"ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสุนัขนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างเนิ่นนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และ เหตุผลในการเลี้ยงก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน, ล่าสัตว์ หรือ เลี้ยงเพื่อแก้เหงาก็ตาม แต่มุมมองของคุณที่มีต่อสุนัขเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเมื่อคุณได้รู้จักกับ บรูโน่ สุนัขอัฉริยะที่สามารถทำอะไรๆได้มากกว่าที่คุณคิด และ มันจะทำให้คุณหลงรักสัตว์หน้าขนอย่างพวกเขามากขึ้น เมื่อโลกมาถึงจุดที่ดำมืด และ ตกต่ำที่สุด สุนัขนามว่า บรูโน่ ตัวนี้จะนำแสงสว่างกลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง"
LAZARUS - ลาซารัส
Episode I - สุนัขที่หายไป
ปี ค.ศ 2060 ณ ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่กำลังทำการวิจัย และ ทดลองทางพันธุกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต พวกเขาได้ทำการทดลองมากมาย โดยการทดลอที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ การนำ ดีเอ็นเอ ของกิ้งก่ามาผสมเข้ากับดีเอนเอของมนุษย์เพื่อผลลัพธ์ที่ได้มาซึ่งการสร้างตัวใหม่ของเซลล์หลังจากที่มนุษย์ผู้นั้นได้ถูกตัดแขน หรือ ขาออกจากร่างกาย ความล้มเหลว ย่อมเป็นสิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นหลังการทดลองครั้งแรกเสมอ แต่ความพยายามของมนุษย์ที่ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มาก็คือ ความสำเร็จ พวกเขาสามารถทำให้มนุษย์ที่ขาดอวัยวะต่างๆของร่างกายกลับมางอกใหม่ได้อีกครั้ง และถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ และ วงการแพทย์เลยทีเดียว และ นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการทดลองครั้งใหม่ ซึ่งก็คือ.... การถ่าย ดีเอ็นเอ ของมนุษย์ให้กับสุนัข ซึ่งผลลัพธ์ที่พวกเขาหวังก็คือการให้ สุนัขมีมันสมอง และ ความคิดเทียบเท่ากับมนุษย์ โดยใช้ชื่อโครงการนี้ว่า Modification of the Dog's Brain (MDB) หรือที่แปลตรงตัวว่า "การดัดแปลลงสมองของสุนัข" ความคิดนี้ไม่ใช่การเพ้อเจ้อ เมื่อรัฐบาลเซ็นยินยอมในการทดลองนี้ แต่มันกลับไม่ใช่การทดลองที่ถูกต้อง พวกเขาไม่ได้เปิดเผยโครงการนี้ต่อสาธารณชน เพราะมันค่อนข้างผิดศีลธรรม และต้องดำเนินการอย่างลับๆภายใต้อำนาจของรัฐบาลที่ไม่ได้ดีนัก โดยพวกเขาต้องตามหาสุนัขจรจัดทั่วทุกสารทิศ เพื่อนำมาเป็นตัวทดลอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เมื่อสุนัขหลายร้อยตัว หลากหลายสายพันธุ์ต้องถูกสังเวยชีวิตเพราะการทดลองที่ไม่สำเร็จผล และ 1 ในสายพันธุ์ที่ถูกนำมาทดลองแต่ไม่ประสบผลสำเร็จก็คือสายพันธุ์ เซนต์เบอร์นาร์ด เหตุผลที่สุนัขทุกตัวทดลองไม่สำเร็จก็เพราะ ดีเอ็นเอ ของมนุษย์ที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับเซลล์สมองของสุนัข ทำให้ร่างกายของพวกมันรับไม่ไหว และ ส่งผลให้สมองไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ร่างกายของสุนัขจึงไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป และ นำไปสู่การเป็นอัมพาตของหัวใจ หรือ ก็คือหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง
จนกระทั่งได้มี เซนต์เบอร์นาร์ด ตัวหนึ่ง ที่ได้ถูกนำมาทดลองในโครงการนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฉีดเซลล์สมองของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกในองค์กร โดยฉีดเข้าไปในสมองของสุนัข เซนต์เบอร์นาร์ด ตัวนี้ในขณะที่ยังตื่นอยู่ แต่ผลตอบรับกลับแตกต่างจากสุนัขตัวอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่ทำการทดลองเรียบร้อย มันได้หมดสติไปเกือบ 2 วัน ก่อนที่ฟื้นขึ้นมา จะเรียกว่าสำเร็จก็ได้ เมื่อมันสามารถสะกดชื่อของใครหลายๆคนในองค์กรได้ด้วยกล่องตัวอักษร รวมถึงการทดลองเล่นหมากรุกแล้วยังชนะฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย สมองของมันตอนนี้ ได้ข้ามขีดจำกัดของสุนัขไปเรียบร้อยแล้ว..
แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง หลังการทดลองสำเร็จไปได้ 7 วัน นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้เข้ามาที่ห้องแลปเป็นคนแรกในเช้าวันนั้นก็พบว่า สุนัขที่ประสบความสำเร็จตัวนั้น มันได้หายไปจากห้องแลปเสียแล้ว เหตุการณ์การหายไปของสุนัขตัวนี้สร้างความแตกตื่นให้กับรัฐบาลเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถประกาศตามหา หรือ ออกข่าวได้ เพราะการทดลองนี้มันเป็นการทดลองลับสุดยอดของทางการ การค้นหา สุนัขเซนต์เบอร์นาร์ด ตัวนี้จึงต้องดำเนินไปอย่างลับๆเช่นกัน.....
("เซนต์เบอร์นาร์ด เป็นสายพันธุ์สุนัขกู้ภัยอย่างแท้จริง โดยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเซนต์เบอร์นาร์ดมักถูกเลี้ยงไว้เฝ้ายาม ปกป้องพระภิกษุและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก่อนที่ต่อมาได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นสุนัขกู้ภัย ทำหน้าที่ช่วยค้นหาและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่หลงทาง เซนต์เบอร์นาร์ด มีความสูงประมาณ 65 ซม. ถึง 90 ซม. และมีน้ำหนักตัวประมาณ 50 กก. ถึง 91 กก. )
ห่างจากศูนย์วิจัยออกมาทางทิศตะวันออกประมาณ 12 ไมล์ (20 กิโลเมตร) "โธมัส คาร์สัน" หนุ่มอายุ 24 ปี เขาอาศัยอยู่กับแม่ที่อายุ 54 ปี "โจลี่ คาร์สัน" แค่ 2 คนอย่างสงบสุข โดยเขาทำงานเป็นเด็กส่งพิซซ่ามาเป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เขา รู้เส้นทางการจราจรทั่วทั้งเมืองอย่างดีเยี่ยม รวมถึงเส้นทางตามชนบทนอกตัวเมืองอีกด้วย แถมยังได้เป็นพนักงานดีเด่นอีกต่างหาก โดยเขาจะใช้กระบะคู่ใจของเขาในการขับไปทำงาน และ ใช้รถของทางร้านในการส่งพิซซ่า ซึ่งเขามักจะเข้างานกะกลางคืนเสมอ โดยเข้างานเวลา 2 ทุ่มไปจนถึงตี 4
วันหนึ่ง หลังจากเลิกงาน และ กำลังขับรถกระบะคู่ใจกลับบ้านตามปกติ ขณะที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบ จู่ๆเขาก็ดันปวดฉี่ขึ้นมา เขาคิดว่าคงอดทนให้ถึงบ้านไม่ไหวแน่ๆ เลยตัดสินใจจอดข้างทาง ขณะที่กำลังยืนทำธุระอยู่นั่นอง ก็ได้มี "เซนต์เบอร์นาร์ด" ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เดินออกมาจากป่าด้วยสภาพไร้เรี่ยวแรง ตอนนั้นเขางงมาก ที่อยู่ดีๆก็มีสุนัขสายพันธุ์นี้เดินออกมาจากป่า เพราะสุนัขจรจัดทั่วไปในตัวเมือง หรือชานเมือง ไม่มีทางที่จะมีสายพันธุ์นี้เลย มันเดินออกมาก่อนจะล้มตัวลงข้างๆรถของเขา เขาไม่มีทางเลือก ปล่อยไว้แบบนั้นมันคงไม่รอด โธมัสจึงตัดสินใจอุ้มมันขึ้นรถ ซึ่งกว่าจะทำสำเร็จก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร เพราะสุนัขตัวนี้ค่อนข้างใหญ่ ถึงตอนนี้จะผอมลงไปมาก แต่น้ำหนัก ก็ยังคงอยู่ที่ 35 - 45 กก เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็นำรถเข็นขนของที่เขามี มานำสุนัขตัวนี้เข้าไปในบ้าน เช็ดตัว ทำที่นอนให้ และ นำอาหารของเขาที่เหลืออยู่มาวางไว้ เผื่อว่ามันได้สติ ก็สามารถที่จะกินได้เลย แล้วเขาก็เข้านอนตามปกติ ซึ่งแม่ของเขานั้นกำลังหลับอยู่ ทำให้ไม่รู้เลยว่าลูกชายของเขาได้นำตัวป่วนเข้ามาในบ้านซะแล้ว.......
เวลา 10 โมงเช้า โธมัส ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงทีวีข้างล่าง ซึ่งตอนนั้นเขาคิดว่าแม่ของเขา กำลังนั่งดูข่าวอยู่แน่ๆ เขาจึงไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเขาออกจากห้องน้ำ และ กำลังจะไปนอนต่อ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า วันนี้แม่เขามีธุระต้องไปจัดการ เกี่ยวกับคนไข้ในโรงพยาบาลที่แม่เขาทำงานอยู่ และ แม่เขาก็บอกด้วยว่าจะต้องออกจากบ้านตอน 7 โมงเช้า "แล้วใครกำลังดูทีวีในห้องนั่งเล่น" นั่นคือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ก่อนจะค่อยๆเดินลงบันไดไปชั้นล่าง และ เมื่อเขาลงไปถึง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ สุนัข เซนต์เบอร์นาร์ด ที่เขาพากลับบ้านเมื่อเช้า กำลังนั่งดูข่าวในทีวีบนโซฟา ก่อนจะหันมาหาเขาพร้อมกับพูดว่า "ไง"!! ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปทันที
ณ ศูนย์วิจัยการศึกษาและการพัฒนาทางการแพทย์ (Medical Education and Development) ซึ่งศูนย์นี้เอง ที่มีการแอบทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตที่ผิดศิลธรรมขึ้นมา ด้วยการใช้การพัฒนาทางการแพทย์มาบังหน้า เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะ รัฐบาลได้แอบร่วมมือกับคนอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อที่จะเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นอาวุธ และ พัฒนาอาวุธชีวภาพ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง และ ตอนนี้อาวุธที่มีค่าสำหรับพวกมันได้หายไป ทำให้รัฐบาลต้องเร่งมือออกตามหา
"ไมเคิล โคล์" หนึ่งในผู้ดูแลระดับสูงของรัฐบาล และ "เชสเตอร์ กานเนอร์" ผู้นำสูงสุดของ "Bloody Army" (กองทัพนองเลือด) ทั้งคู่มีสมาชิกในองค์กรของตัวเองเยอะมาก และ ยังเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรผิดศีลธรรมนี้ขึ้นมาอีกด้วย
ไมเคิล: ยังหาเจ้าหมานั่นไม่เจออีกหรอ ?
