NovelToon NovelToon

Fights Break Sphere สัประยุทธ์ทะลุฟ้า

บทแน่ะนำทำเนียบไฟวิเศษ

ที่นี่คือโลกแห่งปราณยุทธ์ ปราศจากเวทมนตร์มหัศจรรย์ละลานตา จะมีก็แต่ปราณยุทธ์ที่ฝึกปรือถึง ระดับไร้เทียมทานเท่านั้น สามสิบปีกระแสธารผกผันตะวันออก สามสิบปีกระแสธารผกผันตะวันตกอย่าได้ สบประมาทหนุ่มน้อยตกอับนี้คือมหาพิภพที่ปราณยุทธ์ตัดสินทุกสิ่ง ในเมืองอุถ่านของจักรวรรดิเจียหม่า เซียวเหยียนหนุ่มน้อยอัจฉริยะ ผลันสูญเสียปราณยุทธ์ อัจฉริยะกลายเป็นเศษสวะสามปีเต็มๆ ที่เขาต้องประสบกับสายตาดูแคลน และความอดสู่น่านา ในขณะที่เขากำลังสิ้หวัง วิญญาณดวงหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า เย่าเหล่า ลอยเพลิ้วออกมาจากในแหวนของเขา.. คือชีวิตใหม่ของเขา นี่คือตำนานการต่อสู้แห่งชีวิตของเขา!

           ***********************************************************************************

ระดับการฝึกพลังฝีมือจากระดับต้นถึงระดับสูง 

ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่1-9

นักยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

คุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

มหาคุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ยอดยทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

มหาราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

เซียนยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ยอดเซียนยุทธ์ 1 รอบ - 9 รอบ

กึ่งเทพยุทธ์

กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นต้น

กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นกลาง

กึ่งเทพยุทธ์\= ขั้นสูง

เทพยุทธ์  1ดาว - 9 ดาว

จ้าวจักรวาลยุทธ์

( ระดับชั้นเคล็ดวิชาและทักษะยุทธ์ จากต่ำถึงสูง)

ชั้นทอง แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นนิล แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นดิน แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นฟ้า แปงเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

( ระดับนักปรุงโอสถจากระดับต้นไปสูง )

นักปรุงโอสถระดับ 1- 9

( ไฟวิเศษมี 23 ชนิด) 

อันดับ 23 เพลิงอำพันทมิฬ

อันดับ 22 เพลิงวิญญาณหมื่นอสูร

อันดับ 21 นิยายไม่ได้กล่าวถึง

อันดับ 20 นิยายไม่ได้กล่าวถึง

อันดับ 19 เพลิงบัวเขียวแก่นพิภพ

อันดับ 18 นิยายไม่ได้กล่าวถึง

อันดับ 17 เพลิงศิลาอัคนี

อันดับ 16 เพลิงเมฆาวารี

อันดับ 15 เพลิงแก่นมหรรนพ

อันดับ 14 เพลิงหฤทัยดาวตก

อันดับ 13 นิยายไม่ได้กล่าวถึง

อันดับ 12 เพลิงวิชชูเก้ามังกร

อันดับ 11 เพลงเย็นวิญญาณกระดูก

อันดับ 10 เพลิงวายโลกันตร์

อันดับ 9 เพลิงอัคนีตรีสหัส

อันดับ 8 เพลงอเวจีบัวโลหิต

อันดับ 7 เพลิงมหาธาตุโลกันตร์

อันดับ 6 เพลิงเพชรฆาตแปดทิศ

อันดับ 5 เพลิงวัฒนะ

อันดับ 4 เพลิงมหาอำพันผลาญนภา

อันดับ 3 เพลิงมารบัวพิสุทธิ์

อันดับ 2 เพลิงอนัตตากลืนอัคคี

อันดับ 1 ถัวเส่อกู่ตี้

ระดับเตาหลอมกลั่นโอสถ จากต่ำไปสูง 1 - 8

เตาหลอมกลั่นโอสถระดับ8 มีทั้งหมด 13 เตา

เขตแดนจิตวิญญาน มี 4ระดับ

         ####################################################

อัจฉริยะผู้ล่วงหล่น

( ระดับการฝึกพลังฝีมือจากระดับต้นถึงระดับสูง  )

ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่1-9

นักยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

คุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

มหาคุรุยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ยอดยทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

มหาราชันยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ปรมาจารย์ยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

เซียนยุทธ์ 1 ดาว - 9 ดาว

ยอดเซียนยุทธ์ 1 รอบ - 9 รอบ

กึ่งเทพยุทธ์

กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นต้น

กึ่งเทพยุทธ์ \=ขั้นกลาง

กึ่งเทพยุทธ์\= ขั้นสูง

เทพยุทธ์  1ดาว - 9 ดาว

จ้าวจักรวาลยุทธ์

( ระดับชั้นเคล็ดวิชาและทักษะยุทธ์ จากต่ำถึงสูง)

ชั้นทอง แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นนิล แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นดิน แบ่งเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

ชั้นฟ้า แปงเป็น ขั้นต้น กลาง สูง

( ระดับนักปรุงโอสถจากระดับต้นไปสูง )

นักปรุงโอสถระดับ 1- 9

( ไฟวิเศษมี 23 ชนิด) 

อันดับ 23 เพลิงอำพันทมิฬ

อันดับ 22 เพลิงวิญญาณหมื่นอสูร

อันดับ 21 รออับเดต

อันดับ 20 รออับเดต

อันดับ 19 เพลิงบัวเขียวแก่นพิภพ

อันดับ 18 รออับเดต

อันดับ 17 เพลิงศิลาอัคนี

อันดับ 16 เพลิงเมฆาวารี

อันดับ 15 เพลิงแก่นมหรรนพ

อันดับ 14 เพลิงหฤทัยดาวตก

อันดับ 13 รออับเดต

อันดับ 12 เพลิงวิชชูเก้ามังกร

อันดับ 11 เพลงเย็นวิญญาณกระดูก

อันดับ 10 เพลิงวายโลกันตร์

อันดับ 9 เพลิงอัคนีตรีสหัส

อันดับ 8 เพลงอเวจีบัวโลหิต

อันดับ 7 เพลิงมหาธาตุโลกันตร์

อันดับ 6 เพลิงเพชรฆาตแปดทิศ

อันดับ 5 เพลิงวัฒนะ

อันดับ 4 เพลิงมหาอำพันผลาญนภา

อันดับ 3 เพลิงมารบัวพิสุทธิ์

อันดับ 2 เพลิงอนัตตากลืนอัคคี

อันดับ 1 ถัวเส่อกู่ตี้

ระดับเตาหลอมกลั่นโอสถ จากต่ำไปสูง 1 - 8

เตาหลอมกลั่นโอสถระดับ8 มีทั้งหมด 13 เตา

เขตแดนจิตวิญญาน มี 4ระดับ

         ####################################################

    

“ปราณแห่งยุทธ์  ช่วงที่สาม!”

สีหน้าเด็กหนุ่มปราศจากความรู้สึก เมื่อแหงนมองอักขระขนาดใหญ่ที่เรืองแสง จนแสบนัยน์ตาบนป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ทดสอบพลัง มุมปากผุดแววเยาะหยันตนเอง ฝ่ามือกำแน่น เพราะบีบแรง ส่งผลให้ปลายเล็บ ที่แหลมคมเล็กน้อยจิกลึกในอุ้งมือ ความปวดร้าวแล่นจับหัวใจเป็นระลอก...

“เซียวเยียน ปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่สาม! ระดับขั้น : ขั้นต้น!”

ข้างป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ทดสอบพลัง บุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งชำเลืองข้อมูลบนป้ายที่แสดงชัดออกมา ก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงเฉยชา...

