ในยุคแรกเริ่มของ อัสทาเนีย(Astania) ทวีปที่แสนจะสงบสุขไร้ซึ่งความทุกข์ยากโดยปราศจากสงคราม ทุกสิ่งมีชีวิตและทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
มีการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจนทวีปนี้เจริญรุ่งเรืองแทบจะถึงขีดสุด ทุกสิ่งอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น
พวกเขามีทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยว่าความสงบสุขของพวกเขานั้น ไปทำให้บางสิ่งหรือบางอย่างไม่พึงพอใจ…
ณ ดินแดนห้วงลึกใต้พิภพ เฮลเลนนอร์(Hellenor) หนึ่งในสี่เจ้าแห่งขุมนรกนาม เคนเนธ(Kenneth)สังเกตและเฝ้ามองดูเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องบนด้วยความอิจฉาริษยา
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่ตนนั้นเป็นได้เพียงแค่เจ้าปกครองแห่งดินแดนรกร้างไร้ซึ่งชีวิตชีวาไร้ซึ่งความสงบสุข
“หึหึ..กล้ามีความสุขเหนือข้า เคนเนธ ผู้นี้งั้นรึ!!”
“ดี!..งั้นข้าจะแต่งแต้มดินแดนของพวกเจ้า"
"ด้วยเปลวเพลิงโลกันตร์ของข้าผู้นี้!!”
“ดูซิพวกแกจะยังยิ้มหัวเราะออกมาได้อีกรึเปล่า..ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า~”
เคนเนธได้สร้างของวิเศษขึ้นมาทั้งสี่ชิ้น ซึ่งทุกชิ้นล้วนสร้างมาจากสสารหรือวัตถุต้นกำเนิดที่หาได้ยากยิ่ง
ผู้คนได้ตั้งชื่อเรียกกันว่า เดอะ ออริจิน(The origin) สสารหรือวัตถุที่ถือกำเนิดขึ้นมาแทบจะพร้อมกันกับโลกใบนี้ ได้ซึมซับและดูดซึมประจุมานาบริสุทธิ์นานนับหมื่นๆปี มาเป็นวัตถุดิบในการสร้าง หลอมด้วยเพลิงนรกที่ใกล้กับแกนโลกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในขณะที่สร้างของวิเศษเหล่านั้น เคนเนธได้สาปแช่งทุกสิ่งมีชีวิตเบื้องบนในทุกๆการลงค้อน ทำให้คำสาปแช่งและด้านมืดในจิตใจได้ถ่ายทอดลงไปยังของวิเศษเหล่านั้น ซึ่งได้แก่
ขวานแห่งความโกรธา ดิสเพอเชอร์(Displeasure)
กำไลทองคำแห่งความโลภ กรีด(Greed)
คฑาแห่งความหลอกลวง เดซีด(Deceit)
ดาบยาวแห่งความเกลียดชัง เอคเซคเครชั่น(Execration)
เคนเนธได้ออกคำสั่งแก่เหล่าลูกสมุนให้ขึ้นไปยังดินแดนเบื้องบน เพื่อนำของวิเศษเหล่านั้นไปเป็นเครื่องบรรณาการ ให้แก่ผู้มีอำนาจทั้งสี่ทางทิศตะวันตกของทวีปอัสทาเนีย ได้แก่
หัวหน้าเผ่าออร์ค การูรู(Garuru)
ราชาของเหล่าดีม่อน บาดรา(Badra)
มหาจอมเวทย์แห่งหอคอยเวทย์มนต์ สเตลล่า(Stella)
ผู้นำกองทหารรับจ้างเผ่าโคบอลต์ ไซลาส(Silas)
เมื่อผู้นำทั้งสี่ได้ถือคลองของวิเศษต้องสาป พวกเขาได้ลุ่มหลงในพลังอำนาจและถูกสะกดโดยพรต้องสาป จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดมาก่อน...