เชสเตอร์: ฉันสั่งเจ้า ดอร์จ นั่นไปตั้ง 3 วันแล้วนะ
ไมเคิล: ไปเรียกเจ้า ดอร์จ นั่นมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย
ซึ่ง ดอร์จ คือนักวิทยาศาสตร์ที่รับผิดชอบโครงการ MDB และ ยังเป็นคนแรกที่รู้ว่าสุนัขตัวนั้นหายไปด้วย เขาได้ถูก ไมเคิล ผู้นำของเขาเรียกพบด่วนหลังจากที่ประกาศให้กับสมาชิกในองค์กรออกตามหาสุนัขได้ 3 วัน...
ดอร์จ: เรียกผมหรอครับท่าน ?
ไมเคิล: ใช่ ฉันเรียกแก การค้นหาเป็นยังไงบ้าง ?
ดอร์จ: คือว่า ตอนนี้เรายังไม่พบตัวเจ้าหมานั่นเลยครับ
ไมเคิล: แกฟังฉันนะไอ้ดอร์จ รู้ไหมหมาตัวนั้นมันมีค่ากับภารกิจของฉันมากแค่ไหน ฉันได้มอบหมายให้แกรับผิดชอบ โดยการสร้างหมาที่มีความคิดเหมือนมนุษย์ แต่ฉันจำไม่ได้เลย ว่าเคยสั่งให้แกปล่อยปละละเลยมัน
ดอร์จ: ผมขอโทษครับท่าน ผมจะรีบตามหามันให้เจอครับ
ไมเคิล: ฉันจะให้เวลาแกอีกแค่ 5 วันเท่านั้น
เชสเตอร์: ได้ยินคำสั่งแล้วก็รีบไปสะ!!
ดอร์จ: ครับผม
เชสเตอร์: นายคิดว่าจะหาเจอหรอ ภายในเวลา 5 วันนะ ?
ไมเคิล: 5 วันมันไม่น้อยหรอกนะ สำหรับการตามหาหมาตัวนึง
เชสเตอร์: ถ้าหมอนั่นหาไม่เจอละ ?
ไมเคิล: องค์กรของเรา ไม่มีที่ให้สำหรับคนที่ทำงานล้มเหลว...
บ้านโธมัส เวลาเที่ยงตรง หลังจากที่เขาหมดสติไป 2 ช.ม ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้เขาก็พบสุนัขตัวนั้นนั่งอยู่ข้างๆเขาพร้อมกับมีผ้าเช็ดตัวที่ชุ่มไปด้วยน้ำอยู่ในปากของมัน เขาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะยืนจ้องไปที่สุนัขตัวนั้นอย่างนิ่งๆ พร้อมกับมันที่มองมาที่เขาเช่นกัน.....
โธมัส: โย้ว....
สุนัข: ........
โธมัส: เมื่อเช้านายไม่ได้พูดกับฉัน ฉันต้องหูฝาดแน่ๆ
สุนัข: ........
โธมัส: เมื่อเช้าแม่ฉันคงเปิดทีวีให้นายสินะ ??
สุนัข: ........
โธมัส: นายเอาผ้านั่นมาเช็ดตัวให้ฉันงั้นหรอ ??
สุนัข: .......
โธมัส: นายคงจะเป็นหมาที่แสนรู้ที่สุดในโลกเลยสินะ อยากมีชื่อไหม
สุนัข: ฉันว่านายเลิกพูดมาก แล้วก็เตรียมใจที่จะได้เลี้ยงหมาพูดได้คนแรกของโลกดีกว่านะ...
ใช่ครับ สุนัขตัวนี้พูดได้!! และ มันก็พึ่งจะ พูดกับโธมัสเมื่อสักครู่ ก่อนที่จะทำให้โธมัสสลบไปอีกรอบ.... ซึ่งไม่นานเขาก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มองหาสุนัขนั้นก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่พบวี่แวว เขาจึงลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อที่จะล้างหน้า เขาคิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยจากการทำงานมากเกินไปก็ได้ เมื่อเปิดประตูห้องน้ำเขาก็ต้องตะลึงอีกครั้ง เพราะในห้องน้ำตอนนี้ มีสุนัขตัวนั้นกำลังนั่งอึ อยู่บนชักโครก และ นั้นก็ทำให้เขากรี๊ดออกมาสุดเสียง......
สุนัข: เฮ้ ถ้านายจะตกใจ ก็ให้ฉันอึก่อนไม่ได้รึไง
แล้วทั้งคู่ก็มานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น โดยตอนนี้ต่างคนต่างก็นั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากสำหรับโธมัส เมื่อจู่สุนัขที่เขาพามาจากข้างทางกลับสามารถพูดภาษามนุษย์ได้อย่างชัดเจน.....
โธมัส: นายเป็นตัวอะไรกันแน่ ??
สุนัข: เห็นฉันเป็นปลาหรอ ฉันก็คือหมาไง นายช่วยฉันมาจากข้างทาง ฉันต้องขอบใจนายมาก
โธมัส: เดี๋ยวก่อน!!! ทำไมนายถึงพูดได้ มันเป็นไปได้ยังไง ฉันต้องฝันอยู่แน่ๆๆๆ
สุนัข: โธ่เอ้ยย นายสลบไป และ ตื่นมา 2 รอบแล้วนะ ยังจะคิดว่าตัวเองฝันอีกงั้นหรอ
โธมัส: มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันเนี่ย นายคือหมา ทำไมนายพูดได้ ฉันกลายเป็นปราสาทไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย
สุนัข: เออ จะว่างั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้ว ไม่!! นายไม่ได้ปราสาท ฉันคือหมาพูดได้ตัวแรกของโลก และ หมาเทวดาอย่างฉันดันถูกไอ้หนุ่มขวัญอ่อนที่ไหนก็ไม่รู้เก็บมาเลี้ยง
โธมัส: ตอบฉันเดี๋ยวนี้เลย อะไรทำให้นายพูดได้ มีแค่นายตัวเดียวรึเปล่า ??
โธมัส เขาดูตื่นเต้นและตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อจู่ๆ สุนัขป่าสีขาว ที่เขาเก็บได้จากข้างทาง พูดภาษาคนได้ ราวกับเป็นคนจริงๆ.....
สุนัข: เออ ก็ได้ ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน ฉันถูกฉีดยา ยาอะไรสักอย่างที่เอาออกมาจากตัวมนุษย์ ฉันได้ยินว่ามันเป็นเซลล์สมอง และ ร่างกายฉันดันไม่เหมือนกับสุนัขตัวอื่นซะด้วยซิ
โธมัส: ไม่เหมือนตัวอื่นงั้นหรอ ยังไงละ ??
สุนัข: สุนัขทุกตัวเมื่อถูกเซลล์สมองของมนุษย์ฉีดเข้าไป ร่างกายก็จะเป็นอัมพาต เพราะสมองไม่ทำงาน แต่ฉัน มันกลับได้ผล และที่ยิ่งกว่า มันไปเปลี่ยนลิ้นของฉันให้สามารถพูดภาษานายได้ด้วยนะเส้
โธมัส: พระเจ้าช่วย!! การทดลองแบบไหนกันเนี่ย ทำไมไม่เห็นมีข่าวอะไรเลย ?
สุนัข: ไม่มีหรอก เพราะเป็นการทดลองลับของทางการ ฉันหนีออกมา เพราะไม่ต้องการเป็นอาวุธของคนชั่ว ว่าแต่... แล้วนายละชั่วรึเปล่าเนี่ย...??
โธมัส: อะไรนะ ไม่! ฉันเป็นแค่เด็กส่งพิซซ่า ให้ตายสิ เรื่องจริงหรอวะเนี่ย !!!
สุนัข: โอเค เลิกตะลึงในความพิเศษของฉันก่อนได้ไหม ขอร้องล่ะ นายอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวหรอ ?
โธมัส: เปล่า ฉันอยู่กับแม่น่ะ
สุนัข: แล้วพ่อนายล่ะ ?
โธมัส: พ่อฉันเสียตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันยังไม่เคยพบหน้าพ่อด้วยซ้ำ
สุนัข: ท่านเป็นอะไรหรอ ?
โธมัส: ในสนามรบน่ะ ท่านเป็นทหาร
สุนัข: ว้าววว ชื่อของพ่อนายจะถูกจดจำไปอีกนานในถานะ วีรบุรุษ
โธมัส: ขอบใจ แล้วนายละ คือแบบ นายมีความคิดเหมือนมนุษย์ แล้วเอ่อ เวลากินอาหารนายกินยังไง ?
สุนัข: นายดูร่างกายฉันก่อนสิ เจ้าบ้า นายคิดว่าฉันจะจับช้อนแบบไหนไม่ทราบ
โธมัส: แล้วเวลามีเพศสัมพันธ์ละ ?
สุนัข: ท่าหมาไง เจ้าโง่เอ้ย ฉันคงเอาขาพาดบ่าไม่ได้หรอกนะ
โธมัส: สุดยอดไปเลย ฉันมีหมาพูดได้ ฉันได้ออกทีวีแน่ๆเลย
สุนัข: ไม่!! ไม่ได้นะ นายห้ามบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาดเลย
โธมัส: ทำไมละ นายออกจะวิเศษขนาดนี้ ?
สุนัข: ฉันกำลังถูกตามล่าจากองร์กรที่สร้างฉันขึ้นมาเองนะ มันต้องการตัวฉันไปเป็นอาวุธ
โธมัส: อาวุธแบบไหนกัน ?
สุนัข: นายเคยเห็นคนสู้กับหมาตัวต่อตัวแล้วชนะหมารึเปล่าละ ?
โธมัส: ไม่อะ
สุนัข: แล้วถ้าหมาพวกนั้นมีความคิดเหมือนมนุษย์ละ มันต้องการตัวฉันไปเป็นพ่อพันธุ์ เพราะดีเอ็นเอของฉัน สามารถทนดีเอ็นเอของมนุษย์ได้ เพื่อจะสร้างกองทัพหมาสุดฉลาดขึ้นมาไงละ หมาแข็งแรงกว่าคนด้วยนะ
โธมัส: แล้วฉันควรทำยังไง??
สุนัข: ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไว้การค้นหาเริ่มเบาลงฉันก็จะไปตามทางของฉันเอง
โธมัส: แม่ฉันควรรู้เรื่องนี้ไหม ?
สุนัข: นายอยู่เฉยๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง
โธมัส: ฉันว่านายควรมีชื่อนะ
สุนัข: อะไรนะ ฟังดูดีเหมือนกันแหะ ช่วยหาชื่อเท่ๆให้ฉันหน่อยสิ
โธมัส: ฉันจะไปหาใน กูเกิ้ล
สุนัข: กูเกิ้ลเนี่ยนะ นายคิดเองไม่เป็นรึไง ?
โธมัส: มีคนเคยบอกฉันว่า กูเกิ้ล รู้ทุกอย่าง อยากรู้อะไรถาม กูเกิ้ล
สุนัข: เออๆ แล้วแต่นายละกัน อยากทำอะไรก็เชิญ ขอชื่อที่มันเท่ๆละ.....
