม่ต้องลำบากตื่นแต่เช้ามืดไปเสี่ยงกับลมทะเลในทุกๆ วัน
บิดาของนางนามว่าถังเทียนหรง อายุ 25 ปี ท่านอาถังเทียนเฉิน อายุ 15 ปี ทั้งคู่กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่บิดาของนางอายุได้เพียงสิบสี่ปี เขาต้องลำบากหาเลี้ยงน้องชายมาด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะได้แต่งงานกับมารดาของนางซึ่งอายุน้อยกว่าบิดาสามปี
ในวันหนึ่งนางแทบจะไม่ได้พบหน้าบิดากับท่านอา เพราะกว่าพวกเขาจะกลับจากขายปลานางก็ต้องนอนกลางวัน เจอกันอีกครั้งก็ตอนทานมื้อเย็นเพียงไม่นาน นางได้เข้ามาเป็นบุตรสาวของพวกเขาแล้วนางก็อยากจะทำให้พวกเขาสุขสบาย ถึงแม้ว่านางจะมีเพียงสองมือเล็กๆ ที่ปราศจากของวิเศษดั่งในนิยายก็ตาม
"ท่านแม่ เราเดินมาทางนี้ทุกวันแต่ก็ไม่เคยเก็บอะไรได้เลยนี่เจ้าคะ" ใบหน้าน้อยๆ แหงนหน้ามองมารดาคนงามที่กำลังมองหาผักป่า
"หืม ทางนี้เป็นทางที่ชาวบ้านเดินทุกวัน จริงอยู่ว่าหาของป่าลำบากแต่มันก็ปลอดภัยกว่านะลูก" ฮุ่ยหนิงก้มลงพูดคุยกับบุตรสาวตัวน้อย
"ที่ป่ามีสัตว์ป่าดุร้ายหรือเจ้าคะ"
"ไม่มีหรอก แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาจากป่าลึกเมื่อใด" นางตอบกลับบุตรสาวอย่างไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ที่ผ่านมานางก็มีเพียงบุตรสาวตัวน้อยที่คอยพูดคุยให้คลายเหงาได้บ้าง
"พวกท่านลุงท่านป้าเข้าป่ากันเยอะขนาดนี้ พวกสัตว์คงหนีหายไปหมดแล้วล่ะเจ้าค่ะท่านแม่ เราลองออกนอกเส้นทางดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างน้อยก็น่าจะได้อะไรบ้าง" มือน้อยเขย่ามือมารดาอย่างออดอ้อน
"ที่เสี่ยวหลินน้อยพูดก็ถูกนะฮุ่ยหนิง ข้าเองก็คิดอย่างนางแต่อาห้าวก็ไม่อยากให้ข้าออกนอกเส้นทางเพราะกลัวอันตราย แต่ข้าอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วก็ไม่เคยเห็นสัตว์ป่ามาเพ่นพ่านแถวนี้เลยนะ" นางหลิวเอ่ยขึ้นมาบ้าง นางเองก็แก่แล้วจะไปเก็บของป่าทันคนหนุ่มสาวได้อย่างไร วันๆ หนึ่งเก็บผักป่าได้แค่กำสองกำเท่านั้นแหละ
"อย่างนั้นลองดูก็ได้เจ้าค่ะ แต่ไปไม่ไกลมากนะลูก เอาไว้ถ้าเราเจอของป่าให้เก็บมากหน่อย วันพรุ่งเราค่อยเข้าไปอีกดีหรือไม่" ได้ยินมารดาเอ่ยอนุญาตนางก็รีบพยักหน้าจนแก้มกระเพื่อม ทำให้ฮุ่ยหลินกับนางหลิวหัวเราะอย่างเอ็นดู
"ท่านแม่ดีที่สุด!"
###################################
สวัสดีค่าา ฝากตัวด้วยน้าา
เสี่ยวหลินเปลี่ยนไปจับจูงมือท่านยายหลิว เพราะทางที่ไม่มีคนเดินสัญจรบ่อยครั้งย่อมรกชัฏ ฮุ่ยหนิงจึงเป็นผู้หยิบมีดขึ้นมาฟันต้นไม้เล็กๆ เพื่อเปิดทาง แต่ก็ไม่ลืมมองหาของที่พอจะเก็บได้ไปด้วย
เสี่ยวหลินมองป่าที่อุดมสมบูรณ์กว่าป่าด้านนอกมากนัก เพราะแถบนั้นถูกชาวบ้านบุกถางต้นไม้เล็กๆ เพื่อทำทางเดินและเข้ามาเก็บของป่าออกไปกินทุกวัน จึงแทบจะเป็นป่าโปร่งโล่งไม่มีอะไรให้เก็บ แต่ป่าแถบนี้ยังคงมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มสดชื่นยิ่งนัก
ใบหน้าเล็กหันไปรอบๆ เพื่อมองหาสิ่งที่พอจะเก็บกินได้ แต่เพราะต้นไม้เกิดขึ้นถี่จนเกินไปจึงมองลำบาก พากันเดินมาครู่หนึ่งก็มาเจอกับลำธารเล็กๆ ทั้งสามคนจึงหยุดพักดื่มน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
"นี่คงจะเป็นลำธารเดียวกันกับที่ไหลออกไปด้านนอกสินะ" ท่านยายหลิวพูดขึ้นมา นางวักน้ำมาล้างมือล้างหน้าให้สดชื่น
"คงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ มาล้างหน้าเร็วเสี่ยวหลิน" ฮุ่ยหนิงตอบหญิงชราก่อนจะกวักมือเรียกบุตรสาวตัวน้อยที่ยืนเหม่อมองไปฝั่งตรงข้ามของลำธาร
เสี่ยวหลินละสายตาจากจุกสีน้ำตาลที่นางเห็นโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเดินเข้าไปหามารดา ก่อนจะถูกมารดาใช้มือวักน้ำเย็นๆ มาลูบหน้าน้อยๆ จนชุ่มฉ่ำ นางยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดลวกๆ แล้วหันกลับไปมองที่เดิม พุ่มไม้ตรงนั้นสั่นไหวเล็กๆ แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรกันแน่
'สงสัยจะเป็นกระต่ายป่า' นางคิดในใจก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกับความคิดของตน
นางละสายตาจากพุ่มไม้ตรงนั้นแล้วมองสำรวจไปด้านอื่นต่อ บนพื้นไม่ไกลจากลำธารนั้นมีพืชเลื้อยสีเขียวยอดสีม่วงเกิดขึ้นอยู่เป็นบริเวณกว้าง พืชที่คุ้นตาทำให้เด็กน้อยยิ้มขึ้นอย่างดีใจ เจ้าตัวกระโดดดึ๋งๆ มือน้อยๆ ชี้ไปตรงพืชที่เพิ่งจะพบเจอแล้วหันกลับไปเรียกมารดาเสียงดังลั่น
"ท่านแม่! ตรงนั้นมีมันเทศด้วยเจ้าค่ะ!"
