NovelToon NovelToon

Solve the love puzzle//แก้ผีไขรัก

EP.1 รักแรกไม่เคยพบ

...‘พี่ก็ตลกกับเฉพาะคนที่ชอบเท่านั้นแหละครับ’

...

....

...

แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบเฟรมผ้าใบที่กำลังถูกพู่กันบรรจงลงสีอยู่อย่างตั้งใจ 'เทวา' เจ้าของผลงานชิ้นเอกกำลังวาดภาพชายหน้าหวานราวกับสวรรค์สร้างคนในฝันที่เทวาไม่เคยเจอเลยสักครั้งแต่กลับรู้สึกลุ่มหลงราวกับโดนมนต์สะกด หัวใจเขาจะเต้นแรงทุกครั้งหลังตื่นจากฝันหวาน

ภายในห้องไม้สักทองเต็มไปด้วยรูปวาดหนุ่มน้อยคนเดียวกันในอิริยาบถต่างๆบ่งบอกถึงว่าเทวานั้นฝันถึงเขาบ่อยแค่ไหนเทวาเชื่อมาตลอดตั้งแต่เริ่มฝันถึงเขาเมื่อปีที่แล้วว่าคนคนนี้จะต้องเป็นเนื้อคู่ของเขาเป็นแน่

"เทวา ลงมาหายายหน่อยลูก"

"ครับยาย"

เสียงของ 'คุณรักษา' ยายสุดที่รักของผมตะโกนเรียกขึ้นมาทำให้ผมต้องวางพู่กันลงแล้วเดินลงไปหายายชั้นล่างภายในห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง ขันหมากพลูต่างๆนาๆ ตามแบบฉบับเครื่องบูชาภาคเหนือ กลิ่นธูปลอยตลบอบอวลบอกให้รู้ว่าที่นี่คือสำนักเจ้าทรงที่ยายของผมเป็นผู้สืบทอดนั่นเอง

บ้านของเรารับช่วงต่อมาหลายรุ่นและตอนนี้มียายผมเป็นผู้สืบทอดคนล่าสุดยายอยู่ในชุดเสื้อหม้อห้อมสีขาวตัดกับผ้าคาดหัวสีน้ำตาลและนุ่งโสร่งลายตารางสีน้ำตาลและนั่นทำให้ผมรู้ว่า 'เจ้ากรอบแก้ว' เทพประจำตระกูลเราพึ่งทรงไปเพราะชุดของแต่ละองค์จะไม่เหมือนกัน บ้านเรามีเทพอยู่หลายองค์แต่หลักๆ ที่เห็นบ่อยคือ เจ้ากรอบแก้ว และ กุมารทองตัวอ้วน

เจ้ากรอบแก้วรับจะรับหน้าที่ดูแลปัญหาแนวทางแก้ให้เมื่อมีคนมา *ถามเมื่อ (*คือพิธีกรรมทางภาคเหนือเจ้าทรงจะเรียกวิญญาณมาลงร่างตัวเองเพื่อพูดคุยสอบถามว่าวิญญาณนั้นเป็นใครต้องการอะไร)หลังจากรู้จุดประสงค์แล้วก็จะเชิญเจ้ากรอบแก้วทรงต่อเพื่อพูดคุยถึงเรื่องการแก้ไขปิดท้ายด้วยการเชิญเทพอาวุโสอย่างพ่อปู่ช่วยเป่าน้ำมนต์ให้เพื่อไว้ใช้กินใช้อาบแก้เคล็ด

คนที่มาหายายส่วนมากจะเป็นญาติของผู้ป่วยที่ไม่สบายเจ็บไข้แล้วไม่ยอมหายหรืออาการแปลกๆ แต่ยกเว้นโรคร้ายแรง คนทางเหนือมักจะเชื่อกันว่าอาจจะโดนผีทักจึงมาหายายเพื่อถามเมื่อปกติก็จะเป็นเคสง่ายๆวิธีแก้คือไปเลี้ยงผีตามที่วิญญาณขอมาว่าอยากจะกินอะไรหรือให้ไปทำอะไรเพื่อแก้ผี พอทำตามที่ขอเสร็จอาการคนป่วยก็จะดีขึ้นและหายไปเอง

"เข้ามานั่งข้างยายนี่มา" ผมค่อยๆคลานเขาผ่านแขกที่นั่งหันหลังให้ทางประตูเข้าไปนั่งข้างๆยาย