ณ สถานที่ที่มีการป้องกัน และ เฝ้าระวังที่แน่นหนาที่สุดในโลก แม้แต่ แมลงวัน เพียงตัวเดียวก็ไม่สามารถเข้าไปในอาณาเขตของที่แห่งนี้ได้ สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า "Fortress of Justice" (FOJ) "ป้อมปราการแห่งความยุติธรรม ดินแดนของผู้คุมกฎหมายและสภาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" หรือเรียกสั้นๆว่า ดินแดนแห่ง "ฟอจ" ดินแดนที่รวมผู้คนระดับสูงของโลกไว้ในที่แห่งนี้ ดินแดนที่มีกองกำลังติดอาวุธมากที่สุด คลังแสงที่ใหญ่ที่สุด และ "ควินดารัส คอร์เนลล์" หญิงสาวอายุ 35 ปี ที่มีใบหน้าแสนงดงาม และยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในโลก ฉายาของเธอคือ หญิงสาวผู้ไร้ความปราณีต่อสิ่งใด โดยโลกในปี ค.ศ 2060 ทั่วทั้งโลกจะมีระดับความผิดอยู่ทั้งหมด 7 ระดับ....
และนี่คือ 7 ระดับความผิด พร้อมบทลงโทษต่างๆที่จะได้รับในโลกปี ค.ศ 2060
ให้ความเท็จแก่เจ้าหน้าที่, ลักขโมย, ปล้นจี้
1 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกเป็นเวลา 3 ปี
ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่, ก่อความวุ่นวาย, ข้องเกี่ยวกับสารเสพติด,
2 ดาว บทลงโทษคือ จำคุก 10 ปี โดยไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ฆ่าผู้บริสุทธิ์, ฆ่าเจ้าหน้าที่, ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยประมาท,
3 ดาว บทลงโทษคือ จำคุก 15 ปี โดยไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ข่มขืน, ล่วงละเมิดทางเพศ,
4 ดาว บทลงโทษคือ ตัดอวัยวะเพศ และ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 30 ปี พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ฆ่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง, ก่อจลาจล,
5 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดชีวิตโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนตีอาทิตย์ละ 5 ช.ม.
ก่อสงครามระดับประเทศ หรือ ระดับโลก
6 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 30 ปีโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนวันละ 3 ช.ม เมื่อครบกำหนด 30 ปี ให้ประหารด้วยการแขวนคอ ท่ามกลางสายตาคนนับร้อย
ทำความผิดทุกๆคดีที่กล่าวมา
ระดับสูงสุด 7 ดาว บทลงโทษคือ จำคุกไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน 40 ปีโดยการตรึงไว้กับเตียงตลอดเวลา พร้อมกับถูกทรมานด้วยการใช้โซ่ไฟเคี่ยนวันละ 3 ช.ม เมื่อครบกำหนด จะถูกประหารชีวิตด้วยวิธี บราเซนบูล คือการจับนักโทษ ยัดเข้าไปในรูปปั้นวัวเหล็ก จากนั้นจุดไฟเพื่อ อบ ตัวนักโทษทั้งเป็นจนตาย โดยจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของนักโทษออกมาจากสมูกของวัว ท่ามกลางสายตาคนนับร้อย
"ควินดารัส คอร์เนลล์" มักจะถูกพูดถึงในสังคมว่าเป็นผู้นำที่โหดร้าย และ ไร้มนุษยธรรม แต่ท่าน ควินดารัส คอร์เนลล์ เคยได้กล่าวไว้เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่ท่านได้นั่งตำแหน่งนี้ครั้งแรกว่า "คนชั่วไม่ควรได้รับศีลธรรม การกระทำผิดครั้งแรกถือเป็นความผิดพราด แต่การกระทำเช่นเดิมทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด มันผู้นั้นไม่ควรได้รับการอภัยโทษ ไม่ว่าจะประการใดก็ตาม หากมันผู้นั้นต้องการติดสินบน กับกฎหมาย และ สภา มันผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษเพิ่มไปอีกเป็นเท่าทวีคูณ'' จากคำพูดนี้ ได้ทำให้เกิดการแบ่งแยกคนออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งผู้ที่สนับสนุนและเห็นด้วย กับ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุน โดยมองว่ามันโหดร้ายเกินไป แต่สำหรับท่าน "ควินดารัส คอร์เนลล์" การลงโทษคนชั่วไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม มันไม่มีคำว่ายกเว้นเลย และอย่างที่ได้กล่าวมาทั้งหมด คือผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของโลก ผู้ที่มีอำนาจสั่งทุกๆสิ่งทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ ....."ควินดารัส คอร์เนลล์"
เวลา 5 โมงเย็น ณ บ้านโธมัส โดยตอนนี้แม่ของเขากำลังเดินกลับมาจากโรงพยาบาล ที่โธมัสทราบเพราะว่า แม่ของเขาโทรมาถามว่าต้องการฝากซื้ออะไรรึเปล่า โธมัส จึงฝากแม่ของเขาซื้ออาหารหมามาด้วย 1 กระสอบ ซึ่งตอนนี้ โธมัส ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าสุนัขที่เขาเก็บมานั้นสามารถพูดได้ จึงคิดจะตั้งชื่อให้กับมันโดยการหาชื่อเท่ๆในกูเกิ้ล......
สุนัข: ให้ตายสิ นายหาชื่อให้ฉันมาเกือบ 3 ช.ม แล้วนะ ฉันว่าคืนนี้ฉันก็ยังไม่มีชื่อแน่ๆ
โธมัส: ก็นายไม่ถูกใจซักชื่อเลยนิหว่า ฉันว่าฉันตั้งใจหาแล้วนะ
สุนัข: ฉันว่านายคิดเองดีกว่า ไหนๆ มาลองภูมิปัญญามนุษย์หน่อยสิ ว่าจะคิดชื่อเท่ๆให้หมาอย่างฉันออกรึเปล่า
โธมัส: นายนี่มัน ปากหมาจริงๆเลย
สุนัข: แล้วปากฉันมันเหมือนคนตรงไหนละ
โธมัส: เดี๋ยวนะเจ้าหมา ฉันว่าฉันคิดชื่อเจ๋งๆออกแล้ว
สุนัข: ไหนๆ ชื่ออะไร ?
โธมัส: ฉันจะให้นายชื่อว่า สคูบี้
สุนัข: อะไรนะ นายต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ
โธมัส: อะไร เรา 2 คนตอนนี้ก็เหมือน สคูบี้-ดู ไงไม่เคยดูรึไง
สุนัข: รู้จักสิ ฉันไม่อยากเป็นหมาซื่อบื้อ พูดไม่ชัดแบบนั้นนะ
โธมัส: เดี๋ยวนะ นายบอกว่านายถูกทดลอง ทำไมนายถึงรู้จัก สคูบี้-ดู ?
สุนัข: ก็ไอ้พวกเวรนั่น มันเคยนั่งดูให้ฉันเห็นนะสิ
โธมัส: เฮ้ แม่ฉันมาแล้ว นายทำตัวปกติไว้นะ
สุนัข: ปกติแบบหมาทั่วไปอะนะ?
โธมัส: ใช่ ห้ามพูดอะไรเด็ดขาดเลย
แล้วแม่ของ โธมัส ก็กลับมาถึงบ้าน โดยเขาได้สั่งกับสุนัขไว้ว่า ให้ทำตัวปกติแบบสุนัขทั่วไป เพราะกลัวว่าแม่ของเขาจะช็อกตายซะก่อน หากรู้ว่าสุนัขที่เขาเก็บมาเลี้ยงนั้นสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ เมื่อแม่ของเขาเดินเข้ามาในบ้าน และ เห็นสุนัขเข้า......
โจลี่: ว้าววว โธมัส ลูกเก็บหมาที่ไหนมาเลี้ยงเนี่ย ?
โธมัส: คือ.... พอดีผมเจอมันระหว่างทางกลับบ้านเมื่อเช้านะครับ เชื่องมากด้วยครับแม่
โจลี่: ตัวใหญ่มากเลยนะ แปลกจัง หมาพันธุ์นี้ส่วนมากจะต้องมีเจ้าของไม่ใช่หรอ ?
โธมัส: ตัวนี้จรจัดครับ
โจลี่: ลูกรู้ได้ยังไง ?
โธมัส: มันไม่มีปลอกคอครับ ไม่มีประกาศสุนัขหายด้วย...
โจลี่: ลูกแน่ใจหรอ ถ้าเจ้าของเขารู้ เขาสามารถเอาเรื่องเราข้อหาขโมยหมาได้เลยนะ
โธมัส: แน่ใจครับแม่
โจลี่: แม่ไม่อยากจะมีปัญหาทีหลังนะโธมัส
โธมัส: ครับผม ไม่มัปัญหาครับ
โจลี่: ไหนดูสิ ผู้หญิงหรือผู้ชายเอ่ย ?
โธมัส: ตัวผู้ครับผม
โจลี่: โอเค แล้วตั้งชื่อให้น้องรึยังละ ?
โธมัส: เอิ่ม ยังเลยครับ
โจลี่: งั้นแม่ตั้งเอง พา "บรูโน่" ไปอาบน้ำด้วยละ
โธมัส: อะไรนะครับ ??
โจลี่: แม่ชอบชื่อนี้นะ
หลังจากนั้น โจลี่ ก็ขึ้นไปบนชั้น 2 ทันที โดยเธอได้ตั้งชื่อให้กับสุนัขของโธมัสว่า "บรูโน่"
โธมัส: บรูโน่ หรอ?
บรูโน่: ฉันชักจะชอบแม่นายแล้วละ
เวลา 19:00 PM ณ ฐานทัพลับของกลุ่ม Bloody Army ซึ่งกองทัพ "ฟอจ"ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการก่อตั้งขึ้นมาแต่อย่างใด พูดง่ายๆว่า กองทัพ Booldy Army เป็นกองทัพลับที่ผิดกฎหมาย และ เป็นศัตรูกับกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของ "ฟอจ" ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ "ไมเคิล โคล์" ผู้ดูแลระดับสูงของรัฐบาล ที่เป็นคนก่อตั้งการวิจัยที่ผิดศิลธรรมอย่าง MDB ขึ้นมา หลังจากที่มีการประชุมกันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการทดลอง MDB ที่ตัวทดลอง 1 ตัวได้หลบหนีออกไปได้ ทำให้บุคคลระดับสูงในองค์กรแห่งนี้ต้องออกมาเคลื่อนไหว โดยการประชุมใหญ่ขององค์กร Bloody Army ครั้งนี้ประกอบไปด้วย "เชสเตอร์ กานเนอร์" ผู้นำสูงสุดของกองทัพ "แจ๊คกี้ กานเนอร์" รองผู้นำสูงสุดของกองทัพ และยังเป็นน้องชายแท้ๆของ "เชสเตอร์" อีกด้วย คนต่อมาก็คือ"ดักลาส ดอล์เลน" ฝ่ายเสนาธิการของกองทัพ "เซบาสเตียน คอนรอย" ผู้ดูแล และ ควบคุมกองกำลังทั้งหมดของกองทัพ และ คนสุดท้าย "ฟรานซิส แม็คคาร์ตี้" ผู้ดูแลงานวิจัย และ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และ ทางการทหาร รวมถึงรองผู้นำของตำแหน่งต่างๆอีกมากมาย ที่มาเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในครั้งนี้.........