ฮุ่ยหนิงที่กำลังหาที่นั่งพักก็หันไปตามเสียงเรียก นางเห็นบุตรสาวตัวน้อยกระโดดไปมาเหมือนกับกระต่าย มือเล็กๆ ชี้ไปยังจุดหนึ่ง
"ไหนลูก เจ้ารู้จักต้นของมันเทศด้วยหรือ" ร่างผอมบางเดินไปหาบุตรสาวตามมาด้วยท่านยายหลิวที่ได้ยินคำว่ามันเทศก็รีบลุกขึ้นมาจนลืมเหนื่อย
"ท่านพ่อเคยบอกเจ้าค่ะ มันขึ้นอยู่ฝั่งนั้น ท่านแม่ เรารีบข้ามไปขุดมันเทศกันนะเจ้าคะ" เด็กน้อยเขย่ามือมารดา นางอยากกินอย่างอื่นนอกเหนือจากข้าวต้มกับปลาทะเลบ้าง อย่างน้อยก็นำมันเทศไปเผากินง่ายๆ ก็ยังดี
"ลองไปดูกันดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้าวสารราคาแพงนัก หากได้เยอะก็ยังพอเป็นเสบียงเก็บไว้กินได้หลายวัน" นางหลิวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
ยามนี้นางกับหลานชายนับว่าขาดแคลนอาหารมาหลายวันแล้ว ด้วยหลานชายตัวคนเดียวนางก็ไม่กล้าให้ออกเรือไปเหมือนกับที่บุรุษหลายบ้านพึงกระทำ ในแต่ละวันจึงอาศัยเก็บกินของในป่ากับเดินหางานในเมือง ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก
"ลองข้ามไปดูก็ได้เจ้าค่ะ น้ำในลำธารก็มีอยู่แค่นี้"
ฮุ่ยหนิงมองระดับน้ำในลำธารที่ไม่น่าจะสูงถึงหัวเข่าก็พยักหน้าเห็นด้วย หนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งหญิงชราจึงรีบกลับไปหยิบตะกร้าที่วางไว้ไม่ไกลขึ้นมาสะพายหลัง เสี่ยวหลินถูกมารดาอุ้มจนตัวลอยมาเหน็บข้างเอว ก่อนจะพากันเดินข้ามลำธารไป
ร่างเล็กๆ ถูกวางลงบนพื้นเมื่อข้ามมาถึงอีกฝั่ง นางรีบวิ่งด้วยขาสั้นๆ ไปยังเครือมันเทศที่เกิดอยู่เต็มพื้นที่ มือน้อยๆ ก้มลงดึงโคนต้นจนก้นโด่งแต่ก็ไม่สามารถดึงเอาหัวมันออกมาได้ หนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งหญิงชราเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างขบขัน
"อึ้บ อึ้บ! ทำไมถอนยากนักนะ" เสี่ยวหลินยืนเท้าเอวทำหน้ามุ่ย
"ลูกไปนั่งรอเถิด เดี๋ยวแม่กับท่านยายหลิวจะขุดเอง"
"อื้อ เอาอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ" เสี่ยวหลินหอบแฮก นางก้มดูฝ่ามือเล็กๆ อย่างท้อใจ มือเล็กแค่นี้ทำอะไรก็ลำบากจริงๆ
"ดูสิ มีเยอะขนาดนี้เราสองคนคงขุดกันหลายวันเลยล่ะ" นางหลิวหันมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา
"ใช่เจ้าค่ะ แต่ถ้าวันนี้สามีกับน้องสามีกลับมาเร็วข้าอาจจะพาพวกเขาเข้ามาขุดอีกรอบ ท่านยายจะมาด้วยกันไหมเจ้าคะ เดี๋ยวข้าให้สามีช่วยขนส่วนของท่านออกไปให้" ฮุ่ยหนิงหันไปเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ เพราะเมื่อก่อนก็มีเพียงท่านยายหลิวที่คอยหยิบยื่นอาหารเล็กน้อยมาให้สามีกับน้องสามีของนางในยามลำบาก
"เอาอย่างนั้นก็ได้ คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว กว่าอาห้าวจะกลับมาก็คงเย็นย่ำ" หญิงชราพยักหน้ารับ นางปลดตะกร้าลงมาวางด้านข้างแล้วหยิบมีดออกมา
"ตรงนั้นมีไม้ไผ่ เดี๋ยวข้าไปตัดมาทำเสียมง่ายๆ ขุดดีกว่าเจ้าค่ะ ดินตรงนี้ดูจะร่วนซุยไม่น้อยคงจะขุดไม่ยาก ดีกว่าใช้มีดขุดเดี๋ยวจะหมดคมเสียก่อน" ฮุ่ยหนิงหันไปเห็นกอไผ่เล็กอยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยขึ้นมา นางหลิวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หญิงสาวจึงเดินไปตัดไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือมาหนึ่งลำ แล้วนั่งเหลาไม้ไผ่ทำเสียมอย่างง่าย
"นี่เจ้าค่ะ เราขุดกันเถอะ"
ทั้งสองคนนั่งขุดหัวมันเทศใส่ตะกร้าอย่างมีความสุข เพราะมันเทศหัวใหญ่มากไม่เหมือนกับของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เหมือนมันเทศที่ได้รับการดูแลอย่างดีมากกว่า
