NovelToon NovelToon

สองแฝดแห่งตระกูลดยุก

ตอนที่1 ระบำเลือด

รุ่งอรุณมาเยือนแสงของดวงอาทิตย์สาดส่องมาที่ใบหน้ากลมๆ แก้มแดงระเรื่อขนตายาวงอน ข้านั่งมองน้องชายฝาแฝดอยู่พักใหญ่ แล้วปลุกน้องชายให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา

“อาเธอร์ๆๆ เจ้าเด็กขี้เซานี้ตื่นได้แล้วนะวันนี้เราต้องเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรมาให้แม่ทำยาขายให้คนในหมู่บ้านนะอาเธอร์”

“งึมงำๆ หื้อพี่อาเรียข้าขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหมไม่อยากตื่นเลย”

“ห๊าา…ลุกเดี๋ยวนี้เลยเดี๋ยวเราจะสายเอานะอาเธอร์”

หลังจากนั้นข้ากับน้องก็เดินออกจากบ้านเพื่อที่จะตรงไปที่ป่า

ข้ากับอาเธอร์ผู้เป็นน้องเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรและผักผลไม้เหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา พอถึงครึ่งวันทุกอย่างภายในป่าก็ต่างไปจากปกติ หมู่มวลนกกาไม่ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วไม่สิข้าคงต้องพูดว่าไม่เห็นมีนกหรือกาสักตัว สัตว์น้อยใหญ่เองก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แววแปลกเสียจริงเหมือนสัตว์น้อยใหญ่กลัวสัตว์ที่น่ากลัวกว่าตนชะอย่างนั้น ป่าแห่งนี้คิดๆ ดูแล้วสัตว์ที่อันตรายก็มีไม่เยอะนัก แล้วจะมีสัตว์ดุร้ายตัวไหนที่ทำให้ป่าแห่งนี้เงียบสงัดไปแบบนี้เล่า

เมื่อข้าหันมองขึ้นไปบนฟ้าแสงสาดส่องของพระอาทิตย์ถูกบดบังไปด้วยเมฆท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมเริ่มพัดโหมกระหน่ำสายลมเริ่มแรงขึ้นๆ พัดเส้นผมปลิวไสว ชุดกระโปรงลายลูกไม้ถูกแรงลมพัดแรงเสียจนข้าไม่กล้าขยับตัว

“ท่านพี่วางใจได้เลยข้าจะเดินนำท่านเอง ท่านอยู่ข้างหลังข้าเถอะ”

อาเธอร์เอ่ยปากจบก็กุมมือข้าเดินไปข้างหน้า เพราะกลัวว่าจะเห็นภายใต้ชุดกระโปรงลายลูกไม้ของข้า ข้าลั่นขำคิกคักที่น้องชายให้เกียรติข้า

พวกข้ารีบย่างเท้ากลับหมู่บ้านแต่ไม่ทันไร สายฝนโปรยปรายลงมา หยาดฝนตกลงซู่ซ่าและกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกข้ายังคงเดินเท้าต่อ แต่สักพักก็มีเสียงฟ้าร้องและมีฟ้าผ่ามาตรงทางเดินข้างหน้า โชคดีที่พวกข้าเข้าป่าบ่อยจึงจำได้ทุกเส้นทาง หากเดินตรงไปซ้ายมือจะมีถ้ำอยู่ พวกข้าจึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหลบฝน

ไม่กี่ชั่วยามฝนเบาลงเรื่อยๆ ฟ้าร้องหรือฟ้าผ่าก็เลือนรางไปตามกัน พวกข้าจึงเดินออกจากปากถ้ำและรีบตรงไปยังหมู่บ้าน

“อาเรีย ข้าได้ยินเสียงแปลกๆ” อาเธอร์ดึงแขนเสื้อข้า

“ข้าก็ได้ยิน”

อาเธอร์บอกข้าให้หันไปมองบนฟ้ามองเห็นตัวสัตว์ประหลาด ครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโตบินตรงไปยังหมู่บ้านแต่สักพักฝูงสัตว์ประหลาดก็บินมานับรวมได้สิบตัวแต่ละตัวมีคนนั่งอยู่สองคน ส่วนตัวแรกคงจะเป็นจ่าฝูงละสิเพราะขนาดตัวแตกต่างจากตัวอื่นมาก