ผู้นำทั้งสี่ได้ร่วมกันก่อตั้งกองกำลังพันธมิตรขึ้น เพื่อที่จะบุกยึดดินแดนแถบทิศตะวันออกของทวีป เนื่องจากแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่มากมายในดินแดนแห่งนั้น
สงครามครั้งใหญ่จึงได้อุบัติขึ้น แทบจะเป็นการต่อสู้ที่ถูกไล่ต้อนอยู่เพียงฝ่ายเดียว สี่ผู้นำแห่งดินแดนทางทิศตะวันตกนั้นทรงพลัง แค่พวกเขาเพียงคนเดียวก็เทียบเท่าได้กับทหารนับพันนาย สงครามได้ดำเนินมาจนเกือบจะได้บทสรุป
ชนเผ่าต่างๆที่อาศัยในดินแดนทางทิศตะวันออก ได้ลี้ภัยมาจนถึงเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมืองหลวงเอลานอร์(Elanor) ที่มั่นสุดท้ายของชาวตะวันออก ความสิ้นหวังครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณเมืองหลวง
พวกเขาทำได้เพียงแค่สวดภาวนา ในขณะที่กองทัพของศัตรูเข้ากระชั้นชิดกำแพงเมืองหลวง ไร้ซึ่งความหวังและหนทาง มีเพียงความมืดมิดของเมฆครึ้มที่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าที่ไร้แสงตะวัน
"แต่ทว่าในขณะที่ผู้คนนั้นได้ยอมแพ้ให้กับโชคชะตาที่กำลังเผชิญ"
หนึ่งบุรุษยืนหยัดท่ามกลางความสิ้นหวัง เขาได้พูดปลุกใจกองทหารและเหล่าประชาชน รวมไปจนถึงชนเผ่าต่างๆที่อพยพลี้ภัยมาที่แห่งนี้ เขาคือกษัตริย์องค์ปัจจุบันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ราชาอัลวาร์ต(Alvart)
ด้วยน้ำเสียงที่กล้าหาญ มั่นคง กึกก้อง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนอบอุ่นราวกับได้รับการโอบกอดจากแสงอาทิตย์ในยามรุ่งเช้า ราวกับว่าวันพรุ้งนี้กำลังรอเราอยู่
แสงสว่างอันริบหลี่ได้ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นได้เกิดปรากฏการณ์ที่ทุกคนแทบจะไม่เชื่อกับสายตา แสงสว่างเจิดจ้าเรืองรองถูกสาดส่องลงมาจากบนฟากฟ้า หรือว่านี่จะเป็นความหวัง?
แสงสว่างนั้นได้สาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณเมืองหลวงเอลานอร์ พร้อมกับปรากฏร่างๆหนึ่ง ค่อยๆลอยลงมาจากฟากฟ้า
เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวพรรณขาวเนียนดุจดั่งหิมะแรกโรยยามถึงฤดูหนาว ผมสีเงินบริสุทธิ์ไร้สีใดแต่งแต้มเจือปน ตาสีฟ้าครามสดใสดั่งมหาสมุทรยามแสงอาทิตย์สาดส่อง
เมื่อทุกคนได้มองไปสักพักหนึ่งก็รับรู้ได้โดยทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร
[เทพธิดาแห่งแสงอาทิตย์โชดิช่วง เอลิอันน่า(Elianna) ได้จุติ]
“ข้าได้ยินเสียงภาวนาของพวกท่านแล้ว ”
“แม้พวกท่านจะหลงทางและสิ้นหวังท่ามกลางความมืดมิด”
“พวกท่านก็ยังยืนหยัดและค้นเจอแสงสว่างภายในจิตใจ”
“ข้าจะประทานพรแห่งเทพธิดาให้แก่ ผู้ที่มีคุณสมบัติทั้ง4”
"ข้ามาจุติในร่างกายเนื้อเพื่อร่วมต่อสู้เคียงข้างกับพวกท่าน”
“และข้าจะไม่หวนคืนสู่ดินแดนแห่งเหล่าทวยเทพ"
"เฮฟเวนเนีย(Heavenia) อีกต่อไป!!”
เทพธิดาจึงได้มอบของวิเศษแห่งการอวยพร ซึ่งทรงภารานุภาพเทียบเท่ากับเหล่าผู้นำทั้งสี่แห่งดินแดนตะวันตก
ของวิเศษทั้งสี่ชิ้นนี้สร้างขึ้นมาจากสสารหรือวัตถุต้นกำเนิด(เดอะ ออริจิน)เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่สร้างขึ้นในดินแดนแห่งเทพ
โดยฝีมือเทพแห่งการตีเหล็กและไฟที่มีนามว่า อิกนาส(Ignaas)
หลอมด้วยเปลวเพลิงแห่งอาทิตย์โชติช่วงของเอลิอันน่า ทุกวินาทีที่ปลดปล่อยเปลวเพลิงในการหลอมก็ได้อวยพรให้กับเหล่าสิ่งมีชีวิตบนดินแดนอัสทาเนียไปพร้อมๆกัน ทำให้คำอวยพรและด้านดีในจิตใจได้ถ่ายทอดลงไปในของวิเศษทั้ง4ชิ้น ซึ่งได้แก่
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งความรัก อาโดเรชั่น(Adoration)
คันศรแห่งความกรุณา มิวนิฟิเซนส์(Munificence)
พิณแห่งความสงบ พลาซิดิตี้(Placidity)
ดาบแห่งความสัจจริง แอคเซียม(Axiom)
ผู้ที่มีคุณสมบัติได้รับพรแห่งเทพธิดาทั้ง4ได้แก่..
พระสันตะปาปารุ่นที่14 แห่งศาสนจักร ดักลาส(Douglas)
องครักษ์ของราชินีภูติ อาลิเซ่(Alize)
ราชินีแห่งเหล่าไฮเอลฟ์ อัลฟรีด้า(Aelfrida)
..และคนสุดท้าย...
กษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราชาอัลวาร์ต(Alvart)
ด้วยการนำทัพของราชาอัลวาร์ตที่มีเทพธิดาเอลิอันน่าคอยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ พร้อมกับของวิเศษพรแห่งเทพธิดาที่ได้รับมาอยู่ในครอบครอง ในที่สุดสมดุลอำนาจก็ได้เริ่มเอนเอียง
ราชาอัลวาร์ตสามารถทวงดินแดนทางฝั่งตะวันออกคืนได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียง2ปี และยังได้สร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งมีกำแพงทอดยาวเรียกขานกันในนาม เดอะ วอลล์(The wall)
ที่สามารถป้องกันการรุกรานของชาวตะวันตก ความสงบสุขหวนคืนสู่ดินแดนตะวันออก และไม่มีสงครามอีกเลยจนเวลาร่วงเลยผ่านไปได้5ปี...
ทุกคนคิดว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว ภัยร้ายจากทิศตะวันตกไม่่สามารถมาทำอันตรายอะไรเราได้อีก
“แต่ทว่า...”
ภัยคุกคามนั้นมิใช่มาจากทิศตะวันตก ภัยคุกคามที่แท้จริงนั้นอยู่ทุกหนแห่งเคลื่อนไหวในที่ลับสายตาจากผู้คน
ค่อยๆกลืนกิน..เติบโต..ทั้งยิ่งใหญ่..ทั้งทรงอำนาจ...
มิใช่ทั้งความดีหรือความเลว มิใช่ทั้งแสงสว่างหรือความมืดมิด...
“แต่มันคือ...ความโกลาหล(Chaos) ”
to be continued...
ช่วงแนะนำตัว
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่แต่งมาจากจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงทฤษฎีทางหลักวิทยาศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น
และยังเป็นงานเขียนเรื่องแรกของผู้เขียนอีกด้วย หากมีอะไรตกหล่นไปก็ต้องขออภัยด้วยครับ
สามารถมาคอมเม้นต์ติชมกันได้นะครับ จะพยายามพัฒนาแก้ไขไปเรื่อย
สุดท้ายนี้สามารถเป็นกำลังใจในการเขียนนิยายเรื่องนี้ของผมได้โดยการกดหัวใจคนละหนึ่งดวงให้ผมด้วยนะครับ
หลังสงครามจบลงเวลาก็ได้ผ่านร่วงเลยมาได้ 5ปี...ดินแดนทางฝั่งตะวันตกนั้นธรรมชาติค่อยๆเสื่อมถอย สภาพอากาศเต็มไปด้วยหมอกและควัน เมฆครึ้มปกครองไปทั่วทั้งดินแดน แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึง
ต้นไม้และพืชพันธ์ุส่วนใหญ่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ อันเนื่องมาจากของวิเศษต้องสาปทั้ง 4ในดินแดนนี้ได้แผ่รังศีต้องสาปที่รุนแรงออกมา ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงกล่าวขานกันในชื่อเรียก "ดินแดนต้องสาป"
ในทางกลับกันดินแดนฝั่งตะวันออกนั้น ธรรมชาติได้อุดมสมบูรณ์ ผืนป่าและแม่น้ำลำธารสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอย่างมีความสุขในทุกหนแห่ง
เนื่องมาจากได้รับการอวยพรโดยของวิเศษแห่งการอวยพรทั้ง4 ที่ได้เปล่งประกายรัศมีอวยพรให้แก่ทุกสรรพสิ่งในดินแดนแห่งนี้แสงอาทิตย์สาดส่องมอบความอบอุ่นแก่ทุกสรรพสิ่ง ผู้คนจึงขนานนามดินแดนทางฝั่งตะวันออกนี้ว่า "ดินแดนอาทิตย์อุทัย"
ณ ป้อมปราการสุดขอบดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ตั้งขวางอยู่ทางตอนกลางของทวีป"เดอะวอลล์"ที่มีกำแพงทอดยาวขวางกั้นกับดินแดงต้องสาป
แอนดรูว์(Andrew) หัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ที่สามบนกำแพงเดอะวออล์ ได้เดินราดตระเวนตามทางเดินบนกำแพงในยามเย็น ในระหว่างเดินตรวจสอบความเรียบร้อยตามกำแพงนั้นเขาก็ได้พบกับทหารสองนายที่สังกัดอยู่ในกองทหารของตน
"เหตุการณ์เรียบร้อยดีรึเปล่าพลทหาร" แอนดรูว์ได้ถามทหารทั้งสองนายด้วยน้ำเสียงขึงขัง
"เรียบร้อยดีครับหัวหน้า!!" พลทหารทั้งสองนายได้ตอบพร้อมเพรียงกันด้วยความตกใจ
ท่าทางกระสับกระส่ายของทหารทั้งสองนายทำให้แอนดรูว์เกิดความสงสัยและเหลือบไปเห็นด้านหลังของทหารนายหนึ่งซึ่งกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่