โดยตลอดเวลาของการประชุม พวกเขาต่างพูดถึงสุนัขพันธุ์ เซนต์เบอร์นาร์ด ที่หายตัวไปอย่างจริงจัง และ ข้อสันนิษฐานต่างๆนาๆ เท่าที่สามารถยกมาพูดได้ รวมถึงการกระจายกำลังออกตามหาสุนัขตัวนี้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวัน และ กลางคืน และ เป็นการค้นหาที่ต้องเงียบเชียบที่สุด เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ไปรู้ถึงหูใครเด็ดขาด โดยเฉพาะ "ฟอจ" เพราะมันเป็นเรื่องที่แสนลำบากหากจะทำสงครามกับ ''ฟอจ'' ในตอนนี้ และนี่คือการพูดคุยที่เกิดขึ้นในระหว่างการประชุม...........
แจ็คกี้: ขอโทษนะพี่ชาย แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
เชสเตอร์: ความผิดพลาดของ ดอร์จ ไม่สามารถให้อภัยได้ เรื่องนั้นฉันรู้ดี
ดักลาส: นายลืมไปแล้วรึไง เชสเตอร์ กองทัพของเราไม่มีที่ยืนสำหรับคนที่ทำงานผิดพลาด ?
แจ็คกี้: เราควรลงโทษมันให้ทุกคนในองค์กร ได้เห็นเป็นตัวอย่าง ความผิดพลาดแบบนี้จะได้ไม่เกิดขึ้นกับกองทัพของเราอีก
เซบาสเตียน: ฟราสซิส คนที่ดูแล และ รับผิดชอบงานนี้ เป็นเด็กของนายใช่รึเปล่า ?
ฟราสซิส: ถ้าใช่แล้วจะทำไม ?
เซบาสเตียน: เรียกตัวมันมาที่นี่เดี๋ยวนี้
ดักลาส: เห้ย นายจะบ้ารึไง สถานที่แห่งนี้ ไม่ต้อนรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งต๊อกต๋อย จำไม่ได้รึไงกันวะ ?
เชสเตอร์: หุบปากกันได้แล้ว ฉันอยากได้ยินแผนการตามหาไอ้เจ้าหมาบ้านั่นกลับมา เรื่องของเราจะแดงออกไปเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับไอ้หมานั่น
แจ็คกี้: เรามีเครื่องติดตามฝังไว้ที่ตัวทดลองทุกตัวไม่ใช่รึไงกัน
เชสเตอร์: ไอ้เจ้าหมาเวรนั่นมันดันฉลาดขึ้นมา มันสามารถเอาเครื่องติดตามออกเองได้
ดักลาส: มันพูดได้รึเปล่า ?
ฟรานซิส: เราไม่ได้ฉีดเซลล์ในการสร้างกล่องเสียงแบบมนุษย์ให้กับมัน
เชสเตอร์: แต่ถ้ามันสามารถหาวิธีที่จะเปิดโปงเราได้เมื่อไหร่ พวกเราจบแน่
แจ็คกี้: ฉันสั่งคน และ สุนัขล่าเนื้อกระจายไปทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันออกตั้งแต่วันแรกที่มันหายไปแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย
เชสเตอร์: ตอนนี้อะไรที่พอทำได้ก็รีบๆซะ ก่อนที่มันจะสาย
ดักลาส: พวกนายไปจับมันมาจากที่ไหน ?
ฟรานซิส: ดอร์จ เจอตัวมันอยู่ที่ริมแม่น้ำนอกเมือง
ดักลาส: หมา เซนต์เบอร์นาร์ด อยู่ข้างริมแม่น้ำข้างทางเนี่ยนะ มันไม่แปลกไปหน่อยรึไง
ฟรานซิส: ไม่เห็นจะสำคัญเลย ว่าคนของฉันจะเอามันมาจากที่ไหน
เชสเตอร์: เสียงมือถือใครดัง ??
ฟรานซิส: ของฉันเอง
เซบาสเตียน: นายไม่ปิดมือถือระหว่างการประชุมได้ไงวะ ?
ฟรานซิส: นายนะหุบปากไปเลย ฉันจะไม่ยอมพลาดข่าวในสถานการณ์แบบนี่แน่
หลังจากนั้น "ฟรานซิส" ก็รับสายโทรศัพท์ ซึ่งคนที่โทรหาเขาก็คือ ''ดอร์จ'' เขาได้โทรมาบอกข่าวอะไรบางอย่างกับฟรานซิส และ ข่าวนี้ก็ทำให้ฟรานซิสหน้าถอดสีเลยทีเดียว ก่อนจะตะคอกใส่โทรศัพท์ไปว่า ''มารอฉันที่หน้าห้องประชุมเดี๋ยวนี้' !!' ก่อนที่จะตัดสายไปพร้อมกับความโมโห.....
เชสเตอร์: เห้ย มันเกิดอะไรขึ้น ใครโทรหานาย ?
ฟรานซิส: ดอร์จ มันบอกว่าหมาตัวนั้น มีสิทธิ์ที่จะพูดภาษามนุษย์ได้ !!
เชสเตอร์: อะไรนะ!!
แจ็คกี้: พวกเราซวยแน่ๆ
ดักลาส: มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไหนนายบอกว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ไง
ฟรานซิส: เห้ย.. ดักลาส บอกคนของนายให้เตรียม รองเท้าถ่วงน้ำให้ฉัน 1 คู่ !!!
" To Be Continue "
Episode. II
LAZARUS - ลาซารัส
Episode II - การรับผิดชอบ
สุนัขสายพันธุ์ "เซนต์เบอร์นาร์ด" ได้หายตัวไปจากห้องทดลองลับของกองทัพ "Bloody Army" เป็นเวลากว่า 5 วัน ทำให้ผู้นำระดับสูงประจำกองทัพต้องจัดการประชุมใหญ่ขึ้น หลังการประชุมเริ่มได้ไม่นาน "ดอร์จ" ผู้ที่รับผิดชอบโครงการนี้ได้โทรเข้าหาหัวหน้าของเขา เขาได้พูดถึงเหตุผลที่จะเป็นไปได้ที่สุนัขตัวนั้นจะสามารถพูดภาษามนุษย์ จนทำให้ "ฟรานซิส แม็คคาร์ตี้" หัวหน้าของ ดอร์จ ได้เรียกตัวเขาเข้ามารอที่หน้าห้องประชุม ก่อนที่หัวหน้าทุกๆคนจะออกมา และ ซ้อมเขาอย่างหนัก โทษฐานทำงานผิดพลาด ที่ทำให้ตัวทดลองตัวแรกที่ทำสำเร็จหลุดหายไป แถมยังทำให้มันสามารถพูดได้อีกด้วย โดยสิ่งที่พวกเขากลัวก็คือ ความจริงเกี่ยวกับการทดลองลับนี้จะรั่วไหลออกไป......
ฟรานซิส: ไหนแกลองตอบฉันซิ มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมมันถึงมีสิทธิ์ที่จะพูดภาษาเราได้ แกทำอะไรลงไป อธิบายมาเดี๋ยวนี้.....!!!!
ดอร์จ: ผมขอโทษจริงๆครับ มันเป็นความผิดพลาดจากการวิจัยดีเอ็นเอ และ จากตัวทดลองเอง
แจ็คกี้: อธิบายหลักการมาเดี๋ยวนี้!!
ดอร์จ: คือว่า เสียงพูดของมนุษย์เกิดจากลมที่เปล่งออกมาจากปอดผ่านอวัยวะต่างๆ ออกมาเป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ อวัยวะที่ทำให้เกิดเสียงก็คือกล่องเสียง เวลาพูดเราจะเปล่งลมจากปอดผ่านหลอดคอผ่านกล่องเสียง ภายในกล่องเสียงมีสายเสียงซึ่งขึงอยู่ ตรงกลางกล่องเสียง เมื่อลมผ่านจะทำให้สายเสียงสั้นสะเทือนเกิดเป็นเสียงสูงต่ำ เสียงเมื่อผ่านกล่องเสียงแล้วก็จะกระทบคอ เพดานปาก ฟัน หรือริมฝีปาก ทำให้ออกมาเป็นเสียงพูดในที่สุดครับ
ฟรานซิส: นายจะบอกฉันว่า ความผิดพลาดของดีเอ็นเอ ก็คือ มันไปสร้างอวัยวะต่างๆและกล่องเสียงของหมาตัวนั้นงั้นหรอ ??
ดอร์จ: ใช่แล้วครับ
เซบาสเตียน: เช้าวันนั้นที่ศูนย์วิจัยของแกมันเป็นยังไง ?
ฟรานซิส: มีคนแฮ็กระบบรักษาความปลอดภัยของศูนย์วิจัย ฉันสั่งคนให้ค้นหาตัวอยู่
เชสเตอร์: นำตัวไอ้คนไร้น้ำยานี่ ขึ้นรถเดี๋ยวนี้!!
"เชสเตอร์" ผู้นำระดับสูงได้สั่งให้คนจับ ดอร์จ ขึ้นรถ หลังจากที่ได้ฟังเขาอธิบายถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตัวของ ดอร์จ เองก็พยายามขัดขืนเพราะเขารู้ดีว่าจะถูกพาไปที่ไหน ก็ก็ไม่สามารถหนีฝั่งที่มีคนเยอะกว่าได้ ในขณะเดียวกัน "แจ็คกี้" รองผู้นำก็เพิ่มจำนวนคนออกค้นหาสุนัขตัวนี่มากขึ้น เพื่อค้นหาให้เจอก่อนที่มันจะไปเปิดโปงเรื่องการวิจัยลับของพวกเขา เมื่อจำตัว ดอร์จ ขึ้นรถได้แล้ว ก็พาเขาไปยังสถานที่ที่หนึ่งที่กองทัพ หรือ องค์กรของพวกเขาได้สร้างขึ้นมาเอง โดยสถานที่นี้มีชื่อว่า "Land of Sleep" (LOS) "ดินแดนแห่งการหลับไหล" โดยลักษณะของสถานที่แห่งนี้นั่นเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งข้างในมีบ่อน้ำอยู่หลายจุด ซึ่งมันถูกสร้างไว้สำหรับประหารชีวิตคนที่ทำงานผิดพลาดอย่างเช่น ดอร์จ
เมื่อมาถึง LOS พวกเขาก็พา ดอร์จ เข้าไปข้างในทันที และ นำเขาไปยืนอยู่ข้างๆบ่อน้ำ ดอร์จ ในตอนนี้ได้แต่ร้องไห้เพราะความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เขารู้ตัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเขา คำร้องขอชีวิตของเขา เป็นเหมือนแค่ สายลม ที่พัดผ่านหูของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีใครสนใจ หรือ แม้แต่จะหันมาสบตาเขาเลย "รองเท้าปูน" ถูกนำมาใส่ที่เท้าของ ดอร์จ ซึ่งเป็นรองเท้าที่ทำมาจาก ปูนซีเมนต์ โดยการยัดข้อเท้าของเขาเข้าไปข้างใน ซึ่งน้ำหนักของรองเท้าปูนคู่นี้อยู่ที่ 30-40 กิโลกรัมเลยทีเดียว ดอร์จ หันมาอ้อนวอนขอชีวิตจากเหล่าผู้นำกองทัพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เพชฌฆาตร่างยักษ์จะอุ้มตัวเขาขึ้น และ โยนลงไปในบ่อน้ำ และ จมลงไปเพราะน้ำหนักของรองเท้าปูน เมื่อเขาขาดอากาศหายใจจนตาย น้ำในบ่อ และ ร่างของ ดอร์จ ก็จะถูกแรงดันจากเครื่องที่มีพลังมหาศาลที่สามารถสูบร่างของเขาที่มีรองเท้าปูนติดอยู่ สูบผ่านท่อน้ำขนาดใหญ่ไปยังแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับมหาสมุทรซึ่งอยู่ห่างออกไปค่อนข้างมาก แล้วร่างของ ดอร์จ ก็จะหายไปตลอดการ แต่หากบังเอิญถูกพบเจอเข้า ร่างของเขาก็จะเหลือเพียงแค่ โครงกระดูก เท่านั้น......
