ลิ๊กๆ...คลิ๊ก เสียงเม้าดังขึ้นในห้องมีแสงไฟจางๆ
เด็กหนุ่มอายุราวๆ16-17 ผมสีเงินที่กำนั่งอ่านนิยายdouluo dalu lll อยู่
ซึ้งเขานั้นได้อ่านภาค1กับภาค2ไปแล้วรวมถึง2.5และ3.5 ด้วย
ในระหว่างนั้นก็ได้มีข้อความเด้งขึ้นมาว่าท่านได้รับเชิญให้ไปยังโลก douluo dalu lll
ท่านต้องการที่จะไปหรือไม่
"นี่มันขอความอะไรเนี่ย"มาร์คคิดในใจ
"กดปิดข้อความนี้ดีกว่า"
พอมาร์คปิดข้อความ มัันก็ขึ้นมาอีกครั้ง
"งั้นก็กดตกลงไปเลยดีกว่า"มาร์คคิด
พอมาร์คกดตกลงไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น"ไอ้....กุว่าละมันต้องเป็นสเเปม"มาร์คคิด
"เฮ้อมันดึกขนาดนี้แล้วเนี่ย ไปนอนดีกว่า"มาร์คคิดม
มาร์คตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสบายตัวแบบแปลก พอมาร์คหันมองรอบๆกับอุทานขึ้นมาว่า
"ไอ้...ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย"
ด้วยความที่มาร์คได้อุทานออกไปจึงทำให้รู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง"เสียงฉันเปลี่ยนไป?"
มาร์คจึงรีบวิ่งหากระจกจนเจอ พร้อมกับความรู้สึกงงว่าเขามาอยู่ในร่างนี้ได้ไง แต่ในตอนนั้นความทรงจำก็ค่อยๆกลับมาก็ทำให้เขาได้รู้ว่านี้คือโลกของ
douluo dalu และยังเป็นภาค3ด้วย ร่างนี้อายุประมาณ6ปีสินะ
{เจ้าตื่นแล้วงั้นรึเจ้าหนู}
"ว๊าก~~~นี่มันตัวไรเนี่ย"
'{นานแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้คุยกับใครเลย}'
{ข้าคือราชามังกรดวงดาว แล้วเจ้าหละเจ้าหนู}
"ข้าชื่อมาร์ค "
{นี้เจ้าได้ฟังข้าอยู่ไหมเนี่ย}ราชามังกรดวงดาวกล่าว
"อือฟัง อยู่"ตอนนี้มาร์คกำลังอาบน้ำและเเต่งตัวเพื่อไปปลุกดวงจิตภูต
ณ.โรงเรียนหงซาน
"สวัสดี เจ้าก็มาปลุกดวงจิตภูตเหมือนกันหรอ"
มาร์คได้สะดุ้งโหยงเพราะด้วยความที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดและยังมีคนมาทักเข้าอีกซึ้งจริงๆแล้วมันไม่ควรจะมีคนมาทักเข้า
"ใช่"
"ข้าชื่อถังหวู่หลินแล้วเจ้าหละ"
"ข้าชื่อมาร์ค"
'เป็นชื่อที่แปลกนะ'
หลังจากนั้นมาร์คเเละถังหวู่หลินก็ได้พูดคุยด้วยกันซักพักหนึ่ง แต่มีอาจารย์คนหนึ่งได้ยุติการสนทนาของทั้งคู่เนื่องจากถึงคิวที่มาร์คได้ปลุกดวงจิตภูตแล้ว
"ข้าไปก่อนนะ"
หลังจากมาร์คหันไปลาถังหวู่หลินแล้วจึงเดินตามอาจารย์ท่านนั้นไปละหว่างทางมีลวดลายอันวิจิตงดงานอยู่เต็มฟาผนังทางเดินไปจนถึงห้องปลุกดวงจิตภูตอาจารย์ท่านนั้นเดินมาส่งมาร์คแล้วก็เดินกลับไปมาร์คเดินไปเปิดประตูข้างในมีคนคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า
"เข้ามาสิเด็กน้อย"
ผู้ปลูกดวงจิตถูกกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มมาร์คพยักหน้าหนึ่งที่พร้อมกับเดินเข้าไปข้างในห้องปลุกดวงจิตภูต ผู้ปลุกดวงจิตภูตได้กว่าวขึ้นมา
"เด็กน้อยเจ้าไปยืนตรงนั้น"
ผู้ปลุกดวงจิตภูตกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังใจกลางที่ปลุกดวงจิตภูต
"เอาหละเด็กน้อยเจ้าตั้งสติให้มั่น ข้าข้าจะเริ่มพิธีเเล้ว"
มาร์คได้ตั้งสมาธิให้มั่นส่วนผู้ปลุกดวงจิตภูตได้ทำการปล่อยแสงสีขาวออกจากปลายนิ้วไปยัง4ทิศแล้วเเสงทั้งสีทิศก็ค่อยเคลื่อนที่ย่างช้าเข้ามาตงกลางที่มาร์คยืนอยู่ทันไดนั้นก็ได้มีเเสงสีขาวล้อมรอบตัวของมาร์คไว้ในเวลานั้นในมือทั้งสองของมาร์คเหมือนมีอะไรจะออกมา
{ปล่อยให้มันออกมาอย่าไปฝืนไม่มันออกมา}
"เคร"
เสียงของราชามังกรดวงดาวได้ดังขึ้นมาในจิตใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ
ในมือข้างซ้ายของมาร์คปรากฏดาบสีดำลวดลายสีขาวตงใบดาบมีสีขาวพร้อมกับแผ่ไอความเย็นออกมาเป็นระยะระยะรูปร่างนั้นคล้ายดาบคาตานะแต่ก็ไม่ใช้ชื่อของมันคือดราก้อนฟริต
ในมือข้างขวาของมาร์คปรากฏสีดำทมิฬตงใบดาบมีสีม่วงอมดำมีเเสงระยิบระยับเป็นจุดๆคล้ายดวงดาวอยู่บนดาบชื่อของมันคือกระบี่ยามราตรี
"ดวงจิตภูตแฝด!!!"