“อาเธอร์รีบกลับไปที่หมู่บ้านกัน”

“ใช้ทางลัดอีกทางกันเถอะพี่อาเรีย ถ้าหากไปทางนี้คงจะถูกจับได้แน่ๆ เรายังไม่แน่ใจว่าสัตว์ประหลาดกับคนพวกนั้นเป็นคนดีหรือร้ายกันแน่”   อาเธอร์จับแขนฉันวิ่งตรงไปที่ทางลัด

พระอาทิตย์อัสดงดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนมาแทนที่ ท้องฟ้าอมสีส้มอร่าม ควันไฟล่องลอยมาจากทางหมู่บ้าน พอย่างกายเข้าไปใกล้หมู่บ้านท้องฟ้ากลับมืดมิดเสียแล้ว ข้าได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงร้องโหยหวนของผู้คน สภาพหมู่บ้านตรงหน้าเละเทะไปเสียหมดไฟลุกลามไปทั่วบ้านเรือนของผู้คน

พวกข้าได้ยินเสียงกรีดร้องดังเข้ามาจากซากไม้ข้างหลัง แม้สภาพเรือนร่างนั่นจะถูกไฟคลอกไปครึ่งหน้าข้าก็ยังจำได้ดีว่าคนผู้นี้คือคุณยายโซอี้ น้องชายข้าเห็นจึงรีบไปตักน้ำใกล้ๆ บริเวณนั้น ส่วนข้าฉีกเสื้อที่ถูกไฟคลอกของคุณยาย น้องชายข้ามาทันเวลาพอดิบพอดีราดน้ำในถังใส่คุณยายที่เส้นผมโดนเผาไปครึ่งหน้าก็สภาพดูไม่ได้แม้แต่นิด แต่โชคดีที่ไฟในตัวคุณยายดับลง ข้ากับอาเธอร์พยายามพยุงตัวยายแก่ๆ ให้หนีให้พ้นจากตรงนี้ แต่แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงคำรามแปลกๆ อาเธอร์พอจะเดาได้ว่านั่นคือไอ้ตัวประหลาด คุณยายบอกให้เราหนีไปพร้อมกับพูดว่า อย่าอยู่ใกล้กริฟฟินและคนพวกนั้น พวกเจ้ายังต้องใช้ชีวิตเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานสวยงามต่อไป ส่วนตัวข้าจะเป็นดอกไม้ที่ร่วงโรยเพื่อให้พวกเจ้าได้ผลิบาน ส่วนคำพูดคำสุดท้ายของคุณยายที่พูดออกมาคือให้ฉันกับน้องหนีไป คุณยายเดินเข้าไปหลอกล่อเจ้าสัตว์ประหลาดที่ชื่อกริฟฟินโดยที่มีมีดสั้นเพียงเล่มเดียว อาเธอร์กุมมือฉันวิ่งออกไปพวกเราหันกลับมามองคุณยายที่ไกลออกไป ภาพตรงหน้าที่ไฟลุกโชนกับคุณยายที่เริงระบำท่ามกลางกองไฟเธอใช้มีดสั้น แทงชายผู้ขี่ตัวประหลาดแต่ชายหนุ่มก็ใช้ดาบยาวแทงไปที่กลางอกของเธอ ระบำสีเลือดที่ได้เริ่มบรรเลงก็จบลงเมื่อทั้งชายหนุ่มกับหญิงแก่ต้องตายในไฟที่ลุกโชนไปพร้อมกัน

เมื่อระบำเลือดของพวกเขาจบลงชายหนุ่มที่อยู่บนหลังกริฟฟินที่มาด้วยกันกับคนที่ตายไปก็เกิดคลุ้มคลั่ง สั่งให้กริฟฟินพังบ้านเรือนที่ยังไม่เสียหาย

“ท่าไม่ดีแล้วอาเธอร์รีบหนีกลับไปที่บ้านเราก่อนเหอะ” พูดจบฉันก็กุมมือน้องชายตรงดิ่งไปที่บ้าน