บุรุษวัยกลางคนเพิ่งกล่าวจบ พลันเกิดเสียงฮือฮาปรามาสในฝูงชน กลางสนามกว้างตามคาด

“ช่วงที่สาม? เฮอะๆ อย่างที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด หนึ่งปีที่ผ่านมา'อัจฉริยะ' ผู้นี้ยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่!”

“เฮ่อ เจ้าเศษสวะนี่ทำให้คนในตระกูลขายหน้าจริงๆ”

“ถ้าประมุขตระกูลไม่ใช่บิดาเขา เศษสวะเยี่ยงนี้คงถูกขับออกจากตระกูล ปล่อยให้แตกดับไปเองนานแล้ว ไหนเลยยังมีโอกาสลอยหน้า ลอยตาอยู่ในตระกูลได้”

“เฮ่อ หนุ่มน้อยอัจฉริยะแห่งเมืองอูถ่านในวันวานคนนั้น ไฉนตกต่ำถึงระดับนี้ได้”

“ใครจะไปรู้ บางทีอาจกระทำเรื่องน่าละอาย ทำให้เทพเจ้าเบื้องบนบันดาลโทสะลงมา….”

เสียงดูแคลนและทอดถอนใจดังขึ้นทั่วทิศ ลอดเข้าหูหนุ่มน้อยที่ยืนนิ่งเป็นเสาไม้อยู่ที่เดิมคนนั้น ประหนึ่งหนามแหลมนับไม่ถ้วนทิ่มดำกลางใจ ทำให้หนุ่มน้อยหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อย หนุ่มน้อยเงยศีรษะขึ้น เผยเห็นดวงหน้าเยาว์วัยอ่อนใส ลูกตาดำจัดกวาดผ่านเรือนร่าง ของคนวัยเดียวกันโดยรอบ ซึ่งกำลังเย้ยหยันด้วย  แววตาชืดชา รอยยิ้มเยาะตนเองบนมุมปากของหนุ่มน้อย คล้ายเปลี่ยนเป็นขื่นขึ้นกว่าเดิม คนเหล่านี้ไฉนเห็นแก่ผลประโยชน์ และใจคอโหดร้ายปานนี้ หรือเป็นเพราะสามปีก่อน พวกเขาเคยผุดยิ้มที่สุดจะนอบน้อมเบื้องหน้าตน

ดังนั้นยามนี้จึงใคร่ทวงคืนกระมัง.… ยิ้มหม่นคราหนึ่ง เซียวเยียนหมุนตัวอย่างซึมเซา กลับเข้าไปยืนในแถวสุดท้ายของกลุ่มคนอย่างสงบ เงาร่างอันเดียวดายค่อนข้างแปลกแยกกับสภาวะโดยรอบ

“คนต่อไป เซียวเม่ย ”

ได้ยินเสียงเรียกของผู้ดำเนินการทดสอบ สาวน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทันทีที่นางเข้าสู่สนาม เสียงวิพากษ์ ในบริเวณใกล้เคียง พลันเงียบลงเป็นอันมาก สายตาร้อนแรงแต่ละคู่ ตรึงแน่นบนใบหน้าของสาวน้อย อายุของสาวน้อยไม่เกินสิบสี่ แม้ไม่นับว่าเลอโฉม หากดวงหน้าที่ยังคงความอ่อนใสนั้นกลับเจือรอยพริ้มเพราเบาบาง การผสมผสานที่ ย้อนแย้งระหว่างความใสพิสุทธิ์กับความพริ้มเพรา ส่งให้นางประสบความสำเร็จ กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ในสนาม  สาวน้อยซอยเท้าขึ้นหน้า มือเล็กๆ สัมผัสป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์สีดำทะมึนอย่างคุ้นเคย จากนั้นปิดเปลือกตาช้าๆชั่ววูบถัดมา เหนือป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์สีดำทะมึนพลันเรืองแสงสว่างวาบอีกครั้ง

“ปราณแห่งยุทธ์  ช่วงที่เจ็ด!”

“เซียวเม่ย ปราณแห่งยุทธ์ : ช่วงที่เจ็ด! ระดับชั้น : ขั้นสูง”

“โอ!”

สิ้นเสียงประกาศของผู้ดำเนินการทดสอบ รอยยิ้มปริ่มผุดขึ้นบนดวงหน้าสาวน้อย

“จุๆ ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ด ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าดูตามอัตราความก้าวหน้านี้ เกรงว่าแค่สามปี นางต้องกลายเป็นนักยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน…”

“มิเสียทีเป็นบุคคลระดับเมล็ดพันธุ์ของตระกูล”

สดับเสียงอิจฉาแกมชื่นชมที่ดังมาไม่ขาด รอยยิ้มบนหน้าสาวน้อยยิ่งกดลึกมากขึ้น ความมีหน้ามีตาคือสิ่งยั่วยวนใจที่ไม่อาจต่อต้านของ เด็กสาวจำนวนมาก  ขณะพูดคุยกับพี่น้องที่สนิทกัน สายตาของเซียวเม่ย พลันมองฝ่าฝูงชนโดยรอบ ก่อนหยุดลงบนเงาร่างโดดเดี่ยวซึ่งแยกตัวจากผู้อื่นคนนั้น มุ่นคิ้วครุ่นคิดนิดหนึ่ง  เซียวเม่ยยังคงสลายความคิดในอดีตทิ้งไป สองคนในเวลานี้มิได้อยู่ บนระดับชั้นเดียวกันอีกแล้ว จากสถานการณ์ หลายปีที่ผ่านมาของเซียวเหยียน หลังจากโตเต็มวัย อย่างดีก็เป็นได้แค่สมาชิกชั้นล่างของตระกูลเท่านั้น ส่วนนางซึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่น ย่อมจะกลายเป็นผู้แกร่งกล้า ที่วงศ์ตระกูลให้ความสำคัญ พูดได้ว่าอนาคตก้าวไกลไร้ขีดจำกัด นางถอนใจเบาๆ ในหัวของเซียวเม่ยพลันปรากฏภาพหนุ่มน้อยที่เหิมฝึกคึกคัก เมื่อสามปีก่อนคนนั้นขึ้นมา : สี่ขวบฝึกพลังลมปราณ สิบขวบครอบครองปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เก้า สิบเอ็ดขวบบรรลุปราณแห่งยุทธ์ ช่วงที่สิบ ผนึกปราณจักระแห่งยุทธ์เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นนักยุทธ์อายุน้อยที่สุดในรอบร้อยปี ของตระกูลแบบก้าวกระโดด!

หนุ่มน้อยในครานั้น กอปรด้วยความมั่นใจในตนเองและศักยภาพที่ไม่อาจประเมิน ไม่ทราบเป็นที่หลงใหลคลั่งไคล้ของประดาสาวน้อยมากมายเท่าไร แน่นอน หนึ่งในนั้นมีเซียวเม่ยในอดีตรวมอยู่ด้วย  ทว่าเส้นทางแห่งอัจฉริยะมักหักเหเสมอ สามปีก่อน หนุ่มน้อยอัจฉริยะที่ชื่อเสียงทะยานสู่จุดสูงสุด กลับพลันได้รับความสะเทือนใจอันแสนโหดร้าย นับแต่ถือกำเนิดเกิดมา ไม่เพียงปราณจักระแห่งยุทธ์ที่สั่งสม มาสิบกว่าปีอย่างยากลำบาก มลายสูญในชั่วคืน หนำซ้ำปราณแห่งยุทธ์ในกายก็เหือดหายไปตามกาลเวลา ลดลง เรื่อย ๆ อย่างน่าพิศวง

ผลทางตรงของการสูญเสีย ปราณแห่งยุทธ์คือทำให้พลังฝีมือของเขาถดถอยไม่หยุด จากฐานะอัจฉริยะสูงสุด ตกต่ำถึงระดับที่เทียบไม่ได้ กระทั่งคนธรรมดาในชั่วคืน ความสะเทือนใจชนิดนี้ ทำให้หนุ่มน้อยท้อแท้สิ้นหวังนับแต่นั้นมา ชื่อเสียงที่ลือลั่นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงเยาะหยันดูแคลนยืนยิ่งสูง ตกยิ่งแรง การหล่นร่วงครั้งนี้ อาจบางทีไม่มีโอกาสตะกายขึ้นมาอีกแล้ว

“คนถัดไป เซียวซวินเอ๋อร์!”