"พลังวิญญาณของผมคือเท่าไหร่หลอครับ"
"พลังวิญญาณเต็มขั้นตั้งแต่กำเนิด!!!"
"ผมกลับไปได้หรือยังครับ"
"ได้ เจ้ากลับได้แล้วหละ"
ทันไดนั้นร่างของมาร์คก็ได้หายไปจากห้องปลุกดวงจิตภูตทั้นดีและตอนนี้มาร์คก็ได้กลับมาถึงบ้านและราชามังกรดวงดาวที่เงียบมาก็ได้พูดขึ้นมา
{เจ้าหนูเจ้าสนใจจะเรียนวิชาจากข้าไหมหละ}
"ได้แต่วิชานั้นมีชื่อว่าอะไรหละ"
{วิชานี้มีชื่อว่าลำธารแห่งเเสง}
"วิชานี้มีความเกี่ยวของกับธาตุแสงหลอ"
{ก็ไม่เชิงวิชานี้สามารถใช้ควบคู่กับธาตุอื่นได้แต่แก่นของวิชานี้คือธาตุเเสง}
"แบบนี้ฉันจะสามารถเรียนได้หลอเพราะดูเหมือนฉันจะมีแค่ธาตุความมืดกับธาตุน้ำแข็งเองนะ"
{เจ้าสามารถเรียนวิชานนี้ได้เพราะดูเหมือนว่าในตัวของเจ้าจะมีสายเลือดของข้าอยู่(และดูเหมือนมากกว่านั้นด้วย)ซึ้งตัวของข้าสามารถใช้ได้ทุธาตุ}
{เจ้ายังจะเรียนวิชานนี้จากข้าไหม}
"เรียนสิเรียนเเน่นอน"
____________________________________________________________________________________________________________________________________________
สายเลือดที่สองของมาร์คนั้นนะหรอไม่บอกหรอกแต่อีกไม่นานก็คงจะได้กันเองเเหละ
และอีกอย่างนิยายเรื่องนี้อาจจะมาอาทิตย์ละตอนนะครับแต่ถ้าดีดอาจจะมามากว่าอาทิตย์ละตอนนะครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว
ราชามังกรดวงดาวได้สอนวิชาสายธารแห่งเเสงให้มาร์ค
หลังจากที่มาร์คฝึกเสร็จ มาร์คได้มานั่งเก้าอี้ที่สวนสาธารณะเพื่อเป็นการพักแต่ระหว่างพักก็นึกขึ้นได้"เออลืมไปหางานเลยแฮะถึงแม้ว่าเงินที่มีอยู่จะพอแต่ก็ต้องหาเงินสำรองเอาไว้แต่จะไปทำงานอะไรดีนี้สิ"
{ข้าว่าเจ้าควรไปฝึกตีเหล็กนะจะได้ฝึกความอดทนกับพละกำลังแขนแล้วก็ค่อยไปทำงานพิเศษเอาเผื่องานตีเหล็กหาเงินได้ไม่พอต่ออนาคตที่เจ้าต้องใช้}
"เคร แต่ไปเรียนตีเหล็กพ.นดีกว่าตอนนี้ไปหาซื้อของไปทำอาหารกินดีกว่า"
{เจ้าทำเป็นด้วย?}
"นี่เอ็งดูความทรงจำข้าไปแล้วไม่ใช่หรอ?"
{โทษทีพอดีลืม} "ช่างเหอะ"
วันต่อมามาร์คไปที่ห้องทำงานหมางเทียนเพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์
โรงเรียนหงซาน
นักเรียนที่อยู่ห้องผู้ใช้สปิริตจะมี อาจารย์มาคอยต้อนรับอยู่หน้าโรงเรียน แล้วก็จะทำให้เห็นว่าห้องสปิริตกับห้อง ธรรมดานั่นแตกต่างกัน
ส่วนจํานวนของคนที่ได้เข้าเรียนใน ห้องสปิริตนั่นมี 16 คนซึ่งเยอะกว่าฉบับ นิยาย 1 คน.. เพราะมาร์คเป็นตัวแถมที่เพิ่ม เข้ามา
“เฮ สปิริตของเจ้าคืออะไร งั้นหรอ?"
เด็กคนหนึ่งที่มีรูปร่างอ้วนได้เอ่ยถามมาร์คออกมาแต่มาร์คนั้นนิ่งเงียบ
ทางเด็กอ้วนนั้นพอเห็นเเบบนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา
"งั้นข้าขอบอกก่อนเลยว่าดวงจิตภูของข้านั้นคือ...."