"ซ่อนอะไรไว้ข้างหลังส่งมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้" แอนดรูว์พูดด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่จริงจรัง
พลทหารนายนั้นทำท่าทีกล้าๆกลัวๆก่อนจะยื่นของสิ่งนั้นให้แอนดรูว์ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นถุงใส่น้ำที่ในถุงนั้นเต็มไปด้วยเหล้ารัม
"นี่พวกเจ้าแอบดื่มเหล้าในขณะปฏิบัติหน้าที่งั้นรึ" แอนดรูว์ถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
"ถ้าเกิดมีศัตรูบุกโจมตีเดอะวอลล์ในขณะพวกเจ้าเมามาย พวกเจ้าจะต้านศัตรูไหวรึ" แอนดรูว์ได้ถามอีกครั้ง
"แหม~ท่านหัวหน้าดินแดนของเราสงบสุขมาตลอดห้าปีแล้วนะครับ" ทหารนายหนึ่งตอบ
"ใช่ๆ สามปีที่พวกข้าเฝ้าเดอะวอลล์มาแม้แต้เงาศัตรูสักคนยังไม่เคยจะโผล่หัวออกมาให้เห็นเลย" ทหารอีกนายพูดขึ้นเสริม
"เห้อออ~" แอนดรูว์ถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย
"ชายหนุ่มสมัยนี้นี่มันใช้ไม่ได้เลย เอางี้ข้าจะเล่าอะไรดีๆให้พวกเจ้าฟัง" แอนดรูว์เดินไปชิดริมกำแพงพร้อมหันหน้าไปยังดินแดนต้องสาปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
"ในตอนนั้น ตอนที่เกิดสงครามระหว่างสองดินแดนเมื่อ5ปีก่อน ข้าเป็นเพียงพลทหารนายหนึ่งที่เข้าร่วมในศึกนั้น"
"ข้านั้นสังกัดในกองทหารแนวหน้า เรียกง่ายๆคือกองทหารที่จะไปซี้ก่อนชาวบ้านนั่นแหละ ฮ่ะฮ่ะ" แอนดรูว์หัวเราะออกมาเบาๆ
"สงครามนั้นได้เริ่มขึ้น ทัพหน้าของศัตรูที่เราต้องเผชิญคือทัพของเหล่าออร์ค ซึ่งนำโดยหัวหน้าเผ่าออร์คการูรูผู้ถือครองของวิเศษต้องสาป ขวานแห่งความโกรธา.."
"เสียงกลองดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิ เสียงของโลหะที่กระทบกัน เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เสียงหัวเราะสะใจของศัตรูที่แสนอำมหิต" แอนดรูว์พยายามข่มมือที่สั่นนั้นให้นิ่งสงบพร้อมกับเล่าต่อ
"เฮดวิก(Hedwig)ชื่อของทหารรุ่นน้องข้าที่คอยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ข้าและเขารู้จักกันตั้งแต่สมัยยังเด็ก" แอนดรูว์ได้ชักดาบขึ้นมาและมองดูมันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
"เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการใช้ดาบ ข้าโล่งใจทุกครั้งที่มีเขาคอยระวังหลังให้ในสนามรบ" แอนดรูว์ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
"แต่ต่อให้เขาเก่งวิชาดาบมากแค่ไหน ก็มิอาจต้านทานโทสะของเหล่าออร์คได้" แอนดรูว์กำดาบแน่น
"เผ่าพันธุ์ออร์คนั้นขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย ฉุนเฉียวง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วได้ถูกกระตุ้นโดยอำนาจของขวานแห่งความโกรธา.."
"ออร่าชั่วร้ายจากขวานครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ ออร์คทุกตนในบริเวณนั้นบ้าคลั่งและกระหายเลือด ไม่สนความเจ็บปวดจากบาดแผล มีแต่โทสะที่หมายมุ่งจะเข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว" ดาบในมือที่แอนดรูว์ถืออยู่เริ่มสั่นอีกครั้ง
"แล้วท่านรอดมาจากสงครามครั้งนั้นได้ยังไงหรือครับ" ทหารนายหนึ่งถามด้วยความกระหายใคร่รู้
"ข้าก็ใช้ดาบวิเศษเล่มนี้ที่ได้มาจากรุ่นน้องคนสนิทไล่ทิ่มก้นพวกออร์คจนหนีป่าราบยังไงเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า!!" แอนดรูว์หัวเราะพร้อมทำท่าทางแกว่งดาบไปมา
เขาเก็บดาบเข้าฝักพร้อมกับรอยยิ้มบางๆและสายตาอันว่างเปล่า