ณ บ้านของโธมัส เวลา 19:30 PM โธมัส เขากำลังเตรียมตัวที่จะไปทำงานตากปกติ....
บรูโน่: นั่นนายทำอะไร ?
โธมัส: เตรียมตัวไปทำงานไง ฉันใกล้จะสายแล้วด้วย
บรูโน่: เป็นมนุษย์นี่เหนื่อยเป็นบ้า งานก็ต้องทำ แถมยังต้องเอาเงินที่เหนื่อยจากการทำงานมาซื้ออาหารมาให้หมาอย่างฉันกินอีก
โธมัส: ไม่ต้องมาเยาะเย้ยฉันเลยนะ
บรูโน่: ฉันลงไปดูทีวีกับแม่นายดีกว่า
โธมัส: เฮ้ อย่าเผลอทำอะไรผิดปกติเกินหมาเด็ดขาดเลยนะ
บรูโน่: เออน่า ไม่ต้องเป็นห่วง
โธมัส: บ้าจริง ฉันต้องรีบไปแล้ว...!!
แล้ว โธมัส ก็รีบวิ่งออกไปทันที บรูโน่ จึงเดินตามลงมาและไปนั่งอยู่ข้างๆ โจลี่ ทำหน้าตาใสๆซื่อๆ แบบหมาน่ารักๆทั่วไป แล้วโจลี่ก็เอามือมาลูบหัวบรูโน่ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆว่า...
โจลี่: นายชอบชื่อนี้ใช่ไหม มันเป็นชื่อที่ฉันรักมากเลยนะ รู้ไหมนายโชคดีมากที่ โธมัส ไปเจอ ถ้าไม่มีใครพบเข้าก็แย่แน่ๆเลย อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวใครจะมาทำร้ายนายได้...
ดูเหมือนว่า โจลี่ จะเป็นคนที่รักสัตว์มากๆ โดยเฉพาะสุนัข เธอะูดจบก็เข้าสวมกอดบรูโน่ทันที ผ่านไปไม่นาน จู่ๆก็เสียงเคาะประตูบ้าน สิ่งที่บรูโน่คิดคือ อาจเป็นคนในองค์กร ทันทีที่ โจลี่ ลุกขึ้นเพื่อที่จะไปดูว่าใครมา บรูโน่ ก็ใช้ปากของมันดึงขากางเกง โจลี่ ไว้อย่างแน่น เพื่อไม่ให้ไป แต่โจลี่ ก็พยายามดึง และ ห้ามเจ้าบรูโน่ และ เดินไปที่ประตู บรู่โน่ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง จึงไปยืนอยู่ข้างหลังเธอ เพื่อรอโอกาส หากคนที่มาหาคือพวกนั้น เขาก็จะกระโจนใส่ทันที เมื่อโจลี่ได้ส่องที่ตาแมว เธอก็เปิดประตูทันที และ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือ.... เพื่อนบ้านของเธอเท่านั้น เขานำแซนวิชเนยถั่วมาให้กันโจลี่เป็นประจำ เธอรับและปิดประตูกลับมานั่งกินหน้าทีวิ แถมยังป้อนให้กับบรูโน่ด้วย แต่แล้วไม่ถึง 1 ช.ม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แต่คราวนี้ เจ้าบรูโน่รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เพื่อนบ้านแน่ๆ เพราะกลิ่นที่เขาคุ้นเคยนี้ ไม่มีที่ไหน หรือ ของใครอีกแล้วนอกจาก คนในองค์กร! คราวนี้เจ้าบรูโน่ ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ โจลี่ ไปที่ประตู และ สิ่งนี้ทำให้ โจลี่ เริ่มผิดสังเกตขึ้นมาทันที เธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าที่เจ้า บรูโน่ กำลังทำตอนนี้มันต้องมีเหตุผลอะไรซักอย่าง ซึ่งเสียงเคาะประตูก็ยังคงดังต่อเนื่อง และ หนักขึ้นด้วย โจลี่ จึงเดินไปส่องที่ตาแมวก็ต้องพบกับ ผู้ชายสวมชุดดำสนิด ยืนอยู่หน้าประตูบ้านถึง 3 คน เธอพยายามทำตัวให้เงียบสนิดเพื่อให้เจ้าพวกนั้นคิดว่าไม่มีคนอยู่ในบ้าน แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อ 1 ใน 3 คนนั่นได้สั่งให้อีก 2 คนที่เหลือเดินไปค้นรอบๆบ้าน โจลี่ จึงพาเจ้า บรูโน่ ขึ้นไปแอบในห้องนอนบนชั้น 2 และ โทรแจ้งตำรวจโดยตำรวจบอกว่าจะมาถึงภายใน 10 นาที หลังจากวางสาย เธอก็ได้ยินเสียงหน้าต่างบนชั้น 2 แตก ซึ่งเจ้าพวกนั้น คงจะขึ้นมาทางระเบียง ตอนนั่นเองจู่ๆ บรูโน่ก็หันไปหา โจลี่ แล้วพูดกับเธอทันทีว่า....
บรูโน่: อย่าตกใจและกรีดร้องออกมาที่รู้ว่าผมพูดภาษาคุณได้ เพราะสิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ ไอ้ 3 คนข้างนอกนั่น ผมอยากให้คุณแม่รออยู่เงียบๆตรงนี้ แล้วผมจะกลับมาอธิบายทุกอย่าง...
แล้ว บรูโน่ ก็วิ่งออกประตูไปทันที ปล่อยให้ โจลี่ นั่งตาค้างพูดอะไรไม่ออกอยู่แบบนั้น ทั้งกลัวผู้ที่บุกรุกเข้าบ้าน แถมยังต้องมาตกใจสุนัขพูดได้อีก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องห่วง เพราะเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ ผู้บุกรุกทั้ง 3 คนที่เข้ามาในบ้านของเธอตอนนี้ หลังจากที่เจ้า บรูโน่ วิ่งออกไป ก็เกิดเสียงดั่งสั่นบ้าน เสียงข้าวของเครื่องใช้ เสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวด และ เสียงขู่คำรามของเจ้า บรูโน่ สักพักเสียงพวกนั้นก็เงียบไป โจลี่ จึงค่อยๆลุกอกไปดู ก่อนที่ บรูโน่ จะวิ่งสวนขึ้นมาด้วยสภาพที่เลือดเต็มตัว......
บรูโน่: รีบออกไปจากที่นี่เร็วเขา พอจะรู้จักที่ไหนที่พอไปได้บ้าง ??
โจลี่ ยังคงยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก บรูโน่ จึงต้องใช้เสียงให้ดังขึ้นเพื่อเรียกสติของเธอกลับมา ก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไป....
บรูโน่: คุณแม่ !! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอึ้งอะไรทั้งนั้น รีบพาเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเร็วเข้า ป่านนี้คนข้างบ้านคงโทรแจ้งตำรวจกันแล้ว!!!
เมื่อสติของ โจลี่ กลับมาเธอก็รีบพา บรูโน่ วิ่งลงมาจากชั้น 2 ซึ่งภายในบ้านตอนนี้ ของกระจัดกระจายไปทั้วบ้าน พร้อมศพของ ผู้บุกรุกทั้ง 3 คนที่นอนจมกองเลือดโยมีแผลขนาดใหญ่อยู่ที่คอ บางคนก็ คอขาด!! เธอรีบกระโดดขึ้นรถยนต์ของเธอ พร้อมกับเจ้า บรูโน่ และบึ่งรถออกจากบ้านทันที.....
ขับกันมาได้สักระยะ โจลี่ ก็ค่อยๆดีขึ้นจากอาการตื่นตระหนก และ หวาดกลัว เธอก็หันไปหาเจ้า บรูโน่...
โจลี่: มันอะไรกันเนี่ย บรูโน่ เธอพูดได้ยังไง!?
บรูโน่: ผมหนีออกมาจากการทดลอง โธมัส ช่วยผมเอาไว้
โจลี่: การทดลองหรอ การทดลองอะไร??
บรูโน่: การทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็น อาวุธ พวกมันต้องการให้สัตว์มีความคิดเช่นมนุษย์ เพื่อใช่เป็นกองกำลังนักฆ่า 4 ขา
โจลี่: มีการทดลองแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย
บรูโน่: มันเป็นการทดลองลับของรัฐบาล
โจลี่: พวก ฟอจ รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า??
บรูโน่: "ฟอจ" หรอ ใครกันละนั่น...?
โจลี่: กอทัพที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกไง เออ ชั่งมันเถอะ แต่ว่า เรื่องจริงหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย
บรูโน่: หยุดตกใจ แล้วตั้งใจขับรถดีๆก่อนเจ๊...!!
โจลี่: แล้วเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น นั่นใช่เลือดเธอรึเปล่า ??
บรูโน่: นี่เจ๊ ระดับผมแล้วไม่ต้องห่วง เลือดที่ตัวผมนะของไอ้ 3 คนนั่นทั้งนั้น
โจลี่: แล้วนี่เราจะไปไหนกันเนี่ย!?
บรูโน่: อ้าว!! ออกมาโดยที่ไม่รู้จะไปไหนเนี่ยนะ ?
โจลี่: ก็เธอให้แม่ขับรถออกมาไม่ใช่รึไง
บรูโน่: หาที่คนเยอะๆแล้วจอดเลย
โจลี่: แล้วไอ้ 3 คนเมื่อกี๊ละ พวกเดียวกับที่ทดลองเธอใช่ไหม ?
บรูโน่: ใช่แล้ว เจ้าพวกนั้นแหระ
โจลี่: มันรู้จักบ้านฉันได้ไงกัน!?
บรูโน่: มันไม่ได้รู้จักบ้านเจ๊หรอก มันแค่บังเอิญเจอมากกว่า ผมคิดว่ามันต้องไล่บ้านมาทีละหลังแน่ๆ
โจลี่: แย่แน่ๆแบบนี้
บรูโน่: จอดข้างหน้าเนี่ย
โจลี่: เอาไงต่อละทีนี่
บรูโน่: โทรไปบอกโธมัสซิ
แล้ว โจลี่ ก็โทรหาโธมัส ตามที่เจ้าบรูโน่บอก เพราะตอนนี้เธอยังคงทำอะไรไม่ถูก และ ตกใจมากๆ พวกเขาตอนนี้ไม่สามารถที่จะกลับไปที่บ้านได้ เมื่อโธมัสรับสาย บรูโน่ ก็บอกตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ไป และให้โธมัส มาหาเขาทันที
ตัดมาทางสถานการณ์ที่บ้านของ โธมัส ขณะนี้ตำรวจได้มาถึงที่เกิดเหตุ หลังจากมีคนโทรแจ้งเพราะได้ยินเสียงปืน และ เสียงโวบวายมาจากบ้านเขา ตำรวจได้พบกับศพผู้ชายทั้ง 3 คนแล้ว แต่ขณะที่ตำรวจกำลังค้นบ้านอยู่นั่นเอง ไมเคิล โคล์ ก็ได้มายังที่เกิดเหตุทันที และ เขาได้ไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปจากที่เกิดเหตุทันที โดยบอกกับเจ้าหน้าที่ทุกคนว่า "เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาล" และก็ได้ให้คนที่เขาพามาด้วยเข้าไปสืบค้นที่เหตุซะเอง แล้วเขาก็พบเข้ากับภาพของชายคนหนึ่งในเครื่องแบบทหาร ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างเก่า เขาจึงสั่งให้ลูกน้องของเขาที่มาด้วยไปสืบหาประวัติของชายในชุดทหารคนนี้ทันที และ ศพของผู้ชาย 3 คนนี้ ไมเคิล ก็มันใจว่าต้องเป็นฝีมือของสัตว์แน่นอน เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนโจมตีศัตรูได้เละขนาดนี้ด้วยเวลาไม่ถึง 2 นาที ซึ่งเขารู้ข้อมูลจากเพื่อนบ้านที่แจ้งความว่าเกิดคนร้องเสียงดังขึ้นมาก่อนจะเงียบไปภายในเวลาไม่นาน และ อีกสิ่งสำคัญที่ ไมเคิล พบก็คือ ภาพถ่ายของเด็กหนุ่มกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง และ จุดเริ่มต้นตรงนี้เอง ที่จะนำพาชีวิตของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่ทำงานส่งพิซซ่าต้องเข้าไปพัวพันกับองค์กรลับนอกกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และ สงครามที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้.........
