เอ่ยถึงคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชันเมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักเพราะถือเป็นชุมชนที่มีแต่สวน เงียบสงบและห่างไกลความเจริญแต่มาถึงยุคสมัยปัจจุบันที่มีถนนเริ่มตัดผ่าน แถมใกล้ๆก็ยังมีคลองลัดมะยมซึ่งเป็นตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์ ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งย่านฝั่งธน
ชุมชนแถวนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและมีความเจริญขึ้นมาบ้าง
สมัยเด็กๆ ครอบครัวดิฉันก็อยู่ข้างคลองบางระมาดนั่นเองค่ะ ใช้น้ำในคูคลองซึ่งสมัยนั้นใสสะอาดมาก กินหรือเอามาอาบได้หมด รวมไปถึงยังใช้เพื่อการเกษตรกรรมอีกมาก โดยคนในสมัยนั้นจะอาศัยทางน้ำล่องเรือเดินทางไปไหนมาไหน เพราะมันไม่มีถนนตัดผ่านเส้นไหนต่อเส้นไหนละลานตาเฉกเช่นทุกวันนี้..
.
.
หน้าน้ำหลากพวกเด็กๆ จะสนุกสนานกับการเล่นน้ำจนตัวดำเป็นเหนียง ต่างเล่นน้ำดำผุดดำว่ายเป็นที่สุขสำราญ หรือบ้างก็แข่งกันดำอึดดำทน พิลึกพิลั่นว่ายไปไล่จับหมาเน่าลอยน้ำก็ยังมี หรือไม่ก็ว่ายข้ามฟากไปริมตลิ่งฝั่งท้ายสวน เพราะแถวนั้นต้นไม้เยอะ บางบ้านก็พากันไปผูกเปลญวนที่ทำด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ นอนริมคลองเป็นที่สุขสำราญใจดีจริงๆ
แล้วเย็นวันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้นค่ะ ขณะที่พวกเรากำลังเล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงน้าผู้หญิงคนนึงที่บ้านอยู่ติดริมคลอง
แกตะโกนเสียงลั่นว่า...
"ลูกชายตกน้ำๆๆ ช่วยด้วยๆๆ"
พวกเราก็หันไปเห็นแกโดดลงน้ำและดำผุดดำว่าย สองมือกำลังควานหาลูกชายของแกแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอ..!!
พวกเรา 3-4 คนต่างพากันตกใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้..
ขณะนั้นเองชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่คงได้ยินเสียงร้องก็วิ่งเข้ามาดู บ้างก็กระโดดน้ำลงมาช่วย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูจะสายเกินไปแล้ว..เมื่อทั้งผู้เป็นแม่และลูกชายต่างจมหายไปอย่างไร้ร่องลอย..!
.
.
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทีมปะดานัำจึงได้พบศพของน้าผู้หญิงกับลูกชายของเธอ ซึ่งจมอยู่ก้นคลอง เป็นที่น่าเวทนายิ่งนักของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์
พอน้าผู้ชายผู้เป็นสามีและพ่อของเด็กที่ตายทราบข่าวแกก็เสียใจมาก ขนาดบอกกับเพื่อนบ้านด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า คงไม่อาจจะทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว
และหลังจากทำศพลูกเมียเสร็จแล้วแกก็อพยพไปอยู่ที่อื่นทันที ก่อนจะทิ้งบ้านริมคลองหลังนั้นให้กลายเป็นบ้านร้างไป..
"วิญญาณของสองแม่ลูกก็กลับมา..!!"
ในเวลานั้นแม้ว่าที่บ้านของแม่ลูกที่ตายจะถูกทิ้งร้าง เปลญวนที่เคยผูกไว้ริมคลองก็ไม่มีใครกล้าไปนั่งๆ นอนๆ เล่นที่เปลนั้นเหมือนแต่ก่อน ..!!
เพื่อนบ้านที่อยู่ติดๆ กัน ก็ได้แต่แอบมองอย่างหวาดๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเปลว่างเปล่านั้นแกว่งไกวไปมาช้าๆ ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดผ่านมาแม้แต่นิดเดียว..!!