เสียงของผู้ดำเนินการทดสอบ ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางฝูงชนที่อึงอล สิ้นเสียงเรียกขานนามกรอันเพราะพริ้ง ผู้คนเงียบกริบ สายตาทั้งหมดเคลื่อนย้าย โดยพลัน  ณ จุดรวมสายตาของผู้คน สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงนางหนึ่งกำลังหยัดยืนเงียบเชียบ ดวงหน้าอ่อนใสสงบนิ่ง หาได้แปรเปลี่ยนเพราะการจับจ้อง ของผู้คนไม่ สาวน้อยบุคลิกสุภาพเยือกเย็น ดุจปทุมาแรกแย้ม อายุยังเยาว์กลับปรากฏ บุคลิกงามสง่าเช่นนี้ ยากจะนึกภาพ วันหน้าคราเติบใหญ่ สาวน้อยจะงามล่มเมืองปานใด  สาวน้อยชุดม่วงผู้นี้ หากกล่าวถึงด้านบุคลิกและรูปโฉม เทียบกับ เซียวเม่ย คนก่อนหน้ายังเหนือกว่าหลายส่วนอย่างไร้ข้อกังขา มิน่าเล่าฝูงชนบน สนามต่างสะกดใจจ้องมองสาวน้อย นามว่าเชียวซวินเอ๋อร์ เยื้องกรายถึงเบื้องหน้าป้ายศิลาศักดิ์สิทธิ์ ยื่นมือเรียวเล็กออกไป แขนเสื้อสีม่วงที่เดินขอบด้วยไหม  สีดำทองเลื่อนร่นลงมา เผยเห็นข้อมือขาวผ่องนวลเนียน ยื่นแตะป้ายศิลาเบาๆ นิ่งเงียบเล็กน้อย บนป้ายศิลาปรากฏแสงอันแสบตาวาบขึ้นอีกครั้ง

 “ปราณแห่งยุทธ์ : ช่วงที่เก้า! ระดับขั้น : ขั้นสูง!”

แหงนมองอักษรบนป้ายศิลา ทั่วสนามตกอยู่ในความเงียบสงัด

“ถึงกับบรรลุช่วงที่เก้าแล้ว น่ากลัวจริงๆ! อันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในวงศ์ตระกูล เกรงว่าตกเป็นของคุณหนูซวินเอ๋อร์แน่แล้ว”

หลังความเงียบ เด็กหนุ่มทั่วบริเวณล้วนกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว แววกริ่งเกรงปรากฏชัดในดวงตา ปราณแห่งยุทธ์ คือเส้นทางบังคับ ที่นักยุทธ์ทุกคนต้องก้าวผ่าน  ปราณแห่งยุทธ์เบื้องต้น แบ่งออกเป็นช่วงที่หนึ่งถึงช่วงที่สิบ เมื่อปราณแห่งยุทธ์ ในร่างบรรลุถึงช่วงที่สิบก็สามารถรวบรวมปราณ จักระแห่งยุทธ์กลายเป็นนักยุทธ์ที่ผู้คน ให้ความเคารพยกย่องคนหนึ่ง!

กลางฝูงชน เซียวเม่ยขมวดคิ้วเรียวงามจ้องมองสาวน้อยชุดกระโปรงสีม่วงตรงหน้าป้ายศิลา รอยริษยาผุดขึ้นบนใบหน้าแหงนมองข้อมูลบนป้ายศิลา ใบหน้าเฉยชาของผู้ดำเนินการทดสอบ วัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างถึงกับเผยรอยยิ้ม ที่ยากจะเห็นออกมาสายหนึ่ง เมื่อกล่าวกับสาวน้อย ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมอยู่บ้าง 

“คุณหนูซวินเอ๋อร์ ครึ่งปีให้หลัง ท่านคงสามารถรวบรวมปราณจักระแห่งยุทธ์ได้ หากท่านทำสำเร็จก็จะกลายเป็นนักยุทธ์โดยแท้ ด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี และท่านคือคนที่สองในรอบร้อยปีของตระกูลเซียว!”

ถูกต้อง คนที่สอง คนที่หนึ่งท่านนั้นก็คือเซียวเหยียนที่วงแสงแห่งอัจฉริยะหลุดหายไป

“ขอบคุณ”

สาวน้อยพยักหน้านิดหนึ่ง ดวงหน้าที่เฉยเมยหาได้  ปรากฏความปลื้มปีติเพราะคำชมของอีกฝ่าย นางหมุนตัวกลับอย่างเงียบงัน จากนั้นย่างเท้าเนิบช้าฝ่า สายตาอันร้อนแรงของกลุ่มคนไปทางหนุ่มน้อย ที่ยืนซังกะตายอยู่ด้านหลังสุดคนนั้น

“พี่เซียวเหยียน”

ขณะผ่านข้างกายเด็กหนุ่ม สาวน้อยหยุดเท้าลง ค้อมเอวคำนับเซียวเหยียน บนใบหน้างามแฉล้ม ถึงกับปรากฏรอยยิ้มงามพิสุทธิ์ ที่นำมาซึ่งความริษยา ของสาวน้อยโดยรอบ

“ตอนนี้ข้ายังมีคุณสมบัติใด ให้เจ้าเรียกขานเช่นนั้น”

เซียวเหยียนกล่าวขมขื่น เมื่อมองดูสาวน้อยตรงหน้าที่กลายเป็นมุกเม็ดงามที่สุดของวงศ์ตระกูล นางเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยมาก ที่ยังคงรักษาความเคารพนับถือต่อตนดุจเดิม หลังจากที่ตนตกต่ำ

“พี่เซียวเหยียน เมื่อก่อนท่านเคยบอก กับซวินเอ๋อร์ว่า ต้องวางลงได้ จึงยกขึ้นได้ ยกวางดั่งใจ จึงเป็นผู้อิสระ!”

 เซียวซวินเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงสดใสกลับอุ่นวาบถึงใจ

“หึๆ ผู้อิสระ? ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าดูสภาพข้าในตอนนี้ คล้ายผู้อิสระหรือไม่? อีกอย่าง..โลกนี้ เดิมก็ไม่ได้เป็นของข้า”

เซียวเหยียนยิ้มเยาะตนเอง เผชิญกับความท้อแท้ของเซียวเหยียน เซียวซวินเอ๋อร์มุ่นคิ้วเบาๆ กล่าวเสียงหนักแน่น

 “พี่เซียวเหยียน แม้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่ ทว่า ซวินเอ๋อร์เชื่อมั่นว่า ท่านจะลุกขึ้นมาทวงคืนเกียรติยศและ ศักดิ์ศรีซึ่งเป็นของท่านอีกครั้งได้....”

 นางหยุดนิดหนึ่งเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าผุดผาดเผยแววเอียงอาย 

“พี่เซียวเหยียนในปีนั้น ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ”

“เฮอะ ๆ …..”