ความร้อนของไฟยืนจากตรงนี้ก็รู้สึกได้ บ้านที่เคยหลับนอนตอนนี้ไม่เหลือแม้ซากเหลือไว้เพียงไฟที่ลุกลามไปทั่ว สีหน้าของพวกเราเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่ทำเอาสะเทือนใจ ยืนแทบไม่ไหวเข่าแทบทรุดลงไปกับพื้นดิน น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองตาของเด็กทั้งสองพวกเขายืนนิ่งเหมือนร่างไร้วิญญาณไปแล้ว

“อาเธอร์…ไปตามหาแม่กับลุงกันก่อนเถอะนะ”

“อื้อ… แล้วก็ไม่ต้องร้องนะอาเรียผมจะปกป้องพี่เอง” อาเธอร์พูดพลางแล้วเช็ดคราบน้ำตาให้ฉัน

“ไปหลังหมู่บ้านกันเหอะพี่อาเรีย ฝั่งนู้นดูเหมือนไฟจะยังลุกลามไม่มากผู้คนในหมู่บ้านคงจะออกไปจากข้างหลังหมู่บ้านกันแล้ว”

ตอนนี้พระจันทร์ขึ้นเฉิดฉายบนท้องฟ้าแม้ตอนปกติจะมืดมิดแต่บัดนี้กลับมีไฟลุกโชนจนแทบจะเหมือนช่วงเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้น ข้างหน้ามีชายหญิงรูปร่างหน้าตาคุ้นๆ พวกเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยแม้จะอยู่รอบกองไฟที่ลุกลาม

“อาเรียอาเธอร์” พวกเขาตะโกนเสียงดังแล้วโผล่เข้ามากอดพวกเรา

“ท่านแม่ท่านลุง” เราสองพี่น้องพูดเสียงสั่น

ลุงอุ้มอาเธอร์ไว้แล้วถือดาบยาววิ่งนำหน้าส่วนแม่อุ้มฉันแล้ววิ่งตามลุงไป เมื่อถึงหลังหมู่บ้านลุงได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงแค่ว่า คุณหนูคุณชายจงมีชีวิตรอดจนกว่าพวกของท่านผู้นั้นจะมา แล้วลุงก็รีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านโดยที่ทิ้งพวกเราไว้ให้สับสน หลังจากนั้นแม่ไม่รอช้าจับมือเราสองคนวิ่งออกไปทิ้งให้เกิดความสงสัยว่าสิ่งที่ลุงพูดคือเรื่องอะไรกันแน่

สัตว์ตัวสีขาวใหญ่เส้นแผงคอสวยตรงยาววิ่งมาตรงหน้าตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่

“เจ้าโคลนิ”

ข้าพูดได้ไม่ทันไรแม่อุ้มข้ากับน้องขึ้นไปนั่งบนหลังม้า เจ็บหน่อยนะอดทนอีกนิดหนึ่งแม่ควบม้าตรงดิ่งเข้าป่าเพื่อหนีจากหมู่บ้าน ข้าได้แต่เกิดความสงสัยลุงที่เป็นเพียงพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยที่สุดในหมู่บ้านทำไมถึงมีแรงไปจับดาบแบบนั้นกัน ที่แปลกกว่าคือแม่ที่เป็นเพียงหมอสมุนไพร จะควบม้าได้อย่างชำนาญแบบนี้ได้ยังไงกัน…

บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปสายลมเหมือนพัดแรงขึ้น เมื่อหันไปมองบนฟ้าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นกับชายที่คลุ้มคลั่งบินลงมาขวางทางพวกเรา ชายคนที่นั่งอยู่บนหลังกริฟฟินกระโดดลงมาจากหลังกริฟฟินแล้วชักดาบขึ้นมา ชี้มาทางเราสองพี่น้อง

“พวกเจ้าคือเด็กแฝดคู่นั้นสินะ”

“แกเป็นใคร” แม่เอ่ยถาม

“ข้าก็เป็นคนที่จะมาฆ่าแกแล้วจับเด็กแฝดไปไงละ”

“เจ้าเหอะเป็นใครกันกล้ามาขวางข้า”