แต่เมื่อผมหันกลับมาวินาทีนั้นเหมือนเวลาหยุดเดินภาพตรงหน้าทำให้ผมหัวใจผมเต้นโครมครามราวกับโชคชะตาได้ส่งคนที่ผมพึ่งวางพู่กันจากภาพวาดของเขาไปเมื่อกี้นี้ให้มานั่งอยู่ตรงหน้าดวงตากลมจ้องมองมาที่ผมจมูกเล็กโด่งตั้งสันรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูธรรมชาติช่างเป็นอะไรที่ลงตัวจนเหนือคำบรรยายนี่สินะที่เขาเรียกว่ารักแรกพบแต่ไม่ใช่สิผมนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นแค่เป็นครั้งแรกที่เห็นตัวจริง

"นี่คุณย่าพิมพ์ทองกับหลานชายหนูข้าวตอก"

"เออ สะสะสวัสดีครับ" ผมแทบพูดไม่ออกเพราะมัวแต่อึ้งกับคนตรงหน้า

"แหมหลานชายหน้าตาดีเชียวนะคะคุณรัก"

"แน่นอนค่ะบ้านนี้เราหน้าตาดีกันทุกคน" คุณย่าพิมพ์ส่งยิ้มมาให้ผมส่วนข้าวตอกก็นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆคนอะไรทำไมน่ารักขนาดนี้กันนะใจผมละลายหมดแล้ว

"ย่าพิมพ์เขาพาหนูข้าวมาให้ยายช่วยดูให้ช่วงนี้น้องฝันไม่ค่อยดีแถมมีแต่เรื่องให้เจ็บตัวบ่อยๆ เห็นว่าใกล้จะครบอายุยี่สิบห้าเบญจเพสแล้วด้วย" ย่าพิมพ์นั่งกุมมือหลานแน่นสีหน้าดูเป็นห่วงข้าวมาก

"แล้วเป็นไงบ้างครับ?" ผมถามยายด้วยท่าทางที่ทำให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเดี๋ยวเขาจะรู้ได้ว่าผมตื่นเต้นขนาดไหนแต่ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครมันกล้าจะมาทำร้ายเนื้อคู่ผม

"คืออย่างนี้นะลูกตอนนี้มันได้มีแค่เรื่องเดียวที่ต้องแก้ยายเลยไม่รู้ว่าต้องเชิญใครมาลงอีกอย่างแต่ตนไม่น่าจะใช่พวกผีธรรมดาเพราะยายสัมผัสได้ว่าพลังแรงมาก"

"แล้วเราจะเอาไงต่อครับยาย" ผมถามยายต่อย่าพิมพ์กับข้าวตอกก็ตั้งใจฟังด้วยเช่นกัน

"ยายก็เลยทรงเจ้ากรอบแก้วให้ดูให้เห็นย่าพิมพ์บอกว่าลุงเขาบอกมันมีอยู่สามเรื่องที่ต้องแก้ไข เรื่องแรกที่ต้องรีบทำก่อนคือเหมือนว่าน้องน่าจะไปเอาของอะไรมาสักอย่างจากที่ไกล ต้องรีบหาสิ่งนั้นให้เจอแล้วเอาไปคืนเพราะเจ้าของเขาเตือนมาแล้วแต่ปัญหาคือน้องเองก็ไม่รู้นะสิว่าของนั่นคืออะไรลุงกรอบก็บอกได้แค่ว่าเป็นทรงกลมสีทองอะไรพรุ่งนี้ยายเลยอยากให้หนูไปช่วยหาของที่บ้านน้องหน่อยนะลูกพาเจ้าจ้ำม่ำไปด้วยจะได้ให้ช่วยดูให้"

จ้ำม่ำที่พูดถึงก็คือกุมารทองตัวอ้วนที่ยายผมเลี้ยงไว้ตั้งแต่ผมยังเด็กผมลืมบอกไปผมมองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่ตอนผมอายุสิบห้าตอนนั้นผมจำได้ว่าคืนหนึ่งผมนอนฝันเห็นชายชราในชุดขาวเขายื่นดอกบัวมาให้ผมมันเป็นดอกบัวที่สวยมากจนผมปฏิเสธไม่ได้พอตื่นมาก็มีเรื่องแปลกๆตอนแรกผมได้ยินเสียงวิญญาณก่อนหลังจากนั้นภาพก็เริ่มตามมา ยายบอกว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษของเราที่มอบพลังวิเศษนี้ให้ผม

