NovelToon NovelToon

แว่วเสียงรัก จากปลายไร่

1 กลเกมรัก

'ดวงใจฉันมีปีกบิน ล่องลอยไปไกลแสนไกล สุดแดนเหนือจรดภูผาใหญ่ ฝากลมให้ช่วยพาไป หอบดวงใจฉันไปหาเธอ' 

......

อิทธิพัทธ์ ชายหนุ่มหน้าคมขับรถไปยังไร่หม่อน "หวานใจ" พร้อมกับฮัมเพลงที่เปิดคลอจากวิทยุเบาๆ เหตุที่เขาต้องมาถึงที่นี่เป็นเพราะ เสี่ยพาทิตย์ เจ้านายของเขาสั่งให้ไปช่วยดูแล เรื่องการชำระหนี้ของผู้สืบทอดรุ่นที่สามของไร่หวานใจ หลังจากเกิดวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการในคาเฟ่และเยี่ยมชมไร่จำนวนน้อยลงจนเจ้าของไร่คนแรกถึงกับต้องกู้เงินมาเพื่อพยุงชีวิตคนในไร่เกือบร้อยชีวิตไม่ให้ตกงาน 

อิทธิเลี้ยวรถเข้าไปในไร่หวานใจ และหาที่จอดหลังจากใช้เวลาขับรถมาจากตัวเมืองเชียงใหม่หลายต่อหลายชั่วโมง กว่าเขาจะถึงไรที่อยู่นอกเขตเมืองเพชรบูรณ์ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

'ว้นนี้คงต้องหาโรงแรมพักแถวนี้ก่อนละมั้งไอ้เผือกเอ้ย' 

เขาจอดรถในที่จอดรถสำหรับลูกค้าของคาเฟ่ ก่อนจะดึงที่ที่บังแดดหน้ารถลงมาส่องกระจกดูแล้วจัดแต่งทรงผมเสียหน่อย เขาสวมถุงเท้าและรองเท้า ก่อนจะก้าวออกจากรถและเปิดประตูเข้าไปในร้านที่เงียบสนิทราวกับไม่มีใครมาเยือนที่นี่มากกว่าสองปีแล้ว เก้าอี้ฝุ่นเขรอะถูกวางคว่ำไว้บนโต๊ะกลม ไฟหน้าร้านก็ปิดมืด แต่แปลกที่ประตูกลับไม่ได้ปิดล็อคเอาไว้ 

เขาเริ่มระมัดระวังตัว มันผิดปกติมากๆในสายตาของคนที่ทำงานกับพวกผู้มีอิทธิพลและกลุ่มโจรที่ต้องระแวดระวังในทุกย่างก้าวอย่างเขา เพราะถ้าหากร้านปิดจริงๆก็ควรต้องล็อคประตูก่อนที่จะออกจากร้าน อย่างน้อยถ้ามีคนอยู่ด้านในก็ต้องล็อคประตูจากด้านในไม่ให้คนนอกเข้ามาอย่างง่ายดายขนาดนี้ เขาเริ่มเอามือไปจับไว้ใกล้ที่เก็บปืนข้างกาย เผื่อว่าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้นำมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว คล้ายจะเป็นโชคดีที่เขายังไม่จำเป็นต้องใช้มันในวันนี้ เพราะอยู่ๆหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนคนหนึ่งก็เดินทะเล่อทะล่าออกมา และกรีดร้องสุดเสียง เพราะเห็นแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขาย่องมาใกล้พร้อมกับกุมด้ามปืนไว้ เขารีบวิ่งไปประชิดตัว เอามือปิดปากเธอไว้หลวมๆก่อนจะใช้นิ้วชี้แนบริมฝีปากเขาเป็นสัญญาณให้เธอเบาเสียงและใจเย็นลงเสียก่อน

"ผมมาดีนะครับคุณ ผมมาหาเจ้าของไร่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ไหนเหรอครับ"

หญิงสาวหายใจสะดวกขึ้นหลังเขาเอามือที่ปิดปากเธอออก ที่จริงเขาก็รู้ว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอที่กรีดร้องออกมาอย่างนั้น แต่เขาจำเป็นต้องทำให้เธอเงียบลงก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมา 

"คุณมาหาคุณไอยศิกาเหรอคะ วันนี้คุณไอย กลับไปที่บ้านใหญ่ในเมือง พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับมาค่ะ" 

"คุณไอยศิกา เขาเป็นเจ้าของไร่เหรอครับ"

"เอ มีญ่าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ว่าเธอเป็นผู้ดูแลไร่ลูกหม่อนที่นี่ เป็นรุ่นที่3 แล้วล่ะค่ะ ถัดจากพี่สาวที่แต่งงานไปเมื่อปีก่อน กับคุณแม่ของพวกเธอ"

"อ๋อ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ ถ้าคุณเจ้าของไร่มา ช่วยแจ้งด้วยนะครับว่าผมมาจากทางเชียงใหม่ เป็นคนของเสี่ยพาทิตย์ มาคุยเรื่องเงินกู้ที่คุณนาเดียเคยกู้มาช่วยไร่นี้เอาไว้น่ะครับ" 

"ได้ค่ะ ว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ" 

"อิทธิพัทธ์ครับ"

เธอเข้าไปหาที่จดโน้ตและปากกาด้านในครัว และเดินกลับออกมาจดข้อมูลติดต่อที่เขาฝากไว้ให้เจ้านายของเธอในวันพรุ่งนี้

"ผมว่าจะกลับมาคุยพรุ่งนี้ ยังไงจดเบอร์ผมไว้ด้วยก็ได้ครับ ว่าแต่แถวนี้มีโรงแรมใกล้ๆมั้ยครับเนี่ย" 

"มีค่ะ แต่ว่ามีญ่าไม่แน่ใจว่าเจ้าของเคียงผารีสอร์ทจะอารมณ์ดีพอจะรับแขกขนาดไหนน่ะค่ะ" 

มีญ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงความไม่แคร์ใครของนายอาคม เจ้าของเคียงผารีสอร์ทที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ไร่หวานใจที่สุดจึงแนะนำให้เขาเป็นที่แรก เช่นเดียวกับที่เคยแนะนำลูกค้าท่านอื่น

"มีที่แบบนั้นด้วยเหรอครับ" 

เขาหัวเราะออกมาเพราะความแปลกใจ ตามปกติแล้วมีแต่คนอยากได้ลูกค้า ใครกันที่จะอินดี้ขนาดอารมณ์ไม่ดีพอก็ไม่อยากจะรับแขก แต่เขาก็ต้องลองไปเสี่ยงดู เพราะนี่ก็เริ่มมืดค่ำแล้ว เขาเตือนให้เธอล็อกประตูจากด้านในถ้ายังไม่กลับบ้าน เพราะช่วงค่ำมีอันตรายมากมายที่อยู่ข้างนอกไรนั่น แต่มีญ่าก็ยืนยันว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น 

"มันก็ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกค่ะ มีญ่าอยู่มาหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องโจร หรือคนร้ายเลย แต่ขอบคุณมากค่ะ มีญ่าจะระวังนะคะ" 

เขากลับไปในรถแล้วเริ่มเปิดจีพีเอสหา เพื่อไปยังเคียงผารีสอร์ทที่มีญ่าแนะนำไปเมื่อครู่ และเพื่อความไม่ประมาท เขาจึงแวะร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มข้างทางเพื่อซื้อของกินง่ายๆและน้ำเข้าไปก่อน หากไม่มีของกินหรือเจ้าของไม่สบอารมณ์จนไม่อยากทำอะไรให้กินจริงๆเขาก็ยังมีเสบียงสำหรับคืนนี้

เขามาถึงรีสอร์ทไวกว่าที่คาดไว้ เมื่อเขาก้าวออกจากรถและเปิดประตูเพื่อจะติดต่อด้านในออฟฟิศ เด็กสาวผมยาวอายุประมาณ20ปีคนหนึ่งก็วิ่งมาต้อนรับพร้อมกับนำอัลบั้มรูปที่มีรูปห้องต่างๆมาให้เขาดูแทบจะทันที

"คุณน้าสนใจห้องไหนคะ" 

เธอพูดเสียงใสแล้วยิ้มให้เขาจนเขายิ้มตามเธอในที่สุด 

"ห้องนี้แล้วกันครับ คืนละเท่าไหร่เหรอ" 

"ห้าร้อยค่ะ มีแอร์ มีไวไฟ มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย" 

แล้วเจ้าของอยู่ไหนวะ....เขาคิดอยู่ในใจแล้วมองไปรอบห้อง

"คุณพ่อไม่สบายค่ะ บอกว่าให้อิงจันทร์มาดูแลแทนก่อน" 

"อ๋อ ครับ ห้องนี้แหละ พี่อยู่แค่คืนเดียว" 

เธอวิ่งไปเอากุญแจห้องมาให้ แล้วขอทำสำเนาบัตรประชาชนเก็บไว้ก่อนเหมือนที่พ่อเธอเคยสอน

"แล้วแม่ล่ะ ไม่สบายเหมือนกันเหรอครับ" 

เด็กสาวหลุบตาลง ก่อนจะยิ้มแห้งๆ

"พ่อบอกว่าคุณแม่เสียชีวิตเพราะมาลาเรียไปสองปีแล้วค่ะ อิงอยู่กับพ่อคมสองคน" 

"อ๋อ พี่ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวนะ พี่ไม่รู้จริงๆ" 

"ไม่เป็นไรค่ะ" 

เธอส่งบัตรคืนให้แล้วส่งน้ำให้เขาสองขวด

"อยากได้หมอนข้างเพิ่มบอกอิงได้นะคะ ใช้โทรศัพท์โทรจากที่ห้อง แล้วกดศูนย์มาเลยค่ะ อิงอยู่ถึงสี่ทุ่ม ช่วงนี้ที่มหาลัยปิดเทอม" 

เขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวที่คอยดูแลรีสอร์ทแห่งนี้แทนเจ้าของตัวจริงมาก เพราะเธอทำให้เขานึกว่าหากนายน้อยโตขึ้นก็คงจะขยันเหมือนเด็กคนนี้ หรืออาจจะน่ารักมากกว่านี้แน่นอน อิทธิเดินไปที่ห้อง201 แล้วใช้คีย์การ์ดเสียบเพื่อเปิดไฟในห้อง ก่อนจะโทรหาคุณพาทิตย์เจ้านายของตนเองเพื่อจะรายงานความคืบหน้าต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้

"สวัสดีครับเสี่ย ผมถึงเพชรบูรณ์ซักพักแล้วครับ"

[อ้าว แล้วนี่กินอะไรรึยัง ที่บ้านฉันมีปาร์ตี้ชาบู ด้วย เสียดายที่นายไม่อยู่มากๆเลย]

"ฮะ.... ฮ่าๆๆ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย อย่าทำให้ผมหิวสิ"

[แล้วนี่ไปพักรีสอร์ทแถวนั้นเหรอ จะเจอคุณไอยเมื่อไหร่ล่ะ] 

"ครับ คงต้องรอพรุ่งนี้เพราะเธอไปบ้านใหญ่ ผมให้พนักงานในคาเฟ่จดเบอร์ผมไว้แล้ว น่าจะไม่มีปัญหา" 

[โอเค นายก็คุยดีๆ แล้วก็เจรจาเรื่องดอกเบี้ยให้ชัดเจนด้วยนะ] 

"ครับเสี่ย ผมจะจัดการให้เรียบร้อย" 

[อย่างนี้สิ สมกับที่ไว้ใจให้เป็นมือขวาจริงๆเลย ใช่มั้ยครับที่รัก] 

พาทิตย์ที่อยู่ปลายสายหันไปคุยกับภรรยาและแอบเล่นกับลูกสาวซักครู่ก่อนจะกลับมาคุยใหม่ 

[นายยังโสดอยู่ใช่มั้ย คุณไอยก็ยังโสดนะ สนใจก็ลองดู ตีหัวลากเข้าห้องไปเลย]

"โห เสี่ย ไม่ดีมั้งครับ ฮ่าๆๆ ผมเป็นคนดีแล้วนะ"

[นึกว่าจะบอกว่าดีเลย.... รีบกลับมานะ นายน้อยคิดถึงคุณลุงแย่แล้ว ใช่มั้ยคะลูก] 

เสียงอ้อแอ้ของเด็กสาววัยขวบต้นๆดังขึ้นมาจากปลายสาย ทำให้อิทธิพัทธ์ยิ้มได้อีกครั้งและนึกถึงเด็กที่มาต้อนรับเมื่อครู่

"แล้วผมจะรีบกลับไปครับ ไม่ต้องห่วง แค่นี้นะครับเสี่ย"

 [อื้ม ฝากด้วยนะ] 

เสียงรถจากที่ไหนซักแห่งดังมา เขาเดาว่าน่าจะมาจากห้องข้างๆ คงจะเป็นแขกอีกรายที่เข้ามาพักที่นี่ล่ะมั้ง เขาได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มสองคนแทนที่จะเป็นเด็กสาว จึงแอบลอบมองจากหน้าต่างห้องนอน สิ่งที่เขาเห็นเป็นชายวัยเกือบห้าสิบ ที่หน้ายังคงความหล่อคมเข้มแบบไทยโบราณ แต่หน้าเขาออกจะดุๆหน่อย ทำให้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมีญ่าจึงห่วงว่าเจ้าของที่นี่จะไม่รับแขก ....