“คนใกล้ตาย ไม่จำเป็นต้องรู้จักนามของข้า” ผู้เป็นแม่ตอบกลับ

“อาเรีย อาเธอร์พวกเจ้าจงหนีไปจากตรงนี้ถ้าหากแม่ฆ่าไอ้เลวนี่ได้ แม่จะตามไปหาลูกแล้วเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปของพวกเจ้า”

พวกเราสองพี่น้องที่นั่งอยู่หลังม้าขาวสง่างามแม้มืดมิดในยามราตรีฟังที่แม่พูด ทันใดนั้นผู้เป็นแม่กระโดดลงจากหลังม้า เธอดึงชายกระโปรงขึ้นเผยขาเรียวสวยที่ซ่อนมีดสั้นไว้ข้างในต้นขาอ่อน เธอหันมายิ้มให้พวกข้าแล้วสั่งให้เจ้าโคลวิ่งพาพวกข้าหนีไปจากที่ตรงนี้

ตอนที่2 เจ้าโคลม้าพูดได้

เสียงฝีเท้าของเจ้าโคลดัง กุบกับ กุบกับ ในตอนนี้เจ้าโคลพาเราวิ่งหนีห่างจากหมู่บ้านได้สักระยะ ลมแรงพัดปลิวเข้ามากระทบกับหน้าของฉัน ในเวลานี้ฝนค่อยๆ เลือนรางหายไปแต่เมฆยังคงบดบังแสงพระจันทร์อยู่เหมือนเดิมแม้จะมืดมากแต่ก็พอมองเห็นแสงระยิบระยับของหิ่งห้อยตัวน้อย

“อาเรีย ข้าง่วงเหลือเกิน”

“ข้าก็เหมือนกัน”

“จริงๆ ข้าอยากจะให้เจ้าโคลหยุดพักที่นี่นะ แต่ข้าว่าเจ้าพวกนั้นอาจจะตามเรามาก็ได้ห่างไปจากหมู่บ้านคงจะดีสุดแล้วแหละนะ”

“อื้อข้าก็คิดเหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะหิวแล้วสิทั้งๆ ที่ปกติตอนนี้เราคงกินข้าวแล้วได้เข้านอนแล้วแท้ๆ”

“เห้อ วิ่งมานานนี่มันเหนื่อยจริงๆ เลย”

“อาเธอร์ เจ้าพูดหรอไม่สิเจ้านั่งอยู่กับข้านิแล้วใครวิ่ง หรือว่าแถวนี้มีคนหรือโจรป่ากันแน่นะ?’ ’

“ข้า…ข้าก็ไม่รู้ข้าก็ได้ยิน แต่ข้าไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวของใครสักคนเลยนะ”

“อ้าว…คุณหนูคุณชายได้ยินเสียงของข้างั้นเลอะ”

“เดี๋ยวนะคนที่พูดคือเจ้าหรอโคล ไม่สิโคลเจ้าเป็นม้าจะพูดได้ได้ไงกัน” อาเธอร์พูดไปพลางทำสีหน้างง

“ห๊า…เดี๋ยวสิม้าพูดได้ ไม่สิพวกข้าฟังภาษาสัตว์ได้งั้นหรอ??”

“จริงๆ ข้าก็อยากอธิบายให้พวกท่านฟังอยู่หรอก แต่ข้าเป็นม้าไม่รู้เรื่องอะไรนักหนาหรอกนะรอถามท่านแม่ของพวกท่านจะดีกว่า

หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับโคลแม้จะมีเรื่องสงสัยมากแค่ไหนโคลก็รู้เพียงแค่ตัวเองเป็นลูกม้าที่เกิดมาที่คฤหาสน์ในตระกูลหนึ่งพอคลอดแล้วก็หย่านมและโดนจับแยกจากแม่ทันทีและได้มาอยู่กับแม่ของฉัน โคลบอกรู้เพียงแค่แม่ของฉันก็พูดกับสัตว์ได้แต่พูดได้แค่กับบางตัวเท่านั้น