ตอนแรกผมก็กลัวนะแต่พอนานไปก็เริ่มชินคงเพราะต้องคลุกคลีอยู่กับอะไรพวกนี้ตั้งแต่เด็กแต่ก็แปลกยัยเมษาพี่สาวของผมหรือแม้แต่ยายกลับไม่ได้รับพลังอะไรแบบนี้เลยอย่างมากก็แค่ฝันแม่นอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะผมเกิดในวันเสาร์ห้าที่เชื่อกันว่าเป็นวันที่แรงและดวงแข็งที่สุด

"ได้ครับยายเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปช่วยหางั้นน้องข้าวตอกพี่ขอแลกไลน์เราไว้หน่อยนะครับจะได้ติดต่อกันได้"

"ได้ครับ แต่พี่เทวาเรียกผมข้าวเฉยๆก็ได้ครับ" ผมยื่นโทรศัพท์ไปสแกนคิวอาร์โค้ดไลน์ข้าวโชคดีอะไรของผมขนาดนี้จู่ๆก็จะได้เจอกับคนในฝันคงเป็นพรหมลิขิตจริงๆสินะ งานนี้ผมทุ่มสุดเพื่อพิชิตใจน้องข้าวตอกของผมให้ได้ หลังจากย่าพิมพ์กับข้าวกลับไปผมกับยายก็มองหน้ากันยิ้มกริ่ม

"ได้เจอสักทีนะลูกรอมาตั้งนานยายเปิดทางให้ขนาดนี้แล้วอยู่ที่เราแล้วว่าจะเอาหนูข้าวมาเป็นแฟนได้ไหม" ยายสุดที่รักเอ่ยกับผมยายรับรู้มาตลอดว่าผมนั่นไม่ได้ชอบผู้หญิงถึงแม้ว่าผมจะดูแมนมากก็เถอะจึงไม่แปลกใจตอนที่ท่านรู้ว่าผมฝันถึงข้าวและแอบหลงรักผู้ชายยายไม่ใช่พวกหัวโบราณที่จะคัดค้านเรื่องชายรักชายผมโชคดีมากที่เกิดมามียายที่เข้าใจในเรื่องรสนิยมทางเพศ

"ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเขาง่ายดายขนาดนี้"

"เนื้อคู่กันยังไงก็ไม่แคล้วถึงเวลาก็มาเองลูก"

"ว่าแต่แล้วอีกสองเรื่องละครับยายที่ต้องแก้"

"ค่อยว่ากันดีกว่าเอาให้จบที่ละเรื่อง แต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะมีเรื่องที่หนักเอาการอยู่ไว้เราค่อยหาทางกันอีกที" ยายตบไหล่เบาๆ

"ยังไงผมก็จะช่วยน้องให้ได้ครับผมจะปกป้องเขาเอง"

. .. ..วันต่อมา

"เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหมลูกต้องทำคะแนนเยอะๆ นะวันนี้"

"แน่นอนสิครับยายข้าวแชร์โลเคชั่นบ้านเขามาแล้วครับเดี๋ยวผมรีบไปก่อนน้า"ผมก้มลงไปหอมแก้มคนแก่ใจดีก่อนจะขึ้นรถขับออกไปแต่ยังไม่ทันพ้นประตูบ้านก็ต้องถอยกลับมา

"ยายจ้ำม่ำละ?"

"เออนั่นนะสิมันหายไปไหน"

“จ้ำม่ำ! จ้ำม่ำ! ไอ้จ้ำม่ำ!!"

'จ๋าาาา ยาย' เสียงวิญญาณเด็กก้องๆ ขานรับพร้อมกับปรากฏร่างกุมารทองเด็กอ้วนตัวขาวซีดมัดจุกกลางหัวปักปิ่นสีทองแต่อยู่ในชุดสไปเดอร์แมนที่ยัยเมษาพึ่งซื้อมาถวายให้เมื่อวานในมือถือถุงขนมเลย์เคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก เฮ้อ นี่ถ้าเป็นคนผมคงพาวิ่งออกกำลังลดความอ้วนละเป็นห่วงสุขภาพกุมารทองจริงๆ

"ไปไหนมารีบไปกับพ่อเอ็งเลยเร็วแล้วอย่าดื้ออย่าซนละ"

'จ๊ะยาย หนูไม่ดื้ออยู่แล้วจะยายไม่ต้องห่วง' รับคำเสร็จจ้ำม่ำก็หายตัววับขึ้นมานั่งเบาะหน้าข้างผมทำเอาสะดุ้งถึงผมจะเห็นวิญญาณจนชินแต่ก็ตกใจทุกทีที่มาแบบผลุบๆโผล่ๆ แบบนี้