ในเวลาเดียวภายในตัวเมืองที่ โจลี่ ได้นำรถของเธอมาจอดไว้เพื่อรอ โธมัส ซึ่งไม่นานเขาก็มาถึงโดยการขอลางาน.....
โธมัส: อะไรนะ!! แย่แน่ๆเลยแบบนี้
โจลี่: มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว
บรูโน่: รู้สึกผิดเป็นบ้าเลย เพราะฉันที่ทำให้พวกนายต้องมาลำบากแบบนี้
โจลี่: ไม่ใช่ความผิดของเธอ บรูโน่ ไอ้พวกเลวนั่นต่างหาก ที่ใช้เพื่อนร่วมโลกของเราที่ไร้เดียงสาไปทำเรื่องบ้าๆแบบนั้น
โธมัส: ถ้าเราแจ้งความละ ??
บรูโน่: ไม่ได้หรอกเพื่อน นายลืมไปแล้วหรอ ว่ารัฐบาลมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้
โธมัส: งั้น ฟอจ ละ กองทัพที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าพวกนั้นกลัวไง ?
โจลี่: นั่นก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่
โธมัส: ทำไมละ ?
โจลี่: เพราะไม่มีประชาชนคนไหนเข้าหา ฟอจ ได้ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม การแจ้งความ หรือ การขอความช่วยเหลือ ต้องขอจากรัฐบาลเท่านั้น ไม่มีทางที่จะพุ่งตรงเขาหา ฟอจ ได้...
โธมัส: อะไรกันวะเนี่ย !!!
บรูโน่: และที่สำคัญ องค์กรนี้ ไม่ได้กลัว ฟอจ เลยซักนิด พวกมันกำลังสร้างกองทัพของพวกมันให้ยิ่งใหญ่เหนือกองทัพ ฟอจ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล
โธมัส: เพื่ออะไร ??
บรูโน่: เพื่อยึดโลกนี้ เพื่อเป็นเจ้าของโลกนี้
โธมัส: โอ้วว เวรเอ้ยย!!
โจลี่: เธอรู้ได้ยังไง ?
บรูโน่: พวกมันเคยคุยเรื่องนี้กันในห้องแลป ตอนที่กำลังจะทดลองฉันเป็นตัวต่อไป
โธมัส: บ้าเอ้ย เราเข้าหา ฟอจ ไม่ได้จริงๆหรอเนี่ย!!
บรูโน่: ก็ใช่ไง ไม่งั้นฉันคงไปบอกตั้งนานแล้วละ
โจลี่: เอาไงกันต่อดีละ ?
บรูโน่: เฮ้ ฉันต้องขอโทษพวกนายจริงๆนะ
โธมัส: ไม่เอาน่า บรูโน่ พวกเราไม่โทษนายหรอก และจะไม่ทิ้งนายด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงเราก็จะช่วยเพื่อนร่วมโลก....
บรูโน่: โอ้ว้าว นายกำลังจะทำให้ฉันน้ำตาไหลแล้วนะเพื่อน ซึ่งใจ แต่ตอนนี้เราจะไปไหนกันดีละ
โธมัส: ไปอยู่บ้านเพื่อนผมก่อนละกัน......
เวลา 22:00 PM ณ บ้านของ แอปบี้ เพื่อนสาวจากที่ทำงานของ โธมัส และ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนอีกด้วย ซึ่งเขาได้พาแม่ กับ บรูโน่ มาพักที่นี่ก่อน ระหว่างคิดหาทางออกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยแอปบี้ ก็ยินดีที่จะให้ที่พักแด่พวกเขา เนื่องจากรู้จักกับครอบครัว คาร์สัน มานานนั่นเอง โดยแอปบี้นั้น เธออาศัยอยู่คนเดียวในตัวเมือง โธมัส ได้แต่งเรื่องขึ้นมาบอกแอปบี้ว่า บ้านของเขาตอนนี้ยังไม่สามารถอยู่ได้ชั่วคราว เนื่องจากท่อประปาแตก ทำให้พื้นที่ภายในบ้านเต็มไปด้วยน้ำ จึงขอพักที่นี่ซัก 2 - 3 วัน ซึ่งเขาได้อาบน้ำเจ้าบรูโน่เพื่อล้างเลือดก่อนจะมาที่นี่แล้ว....
แอปบี้: ท่อประปาแตกหรอ ?
โธมัส: ใช่ๆ ท่อประปาในครัวนะ ช่างบอกว่าคงต้องใช้เวลาซ้อมนานพอสมควร เลยจะขอพักที่นี่ชั่วคราวน่ะ
แอปบี้: อ้อ โอเค ได้สิ งั้น คุณโจลี่นอนที่ห้องหนูก็ได้ ส่วนโธมัส กับ เจ้าตูบก็นอนบนโซฟาห้องนั่งเล่น
โจลี่: ต้องขอโทษที่รบกวนจริงๆนะแอปบี้
แอปบี้: ไม่เป็นไรหรอกคุณโจลี่ พวกเราทุกวันนี้ก็แทบจะเหมือนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
โธมัส: วันนี้เธอไม่ทำงานหรอ ?
แอปบี้: ฉันลืมดูน้ำมันรถนะสิ มันหมดตอนที่ฉันกำลังจะถอยออกจากบ้านพอดีเลย แถมตอนนั้นก็สายแล้วด้วย เลยโทรไปลางาน
โจลี่: จริงสิ แอปบี้ มีคนมาเคาะประตูบ้านเธอรึเปล่า กลุ่มผู้ชายอะ ?
แอปบี้: อื้มม เมื่อ 2 วันก่อนมีผู้ชายแปลกๆ 3 - 4 คนมาเคาะประตูบ้าน แลเวถามหาหมาตัวหนึ่ง ก่อนจะออกไป ลักษณะหมาพวกนั้นบอก เหมือนตัวที่นายเลี้ยงเลย...
โธมัส: ฮ่าฮ่าฮ่า ตัวนี้ฉันเลี้ยงมาสักพักแล้วละ
แอปบี้: เซนต์เบอร์นาร์ด ไม่ได้มีตัวเดียวในโลกสักหน่อยนิเนอะ แล้วถามถึงพวกนั้นทำไมหรอ ?
โธมัส: เปล่า ไม่มีอะไร คือ.... มันก็มาถามที่บ้านฉันเหมือนกันนะ เลยอยากรู้ว่าบ้านเธอจะมีรึเปล่า
แอปบี้: โอเค งั้นเดี๋ยวฉันขึ้นไปทำที่นอนให้คุณ โจลี่ ก่อนละกันนะ เฮ้ อย่าให้เจ้าตูบนี่อึบนโซฟาฉันละ
โจลี่: เอาไงต่อดีละ เธออาจจะเดือดร้อนไปด้วยก็ได้นะแบบนี้
โธมัส: ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างน้อยบ้านนี้ คนพวกนั้นก็เคยผ่านมาถามแล้ว
บรูโน่: รู้ไหมมันอึดอัดเป็นบ้าเลยเวลาเห็นพวกนายคุยกัน แล้วฉันต้องเงียบเนี่ย
โจลี่: แล้วเราต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ?
โธมัส: จนกว่าจะมีทางออก
หลังจากนั้นทุกคนก็เข้านอนกันตามที่ แอปบี้ บอกไว้ คุณโจลี่ นอนบนชั้น 2 กับแอปบี้ ส่วนโธมัส นอนในห้องนั่งเล่นกับบรูโน่ แล้วค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอย่างปกติจนกระทั่ง เวลา 7 โมงเช้า โจลี่ ได้ตื่นและเดินลงมาข้างล่าง แต่สิ่งที่เธอพบกับเป็นเพียงห้องนั่งเล่นเปล่าๆ ไม่มีโธมัส ไม่มีบรูโน่ ตอนนั้นเธอตกใจมาก เธอออกตามหารอบบ้านแต่ก็ไม่เจอ จนขึ้นไปหาแอปบี้ที่ห้อง แล้วแอปบี้ก็เล่าความจริงให้เธอฟังว่า......
"จริงๆแล้ว โธมัส ได้แอบคุยกับ แอปบี้ ก่อนจะเข้านอนแล้วว่าเขาต้องการฝากแม่ของเขาให้ แอปบี้ ช่วยดูแลให้หน่อย เพราะเขาต้องออกไปจัดการกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง โดยโธมัส ต้องเล่าความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้แอปบี้ได้รับรู้ และยังบอกอีกว่า ถ้าหากเขากับเจ้าบรูโน่อยู่ที่นี่ต่อไป ทั้งแม่ และ แอปบี้ อาจมีอันตรายได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น และ หนีออกไปกลางดึก โดยเขาได้ให้สัญญาไว้ว่าเขาจะกลับมาและรับแม่ไปอยู่บ้านเหมือนที่ผ่านมา"
นั่นทำให้ โจลี่ ผู้เป็นแม่ต้องร้องไห้ออกมา และ พยายามจะออกไปตามหา โธมัส แต่แอปบี้ก็ห้ามเอาไว้เพราะโธมัส ได้ฝากคุณโจลี่ ไว้กับเธอแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางปล่อยโจลี่ออกไปเด็ดขาด...
โจลี่: ทำไมเขาไม่บอกฉัน เธอปล่อยให้เขาไปทำไม !?!?
แอปบี้: โธมัส ลูกชายแม่ต้องจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แม่ต้องไว้ใจเขา คนอยากโธมัส ไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆ
โจลี่: ทำไมละ ทำไมเธอถึงมั่นใจขนาดนี้
แอปบี้: ไม่ว่าจะที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน คนที่คอยแก้ปัญหาให้เพื่อน และ คอยช่วยเหลือเพื่อนๆก็คือ โธมัส และเขาก็สามารถทำได้ทุกครั้ง
โจลี่: แต่นี่มันไม่เหมือนกัน เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่!!!
แอปบี้: ไม่ต้องห่วงคุณโจลี่ หนูมีคนที่พอจะช่วยเขาได้ เพิ่งจะบอกที่อยู่ของคนๆนั้นให้เขาไป..
โจลี่: หนูให้เขาไปหาใคร ??