หนักเข้าก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกาย หรือแม้แต่คิดผ่านไปที่ท่าน้ำบ้านร้างหลังนั้น ยิ่งเวลาดึกๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องไปให้ไกลๆเลย..
.
.
กระทั่งเคยมีเสียงเล่าลือว่า มีคนเห็นน้าผู้หญิงคนที่ตายกับลูกชายของเธอ นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเปลริมท่า เล่นเอาผู้ที่เห็นต้องวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน..!!
แล้วมาวันหนึ่ง...เรื่องราวความน่ากลัวก็เกิดขึ้นกับดิฉันเข้าจนได้ค่ะ
.
.
คือวันนั้นราวๆ ห้าโมงเย็นเห็นจะได้ เราไปลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก โดยได้ลืมเรื่องผีๆ สางๆ ที่เคยกลัวไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนย่างเข้าช่วงโพล้เพล้จวนจะค่ำ เพื่อนคนนึงในกลุ่มที่เล่นน้ำอยู่ด้วยกันก็เกิดแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตลิ่งอันเป็นบ้านร้างของสองแม่ลูกที่ตาย
ทันใดนั้น..เพื่อนคนนั้นก็กรึดออกมาด้วยความกลัวชนิดแทบจะสุดเสียง..!!
จังหวะนั้นพวกเราก็หันไปมองบ้าง และภาพที่เห็นนั้นเล่นเอาหัวใจแทบจะหยุดเต้น..เมื่อต่างเห็นเป็นร่างของน้าผู้หญิงกับลูกของแกกำลังนั่งเล่นอยู่ในเปลญวนที่แกว่งไกวไปมาช้าๆ ราวกับว่าทั้งคู่ยังคงมีชีวิตอยู่..!!
.
.
เมื่อเห็นดังนั้น..พวกเด็กๆ ต่างแตกฮือไปคนละทางสองทาง ใครว่ายถึงฝั่งก่อนก็ตะเกียกตะกายป่ายปีน ใครตกใจจนไม่ได้สติก็พยายามปีนขึ้นฝั่งอยู่แบบนั้น...เรียกได้ว่าทุกคนที่เห็นภาพสองแม่ลูกในวันนั้นต่างเหมือนคนสติแตกกันไปเลย..!!
หลังจากเหตุการณ์ชวนสยองในวันนั้นผ่านไป ตั้งแต่นั้นมาตัวดิฉันรวมถึงพวกเพื่อนๆ ต่างไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในคลองอีกเลยค่ะ
.
.
จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน บ้านหลังนั้นที่เคยร้างก็มีคนมาอยู่ใหม่ มีการปรับปรุงจนแทบจะจำสภาพเก่าไม่ได้เลย ส่วนเรื่องราวความน่ากลัวก็เริ่มเงียบหายไป คิดว่าดวงวิญญาณของสองแม่ลูกคงจะไปผุดไปเกิดแล้วละคะ..
Story by เรื่องเล่าผี pantip
#เรื่องเล่าผีจากประสบการณ์ตรง #เรื่องเล่าหลอนๆ #ประสบการณ์เจอผี #เรื่องหลอนจากประสบการณ์ #เรื่องเล่าชวนหลอน #เล่าเรื่องลี้ลับ #เรื่องเล่าผี
Cr. พยานผี
หลังจากที่เรากลับมาจากหนองคาย หอพักเราอยู่แถวราม
เช้ามาเราก็ไปเที่ยวตลาดนัดขวัญเรียมกลับมาห้องก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนเวลาล่วงเลยไป วันที่ 4 เราตกใจตื่นขึ้นมาเพราะความฝันของเราเอง
ที่มันแปลกเอามากๆ เราฝันว่า เรานั่งรถเมล์ไปตลาดน้ำขวัญเรียม