เราขับรถมาถึงบ้านหลังใหญ่ตามโลเคชั่นที่ข้าวปักหมุดไว้ ไม่น่าแปลกใจหรอกที่บ้านข้าวจะใหญ่โตหรูหราขนาดนี้เห็นว่าที่บ้านทำธุรกิจส่งออกผลไม้อบแห้งและมีบริษัทที่ต่างประเทศพ่อแม่ข้าวเลยอยู่เมืองนอกเป็นส่วนใหญ่บ้านนี้ก็มีย่าพิมพ์กับข้าวอยู่กันสองคนเป็นหลัก

"เชิญครับพี่เทวา นั่งพักก่อนนะขับรถมาตั้งไกลเลย" ข้าวตอกเดินออกมารับผมหน้าบ้านแล้วพาไปนั่งที่ห้องรับแขกหรู

"เรียกพี่วาเฉยๆก็ได้ครับ"

"ครับพี่วา" เสียงใสๆเรียกชื่อเล่นผมทำเอาใจสั่นคลั่งรักไม่ไหวแล้ว สักพักพี่ปุ้มคุณแม่บ้านของข้าวก็เอาน้ำมาเสิร์ฟให้ผมพร้อมขนม

"คุณย่าพิมพ์ไม่อยู่เหรอครับวันนี้" ผมถามพี่ปุ้มที่กำลังเอาขนมวางบนโต๊ะ

"คุณย่าไปวัดค่ะวันนี้ศีลใหญ่คงฟังเทศนาอีกนานแหละค่ะกว่าจะกลับ"

"ออ ครับ"

"หยุดเลยนะ!!" ผมตะคอกออกไปเมื่อเหลือบไปเห็นเจ้าจ้ำม่ำกำลังจะเอือมมือหยิบขนมในจานแต่ลืมไปว่าถึงอย่างนั้นก็กินไม่ได้หรอกตราบใดที่ยังไม่มีใครเชิญให้กิน

"อะไรเหรอครับข้าวยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ" ข้าวที่กำลังจะเดินมาหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์หยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินผมตะคอกพร้อมกับทำหน้าตกใจ

"พี่ไม่ได้ว่าข้าวนะ เออ..พี่ดุจ้ำม่ำนะ"

"จ้ำม่ำ? ออ ..กุมารทองที่ยายรักบอกว่าอ้วนๆ นั่นนะเหรอครับ?" ข้าวยิ้มแซวดูคนตัวเล็กจะไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่ผมมองเห็นวิญญาณเลยแม้แต่น้อย

"ใช่ครับ เจ้าเด็กอ้วนนี่แหละ" ผมเอื้อมมือไปลูบหัวจ้ำม่ำแต่ข้าวก็คงไม่เห็นกับผมหรอก

'ผมไม่ได้อ้วนซะหน่อยแค่น้ำหนักเกินมาตรฐานกุมารทองรุ่นเดียวกันเฉยๆ' จ้ำม่ำพูดพลางกอดอกทำแก้มป่องเหมือนงอน

"นั่นแหละที่เรียกว่าอ้วน"

'เรียกหนูกินได้แล้วไม่งั้นหนูไม่ช่วยหาของนะ'

"อ่าอ่า ก็ได้เชิญรับประทานขนมได้แล้วครับท่าน"

"คิกๆ พี่วานี่ตลกดีนะครับ" ข้าวหัวเราะที่ผมนั่งเถียงกับอากาศ

"พี่ก็ตลกกับเฉพาะคนที่ชอบเท่านั้นแหละครับ"ข้าวชะงักไปชั่วขณะก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยที่ผมลุกไปเปล่านะ

"เออ..แล้วของที่เราต้องหานี่เป็นยังไงนะครับ?"

"นั่นสิ ยายพี่บอกว่าเท่าที่เห็นเป็นรูปทรงกลมๆสีเหลืองทอง เดี๋ยวเราลองกันหาดูก่อนแล้วให้ให้จ้ำม่ำช่วยดูนะว่ามีเงาไหม" เงาที่ว่าคือพลังของวิญญาณที่อยู่ในของนั้นๆ

"ไปจ้ำม่ำทำงานได้แล้วมัวแต่กินอยู่ได้" เราขึ้นไปหากันบนห้องข้าวเพราะคิดว่าน่าจะอยู่ในพื้นที่ที่ข้าวอยู่ประจำเวลาผ่านไปสักพักเราหยิบอะไรที่พอจะเข้าพวกก็ส่งให้จ้ำม่ำเช็คดูแต่ก็ไม่มีอันไหนใช่เลย