"ห๊ะ อ๋อ ครับ ผมจะมาพักสองคืน... ชื่อคิมหันต์ครับ" 

เขาจับใจความฝั่งเจ้าของรีสอร์ทได้ไม่ชัดนัก แต่ก็คุ้นชื่อของคิมหันต์อยู่นิดหน่อย .... เผือกกลับไปทานข้าวที่อุ่นเรียบร้อยแล้วจากร้านสะดวกซื้อกับน้ำเย็นขวดนึง จากนั้นก็นอนแผ่บนโซฟาแล้วเปิดขนมกินระหว่างดูทีวี เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองปีนไปหลับบนเตียงเอาตอนไหน ตื่นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้ว หลังจากตื่นเต็มตา เขาจึงคว้าเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ วันนี้เขานัดเจ้าของไร่หวานใจเอาไว้ เลยเตรียมชุดที่ดูเป็นทางการเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับสูทสีน้ำเงินที่เนื้อผ้าไม่หนาเกินไปสวมทับไป 1 ตัว ท่อนล่างเป็นกางเกงสีน้ำเงินเข้าชุดกับสูทที่ใส่อยู่เหมือนจงใจนำมาเข้าชุดกันอย่างพอดิบพอดี

หลังจากเช็คเอาท์กับเจ้าของรีสอร์ทเสร็จแล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของรีสอร์ทนั้นมีชื่อว่า อาคม มีลูกสาวหนึ่งคนซึ่งก็เป็นเด็กสาวชื่ออิงจันทร์ที่ต้อนรับเขาเมื่อคืนนั่นเอง 

อิทธิขับกลับไปยังไร่หวานใจที่เพิ่งแวะไปเมื่อเย็นวานอีกครั้ง แต่วันนี้คาเฟ่เปิดตามปกติ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะที่เย็นวานดูฝุ่นจับเขรอะก็ได้รับการเช็ดและจัดเรียงไว้อย่างสะอาดสะอ้านและดูมีดีไซน์มากขึ้น พนักงานสาวคนเดิมยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์รอรับออเดอร์ยามเช้า เมื่อพบว่าเขากำลังจะเดินเข้ามา เธอจึงเดินมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยความคล่องแคล่วในทันที

"สวัสดีค่ะคุณอิทธิ คุณไอยศิกาเข้ามาที่ไร่แล้วค่ะ น่าจะมาที่คาเฟ่ประมาณสิบโมงเช้า"

มีญ่ารายงานเสียงใสและยิ้มให้เขาเล็กน้อย 

"ขอบคุณครับ น้องชื่อมีญ่าใช่มั้ย พี่จำได้ "

"ใช่ค่ะ นั่งรอที่เก้าอี้ก่อนได้นะคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรหรือเปล่าคะ" 

"งั้นผมขอดูเมนูหน่อยแล้วกันครับ"

มีญ่านำใบเมนูมาส่งให้เขาที่โต๊ะ อิทธิเปิดเล่มเมนูก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเรียบๆอย่างระมัดระวัง

"ผมว่าถ้ามีรูปเมนูชัดๆหน่อยแล้วเพิ่มขนาดตัวอักษรสักนิดก็จะดีมากเลยครับ เอาเป็นว่าผมขอน้ำมัลเบอรี่แก้วนึงแล้วกัน" 

มีญ่ารับใบเมนูกลับไปวางที่เคาน์เตอร์ แล้วนำน้ำมัลเบอร์รี่ใส่แก้วสีสวยมาให้เขาแทบจะทันที 

"ขอบคุณครับ" 

เขารับแก้วน้ำผลไม้จากมีญ่าแล้วคิดไปต่างๆนาๆว่า เมื่อเธอเข้ามาเขาควรจะเกริ่นยังไงให้ดูไม่เป็นการทวงหนี้มากจนเกินไป จะใช้เสียงโทนไหนดี รวมถึงสายตาที่ใช้มองเธอควรจะอ่อนโยนแค่ไหน ยังไม่ทันตกลงกับตัวเองได้ เสียงโมบายที่ประตูก็กระทบกันเป็นสัญญาณว่าเขาควรจะตั้งสติแล้วหันไปหาเป้าหมายที่รอคอยมาตั้งแต่เมื่อวาน 

ผู้หญิงที่เดินเข้ามาน่าจะอายุไม่มากนัก 

'น่าจะซักยี่สิบกว่าๆเกือบสามสิบล่ะมั้ง'

เขาประมาณอายุโดยคร่าวๆ ก่อนจะสบตาเธอที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมา ตาสีออกเขียวอมน้ำตาลเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอเป็นลูกครึ่ง ... ไม่มีใครเคยบอกเรื่องนี้ซักคนว่าเธอมีเชื้อสายจากประเทศอื่นด้วย ว่าแต่เธอเป็นคนที่ไหนกันแน่ล่ะเนี่ย ผมที่ออกน้ำตาลอ่อนถูกถักไว้เป็นเปียหลวมๆ เธอเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจับตามองจึงวางของที่เตรียมมาลงบนโต๊ะที่เขานั่งอยู่ และนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะยิ้มให้แขกผู้มาเยือนที่เธอรู้ชื่ออยู่แล้ว

"สวัสดีค่ะคุณอิทธิพัทธ์ ได้ยินว่าคุณมาหาไอยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้โทรแจ้งก่อนว่าต้องไปบ้านใหญ่ด่วน พอดีคุณแม่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่" 

ถึงหญิงสาวตรงหน้าจะดูเหมือนคนต่างชาติ แต่ก็น่าจะเพราะพันธุกรรมบางอย่าง เพราะเธอพูดภาษาไทยชัดซะยิ่งกว่าเขาที่เป็นคนไทยเสียอีก 

'ว่าแต่ตูเป็นคนไทยจริงรึเปล่าวะ' 

เขาคิดในใจ ก่อนจะแนะนำตนเองไปตามมารยาท

"ครับ ผมเองอิทธิพัทธ์ เรียกผมอิทธิก็ได้ คุณน่าจะทราบแล้วว่าเหตุผลที่ผมมาที่นี่เพราะเรื่องที่พี่สาวคุณเคยกู้เงินมาจ่ายให้ลูกน้องเมื่อสองปีก่อน พ่อเลี้ยงพาทิตย์ให้ผมมาสอบถามว่าตอนนี้กิจการเริ่มพอไปไหวรึเปล่าน่ะครับ" 

ความเป็นมือขวาของอิทธิพัทธ์ไม่เหมือนกับมือขวามาเฟียโดยทั่วไป เขาคีพลุคผู้ชายอบอุ่นและมีคำพูด รวมถึงการแต่งกายที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเรื่องยื่นกู้ยืมเงิน หรือการให้คำปรึกษาต่างๆ ก็ดูเหมือนเขาเป็นนักธุรกิจมากกว่ามือขวาเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ทำให้คนที่เขาไป ทวงถามหนี้ รู้สึกไม่เหมือนว่าถูกทวงเงินเลยซักคน

"ต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงพาทิตย์มากค่ะที่ส่งคนมาสอบถามเบื้องต้นแบบนี้ ไอยแอบรู้สึกอบอุ่นแปลกๆนะคะ เนี่ย ฮ่าๆๆ" 

เธอหัวเราะให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้แล้วสบตาเขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ค่ะ โดยรวมก็ดีขึ้นมากแล้ว ล่าสุดก็พอมีคนซื้อของ มาชมไร่บ้าง ส่วนเรื่องหนี้สินเดี๋ยวฟา...เอ้ย ไอยจัดการให้นะคะ" 

"ชื่อเดิมคุณ ไม่ใช่ไอยศิกาใช่มั้ยครับ ผมรู้สึกได้ แล้วก็... ไม่น่าใช่คนไทยแท้ๆด้วย แต่คุณพูดไทยชัดมากเลยนะครับเนี่ย" 

"Terima Kasih ขอบคุณค่ะพี่อิทธิ จริงๆแต่ก่อนชื่อฟารีดาค่ะ พอดีเปลี่ยนชื่อให้เรียกง่ายหน่อย และ ... ค่ะ เป็นลูกครึ่งอินโดนีเซียค่ะ แม่เป็นคนไทย" 

เธอยิ้มให้เขาที่ดูท่าจะมองดวงตาสีเขียวเข้มเจือน้ำตาลอ่อนของเธออย่างไม่ละสายตา แถมมือเจ้ากรรมที่เขาอุตส่าห์พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ประหม่าก็ดูเกร็งไปหมด ...

'แหม คุณพี่นี่เนาะ' 

เธอยื่นมือของตนไปจับมือเขาเพื่อทดสอบว่าเธอคิดถูกรึเปล่าที่ว่าเขากำลังประหม่ากับการเจอหน้าเธอ และอาการตกในภวังค์ของเขาก็ยืนยันว่าเธอคิดถูกจริงๆ 

"ขอโทษครับ คือผมรู้สึกว่าคุณสวยมากๆ ก็เลย ... " 

"คุณเป็นถึงมือขวามาเฟียเชียวนะคะ จะมาหลงลูกหนี้ไม่ได้นะรู้มั้ยคะ คุณจะเสียเปรียบเอานะเนี่ย" 

เธอพูดออกมานิ่งๆแม้ในใจจะรู้สึกสนุกกับการได้เจอของเล่นใหม่ แล้วจัดการส่งอะไรบางอย่างมาที่มือถือของเขา 

"เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรอบแรกจะส่งเดือนหน้า ส่วนที่เหลือจะทยอยส่งทุกเดือนค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ใครๆก็บอกว่าไอยศิกาเครดิตดีมาก ส่วนที่ส่งให้พี่ไป คือไลน์ส่วนตัวของไอยเองค่ะ ถ้าอยากคุย อยากจีบ หรือบ่นอะไรก็ส่งข้อความมาได้ตลอดนะคะ" 

เธอแอบแอดไลน์เขาไว้ตั้งแต่มีญ่าส่งโน้ตให้เธอในไลน์เมื่อคืน น่าจะเพราะเขาหลับไม่รู้ตัวตั้งแต่หัวค่ำ จึงไม่ทันสังเกตเห็น อิทธิหัวเราะให้กับการกระทำที่ดูออกง่ายจนเกินเหตุของตนเอง เขาไม่เคยตกหลุมพรางลูกหนี้ซักคน คนนี้อาจจะเป็นคนแรกที่ทำเขาเหม่อลอยจนหมดท่าขนาดนี้

"จริงๆผมก็กลัวเสียเปรียบเพราะคนสวยตรงหน้านี่แหละ เอาเป็นว่าขอบคุณครับ เดี๋ยวผมแจ้งพ่อเลี้ยงเรื่องการชำระหนี้รอบแรกก่อน ส่วนเรื่องไลน์ของคุณ"

เขาเว้นไปซักครู่ก่อนจะกดรับเป็นเพื่อนแล้วส่งสติกเกอร์แมวให้ตัวนึง 

"ถ้าว่างๆผมจะทักไปนะครับ ขอบคุณที่รู้ใจผมนะคุณไอยศิกา" 

ไอยศิกายิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะบอกลาอิทธิแล้วเดินออกไปจากร้าน เพราะว่าเธอเองก็ต้องไปนำลูกค้าเที่ยวชมไร่ และเขาเองก็ต้องรีบกลับเชียงใหม่เพื่อรายงานให้นายทราบถึงข้อตกลงที่เธอแจ้งมาเมื่อซักครู่และกลับไปทำงานต่อซะที เขานึกเสียดายที่ไม่สามารถจะอยู่ชมความงามทั้งของไร่และเจ้าของไร่ต่อได้อีกนิด แต่เขาก็แน่ใจว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องได้มาอีก จึงไม่ได้รู้สึกค้างคาอะไรเท่าไหร่

.....