"ใครถาม"
มารค์กล่าวแล้วเดินหลบออกไป อย่างเงียบๆทิ้งให้เด็กผู้ชายรูปร่างอ้วนที่เข้ามาคุยด้วย ชะงักไปครู่หนึ่ง เหล่านักเรียนคนอื่นๆต่างพา กันจับกลุ่มคุยกันเพื่อโอ้อวดสปิริตของตัว เอง
ในขณะที่มารค์กำลังหาที่นั่งอยู่ก็ได้มี คนเข้ามาทักแน่นอนว่าเป็นคนที่เคยคุยด้วย
"ไงเราเจอกันอีกแล้วนะ"ถังหวู่หลินกล่าวขึ้น
"ไง"
"ดวงจิตภูตของข้าคือหญ้าสีฟ้าแต่ข้าก็จะเป็นผู้ใช้ภูตให้ได้เลยหละ"
"แล้วของเจ้าหละ"
"ของฉันเป็นดาบนะ"
"ดีจังนะ"
ในจังหวะนั้นอาจารย์ประจำชั้นก็เข้ามา
“สวัสดีทุกคน ข้าคืออาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า หลินซีเมิ่ง สามปีต่อจากนี้ไป ข้าจะสอนความรู้เกี่ยวกับผู้ใช้ภูตให้แก่พวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้ามาแนะนำตัวกันทีละคน ตั้งแต่ชื่อของพวกเจ้า ดวงจิตภูต ไปจนถึงระดับพลังวิญญาณโดยกำเนิดของพวกเจ้า”
ด้วยที่นักเรียนทั้งหมดมีเพียงสิบหกคน จึงแนะนำตัวกันได้เร็วมาก ในตอนที่หลินซีเมิ่งได้ยินถังหวู่หลินแนะนำตัวว่าหญ้าสีฟ้าคือดวงจิตภูตของตน อาจารย์ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ส่วนนักเรียนคนอื่นๆต่างพากันหัวเราะเยาะ
ตอนนี้บนใบหน้าถังหมู่หลินเป็นสีเเดงจางๆมาร์คได้เคาะโต๊ะเบาๆเหมือนจะบอกให้ถังหวู่หลินทำใจและสงบอารมณ์
ต่อมาก็ถึงการเเนะนำตัวของมาร์ค
มาร์คแนะนำบอกชื่อตัวเองแบบสั้นๆรวมดวงจิตภูตและพลังวิญญาณตั้งแต่กำเนิดด้วยพอพูดจบก็นั่งลงพร้อมกับอาการตกตะลึกของทั้งห้อง
อาจารย์ได้เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวขึ้น
"วันนี้เป็นวันเรียนวันแรกที่พวกเจ้าเริ่มเรียนอาจารย์จะสอนเกี่ยวกับประเภทดวงจิตภูตและช่วงบ่ายจะสอนเกี่ยวกับการทำสมาธิขั้นพื้นฐาน
การทำสมาธิเป็นหนทางเดียวที่จะฝึกและเพิ่มพลังวิญญาณของพวกเจ้า หากอยากเป็นผู้ใช้ดวงจิตภูตที่แท้จริงก็พยายามเข้าหละ"
\*\*\*\*\*\*\*\*\*
เมื่อเลิกเรียนมาร์คก็รีบเดินออกมาจากโรงเรียนแต่ไม่ได้ตงไปหาอาจารย์หมางเทียนเขาเดินไปอีกทางหนึง
{เจ้าจะไปที่นั่นสินะ}
"อ่า"
{เจ้าจะไม่ไปหาอาจารย์หมางเทียนจะดีหรือ}
"บอกไปแล้วหละว่าวันนี้จะไม่ไป"
{แล้วถ้าเงินเก็บที่มีไม่พอจะทำไงหละ}
"ขายมรดกไง"
{ขายมรดกสินะ }
มาร์คเดินมาถึงที่หนึ่งเเละเห็นเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าเขาและมีความรู้สึกราวกับว่ามีความรู้สึกแปลกๆที่ คล้ายคลึงกันเด็กผู้หญิงผมสั้นสีเงินได้เงย หน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับมาร์ค ใบหน้าดูโทรม เสื้อผ้าก็ขาดทำให้มีลักษณ์เหมือนขอทาน แต่นอกจากผมสีเงินก็ยังมีนัยน์ตาที่ดูโดด เด่น นัยน์ตางามดุจคริสตัลสีม่วง ใส บริสุทธิ์
มาร์คสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะ กล่าวขึ้น
"ทําไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวหละ?"
เด็กหญิงไม่ได้ตอบอะไร... เธอทำเพียงแค่จ้องตาของมาร์คด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
'ก็คิดไว้แล้วหละ'
"พ่อแม่หละ"
"ไม่รู้"
"เฮ้อ"มาร์คถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่ก่อนที่มาร์คจะได้กล่าวอะไรต่อก็ได้มีเสียงครวญครางดังออกมาพร้อมกับให้ใบหน้าของเด็กสาวเเดงขึ้นเล็กน้อยเเละรู้สึกเขินอายอย่างมาก
{ดูแล้วเจ้าต้องพานางไปหาอะไรกินก่อนนะ}
'มันก็คงจะเป็นแบบนั้น'
"เอ่อ....นี่"
?
"ไปกินข้าวบ้านข้าก่อนไหมพอดีว่ามันยังพอมีอยู่หนะ"
เด็กสาวที่ตัวเล็กกว่ามาร์คพยักหน้าอย่างว่าง่าย...ทั้งๆที่ไม่ควรจะตอบรับคำชวนของคนแปลกหน้าเเท้ๆ
หลังจากที่เธอลุกขึ้นยืนมาร์คจึงถามชื่อของเธอตามมารยาท ถึงเเม้จะรู้ชื่อของเธออยู่แล้วก็เถอะ
"แล้วนี่ชื่อไรหลอ"
"ข้าชื่อน่าเอ๋อร์"
"น่าเอ๋อร์..?"