"ทีนี้พวกเจ้าก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของพวกที่มาจากแดนต้องสาปแล้วใช่ไหม ถ้าเจ้าไม่อยากจะสูญเสียคนสำคัญจงอย่าประมาท จงมีสติในการปฏิบัติหน้าที่ซะ" แอนดรูว์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"รับทราบครับหัวหน้า!!" ทหารทั้งสองพูดพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง
"งั้นเจ้านี่ข้าขอยึดไปละนะ" แอนดรูว์พูดพร้อมกับถือเหล้าที่ยึดมาได้แล้วเดินจากทหารทั้งสองไป
แอนดรูว์เดินจากมาได้ไม่ไกลนักก็ได้หันกลับไปมองทหารทั้งสองที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
"เมื่อก่อนข้ากับเจ้าก็เคยมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนั้นร่วมกันสินะ...เฮดวิก" เขายิ้มอ่อนๆพร้อมกับหันหลังเดินจากไปพร้อมกับตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า
ในยามดึกคืนนั้น แอนดรูว์ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมจากภายนอกห้องพัก เขารีบเปิดประตูออกไปเห็นเหล่าทหารในป้อมปราการของเดอะวอลล์ที่กำลังแตกตื่น
เขาได้ขว้าแขนของพลทหารนายหนึ่งที่กำลังจะวิ่งผ่านเขาไป
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นพลทหาร" แอนดรูว์ได้ถามกับพลทหารนายนั้น
"ข้าศึกโจมตีครับท่านนายกอง" พลทหารตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
"ข้าศึกโจมตี?...งั้นศัตรูคือเหล่าออร์คงั้นรึ?" แอนดรูว์ถาม
"ไม่ใช่ครับท่าน" พลทหารตอบ
"ดินแดนที่ใกล้กับเดอะวอลล์มากที่สุดคือดินแดนที่ปกครองโดยเหล่าออร์คไม่ใช่รึไง ถ้าไม่ใช่ออร์คแล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีก?" แอนดรูว์ถามด้วยความสงสัย
"ไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรือเผ่าพันธุ์ไหนที่เรารู้จักเลยครับท่าน" พลทหารตอบอย่างลนลานพร้อมกับรีบวิ่งจากไปทิ้งแอนดรูว์ไว้กับความงึนงง
"ท่านนายกองครับ ผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการเดอะวออล์เรียกพบนายกองทั้งหมดโดยด่วนครับ" ทหารนายหนึ่งได้มากระจายคำสั่งให้กับแอนดรูว์
"ข้ารับทราบแล้ว" แอนดรูว์ตอบรับก่อนจะกลับเข้าไปสวมชุดเกราะ
ณ โถงประชุมภายในป้อมปราการ
"ข้า แอนดรูว์ หัวหน้ากองทหารรักษาการณ์ที่3 รายงานตัวครับท่าน" แอนดรูว์พูดรายงานตัวต่อผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการ
"ดี..ทีนี้ก็มากันครบแล้ว รายงานสถานการณ์ของทุกกองมาให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้" ผู้บัญชาการรวบรัดเข้าเรื่องในทันที
"ประตูหน้าด่านกำลังถูกโจมตีแต่ยังยื้อไว้ได้อยู่ครับท่าน" หัวหน้ากองที่ 1 รายงาน
"กำแพงทางทิศใต้มีศัตรูพยายามปีนขึ้นมา ตอนนี้พลธนูกำลังสกัดไว้อยู่ครับ" หัวหน้ากองที่ 2 รายงาน
หลังจากที่ทั้งสองกองรายงานเสร็จสิ้น ก็ได้มีทหารส่งสารวิ่งเข้ามายังห้องโถงอย่างเร่งรีบ
"รายงานด่วนครับ!!...ทางส่วนกลางไม่สามารถติดต่อกับกองทหารที่ 3 ได้เป็นเวลา20นาทีแล้วครับท่าน!!" เขารายงานไปหอบไปในเวลาเดียวกัน
"รายงานสุดท้ายที่ส่วนกลางได้รับก่อนขาดการติดต่อ ว่าไว้อย่างไรบ้าง!!" แอนดรูว์รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
"รายงานสุดท้ายบอกไว้ว่า...มีสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนจำนวนหนึ่งตัวครับท่าน" ทหารส่งสารตอบ
"สัตว์อสูรเพียงตัวเดียวจะสามารถทำอะไรได้ หากทหารต่อสู้กับมันจากบนกำแพง?" แอนดรูว์ถามด้วยความสงสัย
"ในรายงานยังบอกไว้อีกว่า...มันมีปีกสามารถบินขึ้นกำแพงมาได้" หลังจากจบรายงานแอนดรูว์รีบวิ่งออกไปจากห้องโถง และตรงดิ่งไปยังกำแพงทางทิศเหนือ
"โถ่เว้ย!...นี่ข้าจะต้องสูญเสียสหายใต้บังคับบัญชาไปอีกเท่าไหร่กัน!! " เขาคิดในใจขณะกำลังวิ่งไป
"รอข้าก่อนนะพวกเจ้า"
to be continued...