ไร่หวานใจ เป็นสวนมัลเบอร์รี่ที่อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ที่มีเนื้อที่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสวนที่เล็กจนเกินไป ฟารีดา เจ้าของสวนคนปัจจุบันที่อายุเพิ่งจะเข้าเลขสามในปีนี้ เป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการไร่ เนื่องจากหลังเกิดวิกฤตโรคระบาด พี่สาวเธอก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงคนงานและพนักงานบางส่วนไหว หลายคนก็เลยกลับบ้าน หรือมีงานใหม่กันหมดแล้ว เมื่อฟารีดาเข้ามาช่วยและสืบทอดงานหลังจากนาเดีย ผู้เป็นพี่สาวที่ไปแต่งงานกับคุณแสน นักธุรกิจจากแม่ฮ่องสอน และย้ายไปเป็นอาซ้อประจำร้านขายขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ถนนคนเดินแทน

ฟารีดายอมเอาหนี้ทั้งหมดรับมาจัดการต่อ แม้จะรู้สึกว่าลำบากพอสมควร แต่พ่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่รายนี้เป็นคนใจดี ขอแค่เครดิตดี ไม่หนี และจ่ายครบ เท่านั้นเอง ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือเธอไม่เคยรู้เลยว่าเสี่ยพาทิตย์ไม่เคยเดินทางไปทวงถามหนี้ด้วยตัวเองซักครั้ง เพราะยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือคนในพื้นที่เคียงคู่กับภรรยาของเขา แต่มักจะส่งนายอิทธิพัทธ์ มือขวามาดนักธุรกิจมาเจรจาเรื่องการส่งเงินกู้ไปตามจังหวัดต่างๆ ยิ่งลูกหนี้เป็นผู้หญิง ก็ยิ่งเข้าทางนายอิทธิเป็นอย่างมาก เพราะเขาจะใช้ทั้งหน้าตา คารม และน้ำเสียง มาหลอกล่อให้สาวๆยอมส่งเงินตามกำหนดได้อยู่เสมอ .... แต่เธอจะไม่ยอมหลงกลตกหลุมพรางเขาเหมือนคนอื่นแน่

เวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก ร่วมสองเดือนหลังจากอิทธิมาเยือนไร่หวานใจ ไอยศิกา(ซึ่งก็คือฟารีดานั่นเอง)ก็สามารถผ่อนเงินกู้ล็อตแรกได้สำเร็จ รวมถึงสะสมเงินไว้บางส่วนเพื่อใช้หนี้ก้อนต่อไป ไร่หม่อนหวานใจมีทั้งคณะทัวร์แบบครอบครัวและพนักงานบริษัทมาเพื่อเก็บลูกหม่อนสดๆจากต้น และเข้าไปซื้อของฝากในคาเฟ่ รวมถึงไอศกรีมซอร์เบต์ลูกหม่อนก็เป็นของที่ไร่ของเธอภูมิใจนำเสนอมาก

ไอยศิกานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนสีขาวที่ตั้งไว้ด้านนอกคาเฟ่หลังจากพาลูกทัวร์เที่ยวชมไร่ด้วยความอ่อนเพลีย เธอมองดูบรรยากาศโดยรอบที่เริ่มครึกครื้นมากขึ้น ทั้งต้นไม้ และผลมัลเบอร์รี่ที่ออกผลสีแดงสดสวยแซมกับสีม่วงเข้มประปรายเต็มไปทั่วทั้งสวน และลูกค้าบางคนก็มักจะเดินเข้ามาคุยกับเธอที่นั่งตรงม้าหินนั้น 

"สวนนี้สวยมากเลยค่ะคุณไอย คราวหน้าถ้ามีเวลาว่างจะกลับมาเยี่ยมชมอีกแน่นอนค่ะ ใช่มั้ยคะลูก"

"ใช่ค่ะ ลูกหม่อนอร่อยมากเลยด้วย"

"ฉันขอพาลูกสาวไปซื้อไอติมก่อนนะคะ"

ผู้เป็นแม่โค้งตัวแล้วดันหลังลูกสาวเข้าไปในคาเฟ่ได้ไม่นานนัก ก็ออกมาพร้อมถือถ้วยไอศกรีมสูตรเด็ดประจำสวนออกมา ไอยศิกายิ้มและมองดูเด็กน้อยกินไอศครีมกันอย่างมีความสุขจนลืมดูมือถือไปเลยว่ามีเสียงแจ้งเตือนจากอิทธิพัทธ์ เมื่อเริ่มเข้าห้าโมงเย็นเธอก็จัดแจงเคลียร์คาเฟ่ จากนั้นก็เก็บมือถือและกระเป๋าเข้าไปในรถ แล้วออกเดินทางกลับไปที่บ้านหลังเล็กที่ปลายไร่เพื่อพักผ่อนจากงานต่างๆที่ทำมาทั้งวัน 

บ้านของไอยเป็นบ้านไม้ขนาดกลางแต่มีการออกแบบให้ออกแนวมินิมอล เรียบหรูด้วยไม้สีเข้มกับกระจกบานใหญ่ ด้านในบ้านจะมีทั้งหมดห้าห้องด้วยกัน ห้องครัวและห้องนั่งเล่นจะมีหน้าต่างและประตูแบบกระจกบานเลื่อน ครัวถูกกั้นออกด้วยฉากกั้นห้องที่ทำจากไม้ไผ่ เนื่องจากเป็นบ้านที่อยู่อาศัยเพียงคนเดียวและไม่ได้ปราณีตกับเรื่องรับประทานอาหารซักเท่าไหร่ เธอจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องสร้างห้องทานข้าวให้วุ่นวาย ไอยศิกาจึงจัดโต๊ะเล็กไว้ทานข้าวในห้องครัว และวางโซฟายาวเพียงตัวเดียวในห้องนั่งเล่น รวมถึงโต๊ะวางของและชั้นหนังสือก็จัดไว้ที่ห้องนั่งเล่นทั้งหมด ห้องนอนจะถูกแยกออกไปชั้นบน รวมถึงห้องน้ำก็จะมีทั้งหมดสองห้อง ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ห้องนอนชั้นบนจะเป็นคล้ายกับโฮมออฟฟิศ มีเตียงสี่เสาพร้อมมุ้งสีฟ้าที่ถูกรวบไว้ตามเสาทั้งสี่ด้าน บ้านของไอยไม่นิยมใช้พรมเนื่องจากมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้อยู่บ่อยๆ จึงปล่อยพื้นไม้โล่ง และมีรองเท้าใส่ในบ้านไว้ใช้แทน 

ชั้นเอกสารต่างรวมถึงโต๊ะทำงานก็วางอยู่บนห้องนอน แต่ก็ได้รับการจัดวางเป็นระบบและสะอาดอยู่เสมอ เพราะจะมีแม่บ้านมาดูแลวันละครั้ง ห้องน้ำชั้นบนจะมีโซนเฉพาะสำหรับอาบน้ำ โดยจะก่อปูนเปลือยที่มีความสูงเกินเมตรเจ็ดสิบเป็นคอกและฝังฝักบัวไว้ที่ด้านหนึ่ง 

'คุณหนูไอยศิกามักชอบให้อะไรๆมันสะอาดและเป็นระเบียบ'

แม่บ้านมักจะบอกอย่างนี้กับเพื่อนทุกคนที่มาเยือนถึงห้องเธอตั้งแต่เรียนจบจนแต่ละคนก็มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว มีแค่ไอยศิกาเท่านั้นที่ยังคงโสดสนิทเพราะเอาแต่ทำงานหาเงินใช้หนี้แทนพี่สาว 

 เหมือนโลกใบนี้จะเริ่มเห็นใจเธอ ไอยศิกาที่เริ่มเคลียร์หนี้เงินกู้ได้บ้างแล้วก็ดูจะมีความสุขกับการเล่นเกมปั่นประสาทกับอิทธิพัทธ์ ชายหนุ่มที่มาพบเธอเมื่อวันก่อนอย่างมาก แต่นานๆเข้า ทั้งสองก็เริ่มจะสนิทกันมากขึ้นทุกทีเช่นกัน

ไอยเปิดดูแจ้งเตือนต่างๆหลังจากอาบน้ำ สระผมและไดร์ผมให้แห้งเรียบร้อยแล้ว เธอคาดไว้ไม่ผิดนักที่เห็นว่าเขาทักเธอมาอีกรอบหลังจากคุยกันไปแล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย

(อิทธิ : คุณๆ วันนี้เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งมั้ย) 

'ก็นิดหน่อยค่ะ คุณล่ะ หายไปสองสามวันเลย งานเยอะเหรอคะ' 

(อิทธิ : นิดหน่อยครับ เพราะคุณจ่ายหนี้ตรง ผมเลยไม่ต้องไปหา เสียดายจัง ผมล่ะคิดถึงคุณจริงๆเลย)

'แหม อะไรกันคะ คุณอิทธิจะจีบไอยรึเปล่าเนี่ย' 

(อิทธิ : ก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ แต่ผมจะต้องเสียค่าสินสอดเยอะแน่ๆ) 

'ลองเล่นเกมกันดูมั้ยล่ะคะ ใครรักใครก่อนถือว่าแพ้ ถ้าฉันรักคุณก่อน คุณก็ไม่ต้องจ่ายสินสอด แต่ถ้าคุณแพ้ คุณต้องจ่ายเท่าที่ไอยเรียกนะ' 

(อิทธิ : โห คุณ .... อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ) 

'ก็แค่ใจแข็งซักนิดซักหน่อย เป็นถึงมือขวามาเฟีย ยังไงก็ต้องคีพลุคให้โหดเป็นปกติอยู่แล้วนี่คะ ไม่น่ายาก' 

(อิทธิ : คุณไอยชอบผู้ชายโหดรึไงครับ)

   ไอยศิกานิ่งไปซักพัก ไม่เคยมีใครถามเธอแบบนี้ซักครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกที่ถามเธอออกมาตรงๆ แต่เธอก็ไม่เคยรู้ตัวว่าชอบคนแบบไหนอยู่ดีน่ะแหละ 

'ไอยชอบคนแบบไหน ไอยก็ไม่เคยรู้หรอกค่ะ ไม่เคยนึกถึงชีวิตที่คบใครซักคนมาก่อนเหมือนกัน' 

(อิทธิ : ผมว่าคุณไอยไม่ต้องรีบหรอก คนที่โสดมานานคงนึกภาพเวลามีคู่ไม่ออกอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เคยมีแฟนจริงจังเหมือนกัน) 

'อ๋อ ค่ะ คุณอิทธิออกจะหน้าตาดี ทำไมถึง...' 

(อิทธิ :  ฮ่าๆ ขอบคุณครับที่ชม ผมล่ะดีใจจริงๆ แต่ผมเคยเป็นคนชั่วมาก่อน ถ้าคุณรู้ คุณอาจจะเกลียดผมมากๆเลยก็ได้นะ) 

'ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว ไอยก็ไม่ได้สนใจว่าอดีตที่เคยมีมันจะเป็นยังไงค่ะ ไอยรักคนที่เข้าใจและพร้อมเดินไปด้วยกัน ทั้งปัจจุบันและในอนาคตมากกกว่า' 

(อิทธิ : แปลว่าคุณจะยอมพิจารณาคนแบบผมงั้นสิ)

'ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ.... ' 

ไอยเว้นช่วงไปซักพักเพื่อสร้างความสงสัยให้กับอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบ 

'ใครรักใครก่อน คนนั้นแพ้ค่ะ' 

(อิทธิ : งั้นได้ครับ ผมจะลองเข้ามาเล่นในเกมแสนอันตรายของคุณเอง) 

2 คนรักเก่า vs คนคุยใหม่

สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าคุณกำลังจะพ่ายแพ้คือการที่คุณลืมตัวไปว่าคุณกำลังก้าวเข้าไปแข่งกับคนที่คุณไม่มีวันชนะ.... 

อิทธิเริ่มรู้สึกว่าเขาประเมินไอยศิกาต่ำเกินกว่าความเป็นจริง เพราะไม่ทันไรเขาก็เริ่มรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมาซะแล้ว แม้เวลาจะเพิ่งผ่านไปไม่นานหลังจากได้พบหน้าเธอในครั้งนั้น แต่เขาก็กระวนกระวายจนทำให้พาทิตย์เริ่มสงสัยว่าเขากำลังมีอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่

"พี่อิทมีอะไรที่อยากจะบอกผมรึเปล่าครับ ทำไมช่วงนี้ถึงดูลนๆ ดูไม่นิ่งเหมือนเมื่อก่อนเลย" 

พาทิตย์มองมือขวาคนสนิทที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนผิดวิสัยอยู่ในห้องทำงาน เขาทั้งรู้สึกสงสัยและแอบจับพิรุธในเวลาเดีนวกัน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอิทธิไม่มีทางที่จะทรยศหักหลังเขา แต่ก็ห่วงว่าคนของเขาจะมีปัญหาอะไรจุกจิกรึเปล่า เช่น เรื่องของผู้หญิงเป็นต้น 

"อ่า คือผม..." 