เสี่ยวหลินหันมองมารดากับยายหลิวที่ขุดมันเทศอย่างขยันขันแข็ง นางจึงลัดเลาะเดินไปยังบริเวณที่เห็นจุกสีน้ำตาลก่อนหน้านี้ เพราะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่จึงใช้เวลาเดินแค่ไม่กี่ลมหายใจ พุ่มไม้ที่เดิมยังคงสั่นไหวเล็กน้อยนางจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปส่องดูอย่างสงสัย มองเห็นสิ่งมีชีวิตตัวสีน้ำตาลขนปุกปุยนอนหลบอยู่ในพุ่มไม้เหมือนกำลังแอบอะไรบางอย่าง
"เอ๊ะ ลูกวัวหรือ" ตากลมโตมองวัวตัวน้อยที่เหมือนกับพึ่งจะคลอดได้ไม่นาน แต่ตัวของมันไม่เปียกแฉะแล้วคาดว่าน่าจะคลอดมาได้สองถึงสามวัน
นางมองไปรอบๆ เพื่อหามารดาของมันแต่ก็ไม่เจอ เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
"เจ้าตัวน้อย เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ตัวเดียวเล่า แล้วแม่ของเจ้าอยู่ที่ใด" เสี่ยวหลินเอ่ยขึ้นด้านหลังของวัวตัวน้อย
เจ้าวัวหันมามองมนุษย์ที่ตัวใกล้เคียงกับมันแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะนอนนานไปหน่อย อีกทั้งมันเองก็เพิ่งจะเกิดได้ไม่นานจึงเดินได้ไม่คล่องนัก
มอ\~
เจ้าวัวตัวน้อยเดินมาหาเด็กหญิง มันส่งเสียงร้องเบาๆ อีกทั้งยังเอาหัวถูไถตัวของมนุษย์ตัวน้อยอย่างออดอ้อน มันนอนหลบอยู่ตรงนี้มาสองวันแล้วแต่ก็ไม่เห็นมารดาของมันมารับเสียที ตอนนี้มันหิวจนแทบจะไม่มีแรงแล้ว
เสี่ยวหลินมองดูท่าทางอ่อนแรงของเจ้าวัวตัวน้อยอย่างรู้สึกสงสาร นางเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ อีกครั้งก็ไร้วี่แววของแม่วัว มันยืนด้วยขาสั่นๆ อย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก ท่าทางคงจะหมดแรงเพราะความหิว
"หือ เจ้าตัวน้อย หิวหรือไม่ มาเถอะที่หมู่บ้านน่าจะมีวัวแม่ลูกอ่อนอยู่ เดี๋ยวข้าให้ท่านแม่ไปขอนมมาให้เจ้า" นางลูบหัวเจ้าวัวน้อยอย่างสงสาร เจ้าตัวเล็กก็ดูจะรู้ความ มันยืนเงยหน้ามองมนุษย์น้อยตาแป๋วจนเสี่ยวหลินรู้สึกถูกชะตา
มันคงจะพลัดหลงกับมารดามาแน่นอน วัวตัวน้อยยังคงขนยาวปุกปุยแต่ตัวผอมไปหน่อย หากอ้วนกว่านี้คงจะน่ารักไม่น้อย นางเดินไปดึงเถาวัลย์เส้นเล็กๆ มาผูกเข้าที่คอของเจ้าวัวแล้วจับจูงเดินกลับไปยังบริเวณที่มารดานั่งขุดหัวมันอยู่
"หัวใหญ่ขนาดนี้ข้าคงกินไม่หมด ฮ่าๆๆ" ยายหลิวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อขุดได้มันเทศหัวใหญ่
"ท่านคงจะต้องแบ่งกินถึงสองมื้อแล้วล่ะเจ้าค่ะ" ฮุ่ยหนิงเองก็หัวเราะไปกับหญิงชราเช่นเดียวกัน
"ท่านแม่" เสี่ยวหลินเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของมารดาพร้อมกับเจ้าวัวตัวน้อย ฮุ่ยหนิงหันมาเจอกับบุตรสาวพร้อมกับวัวที่ตัวเท่ากับคนจูงอย่างงุนงง
"เจ้าไปได้วัวน้อยมาจากที่ใด เดี๋ยวแม่ของมันก็มาขวิดเอาหรอกลูก" ฮุ่ยหนิงรีบลุกเข้ามาหาบุตรสาว นางมองวัวตัวน้อยอย่างสงสารเพราะดูมันจะเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย แต่ก็กลัวแม่ของมันจะมาตาม วัวแม่ลูกอ่อนยิ่งเป็นวัวป่าไม่คุ้นเคยกับคนคงจะดุร้ายไม่น้อย
"ลูกเห็นเพียงเจ้าวัวน้อยนอนแอบอยู่ในพุ่มไม้เจ้าค่ะ มันคงนอนรอแม่ของมันมาหลายวันแล้ว ดูสิเจ้าคะ มันดูเหนื่อยและหิวมาก" เสี่ยวหลินลูบหัวเจ้าวัวน้อยเบาๆ ซึ่งมันก็ขยับเอาหัวมาถูไถหัวไหล่ของเด็กน้อยอย่างออดอ้อน
ฮุ่ยหนิงมองทั้งคนทั้งวัวที่มองมาตากลมแป๋วออดอ้อนตนอย่างหนักใจ นางยังคงกังวลว่าแม่ของมันจะตามมาเจอ แต่ก็อดจะสงสารเจ้าวัวน้อยไม่ได้ ด้วยสภาพที่ตัวผอมอีกทั้งขนยังยาวปกคลุมตัวบ่งบอกว่ามันเพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน
"เอาเถอะ แม่ขุดหัวมันได้ใกล้จะเต็มตะกร้าแล้ว รออีกหน่อยนะลูก" ฮุ่ยหนิงถอนหายใจออกมาก่อนจะพยักหน้าอนุญาต
"ท่านแม่ใจดีที่สุด!" เด็กน้อยกระโดดกอดหมับเข้าที่เอวบางของมารดาอย่างดีใจ ฮุ่ยหนิงไม่ได้กอดกลับแต่อย่างใดเพราะมือนางเปื้อนดิน