'ออกเสียงค่อนค่างยากเเหะ'
{ข้าว่ามันก็ไม่ได้ออกเสียงยากนะชื่อของเจ้ายังดูออกเสียงยากกว่าอีก}
'อ้าวหลอ'
"ข้าชื่อมาร์คยินดีที่ได้รู้จัก"
'คงได้มรดกแล้วสิ'
{เดี๋ยวๆ เจ้ายังมีเงินเก็บอยู่ไม่ใช่หลอ}
'เงินเก็บก็มีแต่ยังไม่ได้หักเงินที่จะต้องเอาไปสุ่มวงเเหวนวิญญาณเลยและเมื่อน่าเอ๋อร์มาอยู้ด้วยคงได้ผลานเงินไปกับการซื้อวัตภุดิบมาทำอาหารเป็นเเน่ ดูๆไปแล้วคงได้ขายมรดกแน่ๆ'
{ก็จริงของเจ้า}
บ้านของมาร์ค
มาร์กลับมาถึงบ้านพร้อมกับน่าเอ๋อร์และมาร์คได้ทำอาหารให้น่าเอ๋อร์กินไปหลายจาน.....จนเหลืออาหารจานสุดท้ายที่วางอยู่หน้าของน่าเอ๋อร์ได้หมดลง..น่าเอ๋อร์แสดงสีหน้าว่าอิ่มแล้วและมาร์คเดินมาหยิบจานที่วางอยู่ตงหน้าน่าเอ๋อร์และหันไปมองจานที่ตนต้องล้างแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ
"นี่น่าเอ๋อร์เจ้าพอจำพ่อเเม่ของเจ้าได้หรือยัง"
มาร์คกล่าวขณะที่กำลังล้างจาน
"อืม..ไม่รู้"
"บ้านก็ด้วยหลอ"
"อืม"
มาร์คที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้เอ่ยขึ้น
"เดี๋ยวข้าจะออกไปฝึกเจ้าก็คิดซะว่าที่นี้คือบ้านของเจ้าละกันนะ"
"อืม"
หลังจาที่มาร์คออกจากบ้านน่าเอ๋อร์ได้ลองเดินดูในบ้านและได้เจอเสื้อผ้าของเด็กผู้หญิงในบ้านและเธอก็ได้เดินไปอาบน้ำ
พอมาร์คฝึกเสร็จและกลับมาถึงถึงบ้านเเละเจอกับน่าเอ๋อที่ยืนรออยู่หน้าบ้านและทั้งสองก็ได้เดินเข้าบ้านพร้อมกันพอมาร์คและน่าเอ๋อร์อยู่ในบ้านมาร์คก็ได้อธิบายเกี่ยวกับช่วงนี้เข้าต้องทำอะไรบ้าง
สามปีผ่านไป
ตอนนี้มาร์คอายุ9ปีแล้วรูปร่างน่าตาของเขานั้นดูดีมากซึ่งคนในโลกนี้ก็น่าตาดีกันอยู่แล้วด้วย
"นี้มาร์คเจ้าจะไปหาวงเเหวนวิญญาณตอนไหนหลอ"
เสียงของถังหวู่หลินดังขึ้นขณะที่มาร์คกำลังฝึกอยู่ภายในจิตใจอยู่
ร่างกายของถังอยู่หลินก็ไม่ต่างไปจากมังฮัวมากถึงแม้จะไม่มีน่าเอ๋อร์เป็นน้องสามก็ตามส่วนสูงของทั้งสองก็ไม่ได้ห่างกันมากโดยที่มาร์คนั้นจะสูงกว่าถังหวู่หลินอยู่นิดหน่อยแต่ก็สามารถบอกว่าทั้งสองส่วนสูงเท่ากันเลยก็ได้
"เร็วๆนี้แหละ"
เงินของมาร์คนั้นครบนานแล้วเพราะการขายมรดกเเต่ที่เขาไม่ไปไหนหรอเพราะเขาต้องเตียมเงินไว้ให้พอที่จะเลี้ยงดูน่าเอ๋อร์ด้วยและอีกอย่างหนึ่งเขาต้องการให้ตัวเขาเเข็งเเกร่งกว่านี้เสียก่อนเพื่อให้ตอนดูดซัฟดวงจิตภูตง่ายขึ้นบ้างมั้ง(แต่จริงๆแล้วเขาขี้เกลียด)
{แล้วเจ้าจะเอาแบบไหนหละ}
[ไม่รู้สิคงจะสุ่ม]
"วันนี้เจ้าจะให้ข้าไปยืนรอน่าเอ๋อร์ด้วยไหม?"
"ไม่ต้องก็ได้"
"ถึงเเม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้ว่าเจ้าเป็นพี่ชายของน่าเอ๋อร์แต่ถ้าเกิดการต่อสู้อีกแล้วใครจะคอยปกป้องน่าเอ๋อร์หละ"
"งั้นเจ้ามาด้วยก็ได้"มาร์คกล่าวอย่างหาคำโต้แย้งถังหวู่หลินไม่ได้
\*\*\*
มาร์คยืนพิงอยู่ที่ประตูโรงเรียนเพื่อยืนรอน่าเอ๋อร์ส่วนถังหวู่หลินก็ยืนอยู่ไม่ห่างกัน มากนัก
“ตอนนี้คงไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องพวกเราเลยนะมีแต่คนมองอย่างเดียว เลย"
“ถ้าไม่โง่ก็คงอยากเจ็บตัวอ่ะถ้าจะ เข้ามาหาเรื่อง"
ฮะฮ่าๆ เจ้าก็พูดแรงเกินไปนะ”
“ไม่หรอก”
“อ่ะ น่าเอ๋อร์มาแล้ว!”
“ช้าหน่อยก็ได้นะเดี๋ยวก็ล้มหรอก”
มาร์คกล่าวพร้อมกับหันไปมองน่าเอ๋อร์ ที่สวนสูงไม่ค่อยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แต่เรื่อง ความงดงามในเด็กวัยเดียวกันนั่นคงงดงาม เหมือนเดิม..