'อันนั้นก็ไม่ใช่หนูไม่เห็นเงาจากสิ่งนี้' เราค้นในห้องจนทั่วแล้วก็ไม่เจอเลยลงมานั่งพักกันก่อนประจวบกับที่คุณย่าพิมพ์กลับมาพอดี

"อ่าว เทวามานานหรือยังลูก" เสียงย่าพิมพ์เอ่ยทัก ผมยกมือไหว้ย่าพิมพ์อย่างสวยงามตามแบบหลานเขยไทยถ้ากราบแล้วดูไม่เว่อคงลงไปหมอบกราบแล้ว

"สวัสดีครับย่าพิมพ์ผมมาถึงตั้งแต่เช้าแล้วครับ ไปวัดมาเป็นไงบ้างครับเอาบุญมาฝากผมหรือเปล่า" ผมพูดคุยกับท่านอย่างสนิทสนมเข้าทางผู้ใหญ่ไว้ก่อน

"มาเอาสิจ๊ะบุญก็มีขนมก็มีย่าซื้อขนมเบื้องร้านประจำมาอร่อยมากเลยนะมานั่งกินกันก่อนลูกมา" เรานั่งรอขนมเบื้องที่พี่ปุ้มเอาไปจัดใส่จานก่อนคนจะกินก็เหมือนเดิมครับอันเชิญกุมารทองเขากินก่อน

"เชิญรับประทานได้ครับเจ้านาย"

"ใครเหรอลูกเจ้านาย?" ย่าพิมพ์ทำหน้างงว่าผมเรียกใคร

"พี่วาเขาเชิญกุมารทองกินก่อนน่ะครับย่า" ข้าวอธิบายแทนผมเพราะเมื่อเช้าก็โดนไปทีแล้ว

"เหรอลูกกุมารทองเหรออยู่ตรงไหนๆ" คุณย่าหันซ้ายหันขวาไล่มองโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านั่งอยู่ข้างๆตัวเอง

'อร่อยจัง หวานๆหนูชอบ' จ้ำม่ำเคียวยัดขนมเบื้องเต็มปาก

"ก็เห็นชอบกินทุกอย่างนั่นแหละ" ผมตอบกลับเจ้าเด็กอ้วนส่วนย่าพิมพ์ก็ยังมองหาไม่เลิก

"เอออยู่ตรงนี้เหรอลูก ย่าขอเลขเด็ดสักหน่อยสิ ถ้าถูกนะย่าจะถวายให้หมดอยากได้อะไรนะลูกนะ" คุณย่าพนมมือขอหวย

ทำไมคนเราชอบขอหวยกันจังนะถ้ามันขอได้จริงบ้านผมคงรวยไปแล้วครับแต่ดีที่บ้านผมมีที่นาเยอะเลยแบ่งให้ชาวบ้านเช่าทำนาทุกปีเราเลยสบายมีเงินใช้จากค่าเช่าที่แล้วก็มีสวนลำไยรวมถึงโรงสีที่พี่เมษาดูแลอยู่ส่วนตัวผมวันๆก็ขลุกอยู่กับการวาดภาพไปดูแลสวนบ้างนานๆจะไปช่วยพี่เมษาที ผมมีความฝันว่าอยากเป็นศิลปินมีแกลลอรี่ตามสไตล์งานของผมแต่ช่วงนี้งานที่ออกมาก็จะมีแต่ภาพของข้าวเต็มไปหมด

"จ้ำม่ำให้หวยไม่ได้หรอกครับมันเป็นกฎ" คุณย่าทำหน้าจ๋อยเมื่อผมบอกว่าทำไม่ได้แกเลยเปลี่ยนเรื่อง

"แหะย่าก็ขอไปงั้นแหละลูกเผื่อฟลุ๊คเอาๆกินขนมกันได้แล้ว ตกลงนี่ยังไม่เจอของที่ว่าเหรอลูก?"