"ที่บ้านของยายเฒ่าจางมีวัวแม่ลูกอ่อนอยู่ ไปขอซื้อนมวัวจากนางมาให้มันดื่มกินเถอะฮุ่ยหนิง เดี๋ยวข้าไปบอกยายเฒ่าจางไว้ให้" นางหลิวเอ่ยขึ้นมาบ้าง
"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย อย่างนั้นเรารีบขุดกันดีกว่าเจ้าค่ะ"
ฮุ่ยหนิงกลับไปขุดหัวมันอย่างรวดเร็วเพราะใกล้จะเต็มตะกร้าแล้ว ส่วนนางหลิวนั้นขุดเพียงแค่ครึ่งตะกร้าเพราะแบกไม่ไหว ขากลับเสี่ยวหลินจึงถูกมารดาอุ้มข้ามลำธาร ส่วนเจ้าวัวน้อยก็มียายหลิวช่วยจูงข้ามไปแทน
เมื่อกลับมาถึงบ้านเสี่ยวหลินก็นั่งเฝ้าเจ้าวัวน้อยอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ส่วนฮุ่ยหนิงนั้นหยิบตะกร้าใบเล็กมาแบ่งหัวมันเทศเพื่อจะเอาไปฝากยายเฒ่าจางแล้วขอซื้อนมกลับมาด้วย ยายเฒ่าจางเองก็เป็นคนใจดีจึงให้มาโดยไม่คิดเงินสักอีแปะ แต่ต้องไปรีดนมเอาเอง
เจ้าวัวเมื่อได้กลิ่นนมก็รีบวิ่งเข้ามาใช้จมูกดันถังนมที่ฮุ่ยหนิงถือเข้ามาอย่างรีบร้อน มันหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว ฮุ่ยหนิงเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปหยิบกะละมังใบเล็กมาเทนมใส่ให้เจ้าวัวดื่มกินส่วนอีกครึ่งเอาไว้ให้มันกินตอนเย็น
"หิวหรือยังลูก เดี๋ยวแม่เอาข้าวที่ห่อไว้เมื่อเช้ามาให้กินนะ" เพราะกลับออกมาจากป่าก่อนเที่ยง ข้าวที่ห่อไปจึงยังไม่ได้แกะกิน เสี่ยวหลินพยักหน้าจนแก้มกระเพื่อม
"เจ้าค่ะท่านแม่" เด็กน้อยรับห่อข้าวมากินอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ข้าวกับปลาย่างแต่ก็อร่อยอย่าบอกใคร เพราะฝีมือการทำอาหารของฮุ่ยหนิงนั้นเข้าขั้นดีมาก ก่อนที่จะตบแต่งกับถังเทียนหรงนางเคยทำงานในครัวของโรงเตี๊ยมในเมืองมาก่อน
"นั่นใช่ท่านพ่อกับท่านอาหรือไม่เจ้าคะ" มือน้อยชี้ไปยังเงาร่างของคนสองคนที่กำลังเข็นรถเข็นไม้เข้ามาในระยะสายตา
"ใช่แล้วล่ะ วันนี้คงขายดีเพราะกลับมาเร็วกว่าทุกวัน" ฮุ่ยหนิงเอ่ยตอบกลับบุตรสาว นางวางห่อข้าวแล้วลุกเดินเข้าไปเตรียมสำรับข้าวไว้ให้สามีกับน้องสามี กลับมาเร็วกันแบบนี้คงยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันมาแน่นอน
"ท่านพ่อ!" เสี่ยวหลินตะโกนเรียกบิดาที่เดินเข้ามาในบริเวณรั้วบ้าน มือน้อยๆ โบกให้บิดาพร้อมทั้งยิ้มจนตาหยี
"กำลังกินข้าวหรือลูก" เทียนหรงมองบุตรสาวตัวน้อยที่ตะโกนเรียก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
"เจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านอามานั่งตรงนี้เร็วเข้า เสี่ยวหลินจะไปเอาน้ำมาให้ดื่ม" เด็กน้อยกระโดดลงจากแคร่ที่ไม่ได้สูงมากนัก ร่างเล็กๆ วิ่งหายเข้าไปในบ้านหลังน้อยแล้วออกมาพร้อมกับแก้วน้ำที่ทำจากไม้ไผ่สองใบ
เทียนเฉินนั่งยองๆ มองเจ้าวัวน้อยแปลกหน้าที่กำลังก้มดื่มกินนมจากกะละมังอย่างสงสัย ก่อนจะมีมือเล็กยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้า
"ขอบใจเจ้า แล้วนี่เอามาจากที่ใด" เด็กหนุ่มรับแก้วน้ำมาดื่มแล้วเอ่ยถามขึ้น
"เสี่ยวหลินเจอในป่าเจ้าค่ะ มันคงถูกแม่ทิ้งไปแล้ว" เสี่ยวหลินลูบหัวเจ้าวัวน้อยที่ดื่มกินนมจนอิ่มหนำ เจ้าวัวเอาหัวถูไถเด็กหญิงอย่างขอบคุณ
"คิกคิก"
"กินข้าวเจ้าค่ะท่านพี่ เสี่ยวเฉิน เดี๋ยวนั่งพักกันสักหน่อยแล้วข้าจะพาเข้าป่านะเจ้าคะ วันนี้ข้ากับเสี่ยวหลินไปเจอดงมันเทศเข้า หากขุดกลับมาหมดคงเก็บไว้กินได้เป็นเดือนเลยล่ะเจ้าค่ะ" ฮุ่ยหนิงยกถาดใส่อาหารออกมาวางที่แคร่ให้สามีกับน้องสามีได้กิน เทียนเฉินเองก็ละความสนใจจากเจ้าวัวน้อยแล้วลุกไปนั่งบนแคร่
"อย่างนั้นก็ดีสิ ช่วงนี้ข้าวสารราคาแพงมากทีเดียว แล้วไปเจอได้อย่างไร หากมากถึงเพียงนั้นชาวบ้านคงเก็บไปกินหมดแล้ว" เทียนหรงส่งชามข้าวกับตะเกียบให้น้องชาย พร้อมกับคุยกับภรรยาไปด้วย
"เป็นเสี่ยวหลินที่บอกให้ออกนอกเส้นทางเดินของชาวบ้านเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้เข้าไปลึกมาก อีกทั้งท่านยายหลิวเองก็ไปกับข้าด้วย"