อิทธิพัทธ์เริ่มตอบตะกุกตะกัก เขาไม่คิดเลยว่านายของเขาจะมองท่าทีออกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในความรู้สึกที่เคยด้านชานี้ แล้วอยู่ดีๆนายก็วางปืนที่ไม่เคยนำมาใช้ไว้บนโต๊ะ 

'ตายxxแล้วกู' 

"เอายังไงดีครับ พี่อิทจะบอกผมได้รึยัง" 

พาทิตย์กุมขมับแล้วมองคนตรงหน้าด้วยแววตาคาดคั้นและกดดัน แม้อิทธิจะรู้สึกกลัวด้านที่เขาเดาทางไม่ออกของคุณพาทิตย์แต่ก็พูดความจริงออกมาในที่สุด เมื่อ นาย ได้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็หัวเราะออกมาแล้วเอาปืนเก็บลงลิ้นชักโต๊ะตามเดิม 

"นี่คุณ แต่ไหนแต่ไรคุณไม่เคยคลั่งรักลูกหนี้แบบนี้นะ มันเกิดอะไรขึ้น เธอคนนั้นสวยถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกขนาดนั้นเลยเหรอครับ" 

"โห เสี่ย .... น้องเขาไม่ได้แค่สวยน่ะสิครับ ทั้งเก่งแล้วก็อ่านเกมผมขาดตลอดเลย ผมต้องแพ้แน่งานนี้" 

"ไปหาทำดวลอะไรไว้ล่ะครับ"

"....ก็เธอบอกผมว่าใครรักใครก่อนจะแพ้นี่ครับ"

"พี่อิทก็ลองทำแบบนี้สิ..." 

พาทิตย์แนะนำมือขวาคนสนิทถึงการอ่านใจสาวๆที่เขาเคยทำมานักต่อนัก หมายถึงก่อนที่เขาจะเจอน้องมิ้ล ภรรยาคนสวยที่คล้ายว่าจะเริ่มโหดพอๆกันแล้วในตอนนี้

"ดีเลย ผมจะลองใช้วิธีนั้นดูนะครับ" 

อิทธิมองว่าคำแยะนำนั้นอาจจะช่วยเขาได้ แต่ก็ยังมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อยอยู่ในใจ ซึ่งพาทิตย์เองก็พอจะอ่านท่าทางของมือขวาคนสนิทออกแต่ก็ได้แค่เพียงพูดให้กำลังใจเท่านั้น

"สู้ๆนะพี่ ยังไงเธอก็ไม่รอดเงื้อมมือพี่หรอก วิธีนี้ผมใช้มาเยอะแล้ว" 

พาทิตย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับอิทธิที่ยิ้มอ่อนอยู่ใกล้ๆ แล้วก้มอ่านรายงานการร้องเรียนต่างๆที่มีคนส่งเข้ามา และหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง

"คุยอะไรกันคะเหล่าจิ้งจอก แล้วนี่ใครจะไม่รอดคะพี่ทิตย์" 

เหล่าจิ้งจอก ของหนูมิ้ลมองตากันแล้วยิ้มออกมาแบบรู้กันเองเพียงสองคน

"ผมไปทำงานต่อดีกว่าครับ โชคดีนะครับเสี่ย" 

"คุณจะรีบทิ้งผมไปไหนเนี่ย ผมเหงานะ" 

"ไปทำตามแพลนน่ะสิครับ แล้วก็ทำงานด้วย ยังตรวจสอบบัญชีไม่เสร็จดีเลย" 

"อ้าว นี่พี่อิทรับงานตรวจสอบบัญชีด้วยเหรอคะ"

หญิงสาวเท้าเอวแล้วมองหน้าสามี

"พี่ทิตย์ทำไมไม่เคยบอกมิ้ลล่ะ มิ้ลกลับมาทำงานนี้ได้แล้วนะ ลูกสาวเราก็เริ่มโตแล้วด้วย"

มิ้ลที่เคยรับผิดชอบงานตรวจสอบบัญชีถึงกับโวยออกมา นั่นเป็นเพราะการดูแลลูกสาวเพียงอย่างเดียวทำให้เธอที่เคยเป็น Working woman เบื่อจะแย่อยู่แล้ว 

"ก็พี่อยากให้เธอคอยดูแล แล้วก็สอนลูกของเราตั้งแต่ตอนนี้ จะได้โตมาเป็นคนดี คนเก่ง แล้วก็พร้อมมาสืบทอดอำนาจของพวกเราไงคะ" 

.......

เสียงของทั้งสองเบาลงเมื่ออิทธิเดินออกมาจากห้องทำงานของพาทิตย์เพื่อเคลียร์งานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบต่อให้จบ เขายอมรับว่าแต่ก่อนคุณหญิงมานิตาเป็นนักตรวจสอบบัญชีที่ละเอียดมาก แต่ช่วงที่เธอต้องดูแลนายน้อยของเขา เธอเริ่มนอนน้อยและมีอาการเหนื่อยและเพลียได้แทบทั้งวัน เขาควรจะมาช่วยในด้านนี้ และปล่อยให้เธอได้พักเสียบ้าง 

'แต่การที่จะให้นายน้อยที่เป็นผู้หญิงมาสืบทอดตำแหน่งมันยังไงอยู่นะเนี่ย'

ทันทีที่เขาเดินไปถึงที่ห้องทำงานส่วนตัว เลขาฯหน้าห้องคนสวยของเขาก็ปรี่เข้ามารายงานถึงเรื่องที่จัดการเอกสารที่ต้องให้นายพาทิตย์เรียบร้อยแล้ว เขาจึงบอกว่าเดี๋ยวจะเดินไปส่งด้วยตนเองและเข้าไปเช็คงานที่เหลืออยู่ไม่มากนักบนโต๊ะทำงานสีขาวด้านในห้อง อิทธิมองว่าบ้านนี้เป็นบ้านที่อาจจะดูแปลกไปหน่อย เพราะขนาดเขาที่เป็นเพียงมือขวามาเฟียยังมีเลขาฯส่วนตัว แถมมีห้องทำงานให้ด้วย ก็ปกติที่อื่นมันมีซะที่ไหน

'มันต้องออกไปบู๊แหลกไม่ใช่เหรอวะ' 

มันก็จริงที่มาเฟียบ้านนี้เป็นสายนักธุรกิจที่เน้นการมีคอนเนคชั่นทางการค้ามากกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ดังนั้นงานหลักของบ้านจะมีสองอย่าง คือการรับฟังข้อร้องเรียนจากคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคุณหญิงมานิตา กับ การจัดการด้านเงินทุนหมุนเวียนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยตามพื้นที่ต่างๆที่คุณพาทิตย์รับผิดชอบ 

เขาจะออกไปทำงานนอกพื้นที่ก็ต่อเมื่อมีสายมาแจ้งว่ามีข้อร้องเรียนเรื่องวัยรุ่นตีกัน บ่อนการพนันที่ทำผิดกติกา หรือการค้าประเวณีผิดกฎหมายเท่านั้น นอกนั้นเขาจะเป็นนักธุรกิจที่คอยดูแลควบคุมการชำระเงินกู้ และการให้คำแนะนำกับผู้ที่มีปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงตามกำหนดเท่านั้น 

เขามองมือถือของตัวเองนิ่งๆแล้วส่งสติกเกอร์แมวให้กับไอยศิกา 

(อิทธิ : คุณเงียบไปแบบนี้ แสดงว่าจะให้ผมทักไปก่อนใช่มั้ยล่ะ ได้ครับ ครั้งนี้ผมจะยอมทักก่อนก็แล้วกัน) 

ข้อความไปถึงไอยศิกาในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่เธอยังคงเงียบ ไม่ยอมส่งอะไรกลับไปหาเขาเหมือนแต่ก่อน

ไอยศิกาเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้ทัน เธอเริ่มคิดแผนการใหม่ที่แยบยลกว่า และเชื่อว่าครั้งนี้เธอจะพลาดไปรักเขาไม่ได้เด็ดขาด

'.... ใครจะไปยอมให้เกมมันจบเร็วขนาดนั้นกันล่ะ' 

ไอยมองนาฬิกา ตอนนี้เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว มีญ่าเคลียร์ยอดขายและนำรายงานยอดขายมาส่งก่อนที่จะกลับบ้านไปเมื่อครู่นี้เอง เหลือแค่เธอที่ยังคิดไม่ตกว่าจะสร้างกับดักอะไรดี และเขาก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง 

(อิทธิ : อีกสามวันผมว่างนะ เดี๋ยวไปหา) 

ไอยศิกาเบิกตาโพลง มันแย่แน่ที่เขาจะมาเจอเธอในวันที่เธอยังคิดไม่ออกว่าควรจะสร้างกับดักอะไรดีเพื่อให้เขาหล่นตุ๊บลงไป เพื่อที่เธอจะได้ไม่เสียโอกาสที่จะได้สินสอดและนำไปใช้หนี้จนครบซักที 

'หรือไม่แน่ อาจจะเป็นฉันนี่แหละ ที่โดนเขาผลักลงไปก่อน' 

ไอยพิมพ์ข้อความส่งกลับไป

ไอย : เจอกันนะคะ มีหลายที่เลย ที่อยากพาคุณไป

(อิทธิ : ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมไปได้แค่สองวัน คงไปได้ไม่กี่ที่หรอก) 

บุคคลปลายทางกำลังขมวดคิ้วยุ่งเหยิง แล้วเอามือกุมขมับ เขาเชื่อว่าเธอมีแผน แต่เขาก็ตั้งใจจะเอาแผนของตัวเองไปใช้ เอาล่ะ มันก็ต้องลับคมซักนิดแล้วนะเผือก แกต้องสู้สิวะ

 ......

เวลาผ่านไปไวจนน่าตกใจ และแล้ววันที่ทั้งเขาและเธอตั้งตารอคอยก็มาถึงในที่สุด ไอยศิกาเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้เขาตื่นตาตื่นใจ แต่งหน้าเบาๆแบบเกาหลี เพราะอย่างน้อยถ้าเขาเห็นว่าเธอน่ารัก เขาก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนครั้งแรกที่พบกันแน่ๆ แต่ใช่ เธอคิดผิด ผิดมากเลย เพราะเขาเองก็เตรียมตัวมาดีไม่ให้น้อยหน้าคุณเจ้าของสวนที่แสนสวยอยู่แล้ว 

ในวินาทีที่เขาก้าวลงจากรถ ทั้งผมที่เซ็ตมาอย่างดี แถมสูทสีครีมที่สั่งตัดเพื่อวันนี้โดยเฉพาะก็ทำให้เขาดูผ่องและราศีจับยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขาเดินทางมาเจอเธอที่นี่เสียอีก 

'เหอะ เดี๋ยวเถอะ แข่งไปแข่งมา สุดท้ายคงรักกันจนลืมข้อตกลงกันไปเองน่ะแหละ' 

เขามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนหวาน และแอบยิ้มอ่อนภายใต้หน้ากากอนามัยสีขาวนั่น .... 

'ใครจะไปยอมให้เธอได้เปรียบอยู่คนเดียวล่ะ แม่สาวน้อย' 

ทั้งไอยศิกาและอิทธิพัทธ์ต่างก็มองตากัน แอบส่งความหวานใส่กันประหนึ่งจุดชนวนสงครามและขบเคี่ยวกันอยู่ในทีตลอดเวลาที่เดินทางไปในรถ ไม่ว่าจะใครเป็นคนขับ หรือจะไปไหนดี อยากกินอะไร ทุกเรื่องดูเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากและวุ่นวาย แต่เมื่อถึงเป้าหมาย ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันมาตลอดก็หายไปหมด มีแต่ความสนุกสนานที่ต่างคนต่างก็เสพให้สมกับที่เป็นวันพักผ่อน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเริ่มมองเธอด้วยความรู้สึกดีที่มาจากใจจริงๆตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอยศิกาเองก็เช่นกัน เธอลืมไปหมดแล้วว่าเธอต้องทำตามแผนที่คิดไว้แทบทั้งคืนจนตาโหลเป็นแพนด้า เธอต้องมานั่งทาคอนซีลเลอร์ปกปิดรอยใต้ตาและแต่งหน้าเกือบครึ่งชั่วโมงแหน่ะกว่าจะปิดมันได้

"พี่อิทคะ ... พี่อิท" 

ไอยศิกาสะกิดชายหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่นานจนลืมกาแฟที่สั่งไปเมื่อครู่

"มอคค่าชืดหมดแล้วนะคะ พี่คิดอะไรอยู่เนี่ย" 

"อ๋อ พี่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะแหละ ขอบคุณนะไอยที่ดึงสติไว้ ไม่งั้นลอยไปไหนต่อไหนแล้วไม่รู้" 

เขายกแก้วมอคค่าเย็นขึ้นมา แล้วดูดจนหมดแก้ว ฉับพลันเขาก็เหมือนจะเห็นคนนั้นที่เขาเคยพบที่เคียงผารีสอร์ทกำลังตกที่นั่งลำบาก จะว่าไปนายนั่นมีศัตรูที่นี่ด้วยเหรอ ...  