ในระหว่างสามปี ความสัมพันธ์ของ พวกเขาดีขึ้นกว่าตอนแรกๆพอสมควร ในขนาดที่เป็นพี่ชายกับน้องสาวได้เลยถึง แม้มาร์คจะยังไม่เคยเอ่ยปากบอกให้อีกฝ่าย มาเป็นน้องสาวของตนก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ ปฏิเสธที่จะให้อีกฝ่ายมาเป็นน้องสาม
“พี่ชายทั้งสอง ข้าอยากกินอมยิ้ม”
น่าเอ์อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิด จากสามปีก่อนแรกๆที่ไม่ค่อยยิ้ม.. แต่พอ ผ่านไปไมนานจะยิ้มบ่อยมากขึ้นกิเถอะ
"ได้สิ"
"เดี๋ยวข้าจ่ายเองหรือเจ้าอยากจ่ายเเทนหละ"มาร์คหันไปถามถังหวู่หลิน
"ก็เจ้าสิเงินของเจ้ามีมากกว่าข้าอีกนะ"
"ฮ้าฮ้า"
หลังจากจากที่มาร์คซื้ออมยิ้มให้น่าเอ๋อร์เสร็จเเล้วก็พาน่าเอ๋อร์กลับบ้านจากนั้นมาร์คจึงไปทำงาน
หอวิญญาณ
ตอนแรกที่มาร์คมาถึงนั้นก็เหมือนว่าจะโดนมองว่าน่ารำคาญใส่แต่มาร์คก็ไม่ได้สนใจ
ซึ่งมาร์คนั่นถือว่าโชคดีที่ได้มาเป็นหนึ่ง ร้อยปี แต่เขาก็ยังไม่ได้หลอมรวมกันมันใน ทันที...
รูปร่างของมันเหมือนกับนกที่มีเปลวไฟออกจากตัวมันบางๆจนเเทบจะมองไม่เห็น
\*\*\*
“กลับมาแล้วน่าเอ๋อร์
"ยินดีต้อนรับกลับพี่ชาย เป็นยังไง
"บ้าง?"
น่าเอ๋อร์ โผล่ออกมาจากด้านในบ้าน และเดินเข้ามาหามาร์คที่ปิดประตูหน้าบ้าน วันนี้เขาไม่จําเป็นต้องไปทำงานเพราะ ลาไว้
“... ได้เจ้านี่มา"
มาร์คขี้ไปที่ไหล่ของตนเพื่อบ่งบอกว่า เขาได้อะไรมา
"แล้วหิว ยังละ? จะได้ไปทำอาหารให้"
“อืมหิว เยอะๆเลยนะ"
"เดี๋ยวก็อ้วนหรอก...
'ถึงจะกินเยอะทุกวันก็เถอะแต่รูปราง ไม่เปลี่ยนซักนิด...'
“ข้าไมอ้วนหรอก”
“จ้าฯ”
{เจ้าเนียเอ็นดูน่าเอ๋อร์จริงๆนะ}
มันก็จริงแหละ .. แต่ก็ต้องดูแล ให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงวันที่เธอจากไปละ
{เจ้าจะได้ไม่เสียใจ?}
'ไมรู้สิ ในเมื่อเธอเป็นน้องสาวฉันแล้ว คงจะดูแลและเตรียมใจไว้ขนาดไหนฉันก็คงเศร้าอยู่ดีนั่นแหละนะ'
หลังจากที่ทำอาหารให้น่าเอ๋อร์แล้ว มาร์คก็กลับขึ้นไปบนห้องและนั่งลงตรงพื้น กลางห้องเพื่อที่จะทำการหลอมรวม
มาร์คเรียกให้มันมาอยู่ที่มือซ้ายของเขาแล้วมาร์คก็หลับตาลงเพื่อทำสมาธิและหลอมรวมกับ นกที่มีเปลวไฟจางๆรอบตัว
เวลาผ่านไปได้ซักระยะดาบในมือข้างซ้ายก็ได้ ปรากฏขึ้นเหนือมือซ้ายของมาร์คนกตัวนั้นก็ค่อยๆบินเข้าไปยังดาบดาบอย่างช้าๆ... ก่อนที่มันจะ แบ่งแสงออกมาและนกก็ค่อยๆหลอมรวมเข้ากับดาบข้างซ้ายอย่างช้าๆ
ราชามังกรดวงดาวมองดูอยู่ได้กล่าว แบบที่ไม่ให้มาร์คได้รับรู้
{ไหนๆแล้วขาจะช่วยอะไรบางอย่าง ให้ละกัน...}
ลมจางๆ ได้พัด มาอย่างเงียบๆ ทําให้ผมและเสื้อผ้าของมาร์คโบกสบัดเล็ก น้อย. แสงระยิบระยับร่องลอยอยู่รอบตัวของมาร์คและได้หลอมรวมเข้ากับตัวของมาร์คอย่างเงียบๆ
น่าเอ๋อร์ที่เดินขึ้นมาหามาร์คเพราะมี เรื่องจะถามเกี่ยวกับอสูรสปิริต พอเปิดประตูเข้าไปเมื่อได้เห็นมาร์คกำลัง หลอมรวมอยู่ได้นิ่งไปซักระยะก่อนจะ ค่อยๆเดินออกไปแล้วปิดประตูเอาไว้เหมือน เดิม
ขณะที่ทุกอย่างดูจะไปได้สวยมาร์ค ก็รู้สึกแปลกๆและเริ่มกัดฟันเล็กน้อย เหงื่อเริ่มไหลออกมาอาบร่างกายหนักกว่า เดิมก่อนจะไอออกมาเป็นเลือดสีด้า
“แค่กๆ”
เวลาผ่านไปซักสามสิบนาทีมาร์คได้ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยสภาพที่ร่างกายเต็ม ไปหมดเหงื่อ แต่ร่างกายของเขากลับดูเบา ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มาร์คหันมองดูมือของตัวเองที่ตอนนี้ นกตัวนั้นได้หายไปแล้วก่อนจะมองเลือดสิ ค่าตรงหน้า
"แกเป็นคนทํา?"