"อย่างนั้นหรือ แล้วนี่ท่านยายหลิวจะไปขุดอีกหรือไม่" มือหนาคีบเนื้อปลาย่างเข้าปากตามด้วยข้าวสวยอย่างหิวโหย โดยมีน้องชายกินอยู่ด้านข้างแต่มือฉกกับข้าวเร็วนัก
"ไปเจ้าค่ะ นางแก่แล้วขนออกมาได้ไม่มากนัก ข้าจึงบอกให้รอพวกท่านไปช่วยกันขนออกมาให้หน่อย" เทียนหรงได้ฟังก็พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เป็นปกติที่คนในหมู่บ้านจะช่วยเหลือกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
"ก่อนหน้าที่ท่านจะกลับมาข้าก็แบ่งมันเทศเอาไปแลกนมให้เจ้าวัวน้อยมาด้วย ท่านยายจางเองก็บอกว่าหากได้มากก็จะขอซื้อไปเก็บไว้กินสักหน่อยเจ้าค่ะ"
"ไม่ต้องให้ท่านจ่ายเงินหรอก อย่างไรเจ้าตัวเล็กนั่นก็ต้องพึ่งนมของแม่วัวนางอีกนานหลายเดือน เอาไปแบ่งให้นางสักกระสอบเถิด" เทียนหรงโบกมือปฏิเสธแล้วเอ่ยขึ้นมา หากมันเทศมีมากเขาก็สามารถแบ่งให้ได้เพราะอย่างไรบ้านเขาก็ยังคงต้องไปขอนมมาให้เจ้าวัวน้อยอยู่แล้ว
"ได้เจ้าค่ะท่านพี่" ฮุ่ยหนิงยิ้มกว้าง นางดีใจที่ได้สามีที่ดีและมีน้ำใจเช่นนี้
#####################################
หลังจากกินข้าวกันจนอิ่มหนำและนั่งพักจนหายเหนื่อย สองสามีภรรยาก็พากันสะพายตะกร้ากับเข็นรถเข็นไม้ไปด้วย เพราะตรงที่เจอมันเทศไม่ได้อยู่บนเขาสามารถเอารถเข็นเข้าไปได้ อีกทั้งจะได้ไม่ต้องขนกลับหลายรอบ
ส่วนเทียนเฉินนั้นถูกไล่ให้ไปนอนพักเพราะต้องตื่นแต่เช้ามืดไปเก็บตาข่ายดักปลาอีกทั้งยังต้องพากันเข้าไปขายปลาตั้งแต่เช้า แต่เพราะเขาชินกับการตื่นแต่เช้ามืดแล้วจึงไม่ได้เข้าไปนอนพักแต่อย่างใด เพียงนอนเล่นที่แคร่หน้าบ้านเท่านั้น
"ท่านอาเจ้าคะ" เสี่ยวหลินเดินเข้ามาสะกิดท่านอาหนุ่มน้อยที่นอนอยู่ เขาผงกหัวขึ้นมามองหลานสาวตัวน้อยก่อนจะลุกขึ้นมา
"ว่าอย่างไรเสี่ยวหลินน้อย มีอะไรอย่างนั้นหรือ" เด็กหนุ่มช้อนใต้รักแร้เด็กน้อยอุ้มขึ้นมาวางบนตัก
"เจ้าวัวน้อยยังไม่มีบ้านเลยเจ้าค่ะ เราไปตัดไม้ไผ่มาสร้างคอกให้มันได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ได้สิ อย่างนั้นเจ้าเล่นกับวัวน้อยรออาอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวอาไปตัดไม้ไผ่ครู่เดียวอย่าพากันออกไปนอกบ้านเล่า เข้าใจหรือไม่" มือสากลูบหัวหลานสาวตัวน้อยเบาๆ
"เจ้าค่ะท่านอา" นางพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ท่าทางน่ารักนั่นทำให้เทียนเฉินอดใจไม่ไหวก้มลองหอมแก้มขาวๆ ฟอดใหญ่
"คิกคิก"
"อึ้บ! เอาล่ะ อย่างนั้นอาไปตัดไม้ไผ่แล้วจะรีบกลับมา" เด็กหนุ่มอุ้มหลานสาวลงไปวางที่พื้นดังเดิม เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหยิบมีดในครัวแล้วเดินจากไป
"เจ้าวัวน้อย เจ้าจะชื่อว่าอะไรดี"
มอ\~
"ดูไปดูมาเจ้าเหมือนวัวขนยาวทางฝั่งยุโรปเลยแฮะ" มือน้อยลูบขนปุยๆ ของเจ้าวัวเล่น
"อืม เจ้ามีขนสีน้ำตาล ชื่อเสี่ยวจงก็แล้วกัน"
เมื่อตั้งชื่อให้เจ้าวัวแล้วนางก็ปล่อยให้มันนอนพักอยู่ข้างกะละมังนมของมัน ส่วนนางก็เดินสำรวจรอบบ้านเพราะยังไม่เคยเดินดูอย่างจริงจังเลยสักครั้ง
ห่างจากบ้านไปไม่ไกลเป็นลำธารเล็กๆ ซึ่งคงเป็นสายเดียวกับตรงที่นางเจอเสี่ยวจง ด้านข้างลำธารมีกอหญ้าขึ้นอยู่หลายกอ แต่มันออกจะสีขาวกว่าหญ้าทั่วไปอยู่มากหน่อย นางจึงเดินไปดูอย่างสงสัย
"ตะไคร้! มีเยอะด้วย สุดยอดไปเลย หากเจอพริกเผ็ด กับมะนาวจะดีมากเลย ซีฟู๊ดจ๋าา" เมื่อนึกภาพอาหารทะเลย่างกับน้ำจิ้มแซ่บๆ นางก็กลืนน้ำลายลงคออย่างหิวโหย แต่ด้วยสภาพตัวเองในตอนนี้คงจะกินเผ็ดมากไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรแค่กินให้หายอยากไปก่อนก็ได้ อีกทั้งนางยังอยากหมักปลาร้าไว้ด้วย กว่าจะได้กินอย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายเดือน
อาหารอันโอชะรอข้าก่อนนะ!