"เฮ้ย! นี่มันมือขวาเก่าไอ้เสี่ยแพทนี่หว่า ทำไมมาเดินเปื่อยแถวนี้วะ ตกงานเหรอ" 

นักเลงที่สวมชุดบอลคนนึงเดินมาผลัก แต่ก็ถูกนายคนนั้นเตะจนล้มลงไปกับพื้น

"มือขวาแล้วไงวะ กูว่างงาน แต่กูมีเงินใช้ละกัน อย่ามาเจือก" 

"ไอ้xxx .... กล้ากับกูเหรอวะ ได้ๆๆ เดี๋ยวกูจะสั่งสอนเองว่าใครใหญ่สุดในจังหวั-- อั๊กก" 

ถึงร่างจะกำยำ แต่การถูกจู่โจมแบบไม่ตั้งตัวก็ทำให้มันล้มลงไปในทันที ตามด้วยเสียงหาวเหมือนคนนอนไม่พอแบบชิลๆของผู้ชนะในศึกนี้

"เอาล่ะค่ะ ถึงเวลาวัดกันแล้ว ว่าตกลงใครกันแน่ที่ใหญ่ที่สุด" 

เสียงนุ่มๆของหญิงสาวดังขึ้นเหนือร่างของมัน เท้าข้างนึงยังอยู่ที่พื้น ส่วนอีกข้างเหยียบตรงกลางหลังพอดิบพอดี

อิทธิมองไปข้างๆก็พบว่าไอยศิกาหายไป แต่ฉับพลันเขาก็ได้คำตอบว่าคนข้างๆเขาหายไปไหน ไอยศิกาที่ใช้เท้าเหยียบลงบนอกของนักเลงคนนั้นกำลังกดเบอร์อะไรซักอย่างแล้วทำท่าโทรหาใครซักคน 

"พี่ มาจับไอ้เส็งที มันมากร่างแถวบ้านไอยอีกแล้ว เอาน่า ก็ถือว่าช่วยรุ่นน้องไงพี่ ค่ะ" 

เธอเอากุญแจมือออกมาจากกระเป๋าแล้วจัดการรวบทันที แถมด้วยการจิกหัวมาแล้วเอาน้ำในมือเธอราดลงไป 

'.... อื้ม นี่คงไม่ใช่แผนใช่มั้ย ถ้าใช่พี่ยอมแล้วก็ได้' 

อิทธิที่มองหญิงสาวว่าใสๆน่ารักเริ่มเปลี่ยนมุมมองไปในทันที หรือความจริงแล้วเธอเป็นคนแบบนั้นมาตั้งแต่แรกวะ

สิบนาทีกว่าๆก็มีตำรวจมารวบไอ้เวรนั่นไป ไอยศิกาเดินกลับมาหาเขาที่โต๊ะด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ส่วนเจ้ามือขวารายนั้นก็หนีหายไปไหนซักแห่งแล้ว

"เป็นยังไงบ้างคะ เท่มั้ย" 

ไอยศิกาถามขำๆ ก่อนจะบอกเขาว่าเธอคือสายตำรวจ และช่วยรุ่นพี่คนสนิทของเธอตามจับพวกนักเลงท้องถิ่นมานานแล้ว ... 

"แล้วทำไมต้องไปช่วยเขาล่ะ งานมันเสี่ยงออก" 

อิทธิค้านขึ้นมาแ้วยความเป็นห่วง แต่ก็กักคำว่าเป็นห่วงเอาไว้ก่อน 

"ก็เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยไงพี่อิท" 

"รุ่นพี่... ผู้หญิงหรือผู้ชาย" 

"จะเป็นเพศอะไรแล้วพี่จะสนทำไมเล่า!!" 

ไอยศิกาเดินออกไปเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ถูกถามเมื่อครู่ ก็รู้อยู่หรอกว่าหวงน่ะ แต่นายจะหวงฉันกับพี่ที่เป็นเกย์ไม่ได้รึเปล่าวะ 

ไอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนจะเอะใจขึ้นมา

' ... เดี๋ยวนะ เขาหวงฉันเหรอ?! แปลว่าแผนการนี้เวิร์คน่ะสิ เอาล่ะ ลุยต่อ' 

เธอสยายผมก่อนจะนำน้ำหอมขวดเล็กออกมาฉีดพรมเพิ่ม จู่ๆมือถือเจ้าปัญหาก็ดังขึ้นมาเป็นเพลงแฟนเก่าคนโปรด... หน้าพี่อลัน ชายหนุ่มสายอปป้าที่เลิกกับเธอเพราะบ้างานวิจัยจบป.เอกจนไม่มีเวลาให้ก็ลอยขึ้นมาในความคิดของเธอในทันที ... จะโทรมาอวดงานวิจัยรอบที่สามสิท่า 

"สวัสดีค่ะ พี่ลัน"

"อัย ยูไม่ค่อยรับสายพี่เลยนะ" 

ปลายสายส่งเสียงคล้ายกับว่ากำลังน้อยใจที่เธอปัดสายเขาทิ้งเกือบสิบครั้ง... ก็โทรมาล่าสุดพ่นแต่ศัพท์เฉพาะทางชีววิทยา ใครจะไปรู้เรื่องเล่า!!! 

"ขอโทษทีค่ะ ก็อัยงานยุ่งนี่นา ช่วงนี้ที่ไร่เริ่มมีลูกค้าแล้วด้วย" 

"อ้าวเหรอ ดีใจด้วยนะ เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว พี่ก็สบายใจ เออใช่ นี่พี่อยู่แถวร้านที่อัยชอบเลยนะ เพิ่งกลับมาเมื่อวาน ว่าจะไปหาอยู่" 

ไอยยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก เพราะเธอเองก็เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นเขาเดินมาหน้าร้านอย่างพอเหมาะพอเจาะ ... แล้วก็เดินเข้าร้านไปเมื่อสองนาทีที่แล้ว 

'... อืม นี่แกคงก้าวขาผิดข้างออกจากบ้านสินะไอยศิกา ต้องซวยอะไรเบอร์นี้วะ'

อลันที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนหาว่าเป็นตัวซวยหันหลังมาสังเกตการณ์ไปรอบๆร้าน เขาใส่กางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อคอกลมสีน้ำตาลอ่อนเบาๆสบายๆ และใส่ผ้าใบแคชชวลสีฟ้า 

'ยังเทสดีเหมือนเดิมเลยนะพ่อคุณ' 

ไอยศิกาคุ้นเคยกับการแต่งตัวแบบนี้ของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันดูง่ายแต่แฝงความเจ้าสำอางค์ของเขาได้ไม่มิดเท่าไหร ไม่ว่าจะเสื้อที่เรียบกริบ หอมกรุ่นไปด้วยน้ำหอมผู้ชายที่ไม่แรงเกินไป กับกางเกงที่สะอาดเกินกว่าจะเป็นกางเกงยีนส์... แถมเซ็ตผมซะเนี๊ยบคล้ายว่าชวนสาวมาด้วย และแล้วสิ่งที่ไอยไม่ต้องการให้เกิดมันก็เกิดขึ้นจนได้ 

"อ้าว ทำไมเมื่อกี๊ไม่บอกว่าอยู่ที่ร้านล่ะ" 

"เอ่อ คือพอดีมากับ--"

ไอยศิกาอึกอัก พยายามมองหาอิทธิไปทั่วร้าน

"เขามากับผมน่ะครับ คุณเป็นใครครับ รู้จักน้องไอยตั้งแต่เมื่อไหร่" 

อิทธิเดินเข้ามาโอบไหล่ไอยศิกาที่กำลังอึดอัดใจจากคำถามของคนที่อยู่ตรงหน้า นายนั่นแต่งตัวดีแต่ก็พูดจายังกับตัวเองเป็นเจ้านายของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเขางั้นแหละ 

"ผมชื่ออลัน เป็นแฟนเก่าของน้องไอยครับ แล้วคุณล่ะใคร เป็นแฟนใหม่ยัยนี่ล่ะสิ" 

อลันเริ่มวางมาดด้วยความที่คิดว่าอีกฝั่งคงไม่ได้มีดีเท่าเขาแน่ๆ 

"พี่ก็เพิ่งรู้นะว่าน้องไอยชอบผู้ชายหน้าคม ไม่ใช่อาตี๋แบบพี่ คงเพราะแบบนี้ถึงขอเลิกกันล่ะสิ" 

"พี่ลันพูดมากไปแล้วนะคะ" 

"มากไปตรงไหนไอย พี่ก็พูดตามที่คิดน่ะแหละ หรือที่เลิกไปก็เพราะไอ้ผู้ชายคนนี้ ถ้าพี่ไม่ใช่สเป็คจะมาคบทำไมล่ะ"

"คนอย่างพี่ก็คบกับงานวิจัยไปเถอะค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องกลับมาหาไอยเลยนี่คะ ถ้าเรียนสูงแต่อยู่กับใครไม่ได้ ก็อยู่คนเดียวไปแล้วกัน" 

ไอยจงใจเดินชนอลันแล้วคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากร้านไป อิทธิวิ่งไปคว้ากระเป๋าตัวเองแล้วตามเธอไปเช่นกัน แต่ก็หาไม่เจอแล้วว่าไอยวิ่งไปที่ไหนกันแน่ เขาเดินหาเธอไปทุกที่ ก่อนจะเห็นไอยยืนกุมขมับอยู่ตรงที่รอรถสองแถวที่จะกลับเข้าไร่ 

"ขอโทษนะที่พี่ช่วยอะไรไอยไม่ได้เลย" 

"ไอยก็ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่หรอก พี่อิทไม่ผิดนะคะ ไอยต้องขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่ออกตัวช่วยไอยเอาไว้"

"เป็นแฟนเก่าที่แย่เหมือนกันนะ" 

ไอยส่ายหน้า 

"เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้หรอกค่ะ แต่ก็หมกมุ่นกับงานมากไป ไอยเตือนแล้วว่าให้พักบ้างก็ไม่ฟัง แต่พอป่วยก็มาโทษว่าไม่ยอมดูแล" 

อิทธิมองไอยที่ยืนทำหน้าเบื่อหน่ายด้วยความเป็นห่วงว่าภายใต้หน้ากากอันนิ่งเฉยนั้น เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ความจริงแล้วไอยก็แค่คิดว่า จริงๆแล้วเธอก็ตกหลุมรักนายอิทธิไปแล้วแน่ๆ แต่เธอจะไม่ยอมสารภาพหรอกว่าตัวเองแพ้น่ะ จนกว่าจะจวนตัวจริงก็จะไม่ยอมเด็ดขาดเลยด้วย 

แต่ปัญหาจวนตัว มักจะมาตอนที่ไม่ได้ตั้งตัวเสมอ ไอยศิกาแยกกับเขาที่ร้านของตัวเองในไร่หวานใจ และเธอไม่มีทางรู้เลยว่าจากนี้ไป เธอเป็นฝ่ายที่ต้องช่วยเหลือและปกป้องเขาบ้างแล้ว 

อิทธิพัทธ์กลับมาที่เคียงผารีสอร์ทอีกครั้ง และพบกับคุณอาคม เจ้าของรีสอร์ทที่ช่วงนี้แข็งแรงดีกว่าวันก่อนมาก เขาเข้าพักโซนที่เงียบสงบ แทบไม่มีใครเข้าไปพักเท่าไหร่ แม่อิงจันทร์ลูกสาวคุณคมเตือนเขาว่ามันอันตรายเพราะเคยเจอโจรป่าดักปล้นลูกค้าที่พักโซนนั้นมาแล้ว จนต้องปิดรีสอร์ทเพื่อความปลอดภัยไปซักพักตามคำสั่งจังหวัด 

ค่ำคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีแสงจันทร์สาดส่อง เสียงย่องของใครซักคนเดินวนรอบนอกห้องทำให้อิทธิเริ่มระวังตัว เขาเช็คทุกจุดว่าล็อคดีแล้ว ก่อนจะเตรียมปืน เสียงรถของลูกค้าที่เข้าพักส่วนหน้าทำให้เสียงเดินของคนด้านนอกเงียบไป แต่ไม่นานนักก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่อยู่ด้านนอก

'ไม่น่าใช่น้องอิง ...ลูกค้าใหม่เหรอ' 

เขามองที่ตาแมวและหน้าต่างก่อนจะออกไปด้านนอก มีเสียงเอะอะของผู้ชายดังออกมาจากออฟฟิศ น่าจะมีโจรมากกว่าหนึ่งคนเท่าที่ประเมินได้ในตอนนี้

ปัง!!  

เสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงโอดโอยและเสียงกรีดร้องที่มาจากอิงจันทร์ เขารู้แน่ชัดเพราะเธอเรียกชื่อพ่อเธอถึงสามครั้ง เสียงร้องไห้ของหญิงสาวทั้งสองทำให้เขาอึดอัดจนต้องวิ่งเข้าไปด้านในออฟฟิศ

'เอาวะ เป็นไงก็เป็นกัน' 

เขาแอบส่งข้อความให้กับไอยศิกาเรียบร้อยแล้วและหวังว่าตำรวจจะมาทัน แต่เขาไม่คาดหวังว่าเธอจะมาด้วยหรอก 

"เห้ย! ไอ้ผีเมืองมา หนีเร็ว"

"จะหนีไปไหนวะ" 

เขาตะโกนออกมาแล้วยิงไปที่ขาของโจรคนนึงที่วิ่งไปที่ประตู แต่อีกคนที่ไหวตัวทันหยิบปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่อกของอิทธิ ก่อนจะลั่นไกออกมา 

ปัง!! 