"ยังเลยครับคุณย่าข้าวกับพี่เทวาหากันจนทั่วบ้านแล้ว"

"หรือว่าของนั่นจะไม่ได้อยู่ที่นี่" คุณย่าเอ่ยขึ้นก็เป็นไปได้นะ

"ถ้าไม่อยู่ที่บ้านจะที่ไหนละครับปกติข้าวก็อยู่แค่ที่บ้านกับ.. เอ๊ะหรืออยู่ที่คาเฟ่"

"คาเฟ่??" ผมถามย้ำคาเฟ่งั้นเหรอ

"ครับข้าวเปิดร้านคาเฟ่แถวในเมืองนะครับปกติก็จะไปดูร้านช่วงสายๆ"

"งั้นพี่ว่าพรุ่งนี้เราลองไปหาที่นั่นดูไหม" ผมเสนอไปเป็นไปได้ที่ของจะอยู่ที่นั่นเพราะถ้าที่บ้านไม่มีก็คงต้องเป็นที่นั่นแล้วละ

"ได้ครับงั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าวไปรับที่วาที่บ้านเองครับ"

เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ผ่านเกินกว่าครึ่งวันแล้วเรานั่งคุยกันสักพักผมก็ขอตัวกลับบ้านเพราะใกล้ค่ำแล้วไม่อยากขับรถกลับมืดๆสายตาผมไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่แต่สำหรับพวกผีนี่เห็นชัดแจ๋วเลย

โชคดีทีผมบวชเรียนตั้งแต่เด็กกับพระอาจารย์ได้คาถาอาคมมามากอยู่พอสมควรยายเองก็ให้ผมฝึกท่องคัมภีร์ปราบผีของต้นตระกูลรวมถึงให้แหวนกงจักรดอกบัวที่เป็นของขลังสืบทอดกันมามานานไว้ใช้ ป้องกันตัว สำหรับพวกผีผมเปรียบเหมือนนักเลงใหญ่ด้วยความที่ดวงผมแข็งมากบวกกับมีแหวนสุดขลังของต้นตระกูลพลังจากแหวนก็ช่วยเสริมออร่าไปอีกเวลาไปไหนมาไหนพวกมันเห็นผมก็แทบไม่กล้าเข้าใกล้แล้วจะมีก็แต่พวกกร่างๆบ้างนานทีที่อยากลองของกับผม

"ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเหรอลูก" ย่าพิมพ์เอ่ยชวนราวอย่างกับไม่อยากให้ผมกลับคงเพราะผมคุยสนุกย่าแกเลยชอบ

"วันนี้คงต้องขอตัวก่อนนะครับ ยายรอทานข้าวเหมือนกันครับไว้วันหลังผมจะพายายมาทานข้าวบ้านย่าพิมพ์ด้วยดีไหมครับ"

"ดีๆ มาเลยนะนัดวันมาเลยย่าจะจัดเต็มให้"

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณย่า สวัสดีครับ" ผมสวัสดีคุณย่าแล้วเดินไปที่รถโดยมีข้าวเดินมาส่ง ก่อนจะขึ้นรถก็นึกขึ้นได้จึงหยิบสายสิญจน์สีขาวเส้นเล็กที่พกมาด้วยจากในรถ เมื่อคืนผมขอให้พ่อปู่ปลุกเสกให้เพื่อที่จะเอามาให้ข้าว

"ส่งมือมาสิเดี๋ยวพี่ผูกให้"

"อะไรเหรอครับ" ข้าวทำตาใสถามเมื่อเห็นผมหยิบของจากรถออกมา

"สายสิญจน์ครับ มันจะช่วยคุ้มครองข้าวช่วงนี้ข้าวดวงตกอาจจะมีพวกสัมภเวสีมาทักได้ง่ายใส่กันเอาไว้ก่อน" แม้อาจจะไม่มากแต่ก็พอป้องกันพวกสัมภเวสีได้บ้าง แขนเล็กยื่นมาให้ผมผูกสายสิญจน์ดวงตากลมจ้องมองอย่างตั้งใจส่วนผมก็จ้องหน้าใสใสของข้าวอย่างตั้งใจเช่นกันน่ารักจนใจเจ็บ

"เสร็จละใส่ไว้นะห้ามถอดออกช่วงนี้"

"ได้ครับข้าวจะใส่ไว้ตลอดเลย" คนตัวเล็กยิ้มหวานรับคำ

"งั้นพี่กลับก่อนนะ ไปกลับจ้ำม่ำ" ผมไม่ลืมที่จะเรียกกุมารทองที่พกมากลับด้วยอันที่จริงจะหายตัวกลับเองก็ได้แหละแต่ผมอยากมีเพื่อนนั่งในรถด้วย

"ขับรถดีๆนะครับอย่ามัวแต่ทะเลาะกับจ้ำม่ำละ"

"ฮ่าๆ ไม่หรอกครับปกติรักกันจะตาย"