อยู่ๆ พวกเราก็ได้ยินเสียงของเจ้าสัตว์ประหลาดกริฟฟิน ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันกับอาเธอร์รู้สึกได้ถึงความสั่นกลัวของโคล เมื่อฉันเอ่ยถามโคลว่าเกิดอะไรขึ้นโคลจึงเล่าตำนานที่กริฟฟินเป็นสัตว์ที่ใช้ลากแทนม้าของเทพเจ้า และสัตว์ที่พวกมันเกลียดที่สุดคือม้าแบบพวกข้าพวกมันคิดว่าม้าคือคู่แข่งเสียด้วย หากเป็นแบบนี้พวกท่านทั้งสองจะได้รับอันตรายเป็นแน่

“คุณหนูคุณชายพวกท่านทั้งสองลงไปหาที่ซ่อนดีหรือไม่ข้ากลัวเจ้ากริฟฟินมาทำร้ายพวกท่าน”

“ไม่ได้หรอกนะโคล หากข้ากับพี่สาวลงชายทั้งสองคนที่นั่งบนหลังกริฟฟินจะต้องตามหาพวกข้าแน่ยังไงก็เสี่ยงเหมือนเดิมเลยแหละนะ หากแถวนี้มีที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราทั้งสามคงดี”

“อ๊ะ จริงสิอาเธอร์เมื่อไม่กี่วันก่อนเราเข้ามาในป่าแถวๆ นี้แล้วเจอต้นดอกวิสทีเรีย หากตรงไปข้างหน้าจะเจอต้นของดอกวิสทีเรีย โคลวิ่งไปเลยแต่ระวังห้ามโดนดอกของมันนะ”

โคลรีบวิ่งไปที่ต้นดอกวิสทีเรียทันที และเราสองคนพี่น้องค่อยๆ ลงจากหลังม้า ส่วนโคลค่อยๆหมอบคลานเข้าไปนั่งใต้ต้นวิสทีเรีย จากระยะห่างที่เราทิ้งไว้เจ้ากริฟฟินและคนพวกนั้นคงจะมาถึงในไม่ช้า ฉันแบ่งถุงมือให้น้องแล้วสวมใส่ เอากรรไกรที่พกมาค่อยๆ ตัดก้านของมันออกมา และระวังไม่ให้ดอกของมันโดนตัว

ผ่านไปสักพักชายสองคนกับกริฟฟินหนึ่งตัวก็ได้ย่างกายเข้ามาใกล้บริเวณที่เราอยู่ เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเห็นเด็กแฝดยืนกอดกันอยู่ก็รีบพุ่งตัวไปจับเด็กแฝด แต่ร่างกายที่สูงกำยำก็โดนเข้ากับดอกไม้พิษเข้าเสียแล้ว เมื่อชายหนุ่มทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าพิษก็แล่นเข้าไปในร่างกาย เข่าพวกเขาทั้งสองก็ทรุดลง

“พวกเจ้า…ทำอะไรกับพวกข้านะ… แค่กๆ”

“พวกข้าไม่ได้ทำอะไรพวกท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ความไม่รู้ของพวกท่านต่างหากที่กำลังจะฆ่าท่าน”

เมื่อชายหนุ่มทั้งสองล้มลงอย่างหมดสติ กริฟฟินจึงคลุ้มคลั่งเดินผ่านเข้ามาแม้ตัวของมันจะโดนดอกไม้ปกคลุมไปทั้งตัว แต่พิษขนาดนั้นก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย สักพักเจ้าโคลหันมากระซิบข้างๆ หูพวกเรา แล้วรีบคลานเข่า ถอยไปจากที่พวกเราอยู่หลังจากนั้นเจ้ากริฟฟินกำลังจะง่างมือตะปบพวกเรา แต่มันก็หันไปตามเสียงของเจ้าโค

“ฮ่า ฮ่า เจ้าม้าไม่รู้จักเจียมตัว งั้นเจ้าก็มาแข่งกับข้าหากข้าชนะข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งสามให้หมด”

หลังจากนั้นไม่นานนักพวกสัตว์สี่ขาทั้งสองตัวเริ่มวิ่งออกจากรอบๆ บริเวณของที่พวกเราสองพี่น้องอยู่ แสงจันทร์ตอนกลางคืนสาดส่อง พวกเราสองพี่น้องรีบลุกออกเดินทาง ทำตามแผนที่เจ้าโคลกระซิบเจ้าโคลบอกให้พวกเราตรงไปทางทิศเหนือเพื่อไปรวมตัวกับท่านแม่และท่านลุง ส่วนเจ้าโคลจะหลอกล่อเจ้ากริฟฟินไปอีกทางแล้วจะตามไปทีหลัง