เผชิญคำพูดอันเปิดเผย ไร้การเสแสร้งของสาวน้อย  เด็กหนุ่มหัวเราะขัดเขิน แต่มิได้กล่าวอะไรอีก วัยหนุ่มน้อยไม่ควรวางตัว เคร่งขรึมเกินไปก็จริง

ทว่าเขาในยามนี้ ไม่มีคุณสมบัติและอารมณ์สักนิด ได้แต่หมุนตัวอย่างหม่นหมอง ก้าวเดินเอื่อยเฉื่อยออกจากสนามเงาร่างที่ยืนโดดเดี่ยว จ้องมองหนุ่มน้อยที่ประหนึ่งตัดขาดจากโลกคนนั้น เซียวซวินเอ๋อร์รวนเรครู่หนึ่ง จากนั้นซอยเท้าไล่ติดตามไปเดินเคียง ไหล่กับหนุ่มน้อยท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของกลุ่มคนด้านหลังพระจันทร์ดุจถาดเงิน ดวงดาวพราวนภายอดผา เซียวเหยียนนอนตะแคงบนผืนหญ้า ในปากคาบหญ้าเขียวกิ่งหนึ่ง ขบเคี้ยวเบาๆ ปล่อยให้รสเผื่อนอบอวลในปาก เขาชูมือขาวผ่องขึ้นตรงหน้า สายตาลอดผ่านหว่างนิ้ว ทอดมองจันทร์เพ็ญกลางนภาดวงนั้น

“เฮ่อ!”

หวนคิดถึงการทดสอบเมื่อช่วงบ่าย เซียวเหยียนถอนใจแผ่วเบา หดมือกลับมาเอื่อยๆ แล้วหนุนไว้ใต้ศีรษะสายตาเลื่อนลอย.….

“นี่ก็สิบห้าปีแล้ว.….”

เสียงพึมพำหลุดจากปาก หนุ่มน้อยออกมาในใจเซียวเหยียน มีความลับประการหนึ่งซึ่งมีเพียงเขาที่รู้ : เขาไม่ใช่คนของที่นี่ พูดอีกอย่างก็คือ วิญญาณของเซียวเหยียนมิได้เป็นของที่นี่ เขามาจากดาวเคราะห์ สีครามดวงหนึ่งที่เรียกว่าโลก ส่วนเพราะอะไรจึงมาถึงที่นี่ เขาก็หมดปัญญาอธิบาย ทว่าหลังจากใช้ชีวิตที่นี่ได้ระยะหนึ่งเขาจึงกระจ่างว่า : เขาทะลุมิติแล้ว!

การเติบโตของอายุ ทำให้เซียวเหยียนเข้าใจดินแดนแห่งนี้มากขึ้น แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ มีชื่อว่ามหาพิภพโต้วชี่ (ปราณยุทธ์) ทั่วทั้งพสุธาไม่มีมนต์คาถา นานาชนิดเฉกเช่น ที่เห็นเสมอในนวนิยายปราณยุทธ์ ต่างหากจึงเป็นกระแสหลักแห่งมหาพิภพ!

บนมหาพิภพแห่งนี้ การฝึกปราณยุทธ์เรียกได้ว่า พัฒนาถึงระดับสุดยอดภายใต้ ความมุมานะที่สืบต่อหลายชั่วอายุคน อีกทั้งเนื่องเพราะความแข็งแกร่ง ไม่มีเสื่อมคลายของปราณยุทธ์ ในที่สุดได้แผ่ขยายถึงหมู่ชนคนสามัญ และนี่จึงส่งผลให้ ปราณยุทธ์ผูกพันกับวิถีชีวิตของผู้คนอย่างแยกไม่ออก ดังนี้แล้ว ความสำคัญของปราณยุทธ์ไนมหาพิภพ จึงเหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งปวง!

เพราะวิถีแห่งปราณยุทธ์เป็นที่นิยมแพร่หลาย ส่งผลให้เส้นทางหลักสายนี้ แตกแขนงออกเป็นสูตรการฝึกปราณยุทธ์อีกนับไม่ถ้วน ดังคำว่ามือมียาวสั้น คนมีสูงต่ำ วิธีฝึกปราณยุทธ์ที่แตกแขนงออกมา ย่อมมีแข็งมีอ่อนเป็นธรรมดา จากการสรุปรวบรวม ระดับเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ในมหาพิภพโต้วชี่ จากสูงถึงต่ำแบ่งออกเป็นสี่ชั้น : ชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นนิล ชั้นทองและทุกระดับชั้นยังแบ่งออกเป็นสามขั้นคือต้น กลาง สูง!

ความสูงต่ำของระดับเคล็ดวิชาปราณยุทธ์คือกุญแจสำคัญในการตัดสินระดับ ความสำเร็จในอนาคต ตัวอย่างเช่น คนที่ฝึกเคล็ดวิชาชั้นนิลขั้นกลาง ย่อมเก่งกว่าคนที่ปราณยุทธ์ระดับเดียวกันซึ่งฝึกเคล็ดวิชาชั้นทองขั้นสูงอยู่หลายส่วน บนมหาพิภพโต้วชี่นี้ การจำแนกความเข้มแข็งอ่อนแอ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสามประการ  ประการแรก สำคัญที่สุดย่อมหนีไม่พ้นพลังฝีมือเฉพาะตัว หากพลังฝีมือเฉพาะตัว มีแค่ระดับนักยุทธ์หนึ่งดาว เช่นนั้นต่อให้เคล็ดวิชาที่ท่านฝึกปรือ จะเลิศล้ำระดับชั้นฟ้า ก็ยากเอาชนะระดับคุรุยุทธ์ที่ฝึกเคล็ดวิชาชั้นทองผู้หนึ่งได้ ประการสอง ก็คือเคล็ดวิชา ผู้แกร่งกล้าที่พลังฝีมืออยู่ในระดับชั้นเดียวกัน หากระดับเคล็ดวิชา ของท่านสูงกว่าคู่ต่อสู้อยู่มาก เช่นนั้น ขณะประลอง ย่อมมีสถานะเป็นต่อ ประการสุดท้าย เรียกว่าทักษะยุทธ์!

เห็นชื่อกระจ่างความหมาย นี่คือความชำนาญพิเศษในการสำแดงปราณยุทธ์ชนิดหนึ่ง ทักษะยุทธ์ในมหาพิภพมีการจำแนก ระดับชั้นเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็นชั้นฟ้า ดิน นิลและทอง สี่ระดับชั้นเช่นเดียวกับเคล็ดวิชา ทักษะยุทธ์บน มหาพิภพโต้วชี่ มีอยู่สุดคณานับ  ทว่าทักษะยุทธ์โดยส่วนใหญ่ซึ่งสืบทอดกันมา ส่วนมากมักอยู่ในชั้นทองโดยประมาณ หากใครได้รับทักษะยุทธ์ที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าเป็นศิษย์ในค่ายสำนักหรือสถาบันฝึกยุทธ์ ต่าง ๆ

แน่นอนอาจมีบางคนประสบโชคได้รับ เคล็ดวิชาที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ หรือไม่ก็มีทักษะยุทธ์ ซึ่งผสมผสานขึ้นเอง ทักษะยุทธ์ที่พัฒนาออกมาจากเคล็ดวิชา เช่นนี้เมื่อประกอบเข้าด้วยกัน อานุภาพย่อมจะรุนแรงยิ่งขึ้น อาศัยเงื่อนไขสามประการนี้ จึงสามารถตัดสินได้ว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ด้วยเหตุนี้ หากสามารถครอบครองเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ ที่ระดับค่อนข้างสูง ผลดีในภายหน้าไม่ต้องบอกก็ทราบ

ทว่าเคล็ดการฝึกปราณยุทธ์ขั้นสูง คนทั่วไปยากจะได้มา เคล็ดวิชาที่มีอยู่ดาษดื่น โดยมากเป็นแค่ชั้นทอง ตระกูลที่มีอิทธิพลกว้างขวาง หรือค่ายสำนักขนาดเล็กถึงกลาง จึงจะมีเคล็ดวิชาชั้นนิล ตัวอย่างเช่นตระกูล ที่เซียวเหยียนอาศัยอยู่ เคล็ดวิชาระดับสุดยอด สิงห์คลั่งวายุเดือด' มีเพียงประมุขตระกูล จึงมีคุณสมบัติฝึกปรือได้ นี่คือเคล็ดปราณยุทธ์ชั้นนิล ขั้นกลางสังกัดธาตุลมเหนือชั้นนิลก็คือชั้นดิน