หลังจากเก็บตะไคร้ติดมือมานิดหน่อย ร่างเล็กๆ ก็เดินหาพืชที่ตนต้องการแต่ก็ไม่เจอ จึงเดินกลับมาที่บ้านหลังน้อย หางตานางมองเห็นสีแดงๆ อยู่ข้างรั้วอีกด้านหนึ่งจึงรีบวิ่งไปดู
"พริกล่ะ! มีอยู่สองต้น เก็บเมล็ดมันไว้เพาะดีกว่า" นางเก็บเม็ดพริกสีแดงที่มีอยู่ไม่ถึงสิบเม็ดอย่างทะนุถนอมก่อนจะเอาไปใส่กระด้งแล้วตากไว้ให้แห้งค่อยมาเก็บ
เทียนเฉินเองก็หอบไม้ไผ่หลายลำมากองไว้ที่ข้างบ้าน เขาเริ่มตัดไม้แล้วสร้างโครงขึ้นเพื่อทำคอกเล็กๆ ให้เจ้าวัวน้อย หากมีเวลาค่อยสร้างให้มันแข็งแรงและใหญ่กว่านี้หน่อย เขาทำโครงหลังคาเอาไว้ด้วย แต่คงต้องหาหญ้ามามุงวันหลังเพราะหญ้าต้องตากให้แห้งเสียก่อนจึงจะนำมาทำหลังคาได้
เสี่ยวหลินกลับเข้ามานั่งเล่นที่แคร่หน้าบ้าน ตอนแรกนางคิดว่าจะไปช่วยท่านอาหนุ่มน้อยสร้างคอกให้เสี่ยวจงเสียหน่อย แต่คงจะถูกไล่ให้ออกมานอนกลางวันแน่นอนเพราะตกบ่ายแล้ว นางจึงหยิบหมอนใบเล็กกับผ้าปูรองนอนที่วางไว้มุมแคร่มาปูแล้วนอนกลิ้งไปมาไม่นานก็หลับปุ๋ย
นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เกือบเย็นแล้ว ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากทางข้างบ้าน มือน้อยๆ ยกขึ้นมาขยี้ตาพร้อมกับอ้าปากหาวจนน้ำตาเล็ด ก่อนที่มือของนางจะถูกจับออกแล้วมีผ้าเปียกๆ มาเช็ดหน้าให้จนตาสว่างใสแจ๋ว
"ท่านแม่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ" นางยกมือชูขึ้นเพื่อให้มารดาอุ้ม ฮุ่ยหนิงก็รวบเอาเด็กตัวน้อยมาเหน็บเข้าที่ข้างเอวแล้วพาเดินไปที่ข้างบ้าน
สองพี่น้องกำลังช่วยกันประกอบคอกเล็กๆ ให้กับเสี่ยวจง หลังจากขุดหัวมันกลับมาแล้วเทียนหรงก็แบ่งเอามันเทศใส่กระสอบแบกไปส่งให้ท่านยายจางถึงบ้าน หลังจากถามไถ่เรื่องเสี่ยวจงกันอยู่ครู่หนึ่งนางก็ให้เทียนหรงเดินไปเอาแถบหญ้ามุงหลังคาอันเก่าที่ยังสภาพดีกลับมาทำหลังคาให้เสี่ยวจง วันนี้เจ้าวัวน้อยจึงไม่ต้องนอนตากน้ำค้าง
"บ้านของเสี่ยวจงใกล้เสร็จแล้ว" คอกเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก พอให้เสี่ยวจงเดินเล่นได้ก็ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือมุงหลังคาอีกนิดหน่อยเท่านั้น
"เสี่ยวจงหรือ ลูกตั้งชื่อให้มันหรือ หืม" ฮุ่ยหนิงมองบุตรสาวตัวน้อยแล้วเอ่ยถาม
"ใช่เจ้าค่ะ ลูกตั้งชื่อตามสีขนของมันเจ้าค่ะ" นางยิ้มตาหยีให้กับมารดาคนงาม เทียนหรงมองเจ้าวัวน้อยที่เดินตามภรรยากับบุตรสาวของตนต้อยๆ ก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง
"มันดูไม่เหมือนวัวป่าทั่วไปเลยนะ" ได้ยินดังนั้นทุกคนก็หันไปมองเสี่ยวจงกันหมด เจ้าวัวน้อยรีบหลบข้างหลังมนุษย์สาวคนงามด้วยความเขินอาย (?)
"ใช่ขอรับ ข้าคิดว่าขนมันยาวกว่าลูกวัวเกิดใหม่ทั่วไป" เทียนเฉินเอ่ยขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดจริงจังมากนัก
"เอาเถอะ พวกมันอยู่ในป่าเราเองก็ไม่รู้ว่าจะมีวัวป่าแบบใดอยู่บ้าง"
สองพี่น้องรีบช่วยกันสร้างคอกน้อยๆ ให้เสร็จเพราะดวงอาทิตย์เริ่มจะคล้อยต่ำลงทุกที ฮุ่ยหนิงพาเสี่ยวหลินไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนที่นางจะเข้าครัวไปหุงหาอาหาร วันนี้นางทำน้ำแกงปลาทะเลที่สามีแบ่งมาขังไว้สำหรับทำอาหาร
เสี่ยวหลินเดินมาเกาะประตูครัวมองมารดาคนงามหยิบจับของในครัวอย่างคล่องแคล่ว นางเห็นมารดาใส่ปลาลงไปในหม้อที่มีน้ำเดือดปุดๆ แล้วนึกขึ้นได้ว่านางหักตะไคร้ติดมือมาด้วยจึงวิ่งออกไปหยิบที่แคร่หน้าบ้านแล้วกลับเข้ามาในครัว
"ท่านแม่ ใส่เจ้านี่ด้วยสิเจ้าคะ" เด็กน้อยเดินเข้ามาในครัวแล้วชูตะไคร้ในมือขึ้นมา ฮุ่ยหนิงหันมามองแล้วขมวดคิ้ว
"นั่นหญ้าที่ขึ้นอยู่ริมลำธารไม่ใช่หรือลูก จะเอามาใส่ในน้ำแกงได้อย่างไร"
"ไม่ใช่หญ้าเจ้าค่ะ นี่เรียกว่าตะไคร้ เป็นสมุนไพรเอาไว้ดับกลิ่นคาวเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร" ฮุ่ยหนิงหรี่ตามองบุตรสาวที่ทำตาล่อกแล่ก
"เอ่อ เสี่ยวจงบอกเจ้าค่ะ!"