ทางฝั่งเจ้าโคล มันวิ่งสุดกำลังเพื่อรอเวลาพิษของดอกไม้กระจายไปทั่วร่างของเจ้ากริฟฟิน แต่สัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่ยังไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยอ่อน พวกมันวิ่งไปจนถึงหน้าผาเจ้ากริฟฟินพยายามที่จะไล่ต้อนเจ้าโคลให้ตกหน้าผา แต่เจ้าโคลก็เคลื่อนที่หลบหนีได้ทุกครั้ง เจ้ากริฟฟินที่รู้ตัวว่าตอนนี้ร่างกายของมันหนักอึ้งหากไล่ต้อนเจ้าโคลนานๆ มันคงไม่ไหว มันจึงบินโฉบไปกัดเข้าที่หลังของโคล แรงกัดนั้นทำให้เจ้าโคลรีบขยับหนี พิษที่เริ่มเข้าสู่ร่างกายช้าๆ บัดนี้ออกฤทธิ์เดช จนเจ้ากริฟฟินล้มลงไปส่วนทางด้านเจ้าโคลม้าขาวก็ได้รับแผลใหญ่ที่เจ็บเจียนตาย แม้จะเจ็บตัวแต่เจ้าม้าซื่อสัตย์ก็รีบวิ่งตรงไปหาผู้เป็นนาย

ตอนที่3 สามพี่น้องหิ่งห้อย

ฉันกับอาเธอร์รีบมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือตามที่โคลบอกแต่จู่ๆ พวกเราก็ได้ยินเสียงแว่วๆ เหมือนตอนที่ได้ยินเสียงของโคลครั้งแรก

“เจ้ามนุษย์พวกนั้นจะไปไหนกันนะ หรือว่ามุ่งหน้าไปทางเหนือหรอพี่ชาย” น้องเล็กเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

“ห๊าไม่รู้สิ เด็กมนุษย์สองคนเดินในป่าตอนกลางคืนเนี่ย หลงทางกันรึเปล่านะ ทิ้งเด็กไว้แบบนี้น่าสงสารจังเราใช้แสงไฟในตัวเรานำทางให้พวกเขาดีมั้ยน้องรองน้องเล็ก”

“ข้าได้หมดน้องเล็กกับพี่ใหญ่ละคิดว่าไง”

“พี่ใหญ่พี่รองไปใช้ไฟส่องแสงนำทางให้เด็กมนุษย์กัน”

ฉันกับน้องชายชะโงกหาเจ้าของเสียงนั้นอยู่สักพักและแสง ระริบ ระริบของหิ่งห้อยก็มาปรากฏตัวขึ้นรอบๆ ตัวเรา หิ่งห้อยทั้งสามดูท่าจะเป็นพี่น้องกัน

“พี่อาเรียเราคุยกับเจ้าโคลได้แล้วเราจะคุยกับหิ่งห้อยได้หรือเปล่า” อาเธอร์หันมาถามฉัน

“หืมน่าสงสัยจังงั้นลองดูกัน”

“นี้ๆ พวกเจ้าฟังที่ข้าคุยกันรู้เรื่องมั้ย”

“ฮ่า ฮ่า พวกเด็กๆ มนุษย์เนี้ยชอบลองคุยกับสัตว์เหมือนนิทานปรัมปราจริงๆ เลยเนอะ” พี่ใหญ่ของหิ่งห้อยพูดไปพลางขำไป

“นิทานปรัมปราหรอ แต่พวกข้าได้ยินเจ้าทั้งสามตัวคุยกันจริงๆ นะ”

“ใช่แล้วๆ …ข้ากับพี่ก็ยังพูดคุยกับเจ้าโคลที่เป็นม้ารู้เรื่องด้วยนะ!!”