เลือดสีแดงฉานซึมออกมาเปื้อนเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่ทีละนิด อิทธิล้มลง และดันนึกถึงสีหน้าผิดหวังของไอยศิกาขึ้นมา ในตอนนั้น เขารวบรวมแรงฮึดสุดท้ายและยิงไปที่ท้องของโจรที่ยิงเขาไปเมื่อซักครู่ คุณคมเจ้าของรีสอร์ทแน่นิ่งไปซักพักแล้ว โดยมีลูกสาวประคองเขาไว้ไม่ห่าง 

'ถ้ามีคุณอยู่ตรงนี้ก็คงดี' 

เขายิ้มให้กับความคิดโง่ๆนั่น ใครเขาจะยอมออกมากลางดึกเพื่อคนอย่างเขาล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย สติวูบสุดท้ายหมดลงเมื่อได้ยินเสียงหวอจากรถพยาบาลและรถตำรวจ เขาหลับตาลงไปพร้อมกับความสบายใจและเสียงที่ไม่คาดฝันก็ดังขึ้น

"พี่อิท!! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ ไอยอยู่นี่แล้วนะ เดี๋ยวหมอก็พาพี่ไปรักษาแล้ว ทำใจดีๆไว้นะคะ" 

'นี่มันสวรรค์รึเปล่านะ สงสัยนางฟ้าคงให้พรเราอยู่ล่ะมั้ง' 

อิทธิหมดสติไป ทุกอย่างดำมืดไปหมด 

.....

วันต่อมา ที่โรงพยาบาล

อิทธิยังคงนอนอยู่ในห้อง ICU เนื่องจากต้องให้เลือดแทนที่ส่วนที่เสียไปจนเป็นอันตรายต่อค่าความดันโลหิต หมอที่แผนกฉุกเฉินแจ้งกับไอยศิกาว่าเลือดของเธอเข้ากันได้กับเขา แต่ก็อาจไม่ต้องใช้ เพราะในธนาคารเลือดก็ยังพอมีเหลืออยู่ 

'หากฝืนผ่าตัดก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้' 

หมอแจ้งไว้อย่างนั้น ทำให้ไอยศิกาเริ่มกังวลและโทรหาพาทิตย์ด้วยตนเอง เพราะเธอคิดว่าควรจะแจ้งเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงคนของตนเองมากนักและรู้ว่ามีคนคอยดูแลอยู่.... 

{อ้าว คุณไอยเหรอครับ ทำไมใช้มือถือพี่เผือกโทรมาล่ะครับ มันไปโดนยิงที่ไหนมา}

เสียงปลายสายดูร้อนรนเพียงเล็กน้อย แต่เดี๋ยวนะ รู้ได้ยังไงว่าใครโทรไปน่ะ

"พอดีมีโจรป่าดักทำร้ายคนในรีสอร์ทแถวนั้นน่ะค่ะ เขาไปช่วยเลยโดนลูกหลงไปด้วย" 

{อ๋อ เป็นคนดีนี่เอง สงสัยสวรรค์เริ่มจะให้กำลังใจแล้วล่ะครับ ไม่ต้องห่วงไป ถ้ามีคุณอยู่ พี่เผือกคงจะหายไวกว่าปกติ}

"มีเรื่องแปลกๆแบบนี้ด้วยเหรอคะ"

{เขาชอบคุณนะ ชอบมากเลยล่ะ ผมฝากดูแลมือขวาผมด้วยแล้วกันครับ ผมต้องทำงานแล้ว เดี๋ยวผมจะไปเร็วๆนี้แล้วกันนะครับ}

"ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ" 

พ่อเลี้ยงพาทิตย์เป็นคนแบบนี้เองสินะเนี่ย พี่อิทถึงได้ยอมตายเพื่อนายขนาดนั้น แต่การช่วยคนแบบนี้มันไม่ระห่ำเกินไปรึไง

......

ในขณะเดียวกัน ที่ห้องพักฟื้นชั้นสี่

"คุณอาคมครับ จะส่งคนไปกำจัดโจรพวกนั้นเลยมั้ยครับ ที่บังอาจมาบุกถึงที่รีสอร์ทขนาดนี้" 

ชายหนุ่มวัยกลางคนยิ้มเย็น ผมเพ้าที่เริ่มยาวมีสีเทาดอกเลาแซมไปทั่วถูกเซ็ตไว้อย่างดี 

"ยังไม่ต้อง ส่งดอกไม้นี่ไปขอบคุณน้องไอยศิกากับคนที่มาช่วยลูกสาวฉันก่อน ที่เหลือเดี๋ยวค่อยว่ากัน

"ครับนาย เอ่อ ผู้หญิงคนนั้นมานอนเฝ้านายตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้วครับ นายพอจะ--" 

"เดี๋ยวฉันถามเอง นายไปทำธุระเถอะ" 

อาคมถูกยิงเฉียดไปแค่เล็กน้อยจึงไม่มีกระสุนฝังจนต้องผ่าตัด แต่ก็ทำให้เลือดซึมออกมาพอสมควร อิงจันทร์กลับไปติดต่อกับตำรวจเรื่องการตามจับโจรแต่เช้าแล้ว จึงไม่ได้อยู่เฝ้า จะมีก็แต่เธอคนนี้ที่ยังนอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆเตียงเพียงคนเดียว

'คุณสิตา ทำไมถึงต้องทำดีกับผมขนาดนี้ด้วย'

เขานั่งมองหญิงสาวที่หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ตาที่ดูล้าและลึกโหลแสดงว่าแทบจะอยู่เฝ้าเขาทั้งคืนจนร่างกายประท้วง

เธอสะดุ้งตื่นด้วยเสียงปิดประตูของลูกน้องนายอาคมที่อยู่เป็นเพื่อนเธอเฝ้าดูแลอาคมทั้งคืน ก่อนจะยิ้มหวานให้เขาที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย

"สวัสดีค่ะคุณอาคม ฉันชื่อสิตา เป็นแพทย์ประจำตัวของคุณเองค่ะ"  

3 การหนีไปไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

...คำเตือน...

   มีการบรรยายถึงอารมณ์ที่มาจากความผิดปกติทางจิต และความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายอยู่เป็นช่วงๆ รวมถึงอาการหลอนจากความรู้สึกผิดจากการ กระทำที่รุนแรงต่อเหยื่อในอดีต ซึ่งอาจจะกระตุ้นความรู้สึกของผู้ที่มีความอ่อนไหวและมีภาวะจิตที่ไม่คงที่ ดังนั้น หากคิดว่าอ่านตอนนี้แล้วอาจจะมีความเสี่ยงที่อาการที่เป็นภัยต่อสภาพจิตตนเองจะกำเริบ กรุณาข้ามตอนไปได้เลยค่ะ

.....

อิทธิพัทธ์ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องพักฟื้นเดี่ยว นับเป็นเวลาสามวันแล้วที่เขายังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นแม้หมอจะแจ้งกับไอยศิกาว่าอิทธิปลอดภัยดีตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับการรักษา ไอยรู้สึกว่าโชคดีที่พาทิตย์เองก็ลงมาเยี่ยมลูกน้องตนเองพอดี ไอยศิกาจึงรีบโทรให้นาเดียมารับกลับไปยังไร่หวานใจเพื่อที่จะเคลียร์งานกับเรื่องต่างๆ ก่อนจะกลับเข้ามาเฝ้าคุณอิทธิต่อในอาทิตย์ถัดไป

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของพาทิตย์ ยังคงนิ่งสงบเมื่อได้พบกับหญิงสาวที่อิทธิพัทธ์หลงใหลจนพูดเกี่ยวกับเธอให้เขาฟังอย่างไม่เคยหยุดหย่อน แม้ในใจจะอยากถามและแซวหญิงสาวตรงหน้ามากเท่าไหร่ แต่พาทิตย์ก็ยังคงไว้ซึ่งมารยาทและความนิ่งขรึมอย่างที่ควรจะเป็น

"ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณไอยศิกาด้วยนะครับที่มาช่วย แถมมาเฝ้าดูแลมือขวาคนเก่งของผมอย่างดีอีก ถึงพี่อิทอาจจะห้าวไปนิด แต่ก็เป็นผู้ชายที่จริงจังกับชีวิตมากนะครับ" 

สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเธอเล่นๆไปโดยไม่ได้คิดอะไรนัก พาทิตย์ยิ้มกริ่ม แล้วเปิดประตูห้องจนกว้าง เพื่อช่วยไอยศิกาขนของใช้ส่วนตัวที่นำมาเฝ้าลูกน้องของเขาชั่วคราวลงไปที่ชั้นล่าง เธอกะว่าจะกลับไปดูแลไร่ของเธอเสียบ้าง หลังจากที่ต้องเคลียร์กับปัญหาต่างๆในตัวเมืองมาเกือบทั้งอาทิตย์

"อะไรกันคะคุณพาทิตย์ ไอยยังไม่ได้ตกลงอะไรกับเขาเลยนะคะ" 

พาทิตย์ยิ้มขำกับอาการเขินอายของลูกหนี้คนงาม ที่ก้มหน้างุดๆเก็บของเข้ากระเป๋าเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านเพราะถูกแซวไปเมื่อซักครู่

'สวยแบบนี้เอง มิน่า พี่อิทถึงคลั่งรักขนาดนั้น'

"ขนาดยังไม่ตกลง ยังดูเป็นห่วงขนาดนี้เลยนะครับเนี่ย แล้วใครมารับครับ ให้ผมไปส่งดีมั้ย"

"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ ไอยให้พี่สาวมารับแล้ว ถ้าพ่อเลี้ยงกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่บอกแล้วกันค่ะ จะได้กลับมาเฝ้าแทน" 

ไอยศิกาลากกระเป๋าลงลิฟท์ไปกับพาทิตย์คนละสองใบ จะบอกว่าอึดอัดเวลาอยู่ใกล้มันก็ไม่เชิง แต่เธอรู้สึกเหมือนถูกมองเข้าไปในความคิดอยู่ตลอดเวลา เธอเลยไม่ยอมสบตากับเขาตรงๆซักครั้ง พ่อเลี้ยงคนนี้ดูท่าจะเข้าใจสถานการณ์ต่างๆไปหมดรวมถึงความรู้สึกของเธอด้วย .... นี่แหละ มันแย่ตรงนี้ ตรงที่ถูกมองทะลุจิตใจโดยที่ไม่ยินยอมน่ะ

"ขอโทษนะครับคุณไอย ที่ผมแอบอ่านใจคุณบ่อยๆ แต่คุณอาการออกชัดมากเลยนะ ว่ากำลังไม่พอใจอะไรอยู่ ผมว่าคุณลองฝึกปิดกั้นความคิดบ้างมั้ย มันอันตรายกับตัวคุณเองน่ะ"

ไอยศิกามองพาทิตย์ด้วยความประหลาดใจและตกใจเล็กน้อย ที่จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาอย่างนั้น

"เดี๋ยวนะคะ คุณ..." 

"สาบานได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคุณ ไปกันครับ ลิฟท์ลงถึงชั้นล่างแล้ว" 

ไอยศิกาแอบถอนหายใจ เธอลากกระเป๋าเดินตามเขาที่เดินไปที่ล็อบบี้เพื่อรอนาเดียมารับที่หน้าประตู ใจหนึ่งไอยก็ยังอยากเฝ้าพี่อิทต่ออีกหน่อย แต่คงจะไม่เป็นไร ถ้าคุณพาทิตย์บอกว่าคนๆนี้อึดพอ เธอก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลจนต้องทิ้งงานไปอีกเป็นอาทิตย์ ไอยศิกายอมรับว่าตนยังนึกถึงเรื่องในวันนั้นตลอดจนนอนไม่หลับ เพราะมีแต่ความรู้สึกแค้นคนพวกนั้นที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ที่ออกตัวปกป้องเธอตลอดมาต้องบาดเจ็บอย่างหนัก เธอยืนหยุดคิดบางอย่างอยู่ตรงโซฟาสำหรับญาติผู้ป่วยตรงล็อบบี้ด้านล่างและเรียกคนที่เดินนำหน้าเธอไปจวนเจียนจะสองร้อยเมตรแล้วเพื่อให้เขาหยุดคุยกับเธอซักครู่

"คุณพาทิตย์คะ ไอยขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ยคะ" 

น้ำเสียงที่แลดูจริงจังจนผิดสังเกตทำให้พาทิตย์หันกลับไปหาเธอแล้วเดินกลับไปหาแทบจะทันที ก่อนจะเชิญให้นั่งแล้วพูดคุยกันอย่างจริงจังตามที่เธอร้องขอ

"ว่ามาครับ คุณไอย ผมพร้อมจะฟังคุณแล้ว" 

ไอยศิกายิ้มนิ่งๆ แล้วส่งลูกกระสุนที่หมอส่งมาให้เธอหลังผ่าตัดเสร็จวันก่อนลงบนโต๊ะตรงหน้าพาทิตย์เพื่อเริ่มการสนทนา

"ฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าการที่มันบุกมาทำร้ายคนในรีสอร์ท พวกมันต้องการอะไรกันแน่ แต่ฉันต้องการให้พวกมันหายไปตลอดกาล ถ้าคุณจะพอช่วยได้บ้าง เพื่อที่ฉันจะได้ไปเก็บมันให้สาสมกับความแค้นที่ฉันมี" 

......