"ขอร้องล่ะขอให้ไม่สายไปทีเถอะ" แอนดรูว์พูดในขณะที่วิ่ง
เมื่อเขามาถึงจุดที่กองทหารของตนประจำอยู่นั้น เขาได้ตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้าจนแทบจะลืมหายใจ
ซากศพเกลื่อนกลาดของทหารในสังกัดของตน กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ โลหิตไหลนองไปทั่ว
แอนดรูว์รีบตั้งสติเขาได้ออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหาทหารที่ยังเหลือรอด และเจ้าตัวต้นตอที่ลงมือสังหารทหารภายใต้สังกัดของตน
"อ้ากกก!!.." เสียงตะโกนดังลั่นไม่ไกลจากทางข้างหน้าที่เขากำลังมุ่งไป
"โอ้พระเจ้า" แอนดรูว์อุทานออกมาเมื่อได้เห็นเจ้าสัตว์อสูรที่อยู่เบื่องหน้า
มันเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดใบหน้าบิดเบี้ยวไร้ดวงตา ที่ยืนด้วยขาทั้งสองข้าง ความสูงของมันประมาณสองถึงสามเมตรเห็นจะได้
ผิวหนังสีเทาดำเหมือนกับขี้เถ้า แขนข้างหนึ่งมีกรงเล็บเรียวยาวส่วนอีกข้าง เป็นเหมือนดั่งคมดาบที่เชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกันกับแขน มีปีกหนึ่งคู่ติดอยู่ด้านหลังรูปร่างคล้ายกับปีกของค้างคาว
"หยุดนะโว้ยไอ้ตัวน่าเกลียด!!" แอนดรูว์ตะโกนพร้อมชักดาบออกมา พุ่งกระโจนเข้าใส่สัตว์ร้ายที่กำลังจะสังหารทหารของตน
เขาเหวี่ยงดาบอย่างสุดแรงใส่เจ้าสัตว์ร้าย หมายจะดับชีวิตมันภายในดาบเดียว แต่ทว่าเจ้าสัตว์ร้ายได้ใช้แขนข้างที่เป็นดั่งคมดาบปัดป้องไว้ได้
พร้อมกับโจมตีสวนใส่เขา แอนดรูว์ได้ใช้ดาบยกมาป้องกัน แต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของมันทำให้เขากระเด็นไปนอนกองกับพื้น
"อั๊ก!!" แอนดรูว์ได้สำลักน้ำลายออกมาเพราะแรงกระแทกที่รุนแรง
สัตว์ร้ายไม่ได้ตามมาโจมตีเขาต่อ และได้หันไปจู่โจมเหล่าทหารของแอนดรูว์อีกครั้ง
"แค่กแค่ก.." เขาได้ไอออกมาในขณะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
แอนดรูว์ได้หันไปเห็นทหารสองนายที่ตนเพิ่งได้เจอเมื่อตอนเย็นวันนี้ เจ้าสัตว์ร้ายได้ฟาดฟันแขนที่เป็นดั่งคมดาบไปทางพวกเขา
ทหารนายหนึ่งได้ผลักให้อีกคนกระเด็นออกไป ก่อนที่เขานั้นจะถูกฟันขาดเป็นสองส่วน
เมื่อแอนดรูว์ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เหมือนเขาได้เห็นภาพซ้อนของตนที่เคยเกิดขึ้นในสงครามครั้งนั้น
"ย้ากกกก!!.." เขาได้พุ่งเข้าใส่เจ้าสัตว์ร้ายอีกรอบ
เขาได้เหวี่ยงดาบใส่กลางหลังของมันเต็มๆ เลือดสีดำทมิฬของมันสาดกระเซ็นไปทั่วพร้อมกับเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด
"โฮกกก!!" มันคำรามใส่เขาและพุ่งเข้าหาแอนดรูว์ด้วยความโมโห
ทันใดนั้นดาบในมือเขาก็ได้เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆออกมา ทำให้คมดาบของเขานั้นมีความเฉียบคมมากขึ้นกว่าเดิม
"ฉับ!!" แขนข้างที่เป็นเหมือนกับคมดาบของมันได้ถูกตัดขาด
"โฮกกกกกก!!!" มันร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดเสียง
"ฉับ..ฉับ.." เขาใช้โอกาสที่มันกำลังเจ็บปวดฟันเข้าที่ขาของมันจนมันล้มลงคุกเข่า ทำให้ต่ำแหน่งของต้นคอมันอยู่ในต่ำแหน่งที่พอดี เขาได้ฟันลงไปที่ต้นคอของมันจนศีรษะมันหลุดกระเด็นออกไป
"ตึ้ง!!" แอนดรูว์ล้มนอนลงไปบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้า
"หัวหน้า!!..หัวหน้า!!" ทหารนายหนึ่งได้มาปลุกเรียกสติของแอนดรูว์
"เออๆ..ข้ายังไม่ตาย" แอนดรูว์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
"เห้ออ~..ค่อยยังชั่วที่หัวหน้าปลอดภัย" ทหารนายนั้นพูด