 ทว่าเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้ อาจบางทีมีเพียงพวกอิทธิพลล้ำฟ้า และมหาจักรวรรดิเท่านั้นที่อาจครอบครองได้ส่วนเคล็ดวิชาชั้นฟ้า ไม่เคยปรากฏให้เห็นหลายร้อยปีแล้วในทางทฤษฎี คนทั่วไปใคร่ได้รับเคล็ดวิชาระดับสูง โดยพื้นฐานแล้ว ยากยิ่งกว่าไต่สวรรค์ อัจฉริยะผู้ตกต่ำ ( ช่วงกลาง)

ทว่าเรื่องราวบนโลก ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ มหาพิภพโต้วชี่กว้างใหญ่ไพศาล เผ่าพันธุ์นับหมื่น ฝั่งเหนือของมหาพิภพมีอนารยชนซึ่ง ได้ชื่อว่าพลังปราณมหาศาลและสามารถรวมร่างกับสัตว์อสูร ฝั่งใดของมหาพิภพ ก็มีเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรชั้นสูงที่กอปรด้วยสติปัญญาลึกล้ำนานาชนิด  นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์อนธการที่สร้างชื่อ จากความโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นต้น  และยังมีผู้เร้นกายนิรนามอีกมาก พวกเขาซึ่งมีนิสัยสันโดษ อาจนำเคล็ดวิชาที่คิดดันขึ้นซุกซ่อน ไว้ที่ใดที่หนึ่ง ขณะวาระสุดท้ายแห่งชีวิตมาเยือน รอคอยผู้มีวาสนาเสาะค้นเอาไปบนมหาพิภพโต้วชี่ มีประโยคหนึ่งเล่าขานสืบต่อ : หากวันใดวันหนึ่ง ท่านพลัดตกเหว ร่วงหล่นสู่โพรงถ้ำ ไม่ต้องตื่นกลัว จงเดินหน้าสองก้าว ไม่แน่ท่านอาจกลายเป็นผู้แกร่งกล้า!

วาจานี้ไม่เท็จสักนิด ในประวัติศาสตร์นับพันปี ของมหาพิภพ ไม่ขาดแคลนตำนาน ชนิดที่อาศัยเหตุมหัศจรรย์จนกลายเป็นวีรบุรุษ และผลสืบเนื่อง ที่เกิดจากตำนานจำพวกนี้ ทำให้มีผู้คนจำนวนมาก มาจดจ่อเฝ้ารอตามขอบผา ตระเตรียมกระโดดเหวลึก เพื่อให้ได้มาซึ่งสุดยอดเคล็ดวิชาแน่นอน คนเหล่านี้โดยมากล้วนแขนขาหัก ก่อนกลับไปด้วยสภาพทุลักทุเลสรุปแล้ว นี่คือมหาพิภพที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และการสรร  สร้างตำนานปาฏิหาริย์ผืนหนึ่ง!

แน่นอน ใคร้ฝึกปรือเคล็ดวิชาปราณยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องกลาย เป็นนักยุทธิโดยแท้คนหนึ่ง จึงจะมีคุณสมบัติพอ ทว่าเซียวเหยียนในเวลานี้ ยังห่างจากเป้าหมายนั้นอีกไกล “ถุย!” ถ่มหญ้าในปาก เซียวเหยียน พลันโดดลุกขึ้น ปั้นหน้าดุร้ายตะโกนด่า นภาหม่นอย่างเหลืออด 

“แกล้งส่งข้าทะลุมิติมาเป็นเศษสวะใช่ไหม”

ในภพก่อน เซียวเหยียนเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง เงินตรา สาวสวย สิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว คือเส้นขนานสองเส้น ปราศจากจุดตัดตลอดกาลแต่ทว่า หลังมาถึงมหาพิภพโต้วชี่ผืนนี้ เซียวเหยียนกลับค้นพบอย่างลิงโลด ด้วยประสบการณ์ของสองภพ จิตวิญญาณของเขาถึงกับแข็งแกร่ง กว่าคนทั่วไปอยู่มากทีเดียว

อัจฉริยะผู้ตกต่ำ

พึงทราบว่า บนมหาพิภพโต้วชี่ จิตวิญญาณคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ บางทีมันอาจสามารถแข็งแกร่งขึ้นตามการเติบโตของอายุ ทว่าไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ สามารถฝึกปรือจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ต่อให้เคล็ดวิชาชั้นฟ้า ก็เป็นไปไม่ได้! 

นี่คือความรู้ทั่วไปของมหาพิภพโต้วชี่ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ก่อเกิดเป็นพรสวรรค์ ในการฝึกฌานของเซียวเหยียน ขณะเดียวกันก็สร้างชื่อเสียง อัจฉริยะให้แก่เขาในฐานะคนธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง เมื่อทราบว่าเขามีทุนรอนที่จะกลาย เป็นอัจฉริยะซึ่งเป็นที่จับตาของผู้คนนับไม่ถ้วน หากปราศจากฌานตบะ ที่สูงพอก็ยากจะควบคุมจิตดั้งเดิม ชัดเจนอย่างยิ่ง เซียวเหยียนที่ภพก่อนเป็นแค่คนธรรมดา ไร้ซึ่งฌานตบะที่เหนือมนุษย์ชนิดนี้ ดังนั้น หลังจากที่เขาเริ่มฝึกปราณแห่งยุทธ์ เขาเลือกเส้นทางอัจฉริยะ ที่จะส่งผลให้กลายเป็นจุดรวมสายตาของผู้คน แต่กลับมิได้ค่อยๆ เติบโตในความสงบเงียบ  หากไม่มีเหตุเหนือคาด เซียวเหยียนอาจเติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับชื่อเสียงอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง ทว่าน่าเสียดายนัก ในปีที่เขาอายุสิบเอ็ดชื่อเสียง อัจฉริยะของเขาพลันค่อยๆ ถูกช่วงชิงไปด้วยเหตุพลิกผันที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว และแล้วอัจฉริยะก็ตกต่ำ กลายเป็นเศษสวะ ที่ผู้คนเย้ยหยันดูแคลนหลังผรุสวาทหลายยกผ่านไป อารมณ์ของเซียวเหยียนค่อยเริ่มสงบลง ความซึมเซาคืนสู่ใบหน้า เรื่องราวถึงขั้นนี้ ไม่ว่าเขาบันดาลโทสะอย่างไร ก็ตามหาปราณจักระแห่งยุทธ์ ที่เขาเพียรสะสมอย่างยากเย็นคืนมาไม่ได้ สลัดศีรษะไปมาอย่างหม่นหมอง ความจริงเซียวเหยียนน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง เคยลองตรวจดูก็ไม่พบว่า มีส่วนใดผิดปกติ จิตวิญญาณนับวัน ยิ่งแก่กล้าตามอายุที่เพิ่มพูน ยิ่งกว่านั้นความเร็ว ในการดูดซับปราณจักระแห่งยุทธ์ยังเหนือกว่าเมื่อครั้งที่อยู่ ในช่วงสภาวะสุดยอดเมื่อหลายปีก่อนอยู่หลายส่วน เงื่อนไขนานาประการเหล่านี้ ล้วนบ่งชัดว่าพรสวรรค์ของตน ไม่เคยถดถอย

ทว่าปราณจักระแห่งยุทธ์ ที่เข้าสู่ภายในร่างกลับสูญสลายโดยไม่มีข้อยกเว้น เหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ทำให้เซียวเหยียน จิตใจห่อเหี่ยวระบายลมหายใจดำหนึ่ง เซียวเหยียนชูฝ่ามือขึ้น จ้องมองแหวนสีดำบนนิ้ว เป็นแหวน เก่าแก่รูปแบบเรียบง่าย ไม่ทราบทำขึ้นจากวัสดุอะไร ด้านบนยังแกะลายเป็นริ้วจางๆ นี่คือมรดกชิ้นเดียวที่มารดา ทิ้งไว้ให้เขาก่อนตายจากสี่ขวบถึงบัดนี้ เขาใส่มันมาสิบปีแล้ว สำหรับแหวนวงนี้ เซียวเหยียนมีความผูกพันลึกซึ้ง ลูบแหวนเบาๆ พลางพึมพำอย่างขมขื่น

“หลายปีนี้ สร้างความผิดหวังต่อท่านแม่จริงๆ”

หลังถอนใจยืดยาว เซียวเหยียนพลันเหลียวหน้าขวับ กล่าวต่อพงไพร ที่มืดมิดด้วยรอยยิ้มละมุน

 “ท่านพ่อ ท่านมาแล้ว?”