{ใช้ข้าเป็นคนทํา ข้าข่วยเอาเลือดเสียจากรางกายของเจ้ามันจะทำให้ ร่างกายเจ้าเบา และดูจะแข็งแรงกว่าปกติแถมหล่อกว่าเดิมด้วยนะ}
'.........ไม่ได้อยากหล่อขึ้นเลยซักนิด'
{แต่มันก็ทําให้เจ้าเก่งขึ้นนั่นแหละ}
'แต่พื้นห้องมันเละ'
{ก็แค่ทําความสะอาดเอง}
'ก็เองไม่ได้ทำนิหว่า!'
มาร์คเดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะหยิบ เอาของขึ้นไปทําความสะอาดห้องแต่พอลง มาก็เจอกับน่าเอ๋อร์ที่กำลังรอเขาอยู่พอดี
"พี่ชายเป็นยังไงบ้าง?"
"ก็เรียบร้อยดี"
วันเวลาได้ผ่านพ้นไปเรื่อยๆจนมาถึง วันที่น่าเอ๋อร์หายไป... เหลือไว้เพียงแค่ จดหมายบอกลากับจี้ห้อยคอสีเงิน นเล็ก ตัวจี้เป็นอัญมณีที่มีสีเงิน ผิวอัญมณีรูปทรง กลมเป็นเหลี่ยมมุมไม่เรียบเนียนและมีเส้น ด้ายสีเงินร้อยผ่านตัวจี้
ภายในตัวอัญมณีมีแสงเจ็ดสีสอง ประกายระยิบระยับเป็นครั้งดูแล้วเป็น อัญมณีที่ดูล้ำค่า
มาร์คจ้องมองจดหมายสลับกับจี้ห้อย คออย่างเงียบๆด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่สามารถระบุได้
{....เจ้านั่งแบบ มาได้ 5 นาทีแล้วนะ}
"..อืม"
มือของมาร์คสันเล็กน้อย... ถึงจะ เตรียมใจและร้อนาคตข้างหน้าอยู่แล้วแต่ การจากไปของน่าเอ๋อร์มันก็กระทบจิตใจ ของเขาอยู่ดี...
มาร์คถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเกาหัวของตัวเองเบาๆอย่างช่วยไม่ได้
"...ยังไงเราก็คงได้เจอกันอีกในวัน ข้างหน้าแหละนะ"
{แต่เจ้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเสียก่อนนะ}
"...ก็แข็งแกร่งขึ้นตามเวลานั่นแหละน่า"
{นั่นสินะแต่ถ้าเจ้าจะดูดวงแหวนอัน ใหม่แล้วบอกข้านะข้าจะได้เตรียมตัวช่วย เจ้าด้วย}
"เออได้แหละแต่ขออย่างเดียว.. ไม่เอาหล่อเพิ่มนะเดี๋ยวมีปัญหา"
หลังจากที่น่าเอ๋อร์หายไปมาร์คก็จบการศึกษาขั้นต้น
มาร์คเดินไปหน้าแท่นบรรยายและรับจดหมายแนะนำที่หลินซีเมิ่งยื่นส่งให้ นี่เป็นจดหมายแนะนำที่โรงเรียนหงซานออกให้ เมื่อมีจดหมายแนะนำฉบับนี้ เขาก็ไปรายงานตัวที่โรงเรียนขั้นกลางสำหรับผู้ใช้ภูตได้แล้ว นักเรียนคนใดก็ตามที่สามารถฝึกถึงระดับผู้เชี่ยวชาญภูตในระหว่างการเรียนโรงเรียนขั้นต้นได้ ล้วนจะได้รับการรับรองให้เรียนในโรงเรียนขั้นกลางเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น การมีวงแหวนภูตหนึ่งวงเป็นเงื่อนไขบังคับ ส่วนดวงจิตภูตจะเป็นอะไรนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขกำหนดไว้ถังหวู่หลินก็ได้จดหมายเเนะนำเช่นกันทำให้ทั้งสองจึงเรือกที่จะเรียนโรงเรียนที่เดียวกัน
\*\*\*
สถานีรถไฟพลังวิญญาณแห่งเมืองตงไห่ รถไฟพลังวิญญาณสีน้ำเงินเข้มขบวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สถานีพร้อมกับลดความเร็วลงเรื่อยๆ ในเมืองตงไห่แห่งนี้ รถไฟพลังวิญญาณแทบจะทั้งหมดล้วนใช้โทนสีน้ำเงินเป็นหลัก
เมื่อรถไฟจอดสนิท ประตูจึงเปิดออก ผู้คนเดินเรียงแถวกันออกจากขบวนรถไฟ โดยคนจำนวนมากจะมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ติดตัวมาด้วย เวลาเพียงครู่เดียว สถานีรถไฟก็พลันคึกคักขึ้นมาในทันใด ผู้คนจำนวนมาพากันเดินมุ่งหน้าไปยังทางออก
ถังหวู่หลินและมาร์คดึงเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลังของตน แล้วจึงเดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นออกไปด้านนอก นี่เป็นครั้งแรกของทั้งสองที่มาเยือนเมืองใหญ่แห่งนี้ ถังหวู่หลินมองทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่สำหรับมาร์คนั้นไม่ใช่ในชีวิตก่อนของมาร์คภาพแบบนี้นั้นพบเห็นได้ค่อนค่างง่าย
พวกเขามาที่เมืองนี้ก็เพื่อที่จะมาเข้าเรียนที่เมืองแห่งนี้ และกำลังจะไปรายงานตัวที่โรงเรียนตงไห่แห่งเมืองตงไห่
"แล้วเราจะเอาไงกันต่อหละมาร์ค"
"ก็คงจะไปที่นั้นเพื่อถามทางไปโรงเรียนตงไห่กันก่อนหละมั้ง"
พวกเขามุ่งหน้าไปมีหอคอยตั้งอยู่ บนนั้นมีคำว่า หน่วยงานปกครอง
ในหอคอยมีเจ้าหน้าที่ที่สวมเครื่องแบบอยู่สองราย ถังหวู่หลินและมาร์คเดินเข้าไปถังหวู่หลินกล่าว “สวัสดี ท่านลุงเจ้าหน้าที่ รถรับส่งของโรงเรียนตงไห่อยู่ที่ไหนหรือ?”