"ข้าขอโทษนะ..." แอนดรูว์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ขอโทษอะไรรึหัวหน้า" ทหารถาม
"ที่ข้าไม่สามารถช่วยเหล่าสหายของเจ้าไว้ได้.." แอนดรูว์ตอบ
"..." ทหารนายนั้นนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
"พวกเขาได้ตายอย่างสมเกียรติในฐานะนักรบแล้ว...ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก" ทหารพูด
"แต่ว่าข้า..." แอนดรูว์ไม่ทันได้พูดต่อจนจบก็ถูกทหารนายนั้นแทรกขึ้นมา
"ไม่มีแต่ว่าครับ!!..หากไม่ได้ท่านมาช่วยข้าก็คงตายไปแล้ว" เขาพูดพร้อมกับค่อยๆพยุงแอนดรูว์ลุกขึ้นยืน
"เจ้าชื่อว่าอะไรรึพลทหาร" แอนดรูว์ถาม
"ข้าชื่ออีธาน(Ethan)ครับหัวหน้า" เขาตอบพร้อมช่วยประคองแอนดรูว์เดินไป
"ข้าจะจำไว้" แอนดรูว์ตอบด้วยรอยยิ้ม
"ข้าอยู่ที่นี่กับหัวหน้ามาตั้งสองปีท่านเพิ่งมาถามเนี่ยนะ ฮ่ะฮ่ะ" อีธานพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
"เพราะข้าไม่อยากสนิทสนมกับพวกเจ้ามากยังไงล่ะ" แอนดรูว์ตอบ
"..." อีธานเงียบไปสักพักเพราะคำตอบของแอนดรูว์
"เพราะถ้ายิ่งสนิทสนมกันมากเท่าไหร่..เวลาเราสูญเสียพวกเขาไปก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น" แอนดรูว์ตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"ข้าจะไม่มาตายง่ายๆหรอกหัวหน้า ถ้าข้ารีบตายไปชีวิตที่หมอนั่นอุส่าเสียสละเพื่อช่วยเอาไว้คงเสียเปล่า" อีธานตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
"ข้าก็หวังให้เจ้าไม่ตายหนุ่มน้อย" แอนดรูว์พูด
"ว่าแต่ว่าตอนที่ท่านกำราบเจ้าอสูรร้ายตนนั้น ข้าเห็นดาบของท่านเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆออกมาด้วย" อีธานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กตัวน้อยๆ
"ดาบนี่คือดาบเวทย์มนต์หน่ะ" แอนดรูว์ตอบ
"ว้าว!!..ใช่ของวิเศษทรงอนุภาพที่ท่านเล่าให้ข้าฟังรึเปล่า" อีธานถาม
"ไม่ใกล้เคียงกันเลย..ดาบเล่มนี้เวลาผู้ใช้ใส่พลังเวทย์ลงไปก็แค่ทำให้เรืองแสงกับคมขึ้นแค่นั้นแหละ" แอนดรูว์ตอบ
"แต่แค่นี้ก็เจ๋งมากแล้วนะหัวหน้า ข้าก็อยากมีแบบนี้ไว้ใช้สักเล่มบ้างจัง" อีธานพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
"เอาล่ะเรารีบกลับไปรายงานเหตุการณ์กันเถอะ" แอนดรูว์บอก
"ครับหัวหน้า" อีธานตอบ
เมื่อพวกเขาทั้งสองกลับมายังป้อมปราการก็ได้พบว่าเหล่าอสูรนั้นได้บุกเข้ามายังด้านในของป้อมปราการได้แล้ว
ทหารในป้อมปราการนั้นได้ปะทะกับอสูรเหล่านั้นอย่างดุเดือด สถานการณ์นั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
"ระวังหลังให้ข้าด้วย" แอนดรูว์บอกกับอีธานขณะชักดาบออกมาเข้าร่วมศึก
"ไว้ใจข้าได้เลยหัวหน้า" อีธานตอบพร้อมวิ่งตามไปติดๆ
เขาทั้งสองนั้นผสานงานกันได้ดี จัดการศัตรูไปตนแล้วตนเล่า ภายในจิตใจของแอนดรูว์รู้สึกเหมือนได้ร่วมรบกับเฮดวิกอีกครั้งยามที่เหลือบไปมองอีธาน
สถานการณ์เหมือนจะเริ่มเข้าข้างฝั่งแอนดรูว์ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
"อดทนหน่อยอีธาน เราใกล้จะชนะแล้ว" แอนดรูว์พูดด้วยน้ำเสียงที่หอบแห้ง
"ครับหัวหน้า" อีธานขานตอบ
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด อยู่ๆพวกอสูรเหล่านั้นก็หยุดนิ่งไปพร้อมมีอาการสั่นเทา
พวกมันหันไปยังทิศเดียวกันพร้อมกับก้มหัวด้วยความเคารพ ไม่สิ มันเหมือนกับความกลัวที่มีต่อสิ่งๆนั้น ที่กำลังมุ่งมาทางนี้ซะมากกว่า
"แคร๊ก แคร๊ก แคร๊ก..." เสียงของรองเท้าโลหะกระทบกับพื้นค่อยๆเดินมา