"เสี่ยวจงหรือ?"
"เจ้าค่ะท่านแม่ เสี่ยวจงพูดกับลูกได้เสี่ยวจงเก่งมากๆ" นางส่งยิ้มไร้เดียงสาไปให้มารดา หากบอกว่ารู้เพราะเคยกินไปนับไม่ถ้วนนี่นางคงถูกหาว่าเป็นตัวกินหญ้าแน่ๆ เพราะคนที่นี่เข้าใจว่ามันคือหญ้านี่นะ
"ถ้าไม่เชื่อ ท่านแม่ลองหั่นแล้วดมกลิ่นของมันดูสิเจ้าคะ กลิ่นของมันไม่เหมือนกับหญ้าทั่วไปเพราะว่ามันคือสมุนไพรเจ้าค่ะ" ฮุ่ยหนิงมองบุตรสาวอย่างแคลงใจ วัวที่ไหนจะพูดได้กัน แต่เพราะไม่อยากขัดใจบุตรสาวจึงลองรับเจ้าตะไคร้ในมือน้อยๆ มาหั่นแล้วดมดูอย่างที่บุตรสาวแนะนำ
กลิ่นหอมเย็นๆ ออกจะสดชื่นหน่อยๆ ทำให้ฮุ่ยหนิงเบิกตาเล็กน้อย นางหันมองบุตรสาวที่ยืนยิ้มแฉ่งอวดฟันที่ยังขึ้นไม่เต็มปากดี ก่อนจะดมพิสูจน์ดูอีกครั้ง
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" เสี่ยวหลินเอ่ยถามอย่างลุ้นๆ อาหารที่ท่านแม่ทำมันก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่รสชาติน้ำแกงปลาที่ขาดสมุนไพรมันก็ออกจะกลืนลงคอลำบากไปหน่อย เมื่อนางเห็นว่ามีตะไคร้จึงรีบเอามาให้มารดาทันที
"มันกินได้จริงๆ เจ้าค่ะท่านแม่" นางแกะเปลือกด้านนอกของตะไคร้ที่เหลืออยู่ในมือแล้วกัดหัวตะไคร้เคี้ยวให้มารดาดู
"เสี่ยวหลิน!"
"กินได้จริงๆ เจ้าค่ะ" ปากน้อยเคี้ยวหยั่บๆ ฮุ่ยหนิงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นว่าบุตรสาวจะมีอาการอะไร
"เอาเถอะๆ แม่จะลองใส่ลงไปดูก็แล้วกัน"
"ตัดแค่ส่วนหัวขาวๆ นะเจ้าคะ ส่วนใบเขียวๆ มันไม่ค่อยหอมเท่าไหร่" นางยิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดนางก็เข้าใกล้ต้มยำปลาแล้ว
ร่างเล็กๆ ของบุตรสาววิ่งออกไปอีกทั้งหลังจากวางตะไคร้ที่เหลือไว้บนโต๊ะวางของเล็กๆ ในห้องครัว ฮุ่ยหนิงนำตะไคร้ไปล้างแล้วหั่นไม่ลืมทุบนิดๆ ให้กลิ่นมันออกแล้วใส่ลงไปในหม้อน้ำแกง เสี่ยวหลินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับพริกสีเขียวหลายเม็ดกับพริกแดงอีกนิดหน่อย
"ท่านแม่ ใส่นี่ด้วยเจ้าค่ะ ตำให้มันแหลกก่อนนะเจ้าคะ" มือน้อยๆ ยื่นผลแปลกๆ ส่งมาให้มารดา ฮุ่ยหนิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เอาเถอะ ลองดูหน่อยก็ไม่เป็นไร นางคิดอย่างนั้น
กลิ่นน้ำแกงที่ส่งกลิ่นหอมน่ากินมากกว่าทุกวันทำให้สองหนุ่มของบ้าน ที่กลับจากอาบน้ำในลำธารรีบก้าวเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมๆ ทำให้ท้องของพวกเขาส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าอาย สองหนุ่มรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ารวมถึงนำชุดเปียกไปตากเสร็จแล้วก็รีบมานั่งรอที่แคร่หน้าบ้าน
ฮุ่ยหนิงถือถาดอาหารออกมาที่ด้านนอก เทียนเฉินรีบเข้าไปช่วยพี่สะใภ้อย่างทุกที ส่วนนางก็กลับเข้าไปยกโถข้าวจากในครัวออกมา เสี่ยวหลินตัวน้อยออกมาพร้อมกับแก้วไม้ไผ่ใส่น้ำสองใบ เมื่อวางบนแคร่เรียบร้อยแล้วก็วิ่งดุ๊กๆ เข้าไปหยิบอีกสามแก้วที่เหลือ
เจ้าเสี่ยวจงเองก็ยืนกระดิกหางรอที่เดิม กะละมังที่ล้างจนสะอาดและใส่น้ำนมเรียบร้อยแล้วถูกเทียนหรงถือออกมาวางให้ที่พื้น เจ้าวัวน้อยรีบก้มลงดื่มกินน้ำนมอย่างร่าเริง
"วันนี้ทำอะไรกินหรือ กลิ่นหอมยิ่งนัก" เทียนหรงเอ่ยถามภรรยาคนงามที่กำลังตักข้าวใส่ถ้วยใบเล็กส่งให้ทุกคน
"น้ำแกงปลาอย่างทุกครั้งนั่นแหละเจ้าค่ะ เพียงแต่วันนี้เสี่ยวหลินน้อยมีส่วนช่วยทำด้วย ท่านพี่กับเสี่ยวเฉินต้องลองชิมดูว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร" ฮุ่ยหนิงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ก่อนหน้านี้นางได้ลองชิมน้ำแกงดูแล้ว หอมกลิ่นสมุนไพรอีกทั้งยังมีรสเผ็ดแสบลิ้นให้ความรู้สึกเจริญอาหารมากกว่าที่เคยเป็น