แม้เพียงบรรลุปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่สาม แต่ญาณสัมผัสของเซียวเหยียน กลับฉับไวกว่านักยุทธ์ห้าดาว คนหนึ่งมากนัก ก่อนหน้านี้ขณะที่พึมพำถึงมารดา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างในป่าแล้ว

“เหยียนเอ๋อร์ ดึกแล้วทำไมยังนั่งอยู่บนนี้อีกเล่า”

หลังความเงียบอึดใจหนึ่ง ปรากฏเสียงหัวร่อทุ้มนุ่มของบุรุษดังขึ้น จากกลางป้ากิ่งไม้ไหววูบ บุรุษกลางคนผู้หนึ่งกระโดดออกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เมื่อเพ่งมองบุตรชายของตนเอง ที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์คนนั้น บุรุษกลางคนในอาภรณ์สีทาภูมิฐาน จังหวะย่างเท้าแฝงความน่าเกรงขาม คิ้วดกเข้มคู่หนึ่งยิ่งเดิมความองอาจขึ้นหลายส่วน เขาก็คือประมุขคนปัจจุบัน ของตระกูลเซียว ขณะเดียวกันก็เป็นบิดาของเซียวเหยียน.......มหาคุรุยุทธ์ห้าดาว เซียวจั้น!

“ท่านพ่อ ท่านก็ยังไม่พักผ่อนเช่นกันมิใช่หรือ?”

 แหงนมองบุรุษกลางคน รอยยิ้มบนหน้าเซียวเหยียนยิ่งกดลึก แม้ยังหลงเหลือความทรงจำ ของภพก่อน ทว่านับแต่ถือกำเนิดเกิดมา บิดาที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็รักและตามใจเขาเป็นที่สุด หลังจากตกต่ำ ความรักไม่ลดน้อยกลับเพิ่มพูนนี่ ทำให้เซียวเหยียนตื้นตัน และยอมรับบิดาท่านนี้จากใจจริง

“เหยียนเอ๋อร์ ยังครุ่นคิดเรื่องการทดสอบเมื่อบ่ายอีกหรือ”

 ก้าวยาวๆ ขึ้นหน้า เซียวจั้นยิ้มกล่าว

“เฮอะๆ มีอะไรให้ครุ่นคิด เป็นไปตามความคาดหมาย”

เซียวเหยียนส่ายหน้าไปมาอย่างปลงตก รอยยิ้มกลับฝาดฝืนอยู่บ้าง

“เฮ่อ..”

จ้องมองดวงหน้าอ่อนใสของเซียวเหยียน เซียวจั้นถอนใจคำหนึ่ง หลังเงียบงันไปอึดใจ พลันโพล่ง

 “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าสิบห้าขวบแล้วกระมัง”

“ใช่ ท่านพ่อ”

“อีกหนึ่งปี ดูเหมือน...จะต้องเข้าพิธีโตเต็มวัยแล้ว”

เซียวจั้นยิ้มชื่น

“ใช่ ท่านพ่อ ยังมีอีกหนึ่งปี!”

กำมือเล็กน้อย เซียวเหยียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ พิธีโตเต็มวัยหมายถึงอะไร เขาชัดแจ้งอย่างยิ่ง หลังผ่านพิธีโตเต็มวัย เขาซึ่งไม่มีศักยภาพในการฝึกยุทธ์ จะถูกตัดสิทธิ์ ในการเข้าหอปราณยุทธ์เพื่อเสาะหา เคล็ดวิชาปราณยุทธ์ จากนั้นต้องถูกส่งตัวไปยังกิจการ แต่ละแห่งเพื่อดูแลเรื่องทั่วไปของตระกูล นี่เป็นกฎของตระกูล ต่อให้บิดาเขาเป็นประมุขสูงสุด ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนั้น ถ้ายังไม่อาจกลายเป็นนักยุทธ์คนหนึ่งก่อนอายุยี่สิบห้า นั่นจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนในตระกูล!

“ขอโทษด้วย เหยียนเอ๋อร์ ถ้าหลังจากนี้หนึ่งปีปราณแห่งยุทธ์ของเจ้ายังไม่ถึงช่วงที่เจ็ด พ่อก็จำต้องตัดใจส่งเจ้า ไปยังกิจการค้าของตระกูล เพราะในตระกูลเซียวนี้พ่อยังไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาด ตาแก่หลายคนนั้นจ้องจับผิดพ่อตลอดเวลา...”

แลเห็นเซียวเหยียนนิ่งเงียบ เซียวจั้นรำพันอย่างรู้สึกผิด

“ท่านพ่อ ข้าจะพยายามเต็มที่ หลังจากหนึ่งปี ข้าจะต้องบรรลุปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่เจ็ดให้ได้”

เซียวเหยียนกล่าวปลอบด้วยรอยยิ้มหนึ่งปี สี่ช่วง? เฮอะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อาจบางทียังเป็นไปได้ แต่บัดนี้...แทบไม่มีโอกาสสักนิด' แม้ปากกำลังเอ่ยปลอบบิดา ในใจเซียวเหยียน กลับยิ้มหยันตนเอง อย่างขมขื่นเซียวจั้นที่ชัดแจ้งในตื้นลึกหนาบางของเซียวเหยียน ได้แต่ถอนใจรับคำคราหนึ่ง เขาตระหนักดี หนึ่งปีฝึกปรือปราณแห่งยุทธ์ สี่ช่วงมันยากเย็นปานใด  ตบศีรษะเซียวเหยียนเบาๆ เซียวจั้นพลันยิ้มบอก 

“ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ที่บ้านมีแขกสำคัญ เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเชียว”

“แขกสำคัญ? ใครกัน”

เซียวเหยียนถามอย่างสงสัย

“พรุ่งนี้ก็รู้เอง”

ขยิบตาให้เซียวเหยียน เซียวจั้นหัวร่อดังลั่นขณะผละไป

“วางใจเถอะ ท่านพ่อ ข้าจะทุ่มเทสุดกำลัง”

คลำแหวนโบราณบนนิ้ว เซียวเหยียนเงยหน้าพึมพำพริบตาที่เซียวเหยียนเงยหน้า แหวนโบราณสีดำบนนิ้วพลันเปล่งแสง อ่อนจางขึ้นมาอย่างประหลาดเหนือเดียง หนุ่มน้อยปิดตานั่งขัดสมาธิ สองมือวางอยู่เบื้องหน้าในท่าพิสดาร ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเบาๆ ช่วงหายใจเข้าและ ออกก่อเกิดเป็นวงโคจรอันสวยงาม และในห้วงเดินลมปราณ มีไอสีขาวจางๆ ไหลเวียนไปตามปากจมูก แทรกซึมเข้าสู่ร่าง หล่อเลี้ยงกระดูกและเนื้อหนัง มังสา  ขณะหนุ่มน้อยหลับตาเข้าฌาน แหวนสีดำบนนิ้ววงนั้น เปล่งแสงอ่อนๆ ขึ้นอีกครั้งอย่างอัศจรรย์และดับวูบไปในทันที

“ฮู...” ระบายลมหายใจช้าๆ หนุ่มน้อยพลันลืมตา ไอสีขาวจาง หอบหนึ่งวูบผ่านครรลองสายตาที่มืดดำ นั่นคือปราณแห่งยุทธ์ที่เพิ่งถูกดูดซับ และยังหล่อหลอมไม่เสร็จ

“อุตส่าห์ฝึกจนได้ปราณแห่งยุทธ์ ขึ้นมาอย่างยากเย็น สลายไปอีกแล้ว...สมควรตาย!”