ปรากฏร่างของบุคคลหนึ่งใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬและสวมผ้าคลุมหัวไว้อีกที แรงกดดันหนักอึ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
"สยบหรือวินาศ" ชายผู้นั้นเอ่ย
"พวกเราบุก!..เด็ดหัวแม่ทัพศัตรูมาให้ได้!!" ผู้บัญชาการได้ออกคำสั่ง พร้อมกับบุกเข้าไปพร้อมกับเหล่าทหารนับสิบคน
"วินาศสินะ" ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับชักดาบออกมาจากฝัก และตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้ง
คลื่นดาบสีดำที่ฟันออกไปทำให้ผู้บัญชาการและทหารหลายสิบนายที่พุ่งเข้าไปกลายเป็นชิ้นเนื้อ
"หนีไปซะ" แอนดรูว์พูด
"ว่าไงนะครับหัวหน้า" อีธานถาม
"ข้าบอกให้รีบหนีไปไงเล่า!" แอนดรูว์ตะคอกใส่อีธาน
"ไอเจ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราจะต่อกรกับมันได้ ดูดาบที่มันถืออยู่นั่นสิ" แอนดรูว์พูดพรางชี้ไปที่ดาบที่ชายคนนั้นถืออยู่
"ข้าเคยเห็นของวิเศษต้องสาปและการพรมาก่อน"
"ทั้งสองนั้นจะปล่อยกลิ่นไอชั่วร้ายหรือความเมตตาออกมา" แอนดรูว์พูดพร้อมกับเก็บดาบเข้าฝัก
"แต่ทว่าดาบเล่มนั้นให้ความรู้สึกว่างเปล่าจนน่าสยดสยอง" แอนดรูว์ปลดดาบออกจากเอว
"ไม่ผิดแน่ดาบเล่มนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าของวิเศษทั้ง8เลย เผลอๆอาจจะเหนือยิ่งกว่า"แอนดรูว์พูด
"อีธานรีบควบม้าแล้วหนีไปจากที่นี่ซะ ไปรายงานกับเมืองหลวงว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่" แอนดรูว์ออกคำสั่งกับอีธาน
"แล้วท่านล่ะไม่หนีไปพร้อมกับข้าหรอ!?" อีธานถามอย่างกระวนกระวาย
"ข้าจะอยู่ถ่วงเวลาที่นี่ไม่ให้พวกมันไล่ตามเจ้าเอง" แอนดรูว์ตอบ
"ข้าจะอยู่สู้กับท่านที่นี่" อีธานยืนกรานเสียงแข็ง
"ไม่ได้!! ถ้าเราตายกันหมดทีนี้ใครจะเป็นคนไปบอกต่อล่ะว่ามีภัยอันตรายมาสู่ดินแดนแห่งนี้แล้ว" แอนดรูว์พูด
"แต่ว่าท่านอาจจะตายได้นะ ฮึกฮึก" อีธานร้องสะอึกสะอื้น
"รับดาบนี่ไว้สิข้าว่ามันเหมาะกับเจ้านะ มันจะช่วยปกป้องเจ้าไอ้หนู" แอนดรูว์พูดพร้อมกับยื่นดาบของเขาให้แก่อีธาน
"ข้าจะรักษามันอย่างดี ขอให้เทพธิดาอวยพรท่าน" อีธานพูดเสร็จก็รีบวิ่งจากไปพร้อมน้ำตา
"เช่นกันหนุ่มน้อย" เขายิ้มพร้อมกับก้มไปหยิบดาบเล่มหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้น แล้วเดินเข้าไปหาชายผู้นั้นอย่างไม่เร่งรีบ
"นี่ๆไอ้ตูดหมึกดาบสวยดีนี่ ถ้าข้าชนะข้าขอมันได้รึเปล่า ฮ่าๆๆ" แอนดรูว์พูดด้วยท่าทีกวนประสาทพร้อมกับวิ่งเข้าปะทะกับชายผู้นั้น
"กรับ กรับ กรับ.." ขณะที่อีธานขี่ม้าออกมาจากป้อมปราการนั้น ก็ได้มีเสียงสั่นสะเทือนดังลั่นไปทั่ว
"ตู้มมมม!!!" เสียงปะทะรุนแรงมาจากทิศที่ทั้งสองเข้าปะทะกัน
"ข้าจะรีบไปแจ้งข่าวแล้วตามคนมาช่วยท่านให้ได้ เพราะฉะนั้นได้โปรดมีชีวิตรอดมาให้ได้นะหัวหน้า" อีธานกล่าวในใจ
ตัดกลับมาที่แอนดรูว์ เขาได้นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น มีบาดแผลไปทั่วทั้งตัว
"เห้อออ~ ข้าคงจะแก่จนหมดสภาพแล้วสินะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ" แอนดรูว์นอนหัวเราะเบาๆ
"เจ้าน่าสนใจดีนี่เจ้ามนุษย์ ฝีมือเจ้าไม่เลว" ชายสวมผ้าคลุมเอ่ย
"ขอบใจ" แอนดรูว์พูดพร้อมกับหันไปยิ้ม
"มาเป็นข้ารับใช้ของข้าสิ ข้าต้องการนักรบที่มีฝีมือเยี่ยงเจ้า" ชายสวมผ้าคลุมยื่นข้อเสนอ
"ไปตายซะ" แอนดรูว์ยิ้มแล้วชูนิ้วกลางให้ชายสวมผ้าคลุม
"น่าเสียดาย...ฉึก!!!"
to be continued
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!