หลังจากที่มาร์คและถังหวู่หลินรู้จุดที่รถรับส่งของโรงเรียนตงไห่อยู่แล้วทั้งสองจึงมุ่งหน้าไป
ตงรถรับส่งของโรงเรียนตงไห่มีป้ายที่มีพื้นสีขาวตัวหนังสือสีน้ำเงินอยู่ตรงนั้นจริงๆ บนนั้นมีตัวอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ว่า โรงเรียนตงไห่
ใต้ป้ายนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ หลังโต๊ะมีชายหญิงอายุราวสิบเจ็ด สิบแปด ที่สวมชุดกีฬาสีน้ำเงินอยู่หลายคน
เมื่อเห็นถังหวู่หลินและมาร์ควิ่งตรงมา หญิงสาวที่มีผมสีดำก็กล่าวกับเขาพร้อมรอยยิ้ม “น้องชาย เจ้ามารายงานตัวใช่ไหม?”
หญิงสาวผมดำมีดวงตาคมสวย รูปร่างปานกลาง รูปหน้าสวยหวาน และมีท่าทางเป็นกันเอง
"สวัสดีพี่สาวข้าชื่อถังหวู่หลินและนี้มาร์คเพื่อนข้าเองมารายงานตัวครับ"
หลิวหยู่ซินพิจารณาเด็กผู้ชายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงเล็กน้อย ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเด็กอายุสิบเอ็ด สิบสองปี แต่หากมาเพื่อรายงานตัวเป็นนักเรียนใหม่ ก็ต้องมีจดหมายแนะนำมากจากโรงเรียนเดิม นั่นก็คือ เด็กคนนี้มีอายุเพียงแค่เก้าปี
ถึงแม้จะมีอายุน้อย แต่หน้าตาพวกเขาช่างงามยิ่งนัก ใช่แล้ว หลิวหยู่ซินใช้คำว่างามในการบรรยายถึงหน้าตาของถังหวู่หลินที่อยู่ตรงหน้า เพราะดวงตาคู่โตและขนตายาวที่ทำให้ตนเองรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยนั่น แล้วไหนจะสีหน้าท่าทางที่แสดงออกถึงความมึนงงและกระวนกระวายเล็กน้อยนั่นอีก ส่วนของมาร์คดวงตาคู่โตและขนตายาวที่ทำให้ตนเองรู้สึกอิจฉานั้นอีกและในดวงตามีความเปล่งประกายลาวกับดวงดาว คล้ายกับผู้หญิงก็มิปราณ
“สวัสดี ข้าคือหลิวหยู่ซินที่อยู่ปีหนึ่งของภาคการศึกษาขั้นสูงในโรงเรียนตงไห่ รับผิดชอบการต้อนรับนักเรียนใหม่ในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ของพวกเจ้าล่ะนะ มานี่สิ เจ้ามาลงทะเบียนก่อน แล้วเดี๋ยวแสดงจดหมายแนะนำจากโรงเรียนขั้นต้นของพวกเจ้าด้วยล่ะ”
หลิวหยู่ซินยื่นแบบการลงทะเบียนให้ถังหวู่หลินและมาร์ค
หลิวหยู่ซินมองดูถังหวู่หลินกรอกใบลงทะเบียนพลันอ่านออกเสียงอย่างอดไม่ได้ “ถังหวู่หลิน อายุเก้าปี จบการศึกษาขั้นต้นจากโรงเรียนหงซานแห่งเมืองอ้าวหลาย ขั้นที่สิบเอ็ด ผู้ใช้ภูตประเภทพฤกษา ดวงจิตภูตคือหญ้าสีฟ้า เอ๋ ดวงจิตภูตของเจ้าคือหญ้าสีฟ้างั้นหรือ?”
ถังหวู่หลินพยักหน้า
หลิวหยู่ซินยิ้มหวาน “เจ้าสามารถฝึกจนหญ้าสีฟ้ามีระดับขั้นที่สิบเอ็ดด้วยอายุเพียงเท่านี้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยนะ”
เขาไม่ได้ยินคำเหยียดหยามที่ได้ยินเป็นประจำ ทำให้ความรู้สึกดีที่ถังหวู่หลินรู้มีต่อรุ่นพี่ผู้นี้เพิ่มขึ้นมากทีเดียว เขาเกาหัวเล็กน้อยพร้อมกล่าว “พี่สาว ท่านรู้จักผู้ใช้ภูตที่มีดวงจิตภูตเป็นหญ้าสีฟ้าคนอื่นด้วยหรือ?”