ตั้งสมาธิรับรู้ภายในกาย ใบหน้าหนุ่มน้อยพลันฉุนเฉียวขึ้นมา สบถด่าด้วยน้ำเสียงสูงแหลมกำปั้นบีบกันแนบแน่น อึดใจใหญ่ให้หลัง หนุ่มน้อยส่ายหน้ายิ้มขื่นตะกายลงจากเตียง ด้วยความอ่อนล้าทั้งกายใจ ยืดเหยียดแขนขาที่เริ่มชา เขาซึ่งมีแค่ปราณแห่งยุทธ์ช่วงที่สาม ปราศจากความสามารถ ที่จะมองข้ามความอ่อนล้าทุกชนิด ยืดเส้นยืดสายง่ายๆ อยู่ในห้องเสร็จ เซียวเหยียนได้ยินซุ้มเสียงชราภาพดังขึ้นนอกห้อง 

“นายน้อยสาม ท่านประมุขเชิญท่านไปที่ห้องโถงใหญ่”

เซียวเหยียนจัดอยู่ในอันดับสามของบ้าน ถัดขึ้นไปยังมีพี่ชายอีกสองคน ทว่าพวกเขาออกไปสั่งประสบการณ์นอกบ้านนานแล้ว ช่วงปลายปีจึงกลับมาสักครั้ง สรุปแล้ว พี่ชายทั้งสองปฏิบัติต่อเซียวเหยียน ผู้เป็นน้องชายไม่เลว

“อืม”

ส่งเสียงรับคำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เซียวเหยียนเดินออกจากห้องกล่าวกับผู้เฒ่าชุดเขียว ที่อยู่นอกห้องด้วยรอยยิ้ม

 “ไปเถอะ พ่อบ้านโม่”

มองดูใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อย ผู้เฒ่าชุดเขียวผงกศีรษะอย่างอ่อนโยน พริบตาที่หมุนกาย สายตาพร่ามัวปรากฏแววเห็นใจอย่างยากสังเกต 'เฮ่อ ด้วยพรสวรรค์ในอดีตของนายน้อยสาม น่าจะกลายเป็นนักยุทธ์ที่โดดเด่นคนหนึ่งไปนานแล้ว น่าเสียดาย...

เซียวเหยียนเดินตามพ่อบ้านชรา ตัดผ่านสวนด้านหลัง สุดท้าย ค่อยหยุดลงที่ด้านนอกโถงใหญ่ อันทรงเกียรติ เคาะประตูอย่างนอบน้อม ค่อยผลักประตูเบาๆ แล้วเข้าไปโถงใหญ่กว้างขวางมาก คนในนั้นก็ไม่น้อย หลายท่านที่นั่งอยู่ด้านบนสุด ก็คือเซียวจั้นและผู้เฒ่าสีหน้าเฉยชาสามท่าน ผู้เฒ่าสามท่านคือผู้อาวุโสของตระกูล อำนาจไม่น้อยไปกว่า ประมุขตระกูลด้านล่างซ้ายของทั้งสี่คน นั่งอยู่ด้วยญาติผู้ใหญ่ซึ่งพอมีอำนาจ ในตระกูลอยู่บ้าง ด้านข้างของพวกเขาเป็นสมาชิก รุ่นหนุ่มสาวที่แสดงผลงานโดดเด่น จำนวนหนึ่งอีกด้านหนึ่งนั่งอยู่ด้วยคนแปลกหน้าสามท่าน คิดว่าต้องเป็นแขกสำคัญที่เซียวขั้นพูดถึงเมื่อคืนเป็นแน่เซียวเหยียน กวาดมองคนแปลกหน้าทั้งสามอย่างฉงนใจ ในสามคนนั้น มีผู้สูงวัยท่านหนึ่งสวมชุดสีขาวนวล ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม สองตาเรียวเล็กกลับทอประกายเป็นระยะ เส้นสายตาของเซียวเหยียนเคลื่อนลงเล็กน้อย หยุดอยู่บนทรวงอกของอีกฝ่าย พลันสะดุดใจวูบ เพราะบริเวณอกเสื้อของผู้สูงวัยท่านนั้นวาดไว้ด้วยจันทราสีเงินยวงเสี้ยวหนึ่ง รอบๆจันทรายังแต่งแต้ม ด้วยดวงดาราระยิบระยับเจ็ดดวง  'มหาคุรยุทธ์เจ็ดดาว!'  ผู้สูงวัยท่านนี้ถึงกับเป็นมหาคุรุยุทธ์เจ็ดดาว?

คนเราไม่อาจวัดที่หน้าตาจริงๆ' เซียวเหยียนอุทานตื่นตระหนกในใจ พลังฝีมือของผู้สูงวัยท่านนี้ถึงกับสูงกว่าบิดาตนถึงสองดาว คนที่สามารถกลายเป็น มหาคุรุยุทธ์ได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้แกร่งกล้า ที่เลื่องชื่อคนหนึ่ง พลังฝีมือระดับนั้น จะเป็นตัวดึงดูดกลุ่มอิทธิพลใดๆ  ก็ตามเข้ามาจู่ๆ ได้เห็นผู้แกร่งกล้าระดับนี้ 

มิน่าเซียวเหยียนจึงรู้สึกฉงนสนเท่ห์ ข้างกายผู้สูงวัยนั่งอยู่ด้วยบุรุษสตรีอ่อนเยาว์คู่หนึ่ง ทั้งสองสวมอาภรณ์สีขาวนวลเช่นกัน บุรุษอายุราวยี่สิบ รูปโฉมหล่อเหลา เรือนกายเหยียดตรง เปี่ยมเสน่ห์ดึงดูด และสำคัญที่สุด ย่อมเป็นดาวทองห้าดวง เหนือหน้าอกตรงนั้น นี่คือตัวแทนพลังฝีมือของบุรุษหนุ่ม : นักยุทธ์ห้าดาว! สามารถกลายเป็นนักยุทธ์ ห้าดาวคนหนึ่งด้วยวัยประมาณยี่สิบ นี่แสดงว่าพรสวรรค์ ฝึกยุทธ์ของบุรุษหนุ่มไม่ธรรมดา รูปโฉมที่หล่อเหลา บวกกับพลังฝีมือไม่ต่ำทราม บุรุษหนุ่มท่านนี้ทำให้จิตใจ ของสาวน้อยในตระกูลหวั่นไหว แม้แต่เซียวเม่ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ยามกลอกตามาทางนี้ยังทอประกายวิบวับ

ทว่ายามนี้ ความสนใจทั้งหมดของบุรุษหนุ่ม ท่านนั้น กลับตรึงอยู่บนร่าง ของสาวน้อยเลอโฉมข้างกาย สาวน้อยนางนี้วัยใกล้เคียง กับเซียวเหยียนแต่สิ่งที่ทำให้เซียวเหยียนอัศจรรย์ใจก็คือ รูปโฉมของนางถึงกับงดงามกว่าเซียวเม่ยอยู่หลายส่วน ภายในตระกูลเซียว เกรงว่ามีเพียงเซียวซวินเอ๋อร์ ที่งามพิสุทธิ์ประดุจดอกไม้จึงสามารถเทียบเดียงได้ มิน่าบุรุษนี้ถึงไม่ไยดีสตรีอื่นติ่งหูนวลเนียน ของสาวน้อยห้อยประดับด้วยต่างหูหยกสีเขียว ยามขยับเกิดเป็นเสียงกังวานใส แผ่ซ่านความอ่อนช้อย เปราะบางอยู่รำไร นอกจากนั้น เหนืออกเสื้อของสาวน้อย ยังวาดอยู่ด้วยดาวทองสามดวงนักยุทธ์สามดาว ถ้าสตรีนางนี้ไม่ได้อาศัยแรงกระตุ้นจากภายนอก ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานคนหนึ่ง' สูดไอเย็นเบาๆ สายตาของ เซียวเหยียนหยุดอยู่ที่ดวงหน้าอันพริ้มเพราของสาวน้อย เพียงพริบตาก็