แอปบี้: หนูบอกให้เขาไปหา "วินเซนต์ ดิลสตันร์"
เวลา 10:40 AM ณ ศูนย์วิจัยลับขององค์กร Bloody Army องค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรนอกกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไมเคิล โคล์ ผู่นำรัฐบาลได้เดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการพูดคุยกับ เชสเตอร์ กานเนอร์ ผู้นำ Bloody Army โดย ไมเคิล ได้เรียกรวมตัวผู้นำทั้ง 5 ของที่นี่ เพื่อพูดถึงสิ่งที่เขาไปเจอมาเมื่อคืน.......
เชสเตอร์: ได้ความคืบหน้าอะไรงั้นหรอ ถึงได้เรียกทุกคนมาแบบนี้ ?
แจ็คกี้: ขอให้มันเป็นข่าวดีก็แล้วกัน
ไมเคิล: บ้านหลังหนึ่งนอกตัว มีศพคนของพวกนายนอนตายอยู่ สภาพศพ คอขาด!!
ฟรานซิส: โว่วว จริงหรอ ฝีมือใคร ?
ไมเคิล: เปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นไอ้หมาเวรนั่นมีสูงมาก เพราะคนๆหนึ่งจะจัดการผู้ชายถึง 3 คนให้เละแบบนั้นด้วยเวลาอันสั้นมันเป็นไปไม่ได้ นอกจากฝีมือของสัตว์ที่ใช้เขี้ยว และ กรงเล็บ เป็นอาวุธ
ดักลาส: คิดว่าจะใช่พวก "เดทธ์ อีทเทอร์" รึเปล่า เพราะอย่างน้อยถ้าเป็นพวกมันก็สามารถที่จะทำแบบนั้นได้สบายๆ ??
เชสเตอร์: วิญญาณไอ้ 3 คนนั่นสกปรกเกินไป พวก "เดทธ์ อีทเทอร์" ไม่มีทางต้องการหรอก
ดักลาส: งั้นก็ฝีมือ เซนต์เบอร์นาร์ด ตัวนั้น
เชสเตอร์: นายจะจัดการเรื่องนี้ยังไงละ ?
ไมเคิล: หากเจอไอ้พวกบ้านั่น ฉันขอสั่งให้จับเป็น แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ก็จับตายแม่งทั้งคน ทั้งหมานั้นซะ !!!!
ในเวลาเดียว นอกตัวเมือง แอสเตอร์ กับรถกระบะคู่ใจของโธมัส และ บรูโน่ ที่กำลังไปตามทางที่ แอปบี้ ได้บอกไว้ เพื่อไปที่บ้านของคุณ วินเซนต์ ดิลสตันร์ ซึ่งโจลี่บอกว่าคนๆนี้สามารถช่วย โธมัส กับ บรูโน่ ได้นั่นเอง....
บรูโน่: นายหลงทางอยู่ใช่ไหม ?
โธมัส: ไม่ ฉันจำทางที่แอปบี้บอกได้ เพียงแต่เขตนี้มันไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ฉันส่งพิซซ่า ฉันเลยไม่ค่อยคุ้น
บรูโน่: แต่ฉันจำได้ เพราะว่านายขับผ่านต้นไม้บ้านั่นมา 3 รอบแล้ว และนี่คือรอบที่ 4
โธมัส: บ้าเอ้ยย!! ฉันว่าเราหาไม่เจอแน่เลย
บรูโน่: เธอบอกว่าออกนอกตัวเมือง แอสเตอร์ ประมาณ 5 ไมล์ จะมีป่าสนอยู่ทางซ้ายของเราใช่ไหมละ ?
โธมัส: ใช่ เธอบอกแบบนั้น
บรูโน่: ฉันยังไม่เห็นต้นสนสักต้นเลย เราออกจากเมืองมากี่ไมล์แล้วละเนี่ย
โธมัส: เราอาจเลี้ยววนอยู่กับที่ก็ได้ เราต้องไปต่อจนกว่าจะเจอป่าสน
บรูโน่: นายคิดดีแล้วแน่ใช่ไหม ?
โธมัส: แน่สิ เพราะถ้าเราเลี้ยว เราก็จะวนมาที่เดิม
บรูโน่: ไม่ใช่เรื่องนั้น ฉันหมายถึงเรื่องแม่นาย
โธมัส: เห่ออ ใช่ ฉันคิดดูแล้ว เรื่องนี้ฉันเป็นคนสร้าง ฉันก็จะแก้ไขมัน จะไม่ให้แม่มาเสี่ยงเด็ดขาด
บรูโน่: ฉันต่างหากที่เป็นคนผิด ทำให้พวกนายต้องเดือดร้อน
โธมัส: ไม่ นายแค่ต้องเอาตัวรอด มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ดีแล้วที่นายเจอฉัน เพราะะ้าคนที่เจอนายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นไอ้พวกบ้านั่น ป่านนี้นายคงกลายเป็นอาวุธสงครามไปแล้ว
บรูโน่: อาวุธสงครามงั้นหรอ
โธมัส: มีอะไรงั้นหรอ ?
บรูโน่: ถ้าไอ้พวกเวรนั่น ต้องการสร้างให้ฉันเป็นอาวุธสงคราม ฉันก็จะเป็นอาวุธสงครามที่หวนกลับไปฆ่าพวกมัน และ เราก็ต้องมีพรรคพวกที่มีอาวุธสงครามด้วย..
โธมัส: ก็นั่นแหระ ปัญหา ฉันเป็นแค่คนส่งพิซซ่า จะมีเพื่อนแบบนั้นได้ไงกัน
บรูโน่: แล้วไอ้คนที่ชื่อ วินเซนต์ เนี่ย จะช่วยเราแบบไหนกัน ทำไมเพื่อนนายถึงต้องแนะนำให้เรามา
โธมัส: ฉันคิดว่า เมื่อเราไปถึงก็จะรู้เองแหระ
บรูโน่: เหมือนฉันจะเห็นต้นสนแล้วนะ
และแล้วตอนนี้ พวกเขาทั้ง 2 ก็มองเห็นต้นสนที่ แอปบี้ เคยบอกไว้ โดยตรงกลางระหว่างต้นสนมีถนนเล็กๆที่พอให้รถคันหนึ่งขับเข้าไปได้ แต่ไม่พอสำหรับการสวนทางกัน...
บรูโน่: ฉันว่าแล้วว่าเราต้องเลยมาอีกนิดนึง นายพาฉันไปวนเล่นตรงนั้นทำไมไม่ทราบ
โธมัส: ฉันคำนวนผิดไปนิดหน่อยนะ
บรูโน่: นั่นไงซอย เลี้ยวเข้าไปเลย..
แล้วทั้งคู่ก็เลี้ยวเข้าไปในซอยดังกล่าว ทั้ง 2 ฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนเต็มไปหมด และไม่มีบ้านใครสักหลังเลย พวกเขาขับรถเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่จะเจอเข้ากับ ประตูรั้ว ขนาดใหญ่ที่มีกำแพงสูงอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งคู่เริ่มรู้สึกงงขึ้นมาทันที เพราะสถานที่แบบนี้ มันไม่น่าจะใช่ที่พักอาศัยแน่ๆ....
บรูโน่: มันอะไรวะเนี่ย ป้อมปราการรึไง บนกำแพงนั่นมีลำโพง กับ กล้องวงจรปิดด้วย
โธมัส: คิดว่าข้างในจะรู้ไหมว่าเรามา ?
บรูโน่: คิดว่ารู้นะ ถ้าจะให้ชัวร์ นายลองกดแตรสักทีดูสิ
แล้ว โธมัส ก็บีบแตรไป 1 ครั้ง ตามที่ บรูโน่ บอกแล้วจู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังออกมาจากลำโพงบนกำแพง โดยเสียงนั่นได้สั่งให้พวกเขาลงจากรถ เมื่อทั้งคู่ลงมา ก็มีแสงสีฟ้าส่องลงมาจากบนรั้วมาที่รถของพวกเขา รวมถึงตัวพวกเขาเองด้วย ซึ่งแสงนั่นคือ การสแกนหาอาวุธนั่นเอง เมื่อเสร็จเรียบร้อย เสียงจากลำโพงนั้นก็ถามเขาถึงเหตุผลที่มาที่นี่.....
เสียงหญิงสาว: พวกคุณรู้ที่ตั้งของสถานที่นี้ได้อย่างไร และ มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร ??
โธมัส: เอิ่มคือ....ตอนนี้ผมต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนผมคนนึงเธอได้บอกทางมาที่นี่แก่ผมเธอบอกว่าคนที่ชื่อ วินเซนต์ สามารถช่วยผมได้...
เสียงหญิงสาว: เพื่อนเจ้ามีนามว่าอะไร ?
โธมัส: เธอชื่อ แอปบี้ คาล์เร็บ
สิ้นเสียงของ โธมัส ประตูรั้วก็ค่อยๆเปิดออก ทั้งคู่จึงรีบขึ้นรถ และ ขับเข้าไปข้างในก่อนที่ประตูรั้วจะปิดลงอย่างสนิท พวกเขายังต้องขับรถผ่านป่าสนเข้าไปอีกสักพัก กว่าจะมาถึง คฤหาสน์ หลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ตรงกลางป่าสน มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเขานำรถเข้าไปจอดยังที่ที่หญิงสาวคนนั้นเตรียมไว้ หญิงสาวก็ได้พาทั้ง 2 คนเข้าไปใน คฤหาสน์ ทันที
โธมัส: ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง ที่นี่คืออะไร แล้งพวกคุณเป็นใคร ?
หญิงสาว: เสียงที่คุณได้ยินหน้าประตูนั่น คือเสียงของฉันเองค่ะ ฉันชื่อ เอ็มม่า วิลล์ เป็นเลขาส่วนตัวของคุณ วินเซนต์
โธมัส: แล้วสถานที่แห่งนี้ละ มันคืออะไร แล้วแอปบี้ เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณ ?
เอ็มม่า: รอฟังเรื่องนี้จากคุณ วินเซนต์ เองเลยจะดีกว่านะ
เอ็มม่า พาทั้งคู่ขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด ซึ่งภายใน คฤหาสน์ หลังนี้ แถบจะไม่มีคนเลย ที่รู้ๆตอนนี้ก็มีเพียงแค่ เอ็มม่า และ วินเซนต์ เท่านั้น เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ก็ตรงเข้าไปยังประตูตรงสุดทางเดิน เอ็มม่า เคาะประตูก่อนที่จะมีเสียงจากข้างในเชิญให้เข้าไป เมื่อประตูเปิดออก ก็พบว่าภายในมีผู้ชายคนอายุประมาณ 60 ปีแต่ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ เมื่อพวกโธมัสเข้าไปในห้อง คุณลุงคนนั้นก็เอ่ยปากทักทายโธมัสทันที......
วินเซนต์: สวัสดี โธมัส โตมาแล้วหน้าตาเหมือนพ่อจริงๆเลยนะ !!