“พี่ใหญ่พี่รองดูมนุษย์สองคนเนี่ยเหมือนจะคุยกับพวกเราสามพี่น้องรู้เรื่องจริงๆ ด้วยนะ” เจ้าหิ่งห้อยน้องเล็กพูดไปพลางส่องแสงระยิบระยับ

“แล้วพวกเจ้าคุยกับสัตว์ได้ทุกตัวมั้ย” หิ่งห้อยน้องรองถาม

“ข้าก็ไม่รู้ข้ากับน้องพึ่งได้ยินเสียงเจ้าโคลเป็นครั้งแรกไม่กี่ชั่วยามนี้เอง แต่ก่อนที่จะได้ยินข้ารู้สึกปวดหัวด้วยแหละนะ”

“อาเรีย พี่ก็ปวดหัวเหมือนกันกับข้าหรอ”

หลังจากนั้นเราก็เดินไปคุยไปกับหิ่งห้อยสามพี่น้อง แล้วอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน พวกหิ่งห้อยสามพี่น้องก็อาสาพาเราเดินทางไปยังทิศเหนือ

แคร๊ก แคร๊ก เสียงดังมาจากพุ่มไม้ข้างหน้ามีตัวอะไรสักอย่างกำลังเดินผ่านมาทางนี้

“อาเรีย เราไปหลบข้างหลังพุ่มไม้อีกต้นกันเหอะ” อาเธอร์กระซิบข้างหูฉัน

พวกเราทั้งห้าหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่มีตัวอะไรสักอย่างเดินตรงมาข้างหน้าตัวเล็กเท่าเด็กหกขวบมีร่างกายสีเขียว เมื่อเจ้าตัวแรกเดินออกมาก็มีตัวต่อๆ ไปเดินตามหลังมันพวกมันมีกันประมาณห้าตัวได้

“อาเรียในป่านี้พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านกำจัดพวกก็อบลินไปหมดแล้วไม่ใช่หรอ”

“ห๊ะ…เจ้าว่าไงนะเจ้ามนุษย์เพศผู้เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าพวกก็อบลินพวกนี้อยู่กันเป็นฝูงทางทิศตะวันออกแหนะ แต่ข้าว่าก็น่าสงสัยอยู่ดีนะพวกมันออกมาทางทิศเหนือทำไมกันนะ” เจ้าหิ่งห้อยพี่ใหญ่พูดทำท่าทางสงสัย

ทันใดนั้นเจ้าก็อบลินตัวหนึ่งก็เดินตรงมาที่พุ่มไม้ อาเธอร์คว้าหินก้อนเล็กโยนออกไปไกลจากพุ่มไม้ที่พวกเราอยู่ เสียงดังของก้อนหินกระทบลงกับเศษกิ่งไม้แห้งพอดี เจ้าก็อบลินตัวนี้หลงกลเข้าก็เดินตรงไปหาเจ้าของเสียงทันที

พวกเราก็ค่อยๆขยับตัวออกจากบริเวณพุ่มไม้ แต่แล้วจู่ๆ สามหนุ่มหิ่งห้อยเหลือบมองไปเห็นหิ่งห้อยสาวพวกมันก็กระพิบแสงระยิบระยับเกี้ยวพาราสีกันทันที บังเอิญก็อบลินพวกนั้นหันมาเจอพวกเราสองพี่น้องเข้าพวกมันรีบวิ่งมาหาพวกเราสองพี่น้อง ด้วยสัญชาตญาณของพวกเราทำให้เกิดกลัวขึ้นมาก็รีบวิ่งหนีสุดกำลัง

“อาเรียวิ่งเร็ว!!”

“อ้าวมนุษย์แฝดไปไหนกัน” พี่ใหญ่หิ่งห้อยหันมาถามพวกเราสองพี่น้อง

“ห๊าาาา ไอ้หิ่งห้อยบ้ากามแกกำลังทำให้คนอื่นลำบากนะรู้ตัวมั้ยเนี่ย” ฉันชักสีหน้าชวนหงุดหงิดพร้อมกับดึงกระโปรงลายลูกไม้วิ่งมาข้างๆ อาเธอร์

“เดี๋ยวสิมนุษย์รอเราสามพี่น้องด้วยยยยยยย”

“ไม่ต้องตามมาเลยนะไอ้พวกทรยศเพื่อนทั้งสามตัวนะหยุดอยู่ตรงนั้นเลย” อาเธอร์ตะโกนลั่น