พาทิตย์หยิบลูกปืนขึ้นมา แล้วมองตาไอยศิกาที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาดุดัน เขาคาดว่าเธออาจจะพอรู้ ว่าการวางลูกกระสุนต่อหน้ามาเฟีย มันหมายถึงการส่งข้อความเพื่อท้ารบดีๆนี่เอง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลกับเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ และเขารู้ว่าเธอไม่ได้มีเจตนานั้นตั้งแต่แรก

"ผมพอรู้มา ว่าคุณเองก็มีเพื่อนที่เป็นตำรวจนี่ครับ ทำไมถึงไม่ขอให้เพื่อนช่วยล่ะ" 

"ไม่ทำไมหรอกค่ะ เมื่อไหร่ที่ตำรวจสนใจคดีเล็กๆแบบนี้ ประเทศไทยคงมีหิมะตกเข้าซักวัน วงการศาลเตี้ยมันเข้าถึงไวกว่าด้วยค่ะ" 

"ถึงแม้มันมีราคาที่จะต้องจ่ายเหรอครับ"

ไอยศิกานั่งนิ่งไปซักครู่ แต่ก็พูดออกมาอีกครั้งด้วยความมั่นใจ

"เคยได้ยินมั้ยคะ ว่าไม่มีอะไรที่ฟารีดาเข้าถึงไม่ได้ ฉันพูดได้แค่นั้นเลยค่ะ และคุณควรรู้ว่าฉันไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายพี่อิทไปง่ายๆหรอกนะคะ หลับไปตั้งสองวัน ฝั่งนั้นควรเจออะไรดีคะ เผาทั้งเป็นเลยดีมั้ย" 

"คุณน่ากลัวกว่าที่ผมคาดไว้นะ คุณไอยศิกา อ๋อ ไม่ใช่สิ คุณฟารีดา ปุตตรา" 

"คงได้พ่อมาเยอะมั้งคะ เลยดูดุๆ ไม่เหมือนพี่นาเดีย สวย หวาน แบบแม่ฟ้า แบบนี้พี่อิทจะรักรึเปล่าก็ไม่รู้...." 

ไอยศิกาเอามือปิดปากทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป ทำให้พาทิตย์ที่ตั้งใจฟังทุกประโยคต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อความสบายใจของเธอไปก่อน แม้ในใจอยากจะแซวขนาดไหนก็ต้องอดทนไว้ 

"หืม อะไรนะครับ" 

"อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ แค่พูดเล่นไปเรื่อยนั่นแหละ ยังไงก็ฝากช่วยหาตัวการให้ไอยด้วยนะคะ คุณพาทิตย์"

เธอรีบลุกขึ้น คว้ากระเป๋าแล้วเดินไปที่รถ ขนของขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้สังเกตได้ว่ากำลังเขินอาย ก่อนจะโบกมือให้เขาที่ยืนงงๆอยู่หน้าล็อบบี้ของโรงพยาบาล 

'โอเค ชักจะเริ่มเข้าใจมือขวาตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วล่ะไอ้ทิตย์เอ้ย' 

......

   พาทิตย์เดินกลับไปที่ลิฟต์ ในความคิดเขามีหลายอย่างที่ตีกันไปมา โดยเฉพาะเรื่องของไอยศิกา ลูกหนี้ของเขาที่เพิ่งกลับไปเมื่อซักครู่ ไม่ว่าจะท่าที การพูดจา ความสัมพันธ์ที่เธอมีกับคนของเขา และสิ่งที่เธอเก็บงำนิสัยบางอย่างที่ดูไม่เหมือนเป็นอค่เจ้าของไร่ธรรมดาๆคนหนึ่งไว้ 

เขาหยิบลูกกระสุนที่เธอฝากให้เขาช่วยสืบหาเจ้าของขึ้นมา แล้วพลิกดู เขารู้ทันทีว่าใครเป็นคนที่สั่งการให้โจรบุกรีสอร์ทนั้นในคืนที่อิทธิไปพัก แต่การที่พูดไปโดยไม่มีหลักฐานทำให้งานมันยากขึ้นแน่ๆ พาทิตย์จึงเก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อตามเดิม 

อิทธิเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาแล้วเรียกหาไอยศิกาเป็นคนแรก แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับตามที่คาดหวัง เธอก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่กลับมีอิงจันทร์นั่งอยู่แทนที่.... อิทธิฝืนตัวเองเพื่อพยายามลุกขึ้นมา การที่ไอยศิกาหายไปทำให้อิทธิเริ่มสงสัย แต่ว่ายังไม่ทันถามอะไร เธอก็พูดขึ้นมาก่อนแล้ว

"พี่อิทธิอาการดีขึ้นมั้ยคะ คุณพ่อฝากของมาให้ค่ะ บอกว่าขอบคุณที่ช่วยชีวิตอิงกับคุณพ่อ" 

เด็กสาวในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดสะอ้านส่งซองสีขาวให้แล้วเดินออกไปทันที สวนกับพาทิตย์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเพื่อดูอาการลูกน้องคนสนิท 

"สวัสดีครับ เสี่ย" 

"พี่อิทธินี่ห้าวจังเลยนะครับ ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะไปมีปัญหากับใครในช่วงพักร้อนด้วย" 

 เขาปลดหน้ากากอนามัยออกเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น แล้วส่งลูกกระสุนที่ไอยศิกาเอามาให้เขาส่งให้กับอิทธิอีกที 

"แฟนพี่ส่งให้ผมเอง บอกว่านี่คือกระสุนที่หมอผ่าออกมาให้แล้วก็... ขอให้ผมสืบหาตัวการที่ยิงพี่วันนั้นด้วย" 

อิทธิขมวดคิ้วแล้วรับลูกกระสุนมาจากนาย เขาพิจารณาอยู่ซักครู่ก่อนจะส่งคืนให้พาทิตย์ 

"ผมรู้อยู่ครับว่าเป็นใคร แต่นายอย่าบอกเธอเลย ผมไม่อยากให้เธอต้องเป็นอันตราย อีกอย่าง ผมมีศัตรูอยู่แค่กลุ่มเดียวนั่นแหละครับ ถ้ามันรู้ว่าผมคุยกับคุณไอย คุณไอยจะลำบาก แล้วก็"

 เขานิ่งไปซักครู่ เพราะรู้ตัวว่าตนเองเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว เขาถอนหายใจแล้วกุมขมับ พลางใช้นิ้วนวดคลึงนิดหน่อยให้หายปวดหัว

"พี่อิท น้องไอยเขารักพี่มากเลยนะ ผมดูออก" 

อิทธิชี้ตัวเองด้วยความสงสัย 

"เขาบอกนายแบบนั้นเหรอครับ" 

"ใช่ ผมได้ยินแบบนั้นน่ะแหละ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เธอจะได้ไม่อึดอัด" 

พาทิตย์เก็บของที่วางเกะกะบนโซฟาเพื่อจะนั่งพัก แต่มือก็ไปโดนอะไรบางอย่างที่วางไว้ใต้หมอน เขาหยิบมันออกมาแล้วพิจารณาเล็กน้อย

'น่าจะเป็นเข็มตรามหาลัยล่ะมั้ง'

"น่าจะเป็นของน้องอิง ที่เอาซองนี้มาให้ผมครับ" 

พาทิตย์มองไปที่จดหมายในมือของอิทธิ

"พี่ลองเปิดซองดูครับ ผมรู้สึกแปลกๆ" 

อิทธิเปิดซองขาวออกมา เขาเห็นทั้งเงินและจดหมายด้านใน เป็นลายมือของเด็กสาวแน่นอน เพราะคราวก่อนเขาเห็นเธอทำงานของมหาวิทยาลัยอยู่ และตัวหนังสือก็เหมือนกันเป๊ะโดยไม่ต้องสืบอะไรให้มากความ

"มีจดหมายครับนาย... แต่เนื้อหาด้านในแปลกมากเลยนะครับเนี่ย" 

พาทิตย์หยิบจดหมายลายมืออิงจันทร์ไปอ่าน แล้วเงยหน้ามองอิทธิ 

"พี่อิทรู้มั้ยครับว่า คุณอาคมเขาพักฟื้นอยู่ที่ชั้นไหน" 

"เห็นพยาบาลเคยบอกว่าอยู่ชั้นสี่ครับนาย" 

พาทิตย์เดินออกจากห้องด้วยความรีบร้อน จดหมายที่ปลิวลงกับพื้นทำให้เขาได้เห็นว่าทำไมนายของเขาจึงรีบนักรีบหนาอย่างนั้น

.....

   พาทิตย์เคาะประตูห้องผู้ป่วยที่ติดชื่อ พ.ต.ต. อาคม ประชาอภิรักษ์ เอาไว้ที่ด้านหน้า เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลานานนักเพื่อที่จะสืบหาตัวของผู้ร้ายที่บงการอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เพราะเบาะแสของอิงจันทร์ได้บ่งชี้ไปยังนายหวังหลี่ชุน พ่อของเอื้องสายและใบหลิว ที่เคยยัยเยียดลูกสาวมาให้แต่งงาน และเป็นนายเก่าของมือขวาเขาในตอนนี้ด้วย

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมจึงแค้นเคืองบ้านเขาขนาดนี้ หรือว่าที่จริงแล้วจงใจจะฆ่าพี่อิทธิมากกว่ากันแน่ เด็กสาวในชุดนอนสีฟ้าเปิดประตูให้เขาเข้ามา ภาพด้านในมันแปลกจนเขาอดมองซ้ายทีขวาทีไม่ได้เลย เพราะคุณอาคมที่ใส่ชุดผู้ป่วยกำลังนั่งมองเขาอยู่ท่ามกลางลูกน้องที่สวมสูทสีดำสนิทจำนวนสามคน และยิ้มให้เขาเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเขาจะขึ้นมาที่นี่

"ยินดีต้อนรับครับ คุณพาทิตย์ อัศวเตมีย์ ผมคิดไว้แล้วไม่ผิด ว่าถ้าไม่คุณก็คุณอิทธิจะมา" 

พาทิตย์รับไหว้เด็กสาวที่อยู่ข้างๆชายวัยกลางคน เธอยิ้มให้เขา และเดินไปเทน้ำใส่แก้วส่งให้ นายอาคมโบกมือให้ลูกน้องทั้งสามคนเดินออกไปด้านนอกก่อน ค่อยเริ่มเปิดประเด็นที่เรียกตัวเขามาในวันนี้

"ผมว่าคุณพาทิตย์เองก็คงจะจำได้ ว่ามันเคยมีคดีลักพาตัวเมื่อหลายปีก่อน โดยที่อิทธิพัทธ์ มือขวาของคุณในวันนั้น มามอบตัวกับผมและมีส่วนในการนำจับนายหลี่ชุน ในข้อหาเจตนาฆ่าและกักขังหน่วงเหนี่ยว" 

อาคมพูดด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ และเว้นช่วงเล็กน้อย พาทิตย์พยักหน้ารับทราบข้อมูล ก่อนจะรอฟังเรื่องราวต่อจากนั้น

"หลังจากที่นายอิทธิพ้นโทษและไปเป็นมือขวาให้คุณ มีข่าวจากวงในว่านายหลี่ชุน เหมือนจะสร้างกองโจรภายในเรือนจำ และแหกคุกออกมาหลังจากนั้นได้ไม่นาน ซึ่งผมจำได้ว่า หลังจากผมลาออกจากราชการมาบริหารรีสอร์ท มันเคยบุกเข้ามาที่นี่ และพยายามจะฆ่าผม แต่มันทำไม่สำเร็จ" 

พาทิตย์คล้ายจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว ดูท่าว่านายหลี่ชุน จะสร้างศัตรูไปทั่ว และพยายามตามหามือขวาของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวได้ครบถ้วน จึงยังไม่สามารถพบเจออิทธิได้ จนกระทั่งวันนั้นที่เขาไปปรากฏตัวที่เพชรบูรณ์

"ผมไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกมั้ย แต่ท่านจะบอกว่า มันกำลังตามล่าพวกเราเหรอครับ ทั้งที่มันเป็นผู้ร้ายเนี่ยนะ"

"ผู้ร้ายมักไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิด มันเป็นเรื่องธรรมดานะครับคุณพาทิตย์ ผมอยากให้คุณกับครอบครัวระวังตัวไว้ให้ดี เพราะถ้ามันสืบไปถึงเรื่องของครอบครัวคุณเมื่อไหร่ ทั้งภรรยาและลูกของคุณจะตกอยู่ในอันตรายแน่"

"ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ" 