หลิวหยู่ซินกล่าวพร้อมรอยยิ้มละมุน “มีสิ! ในโรงเรียนของพวกเรานี่แหละ และเขาทำได้ไม่เลวทีเดียว อันที่จริง ผู้ใช้ภูตอย่างเราคงอยู่มานานกว่าหลายหมื่นปี จนพัฒนามาถึงทุกวันนี้ ดวงจิตภูตจะเป็นอะไรนั้นไม่สำคัญเหมือนที่เคยเป็นในอดีตกาลแล้วล่ะ เพราะพวกเราสามารถพัฒนาด้านต่างๆผ่านการหลอมรวมกับวิญญาณภูตได้ นอกจากนี้ เมื่อเจ้าขึ้นภาคการศึกษาขั้นสูงก็จะรู้เอง ว่าดวงจิตภูตไม่ใช่จุดสำคัญถึงเพียงนั้น สิ่งที่สำคัญจริงๆคือการมีพลังวิญญาณในระดับขั้นที่สูงพอ และพรสวรรค์ในด้านหุ่นจักรกลต่างหาก อย่างไรเสีย การมีอยู่ของหุ่นจักรกล ก็สามารถทำให้ผู้ใช้ภูตที่มีดวงจิตภูตไม่โดดเด่นเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ดังนั้น น้องชาย เจ้าต้องตั้งใจเรียนเข้าล่ะ ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่ารุ่นพี่แล้วกัน”
“ขอบคุณรุ่นพี่” ถังหวู่หลินรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่ที่งดงามผู้นี้ด้วยความจริงใจ คำกล่าวของนาง ช่วยคลายความรู้สึกตื่นเต้นของเขาที่เพิ่งเคยได้มาเยือนเมืองใหญ่เป็นครั้งแรกได้มากทีเดียว
หลิวหยู่ซินตรวจดูจดหมายแนะนำจากโรงเรียนของถังหวู่หลินและมาร์ค แล้วจึงประทับตราและคืนให้เขา จากนั้นจึงส่งแผ่นป้ายโลหะเล็กๆให้กับมาร์คเเละถังหวู่หลิน
“พวกเจ้าแขวนป้ายโลหะนี้ไว้บนคอนะ นี่เป็นหลักฐานที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าออกโรงเรียนได้ก่อนที่เจ้าจะเริ่มเข้าเรียนจริงๆ เมื่อถึงโรงเรียนแล้ว ต้องไปรายงานตัวอีกครั้งเพื่อรับข้าวของเครื่องใช้ พวกเจ้าไปขึ้นรถโดยสารพลังวิญญาณด้านหลังก่อน รอให้คนเยอะสักหน่อยแล้วจะส่งพวกเจ้าไปโรงเรียนนะ”
ถังหวู่หลินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วจึงสะพายกระเป๋าสัมภาระของตนและเดินตรงไปยังรถโดยสาร
เมื่อมาร์คกับถังหวู่หลินขึ้นรถไปแล้วทั้งสองจึงหาที่นั่งเป็นอันดับแรกถังหวู่หลินนั่งติดหน้าต่างส่วนมาร์คนั่งถัดไปจากถังหวู่หลิน..
ขนาดของรถนั้นใหญ่พอที่จะรองรับคนได้ถึงห้าสิบคนเลยทีเดียว
\*\*\*
"มาร์คถึงโรงเรียนแล้ว"ถังหวู่หลินปลุกมาร์คที่หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
หลังจากที่มาร์คและถังหวู่หลินลงมาจากรถแล้วหลินหยู่ซินก็ได้มาหาพวกเขาเพื่อที่จะพาไปยังสำนักวิชาการระหว่างทางหลินหยู่ซินก็ได้เเนะนำเรื่องต่างๆภายในโรงเรียนให้พวกเขา
"ทางนั้นคือสำนักวิชาการพวกเจ้าต้องไปรายงานตัวที่นั่นส่วนหอพักภาคการศึกษาขั้นกลางอยู่ข้างหลังของอาคารเรียนตรงนั่นต่อไปถ้ามีปัญญาหรือเรื่องอะไรให้มาหาข้าที่ภาคการศึกษาขั้นสูงได้ข้าอยู่ปีหนึ่งห้องหนึ่งภาคการศึกษาขั้นสูง"
"ขอบคุณ"
หลังจากนั้นทั้งสองจึงเดินไปหอวิชาการสิ่งที่ได้ก็มีชุดเครื่องเเบบนักเรียนสองชุดเเละกุญเเจหอพักหนึ่งดอกส่วนหนังสือเรียนจะได้ตอนเริ่มเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว
ถังหวู่หลินได้อยู่ห้องห้าส่วนมาร์คอยู่ห้องสาม
น.ห้องพักของมาร์ค
"นี้มันห้องเ. ี้ยไรเนี่ย"มาร์คได้อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะห้องที่เขาได้มันทั้งลกและฝุ่นเกาะหนามากเหมือนไม่มีคนใช้มานาน
{ดูแล้วเจ้าคงได้อยู่คนเดียวสินะ}
"อยู่คนเดียวมันก็ดีแต่สภาพห้องมันก็ลกเกิน!"
มาร์คจึงทำความสอาดก่อนข่อยไปขออะไรนิดหน่อยที่หอวิชาการ
มาร์คใช้เวลาไม่นานในการเดินมาที่หอวิชาการ
"ผมขอเข้าประเด็นเลยละกันช่วยย้ายผมไปที่ห้องห้าหน่อยสิ"
"ไม่ได้ แล้วทำไมเจ้าถึงอยากอยู่ห้องห้าความสามารถของเจ้ามันก็มากพอที่จะอยู่ห้องสามนะข้าขอเหตุผลหน่อยสิ"
"มันก็ไม่มีไรมากหลอกแค่ในห้องห้าของมีเพื่อนของข้าอยู่แค่นั้น"
"ได้แล้วเจ้าอย่ามาขอเปลี่ยนห้องอีกหละ"
หลังจากมาร์คได้เปลี่ยนมาอยู่ห้องห้าแล้วจึงไปที่ห้องอาหาร
"เฮ้อ..หิวสะมัดเลย"
{มาถึงเจ้าก็หิวเลยนะ}
"ก็ใช้สิ"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!