"หืม บุตรสาวตัวน้อยถึงกับทำน้ำแกงให้บิดากินเชียวหรือ" เทียนหรงเอ่ยเย้าบุตรสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง เด็กน้อยหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
"ลองชิมดูเจ้าค่ะ" ฮุ่ยหนิงตักน้ำแกงจากชามใบใหญ่แบ่งใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นให้กับสามีรวมถึงน้องสามีและบุตรสาว
สองหนุ่มของบ้านได้ชิมแล้วก็รู้สึกคล่องคอยิ่งนัก น้ำแกงในถ้วยแบ่งเล็กๆ จึงหมดไปอย่างรวดเร็ว
"รสดียิ่งนัก อร่อยกว่าที่เคยอีกนะหนิงเอ๋อร์" เทียนหรงตักน้ำแกงใส่ถ้วยใบเล็กของตนเผื่อแผ่ไปให้น้องชายด้วย ฮุ่ยหนิงกับเสี่ยวหลินเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ
"อร่อยก็กินเยอะๆ เจ้าค่ะ นี่เป็นเพราะบุตรสาวของท่านช่วยข้าทำจึงอร่อยเช่นนี้"
"เสี่ยวหลินของอาเก่งที่สุด มาเถอะ เดี๋ยวอาแกะเนื้อปลาให้เจ้า" เทียนเฉินซดน้ำแกงเสียงดัง เขาตักปลาในชามใหญ่ออกมาแกะเอาแต่เนื้อส่งให้หลานสาวตัวน้อย ซึ่งนางก็ตักกินจนแก้มตุ่ย
"ท่านอาดีที่สุดเจ้าค่ะ"
"แล้วพ่อดีหรือไม่ นี่ ตัวนี้มีไข่ด้วย พ่อให้เจ้า" เทียนหรงได้ยินบุตรสาวเอ่ยชมน้องชายก็รู้สึกไม่ยอมแพ้ เขาคีบไข่ปลาให้บุตรสาวจนแทบจะล้นถ้วยใบเล็ก
"ท่านพ่อก็ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ" นางยิ้มตาหยี ก่อนจะตักไข่ปลาเข้าปาก วันนี้เป็นวันที่นางกินข้าวได้อร่อยที่สุดเลย
หลังจากผ่านมื้อเย็นแสนอร่อยและนั่งย่อยกันจนฟ้ามืด ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอน เนื่องจากยังเล็กอยู่มากเสี่ยวหลินจึงยังไม่มีห้องเป็นของตนเอง นางยังคงนอนกับบิดามารดา บางครั้งก็ไปนอนกับท่านอาหนุ่มน้อย แต่คนที่ไม่ยอมไปนอนที่บ้านของตนเองก็คือเสี่ยวจง มันเดินตามเสี่ยวหลินต้อยๆ ถึงแม้ว่าเทียนเฉินจะพามันไปส่งที่คอกแล้วแต่มันก็มุดออกมาเหมือนเดิม
"เสี่ยวจงทำไมถึงมุดออกมาอีกแล้วเนี่ย" เทียนเฉินยืนเท้าเอวมองเจ้าวัวขนปุยที่ยืนมองหน้าตนพร้อมกับส่ายหางดุ๊กดิ๊ก มันหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วถูไถหัวเล็กๆ ของมันไปกับตัวของเสี่ยวหลิน
"คิกคิก เสี่ยวจงคงไม่กล้านอนคนเดียวกระมัง" ฮุ่ยหนิงปิดปากหัวเราะอย่างขบขัน
"มันคงอยากจะนอนกับลูกกระมัง" เทียนหรงมองเจ้าเสี่ยวจงอย่างเอ็นดู บ้านหลังน้อยที่แทบจะเลี้ยงตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะเคยเลี้ยงสัตว์ พอมีเจ้าตัวเล็กนี่มาอยู่ด้วยก็รู้สึกดีไม่น้อย
"เสี่ยวจงจะมานอนกับเสี่ยวหลินไม่ได้นะ เสี่ยวหลินนอนกับท่านพ่อท่านแม่ แค่เตียงก็เต็มห้องแล้ว" เสี่ยวหลินเอ่ยบอกเจ้าตัวยุ่งที่มุดหน้าอยู่กับพุงน้อยๆ ของนาง
"เอาเถอะ ให้มันไปนอนกับเสี่ยวเฉินก็แล้วกัน" เทียนหรงพูดขึ้นมาก่อนจะจูงมือภรรยาเข้าห้องนอนไป
เสี่ยวหลินจึงตัดสินใจเข้าไปนอนในห้องกับท่านอาหนุ่มน้อย โดยมีเจ้าเสี่ยวจงตามมาด้วย เทียนเฉินนำหญ้าแห้งมาปูที่พื้นให้มันนอน เจ้าวัวน้อยเมื่อเห็นเจ้านายตัวน้อยของมันถูกอุ้มขึ้นเตียงมันจึงล้มตัวลงนอนแต่โดยดีและหลับสบายไปจนถึงเช้า ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่ล่าจนมารดาต้องทิ้งมันไว้ตัวเดียวอีกแล้ว
###############################################
มีตรงไหนดูงงๆ บอกเราได้นะคะ เผื่อเราเขียนข้ามไป
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!