เบนออก ไม่ว่าอย่างไร ภายใต้รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขา ยังคงมีจิตวิญญาณที่สุกงอม อากัปกิริยานี้ของเซียวเหยียน คล้ายทำให้สาวน้อยประหลาดใจ แม้นางมิใช่เด็กสาวประเภท ที่ทึกทักว่าโลกทั้งใบหมุนรอบตัวนาง ทว่าความงามและเสน่ห์ ของตนเป็นเช่นไร นางกระจ่างชัดอย่างยิ่ง กิริยาท่าทีตามสบายของเซียวเหยียนนี้ชวนให้นางรู้สึกผิดดาดอยู่บ้าง

“ท่านพ่อ ผู้อาวุโสทั้งสาม”

 เซียวเหยียนซอยเท้าขึ้นหน้า ทำความเคารพต่อพวกเซียวจั้นที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างนอบน้อม

“ฮ่าๆ เหยียนเอ๋อร์ มาแล้วหรือ รีบนั่งลงเถอะ”

เห็นเซียวเหยียนมาถึง เซียวจั้นหยุดการสนทนากับอาคันตุกะ หันมาพยักหน้าให้เขา กล่าวพลางโบกมือยิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า เซียวเหยียนแสร้งไม่เห็นสายตาชืดชาระคนรำคาญใจ ที่พุ่งตรงมาจากผู้อาวุโสทั้งสามทางด้านข้าง เหลียวหน้ากวาดมองกลางโถง กลับค้นพบอย่างตระหนก ถึงกับไม่มีที่นั่งของตนเอง เฮ่อ สถานะของตัวเองในตระกูลนี้ ดูท่านับวันยิ่งต่ำต้อยด้อยค่าลงทุกที เวลานี้ถึงกับฉีกหน้าข้าต่อหน้าแขกเหงื่อ ผู้อาวุโสสามคนนี้นี่ช่างเยาะหยันในใจ เซียวเหยียนลอบส่ายหน้าเบาๆ มองดูเซียวเหยียนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ สมาชิกรุ่นหนุ่มสาวของตระกูล ต่างอดส่งเสียงค่อนแคะมิได้ เห็นชัดว่าชอบชมดูเขาเป็นตัวตลกยามนั้น เซียวจั้นที่ด้านบนสังเกตเห็น ความกระอักกระอ่วนของเซียวเหยียนเช่นกัน บนหน้าปรากฏแววขุ่นเคือง หันไปมุ่นคิ้วกล่าวกับผู้อาวุโสทางด้านข้าง 

“ผู้อาวุโสรอง ท่าน..”

“แค่ก ขออภัยจริงๆ ถึงกับลืมนายน้อยสามเสียได้ ข้าจะเรียกคนไปเตรียมเดี๋ยวนี้”

ผู้อาวุโสชุดเหลืองที่โดนเซียวจั้นถลึงตาใส่ เอ่ยยิ้มๆพลางตบหน้าผาก ตำหนิตนเอง' ทว่าแววเสียดสีในสายตาคู่นั้น กลับมิได้อำพรางสักเท่าไร

“พี่เซียวเหยียน นั่งตรงนี้เถอะ”

ซุ้มเสียงอ่อนใสของสาวน้อย พลันดังขึ้นกลางโถงใหญ่ผู้อาวุโสทั้งสามผงะนิดหนึ่ง เบือนสายตามาทางเซียวซวินเอ๋อร์ที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง ริมฝีปากขยับเบาๆ ถึงกับไม่กล้าเปล่งเสียงพูดจา ที่มุมหนึ่งของโถงใหญ่ เซียวซวินเอ๋อร์แย้มยิ้ม เมื่อปิดหนังสือเล่มหนาในมือ เซียวเหยียนลังเลเล็กน้อย ถูจมูกผงกศีรษะขึ้นลง จากนั้นเดินตรงไปท่ามกลางสายตาริษยาของหนุ่มๆ มากมาย นั่งลงติดกับนาง

“เจ้าช่วยกู้หน้าให้ข้าอีกแล้ว”

สูดกลิ่นกายหอมจาง ของสาวน้อยข้างตัว เซียวเหยียนยิ้มบอกเบาๆเซียวซวินเอ๋อร์ระบายยิ้ม บนดวงหน้าปรากฏลักยิ้ม น่าเอ็นดูปลายนิ้วเรียวเล็ก เริ่มพลิกเปิดหนังสือโบราณในมือเล่มนั้นอีกครั้ง อายุยังเยาว์กลับมีสุนทรีย ภาพอันชาญฉลาดชนิดหนึ่ง ขนตาที่งอนยาวกระพือไปตามหน้าหนังสือได้อึดใจ เซียวซวินเอ๋อร์พลันเอ่ยเสียงขม

 “พี่เซียวเหยียนไม่ได้นั่ง ข้างซวินเอ๋อร์ตามลำพังมาสามปีแล้วกระมัง?”

“เอ่อ...เวลานี้ซวินเอ๋อร์เป็นอัจฉริยะ ของตระกูลไปแล้ว อยากมีเพื่อนไยมิใช่ง่ายดายมาก”

 เห็นเสี้ยวหน้านวลเนียน ที่เจือรอยตัดพ้ออยู่บ้าง เซียวเหยียนยิ้มแห้งเมื่อกล่าว

“ตอนที่ซวินเอ๋อร์สี่ขวบถึงหกขวบ ทุกคืนจะมีคนย่องเข้ามาในห้องจากนั้นใช้ท่าฝ่ามือที่เงอะงะชนิดหนึ่งและปราณยุทธ์ที่ไม่ลึกล้ำ หล่อเลี้ยงบำรุงกระดูกและเส้นลมปราณให้ข้า ทุกครั้งล้วนทำจนตัวเองเหงื่อไหลเป็นน้ำ ค่อยจากไปอย่างอ่อนเพลีย พี่เซียวเหยียน ท่านว่า เขาคนนั้นเป็นใคร”

ซวินเอ๋อร์เงียบงันอยู่นาน พลันผินหน้ามายิ้มหวานกับเซียวเหยียนแววตาที่ไม่เหมือนใครของสาวน้อยทำให้พวกหนุ่มน้อยโดยรอบสองตา

“แค่ก...ข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร เด็กขนาดนั้น พวกเรายังคลานเล่นบนพื้นอยู่เลย”

 ใจเต้นโครม เซียวเหยียนหัวร่อสองดำ แล้วรีบเบนสายตาไปยังกลางโถงอย่างร้อนตัว

“คิกๆ”

เห็นปฏิกิริยาของเซียวเหยียน เรียวปากน้อยๆ ของเซียวซวินเอ๋อร์ผุดยิ้มละมุน ย้ายสายตากลับไปที่หนังสือ ปากขมุบขมิบคล้ายพึมพำกับตัวเอง

 “แม้ทราบว่าเขาปรารถนาดี แต่จะอย่างไรซวินเอ๋อร์ก็เป็นเด็กหญิง ถ้าซวินเอ๋อร์หาคนผู้นั้นเจอ ฮึ...”

มุมปากฉีกยิ้มเล็กน้อย เซียวเหยียนร้อนตัวอยู่บ้าง ตามองจมูกจมูกมองใจ ไม่พูดไม่จาแพรวพราว

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!