เราลงจากรถเมล์มาฝั่งตรงข้ามวัดบางเพ็งใต้ตอนนั้นในฝันเป็นช่วงเย็น
เราเดินขึ้นสะพานลอยและเดินเข้าตลาดไป
สภาพตลาดน้ำขวัญเรียม เหมือนกับในสมัยก่อนไม่มีผิดที่เรามักจะเห็นตามละครย้อนยุค
ชาวบ้านที่เห็นในฝันจะนุ่งโจงห่มแถบกันหมด พายเรือขายสินค้ากัน
เราก็ได้เดินเที่ยวตลาด จนไปถึงพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง คล้ายจวนผู้ว่าในสมัยก่อนที่มีลายฉลุไม้
เราก็เดินเข้าไปภายในโถงชั้นล่างตกแต่งแบบร่วมสมัย ผู้คนมากมายที่อยู่โถงชั้นล่าง
แต่งชุดขาวกันหมด มีหญิงชราชุดขาวยืนอยู่บริเวณนั้นเอ่ยปากบอกเราว่า
” ที่นี่ใกล้ปิดแล้วนะลูก เย็นแล้ว ” เราก็ตอบหญิงชราไปว่า ” หนูขออยู่อีกแปปนึงนะคะ ”
เราก็เดินชมจนทั่วแล้ว เราเลยถามหญิงชราไปว่า ” ชั้นบนขึ้นไปดูได้ไหมคะ ”
หญิงชราไม่ได้ตอบอะไรเราเอาแต่หลบหน้าหลบตา เราเลยถือวิสาสะขึ้นไป
เสียงบันไดไม้ดังลั่นตลอดเวลาที่ก้าวขาขึ้นไปชั้นบน ห้องโถงชั้นบนตกแต่งเรียบง่ายแต่โบราณ
เรายืนอยู่บริเวณห้องโถงซึ่งจะแบ่งเป็นเล็กๆ ตามหน้าต่างประดับไปด้วยตาข่ายดอกไม้สด
(ไม่ทราบจริงๆว่าเรียกว่าอะไร) มีหญิงสาวนุ่งผ้าซิ่นเกล้ามวยผมนั่งร้อยมาลัยดอกไม้สด
สุดห้องโถงมีม่านสีขาวกั้นฉากเหมือนห้องเล็กๆ เราเดินเข้าไป
หลังฉากกั้นมีรูปภาพขาวดำขนาดใหญ่แขวนอยู่ เป็นภาพของหญิงสาวชุดไทยนางนึง
หน้ารูปมีโต๊ะวางบายศรี ธูปเทียน และของบูชาต่างๆไว้สำหรับบูชาภาพของหญิงสาวชุดไทย
ถัดมาหน้าโต๊ะบูชามีเด็กผู้ชายน่าจะอายุราวๆขวบนึงได้ ใส่กำไลข้อมือและข้อเท้า
มีแผ่นทองปิดกลางหัวและมีผ้าสีทองห่มกายผืนเดียว เราเห็นเด็กน้อยน่ารักนอนอยู่
เราก็เข้าไปเล่นเด็กชายก็หัวเราะ กรี๊ดกร๊าด จู่ๆมีพระธุดงค์จีวรสีน้ำตาลเข้มน่าจะ 45-55 ปี
บอกเราว่า “ที่นี่ปิดแล้ว ออกไปเร็วโยม ออกไป แล้วโยมอย่ากลับมาที่นี่อีก”
พอได้ยินเราก็ตกใจรีบวิ่งออกไป พอเราวิ่งออกมาข้างนอก บริเวณรอบๆกลายเป็นป่า
พิพิธภัณฑ์ที่เห็นว่าสวยกลับกลายเป็นบ้านร้าง มีสายสิญจน์ล้อมบ้านร้าง
แต่สายสิญจน์เปื่อยขาด แต่ข้างหน้ามีสายสิญจน์ล้อมอีกที เราเห็นผู้หญิงวิ่งตามออกมา
แต่ไม่เห็นหญิงชรา เรามุดลอดสายสิญจน์ผ่านออกไป ผู้หญิงที่วิ่งตามเรามา
พอโดนสายสิญจน์ก็พากันกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและร่างของเธอโดนแผดเผา
เราเห็นตัวเราเองโดนเผาด้วยเช่นกัน ร่างที่เรามุดรอดออกมาเจอกับชายชราชุดขาว
บอกกับเราว่า
“หนูเข้าไปที่นั่นทำไมลูก บ้านนี้เคยมีคนฆ่ากันตาย ป่ะกลับบ้าน เดี๋ยวตาพาหนูกลับนะ”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!