"รักกันมากแต่แทบจะเถียงกันตลอดเลยนะครับ" พวกเราหัวเราะคิกคักจนสายตาทั้งสองเผลอไปบรรจบกันด้วยความไม่ตั้งใจ พอรู้ตัวอีกทีเราก็จ้องมองใบหน้ากันนิ่งราวกับมีอะไรอยู่ในใจ ผมต้องรีบตัดบทเพราะใจมันเต้นแรงเกินไปแล้ว

"เออ..งั้นพี่ไปนะ พรุ่งนี้เจอกันครับ"

"บ๊ายบายครับ" ผมโบกมือลาข้าวก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกมาจริงๆในใจอยากจะอยู่ด้วยนานแหละที่ต้องเว้นระยะก่อนจู่โจมมากเดี๋ยวไก่ตื่น

ผมขับรถกลับถึงบ้านยังไม่ทันจะดับเครื่อง เสียงแปดหลอดก็หวีดเข้าหูผมไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเสียงใคร ผมรีบเดินเข้าไปดูกลัวว่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมกันในบ้าน

"เอะอะอะไรกันเนี้ยยายหลานคู่นี้" ผมเดินเข้าไปถามสองคนยายหลานที่ยืนเถียงกันตรงระเบียงหน้าบ้าน "ก็ยายนะสิเอางูไปโยนไว้บ้าน ป้าไหม" ยัยเมษาพี่สาวของผมรีบฟ้องก่อนเลย

"ก็งูมันเข้ามาบ้านเรานี่ลูกยายกลัวมันจะเข้าไปกรงทีเด็ดก็เลยไล่มันไปแต่มันดันตกร่องน้ำยายก็เลยเอาไม้เกี่ยวตวัดมันขึ้นพักไว้หน้าบ้านป้าไหมเฉย วันนี้วันศีลใหญ่ด้วยเราทำบาปฆ่าสัตว์ไม่ได้" ยายรีบแก้ตัวทันทีส่วนทีเด็ดที่ยายพูดถึงคือนกเอี้ยงที่เราเลี้ยงไว้วันๆมันก็จะเอาแต่ถามคนที่เขาผ่านไปผ่านมาว่าไปไหนไปไหนเพราะติดคำพูดมาจากยายบางทีก็ทำเสียงแตรรถเลียนแบบเขาบ้างไม่รู้บ้านนี้มีอะไรปกติบ้างนอกจากผม

"แต่ยายเอางูโยนไปไว้บ้านคนอื่นไม่ได้ ถ้ามันไปกัดเขาตายห่ามาคือจะไม่บาปกว่าเหรอยาย?" ยัยเมษายังคงโวยวายใส่ยายไม่หยุด

"เอ็งนี่นะเมษาพูดจาอะไรไม่เพราะเลยดูน้องเองสิเขาเป็นผู้ชายแท้ๆยังพูดเพราะกว่าเอ็งอีกผู้หญิงประสาอะไรมิน่าถึงไม่มีผัว" ยายพูดจี้ใจดำเมษาอย่างจังพี่สาวผมจะสามสิบแต่ก็ยังไม่แฟนกับเขา

"เอ้า ยายโยงมาเรื่องนี้ได้ไงเนี้ยก็มัวแต่ดูแลกิจการให้ยายไหมละถึงไม่มีเวลาหาไปหาผัวถ้าอยากให้หนูมีก็ให้หลานรักยายมาทำงานแทนหนูสิ" แล้วเรื่องก็ลามมาหาผมจนได้สินะผมเลยต้องรีบหยุดสองคนก่อนจะซวยไปกว่านี้

"พอเลยทั้งคู่แยกย้ายๆ ยายทีหลังก็อย่าไปปล่อยงูไว้หน้าบ้านใครเขาสิครับมันอันตรายนะ ส่วนพี่ก็พูดดีๆหน่อยเอะอะโวยวายเป็นเด็กไปได้"

"แกก็สปอยยายตลอดแหละ" เมษามองบนใส่น้องชาย

แม้อาจจะดูปากคอเราะร้ายบ้างแต่เมษาก็รักน้องชายมากเพราะมีกันแค่สองคนพี่น้องพ่อแม่ของทั้งสองคนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เด็กยายจึงเป็นคนเลี้ยงดูทั้งคู่มาโดยตลอด

พอเรียนจบเมษาก็เข้าไปบริหารงานโรงสียอมเสียสละรับช่วงต่อเองทั้งที่ก็ไม่อยากจะทำเท่าไหร่หรอกแต่ด้วยเป็นพี่และรู้ว่าน้องชายอยากจะเป็นศิลปินเลยอยากให้น้องชายได้ทำตามความฝันอย่างเต็มที่