“ไม่ได้ทรยศสักหน่อย วิ่งช้าๆหน่อยสิพวกเราตามไม่ทันอาเธอร์อาเรีย”

หลังจากนั้นพวกเราก็วิ่งวุ่นไปทั่วป่าแต่แล้วความบรรลัยก็เกิดขึ้นเมื่อฉันล้มลงไปเพราะสะดุดชายกระโปรงของตัวเอง อาเธอร์รีบหันหลังกลับมาอุ้มฉันแต่พวกก็อบลินทั้งห้าก็ล้อมรอบพวกเราไว้หมดหลังจากนั้นพวกมันก็เริ่มแสดงสีหน้าท่าทางน่ากลัวจนรู้สึกขนลุก แล้วล้มพับลงไปแล้วพูดขึ้นมาว่าพวกท่านมนุษย์ผู้วิเศษช่วยพวกข้าด้วยเถิดขอรับ

“เอ๋!!…อะไรนะ” อาเรียตะโกนลั่น

“ท่านมนุษย์ช่วยพวกข้าด้วย"เจ้าก็อบลินตัวที่หนึ่งกำลังรํ่าไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร

“ไหนพวกเจ้าลองพูดมาสิเผื่อข้ากับพี่จะช่วยได้” อาเธอร์พูด

“หลายเดือนก่อนพวกเราทั้งห้าถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านก็อบลินเพราะพวกเราทำประโยชน์ให้คนในหมู่บ้านไม่ได้สักนิด ในคืนนั้นพวกเราร่อนเร่เดินทางหาที่พักแต่จู่ๆ หมาป่าฝูงหนึ่งก็พุ่งตัวมาจะทำร้ายพวกเราแต่แล้วก็มีอีกาสีขาวตัวหนึ่งมาช่วยพวกเรา เพื่อแลกกับการปกป้องจากกาขาว กาขาวขอให้พวกเราช่วยเก็บผักสมุนไพรมาให้กาดำผู้เป็นน้องชายที่นอนป่วย"ก็อบลินตัวที่สองพูดต่อ

"แต่ไม่กี่วันก่อนท่านกาดำกับอาการแย่ลงเรื่อยๆ พวกเราอยากจะตอบแทนผู้มีพระคุณจึงขอให้พวกท่านมาช่วย"

"พวกเจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกข้าจะช่วยกาดำได้"

"พวกเราขอโทษที่ต้องบอกแบบนี้ตอนที่เราออกไปเก็บสมุนไพร พวกเราเห็นพวกท่านทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับสมุนไพรมาระหว่างทางให้กับท่านหิ่งห้อยทั้งสามฟังพวกเราจึงแอบตามพวกท่านมาเพื่อขอความช่วยเหลือ"

“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเจ้าจะไม่ทำร้ายข้ากับพี่”

“พวกเราขอสาบานโดยให้เจ้าแห่งหิ่งห้อยทั้งสามเป็นพยานว่าพวกเราจะไม่ทำร้ายท่านขอแค่ท่านช่วยน้องชายของท่านกาขาวพวกข้ามจะตอบแทนบุญคุณพวกท่าน”

“เจ้าแห่งหิ่งห้อยทั้งสาม?? พวกเจ้าสามพี่น้องเป็นตัวอะไรกันแน่ภูติผีวิญญาณหรือยังไงกัน ทำไมถึงต้องเรียกว่าเจ้าแห่งหิ่งห้อยด้วยละ”

“พวกก็อบลินบูชาหิ่งห้อยอย่างพวกข้า เพียงเพราะพวกข้าเป็นหิ่งห้อยที่ได้รับพรจากพระเจ้าทำให้อายุยืนและช่วยส่องแสงสว่างตอนกลางคืนพวกเขาบอกว่าเราคือตัวแทนของพระอาทิตย์ด้วยนะ และพวกก็อบลินเป็นพวกที่รู้บุญคุณสุดๆด้วยนะ เชื่อใจพวกเขาได้เลย"หิ่งห้อยน้องรองตอบ

พวกเราสองพี่น้องจึงตัดสินใจช่วยก็อบลินทั้งห้า

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!