"ผมมีเรื่องจะบอกคุณอีกอย่างนึงนะครับ" 

นายอาคมลุกขึ้นนั่งห้อยขาจากเตียงและมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ 

"ภรรยาผมไม่ได้เสียชีวิตเพราะป่วยเป็นไข้ป่าหรอกครับ.... แต่วันที่พวกมันบุกมาฆ่าผม เธอเอาตัวเองมาบัง กระสุนเข้าจุดสำคัญ เลยเสียชีวิตทันทีตรงนั้นเลย" 

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมหยดน้ำตา เช่นเดียวกับอิงจันทร์ ผู้เป็นลูกสาวที่ยืนร้องไห้อยู่นิ่งๆแล้วโอบกอดพ่อของตนเองเอาไว้ ถึงแม้ความจริงนี้เธอจะเพิ่งได้รู้ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโวยวายใดๆเลย 

"เสียใจด้วยนะครับ" 

"อย่าให้เรื่องของคุณซ้ำรอยเดียวกับที่ผมเจอ ถือว่าผมขอนะครับ คุณพาทิตย์" 

"ผมจะลากพวกมันกลับไปเข้าคุกให้ได้ครับ ผมจะไม่ยอมให้มันทำเรื่องชั่วได้อีกแน่นอน"

อาคมลุกขึ้นจากเตียงและเดินมาแตะไหล่เขาแล้วโอบกอดไว้หลวมๆ 

"แต่ก่อนนั้น ผมว่าคุณควรไปดูแลสภาพจิตใจมือขวาของคุณนะ เขาคงเสียใจกับสิ่งที่เขาเคยทำไปในอดีต ในกรณีที่แย่ที่สุด.... เขาอาจจะพยายามฆ่าตัวตายก็ได้"

พาทิตย์เริ่มนึกออกว่าอิทธิเคยเกือบฆ่าตัวตายหลังจากที่ได้เจอภรรยาของเขากับลูกที่ยังอยู่ในท้อง เขาส่งเข็มตรามหาวิทยาลัยที่ลืมไว้ในห้องของอิทธิให้กับอิงจันทร์ และลานายอาคม ก่อนจะวิ่งกลับไปหาลูกน้องคนสนิทให้ไวที่สุด

......

อิทธิพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อที่จะไปเก็บจดหมายด้านล่าง ชื่อของหลี่ชุนชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ความเจ็บปวด เสียงกรีดร้อง ของหญิงสาวที่เขาเคยทำร้ายมันกลับมาหาเขาเหมือนผีที่คอยตามหลอกหลอน คลื่นของความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในจิตใต้สำนึก ทำให้อิทธิน้ำตาไหลและปล่อยโฮออกมาแบบกลั้นไว้ไม่อยู่

พาทิตย์วิ่งกลับไปยังห้องที่อิทธิพักอยู่ได้ทันพอดี เขาดึงเอาจดหมายออก แล้วเข้าไปกุมมืออิทธิไว้

"พี่อิทธิ ใจเย็นๆครับ อย่าเพิ่งไปคิดอะไรที่มันไม่ดีกับความรู้สึกพี่เลยนะ" 

อิทธิเงยหน้ามาสบตานายของเขา นายที่รักและให้โอกาสเขาทั้งๆที่เขาทำร้ายภรรยาของนายไว้มากมายเหลือเกิน เขาพาลนึกไปถึงสีหน้าผิดหวังของไอยศิกาหากเธอรับรู้เรื่องนี้ และมันทำให้เขาเสียใจมากขึ้นไปอีก

"ผมไม่คู่ควรกับเธอเลย ผมมันชั่ว ผมทำร้ายผู้หญิงมาหลายคนมาก ถ้าเธอรู้เธอคงจะเกลียดผมแน่ๆ" 

อิทธิคร่ำครวญอยู่พักใหญ่ก่อนจะหมดแรงและหลับไป ตาที่บวมเพราะร้องไห้อย่างหนักเป็นเวลานานดูช้ำไปหมด พาทิตย์นึกสงสารลูกน้องของตนเองขึ้นมาจับใจ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก และได้แค่เพียงให้กำลังใจในฐานะเจ้านายเท่านั้น

'ซักวันพี่จะได้รับการปลดปล่อยแน่นอนครับ พี่อิทธิ พี่อย่าเพิ่งท้อนะ' 

อิทธิมองเห็นภาพที่ตนเองทำร้ายคนซ้ำไปซ้ำมาในฝันเกือบทุกคืนตั้งแต่เขาคิดมอบตัวในวันนั้น บางครั้งก็คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ก็เหมือนเขายังใช้กรรมไม่หมดสิ้น ทุกครั้งที่เขาคิดจะจบชีวิต ก็จะมีคนมาช่วย มารั้งเขาไว้เสมอ 

เขาลืมตาขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมที่มืดมิด เสียงกรีดร้องของหญิงสาวยังคอยตามหลอกหลอนจนเขาแทบอยากจะกระโดดหน้าต่างลงไปซะให้จบๆไป อิทธิแอบเก็บของทุกอย่างใส่ในกระเป๋า เขาวางจดหมายที่เขาเขียนลาไว้อย่างสั้นๆ แล้วเดินออกไป ปล่อยให้พาทิตย์นอนอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังจนถึงเช้าของวันต่อมา

"ไม่ทราบว่าเห็นผู้ป่วยเดินออกไปจากโรงพยาบาลบ้างมั้ยครับ พอดีพี่ชายผมหนีไป ผมกลัวเขาจะโดนทำร้าย" 

พาทิตย์วิ่งตามหาอิทธิไปทั่ว มือขวาคนสนิทของเขาหายตัวไปพร้อมกับจดหมายลาสั้นๆเพียงสองประโยคแต่ก็ทำให้นายอย่างเขาร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก เขากดโทรหาไอยศิกา แต่เธอก็ไม่ได้รับสาย เขาคิดว่าเธอน่าจะเพราะวุ่นอยู่กับงานที่ไร่ คนที่โทรกลับหาเขาคนแรกคือภรรยาของเขาเอง แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เขาก็เริ่มมีสติขึ้นนิดหน่อย 

"พี่ทิตย์ค่อยๆคิดนะ อย่าเพิ่งรน พี่พอรู้มั้ยว่าบ้านเกิดพี่อิทอยู่ไหน เขาอาจจะกลับไปที่บ้านก็ได้" 

"พี่ไม่เคยถามเลย .... มิ้ล พี่ไม่รู้ว่าพี่ควรจะทำไงต่อดี พี่..."

"พี่ทิตย์ใจเย็นก่อนค่ะ กลับมาที่บ้านก่อนก็ได้ ไม่ก็หาที่สงบๆพักซักนิด บางทีถ้าได้อยู่นิ่งๆอาจจะคิดออกนะคะ"

พาทิตย์ได้แต่ทำตาม และพยายามนึกถึงสิ่งที่เคยคุยกันก่อนที่อิทธิจะหายไป จดหมายที่บอกเพียงแค่ 

'ขอบคุณที่ดูแลและให้โอกาสคนทำผิดได้กลับใจ ลาก่อนครับ' 

เพียงแค่สองประโยคจริงๆ ที่ทำให้พาทิตย์ถึงกับคลั่ง เขากลัวว่ามือขวาคนสนิทของเขาจะคิดทำร้ายตัวเองด้วยการกลับไปให้นายหลี่ชุนฆ่าทิ้งเสียก็เป็นได้ แต่มันจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อตอนนี้ คุณอาคมได้บอกเขาว่าต่อให้กลับไปแล้วยอมตาย นายหลี่ก็ไม่มีทางวางมือและเลิกระรานคนอื่นๆอยู่ดี 

อิงจันทร์ ลูกสาวคุณอาคมก็ช็อคไปพอสมควรเมื่อได้ยินข่าวว่าอิทธิหนีหายไปตั้งแต่เมื่อคืน พาทิตย์ได้แต่ปลอบและย้ำว่าอย่าโทษตัวเองที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถกระตุ้นความเจ็บปวดจากความรู้สึกผิดของนายอิทธิได้ทั้งนั้น 

"ผมกลัวแค่ว่าเขาจะกลับไปให้เสี่ยหลี่ฆ่าทิ้ง เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องลำบาก แต่เขาไม่รู้หรอก.. ว่าต่อให้เขาตายไป มันก็ยังคิดจะทำร้ายคนอื่นต่ออยู่ดี" 

คุณอาคมเม้มปากแล้วถอนหายใจ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็นึกไม่ออกทั้งนั้นว่าอิทธิคิดจะทำอะไรและอยู่ที่ไหน ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้ทำอย่างที่ทั้งสองกำลังคาดเดาอยู่ก็พอแล้ว 

..... 

อิทธิปิดโทรศัพท์ แบตที่เหลืออยู่ไม่มากดูท่าจะไร้ประโยชน์กับเขาในตอนนี้ เขาคิดสะระตะไปเรื่อยระหว่างเดินไปยังออฟฟิศของบริษัทขนส่ง เพื่อที่จะกลับไปเชียงใหม่ แล้วให้นายเก่าของตัวเองยิงเขาให้ตายซะก็สิ้นเรื่อง 

อิทธิก้าวลงจากฟุตบาธ ใจลอยไปเรื่อยเปื่อย จนลืมดูไฟว่ากลายเป็นสีเขียว ให้รถสามารถวิ่งได้ในเลนนั้นแบบผ่านตลอด จนกระทั่ง

ปี๊นนนน!!

รถคันแรกที่เลี้ยวมากดแตรลากยาว ด้วยความที่เลี้ยวมาด้วยความเร็วจึงเบรคไม่อยู่และชนเขาที่เดินมาได้เกือบครึ่งเลนแรก อิทธิลอยไปชนเสาไฟจราจรใกล้ๆ เลือดค่อยๆหยดลงมาตามใบหน้า 

'จะตายมั้ยนะ.... ถ้าจบไปตั้งแต่ตอนนี้ก็คงจะดี' 

เสียงในความคิดของเขาดังยิ่งกว่าเสียงของคนที่มุงล้อมรอบเขาเอะอะเซ็งแซ่ด้วยความตกใจ แม้กระทั่งเสียงกรีดร้องก็ยังเบา เมื่อเทียบกับเสียงหัวใจ ที่เริ่มเบาลงทีละนิด 

'ผมขอโทษนะ' 

.......

ภาพในสมองของอิทธิกลายเป็นสีขาวโพลน 

'นี่ฉันขึ้นสวรรค์หรือไปเกิดไม่ได้กันแน่วะ' 

ภาพแรกที่เข้ามาคือภาพของคุณหญิงมานิตาและนายของเขา รวมถึงนายน้อยที่มีสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังและตัดไป เป็นภาพของไอยศิกาโผล่ขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง เขาคิดว่ามันคงเป็นภาพที่เขาคิดว่าเธอคงจะลืมเขาและไปมีคนอื่น.... แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นภาพที่เธอร้องไห้หน้าโลงศพในวันงานสวดแทน 

'ไหนคุณบอกว่าคุณรักฉันไง คุณทิ้งฉันไปทำไม ตื่นขึ้นมาก่อนสิ มาอยู่ข้างๆฉันก่อนได้มั้ย' 

เสียงของเธอเบาลง ไม่สิ ร่างของเขาต่างหากที่จางลงจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงเธอว่าพูดอะไรต่อจากนั้นอีกมั้ย 

'เธอรักพี่มากนะ' 

คำพูดของเจ้านายทำให้เขาได้สติ แกเป็นอะไรของแกเนี่ยอิทธิ ตั้งสติหน่อยเถอะ

อิทธิเพิ่งมารู้ตัวว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ก็ตอนที่สัมผัสได้ว่าน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย และไหลลงไปที่ข้างแก้มทั้งสองฝั่ง เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ภาพของห้องสีขาวสะอาดตากลับมาเยือนอีกครั้งแม้เขาจะไม่เต็มใจที่จะเห็นนัก แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหลังจากทิ้งนายไว้ที่ห้อง หรือว่าเขาแค่ฝันรึเปล่าว่าหนีออกไปจากโรงพยาบาล แต่เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่พบใครเลย นั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่าเขาทำบางอย่างที่พลาดไปแล้วจริงๆ

'ว่าแต่ .... ทำไมตูถึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ'

...... 

  ภาพล่าสุดก่อนที่จะวูบไปก็ไม่ใช่ภาพของสภาพแวดล้อมรอบตัวเลยซักนิด เขานึกถึงภาพล่าสุดที่จำได้ชัดเจน คงจะเป็นภาพที่เขาวางจดหมายให้เจ้านายไว้บนเตียง และเดินออกมาจากห้องเงียบๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาเดินออกมาเลยซักคน แม้กระทั่งนางพยาบาลหรือหมอ ก็ดูเหมือนจะวุ่นวายกับคนไข้ฉุกเฉินกันหมด 

ภาพสุดท้ายที่ยังคงมีสติครบถ้วนก็คงเป็นตอนนั้น จากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย.... 

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!