ยายกับเมษาชอบทะเลาะกันบ่อยๆแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรแค่พูดไม่เข้าหูกันเป็นเรื่องปกติ เพราะเมษาเป็นผู้หญิงและเป็นพี่ยายเลยมักจะเคี่ยวเข็ญเมษามากกว่าเพื่อที่อยากให้ดูแลตัวเองกับน้องชายให้ได้ในวันที่ยายไม่อยู่ จริงๆคือยายรักแต่ตั้งความหวังไว้กับเมษามาก

"เป็นไงบ้างลูกได้เรื่องไหมวันนี้" ยายเปลี่ยนเรื่องมาถามผมแทน

"ยังไม่เจอเลยครับหาที่บ้านจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ พรุ่งนี้เลยว่าจะหาที่คาเฟ่ข้าวกันครับอาจจะอยู่ที่นั่น"

"ข้าวนี่ที่ยายบอกว่าคนในฝันแกใช่ไหม?ได้ข่าวว่าเจอตัวจริงกันเมื่อวานละใช่มะ" เมษาก็เปลี่ยนเรื่องตามสถานการณ์เริ่มกลับสู่โหมดปกติ

"ใช่แล้ว พี่จะได้มีน้องสะใภ้แล้วนะดีใจไหม"

"เหอะฉันเสียใจกับน้องเขามากกว่า" ยัยพี่กอดอกเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้

"เอ้า ทำไมว่าน้องแบบนี้ละน้องชายพี่ออกจะหล่อเหลาแสนดีอย่างกับพระเอกเกาหลีขนาดนี้" ผมว่าพลางทำนิ้วเป็นเครื่องหมายถูกยกขึ้นมาทาบคางเพื่อโชว์ใบหน้าหล่อเหลาของตัวเอง

"ปัญญาอ่อนแบบนี้ไงใครเขาจะเอาแกยะ" ไม่ต้องถึงมือผมยายสุดที่รักก็ปกป้องหลานชายที่แสนดี

"เอ็งนี่ก็ชอบว่าน้องหลานยายหล่อที่สุดหน้าตาดีเหมือนยายเนาะลูกเนาะ" ยายเข้ามากอดผมเอาหน้าแนบกันโชว์ความหน้าตาดีของเราทั้งคู่ใส่เมษา

"เหอะ ทั้งยายทั้งหลานพอกันเลยหมั่นไส้ ไปกินข้าวกันได้แล้ว" พวกเราพากันนั่งทานข้าวที่ศาลาริมน้ำ

บรรยากาศในช่วงเย็นดีมากบ้านผมด้านหน้าจะเห็นวิวภูเขาชัดเจนส่วนหลังบ้านติดแม่น้ำเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ ทานข้าวกันเสร็จเรานั่งพูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำนอน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจดจ่อกับการพิมพ์ข้อความส่งหาคนที่ชอบ

TW: นอนหรือยังครับ?

ผมกดส่งประโยคข้างบนไปหาข้าวที่ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านไหม ตึกตัก..ตึกตัก ใจผมเต้นแรงเพราะลุ้นหนัก 1 นาทีละนะ ...3นาทีแล้วนะ... . 10 นาทีแล้วก็ยังไม่อ่าน เขาไม่เห็นหรือไม่อยากอ่านหรือนอนแล้วกันผมว้าวุ่นไปหมดเอาหัวมุดกับหมอนอยากจะบ้าตาย ติ๊ง~ เสียงไลน์ดังขึ้นผมรีบดีดตัวเองไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตอบแล้วข้าวตอบแล้วเว้ย

KT: ยังครับพึ่งอาบน้ำเสร็จ พี่วามีอะไรหรือเปล่าครับ

TW: พี่แค่จะบอกว่าพรุ่งนี้ข้าวโทรปลุกพี่ทีนะพี่กลัวตื่นไม่ทันครับ

KT: ได้ครับ พรุ่งนี้ข้าวโทรปลุกพี่วาเอง

TW: โอเค ขอบคุณครับ ฝันดีนะครับน้องข้าว

KT: ฝันดีครับพี่วา บทสนทนาจบลงด้วยการบอกฝันดีที่ดีที่สุดคืนนี้คงเป็นคืนที่ผมจะฝันดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะผมไม่ใช่เจอเขาแค่ในความฝันอีกแล้ว

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!