" To Be Continue "
Episode. III
Lazarus - ลาซารัส
Episode III - ศึกกลางเมือง
คฤหาสน์ หลังโต คือสถานที่ที่ แอปบี้ ได้แนะนำให้โธมัสเดินทางมา เพราะเธอรู้ว่า วินเซนต์ ที่อาศัยอยู่ที่นี่สามารถช่วย โธมัส ได้ โดยเส้นทางที่จะพาเข้ามายังสถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วย ต้นสนมากมาย และ ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางจากถนนเข้ามาสู่ประตูรั้วอัตโนมัติ ซึ่งเป็นทางเข้าทางเดียว เมื่อผ่านประตูรั้วเข้ามาก็จะพบทางยาวมุ่งไปสู่คฤหาสน์หลังดังกล่าว ซึ่งเป็น คฤหาสน์ ที่ใหญ่มาก ส่วนด้านหน้าของคฤหาสน์ ก็จะเป็นลานกว้างที่สามารถใช้จอดรถยนต์ได้กว่า 20 - 30 คัน และมีป่าสนล้อมอยู่รอบๆ
โธมัส ได้เดินเข้าไปจนถึงห้องของ วินเซนต์ และ เขาก็ทักทายโธมัสว่า "สวัสดี โธมัส โตมาหน้าเหมือนพ่อมากๆ" คำพูดนี้ทำเอา โธมัส งงเป็นอย่างมาก ก่อนที่ วินเซนต์ จะแนะนำตัวต่อ...
วินเซนต์: เป็นไงบ้าง โธมัส แม่เธอสบายดีไหม ?
โธมัส: ขอโทษนะ คุณเป็นใคร รู้จักผมกับแม่ได้ยังไง ?
วินเซนต์: แม่ของเธอก็รู้จักฉัน ฉันชื่อ วินเซนต์ ดิลสตันร์ เป็นอดีตหน่วยรบพิเศษของกองทัพ ฟอจ
โธมัส: ฟอจ งั้นหรอ งั้นคุณก็ ....
วินเซนต์: ใช่แล้ว ฉันรู้จักไรอัน ไม่ใช่แค่รู้จักสิ เรา 2 คนเป็นเพื่อนสนิทกันเลยละ
โธมัส: ทำไมแม่ไม่เคยพูดถึงคุณเลย ?
วินเซนต์: เขาคงไม่มีเหตุผลที่จะต้องพูดละมั้ง
โธมัส: แล้ว แอปบี้ละ ทำไมเธอถึงรู้จักคุณ ?
วินเซนต์: เธอเคยพูดเรื่องพ่อของเธอให้นายฟังรึเปล่าละ ?
โธมัส: เท่าที่จำได้ ไม่เคยครับ ?
วินเซนต์: ฉันคือพ่อของ แอปบี้!!
โธมัส: โอ้ว้าว พ่อของ แอปบี้ เป็นหน่วยรบพิเศษเหมือนๆกับพ่อของฉัน
วินเซนต์: ตามฉันมา ฉันมีอะไรจะให้ดู อ้อแล้วก็ บอกเจ้าสุนัขนั่นพูดบ้างก็ได้ แอปบี้ บอกฉันทุกอย่างก่อนที่พวกเธอจะมาถึงแล้วละ.....
แล้ว วินเซนต์ ก็พาทั้งคู่ลงมาข้างล่าง ซึ่งมันจะมีห้องๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยรูปภาพจำนวนมากมาย และ ภาพถ่ายระหว่าง ไรอัน พ่อของโธมัส และ วินเซนต์ เต็มไปหมด แล้วโธมัสก็ไปเห็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งเข้า....
โธมัส: คนนี้ใครหรอ ?
วินเซนต์: นั่นคือ ไมเคิล โคล์ ผู้นำรัฐบาล
โธมัส: ว่าแล้วทำไมคุ้นๆหน้า เคยเห็นในทีวีนี่เอง
วินเซนต์: เขาเข้ามาไม่ทันพ่อของเธอ เขามาหลังจากที่พ่อของเธอถูกฆ่าไปแล้ว 2 ปี
โธมัส: เกิดอะไรขึ้นกับพ่อผม ??
วินเซนต์: เราปฎิบัติภารกิจด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน, ภารกิจลอบสังหาร, ภารกิจสอดแนม, ภารกิจกู้ระเบิด, ทุกภารกิจจะไม่มีวันสำเร็จ หากไม่มีพ่อนายโธมัส
บรูโน่: ว้าววว โธมัส พ่อนายนี่มันเจ๋งสุดยอด
โธมัส: พ่อผมเสียชีวิตเพราะอะไร
วินเซนต์: ภารกิจปกป้อง เดฟสเต็ท พวกเราทำมันสำเร็จ แต่มันกลับต้องแลกด้วยชีวิตของพ่อนาย เมื่อ 1 ในทีมของเราเกิดทรยศหักหลังพวกพ้องของตนเอง
โธมัส: ผมอยากรู้เหตุการที่เกิดขึ้นวันนั้น
วินเซนต์: เรื่องมันได้เริ่มต้นขึ้นตรงที่ หน่วยข่าวกรองของ "ฟอจ" ได้รู้แผนการของพวก Bloody Army ว่าเจ้าพวกนั้นมีแผนที่จะชิง เดฟสเต็ท มาจากกองทัพของ "ฟอจ"
บรูโน่: เดฟสเต็ท ที่แปลว่า ทำลายล้าง นะหรอ ?
วินเซนต์: ใช่แล้วเจ้าหมาน้อย
โธมัส: มันคืออะไรหรอครับ ?
วินเซนต์: มันคือวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมที่สมบูรณ์แบบมาก เหตุผลที่ทำให้มันได้ชื่อนี่ เพราะพลังอนุภาคในตัวมันมีมากอย่างมหาศาล และ หลายรูปแบบ ใครที่ได้ครอบครองมัน จะสามารถสร้างอาวุธได้หลายชิ้น ด้วยการปล่อยอนุภาคภายในของ เดฟสเต็ท เข้าไปในอาวุธ
โธมัส: พวกคุณปกป้องมันได้ใช่ไหม ?
วินเซนต์: ใช่ "ฟอจ" ได้สั่งให้หน่วยรบทุกหน่วยกระจายกำลังคุ้มกันฐานทัพเพื่อปกป้องมัน แต่พวกเราทุกคนคิดผิด
โธมัส: เพราะอะไร ?
วินเซนต์: พวกเราทุกคนต่างคิดว่าศัตรูจะบุกเข้ามาจากข้างนอก แต่ความจริงก็คือ ศัตรูอยู่ข้างในกับพวกเรามาโดยตลอด พ่อของนายยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าห้องเก็บ เดฟสเต็ท ก่อนที่ไอ้คนทรยศจะเดินเข้ามาด้วยท่าทีเป็นมิตร และ ได้สังหารพ่อของเจ้า
โธมัส: มันรอดรึเปล่า ?
วินเซนต์: หลังจากได้รับแจ้งว่า ไรอัน ถูกสังหาร ฉันก็รีบเข้าไปทันที ฉันฆ่าไอ้เลวนั่นตอนที่กำลังพยายามขโมย เดฟสเต็ท ได้พอดี
โธมัส: บ้าเอ้ย!! พ่อฉันตายเพราะถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง เพราะเรื่องแบบนี้ !!
บรูโน่: มันบ้ามากเลย สายพันธุ์ฉัน ไม่มีการหักหลังหรือตอแหลใส่กันเลย มนุษย์นี่มันใช้ชีวิตการยังไง
โธมัส: ทำไมคุณถึงไม่บอกผม ?
วินเซนต์: ถ้าฉันบอก เธอต้องตามหาฉันแน่ แล้วถ้าพวกของไอ้คนที่มันฆ่าพ่อเธอ รู้ว่าเธอเป็นลูก ไรอัน พวกมันไม่มีทางเก็บไว้แน่ นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันไม่เคยให้ แอปบี้ พูดถึงฉันเลยไงละ
โธมัส: แล้วคุณทำอะไรอยู่ที่นี่ ซ้อนตัวหรอ หรือว่าคุณกลัว ?
บรูโน่: โธมัส ฉันว่านายใจเย็นๆก่อนดีกว่านะ
วินเซนต์: ถ้าอยากรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่ที่นี่ ก็ตามฉันมา..
วินเซนต์ ได้พา โธมัส เดินไปยังห้องสมุด สิ่งที่เขาต้องการให้ โธมัส เห็นนั้นไม่ใช่ชั้นหนังสือต่างๆในนี้ แต่เป็นสิ่งที่อยู่หลังชั้นหนังสือต่างหาก โดยจะมีประตูลับอยู่ข้างหลังชั้นหนังสือ เมื่อเดินเข้าไปหลังชั้นหนังสือ โธมัส ก็พบกับกองเอกสารมากมาย รวมถึง อาวุธอีกหลายชนิดอีกด้วย....
โธมัส: คุณทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่เนี่ย
วินเซนต์: หลังจากที่พ่อเธอตาย ฉันก็ออกจากกองทัพ และใช้เวลาตั้งแต่ตอนนั้นหาตัวผู้นำของพวกมัน เพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนรักของฉัน
โธมัส: คุณสามารถเข้าถึง ฟอจ ได้รึเปล่า ?
วินเซนต์: แน่นอน ได้อยู่แล้ว
โธมัส: เจ้าบรูโน่นี่ จะเป็นหลักฐานสำคัญเลยครับในการเปิดโปงพวกเลวนั่น
วินเซนต์: เรื่องนั้นฉันทำแน่ แต่มันจะไม่ได้จบที่พวกนั้นถูกจับ
โธมัส: หมายความว่าไง แล้วมันจะจบแบบไหน ?
วินเซนต์: มันจะจบที่ โลกแตกสลาย!!
โธมัส: จะเกิดสงครามงั้นหรอ ?
วินเซนต์: ใช่ กองกำลังของ Bloody Army นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าจับกุม สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือมันจะกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ ระหว่าง "ฟอจ" และ "Bloody Army"
บรูโน่: ซวยแน่ๆเลยงานนี้
โธมัส: แล้วเราจะทำยังไงละครับ คุณวินเซนต์ ??
วินเซนต์: อยู่ที่เธอโธมัส เธอจะหนีอยู่แบบนี้ หรือ ต้องการให้เกิดสงคราม
กลุ่ม " Bloody Army " มีกองกำลังมหาศาล และ ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะเป็นกองกกำลังผู้ก่อการร้าย และกองทัพ " FOJ " จะพยายามกวาดล้างสักแค่ไหน มันก็ไม่มีวันที่จะหมดไปจากโลก เปรียบเทียบก็คงจะเหมือน สหรัฐอเมริกา กับ กองทัพตาลีบัน ในอดีต แต่เหตุผลที่การทดลองของ MDB ไม่สามารถให้ FOJ รู้ได้เด็ดขาดนั้น ก็เพราะการกระทำอันชั่วช้าครั้งนี้ มีบุคคลของรัฐบาลเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยนั่นเอง และนี่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม วินเซนต์ ถึงไม่คิดจะไปบอกเรื่องนี้กับ FOJ เพราะต่อให้เขาสามารถทำแบบนั้นได้ คนที่จะถูกจัดการก็มีแค่คนของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ส่วนสิ่งที่จะเกิดกับกลุ่ม Bloody Army ก็คือ การก่อสงครามของ FOJ กับ Bloody Army เท่านั้น
วินเซนต์: ว่าไงละ โธมัส เธอต้องการแบบไหน ?
บรูโน่: ไม่ว่านายจะทำอะไร ฉันจะอยู่กับนาย ไอ้เด็กส่งพิซซ่า....
โธมัส: ไอ้พวกเลวนั่นมันฆ่าพ่อผม แถมยังจะทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาพวกนี้ด้วย ไม่ว่ายังผมก็ไม่มีทางให้อภัยพวกมันได้.....
วินเซนต์: สมแล้วที่เป็นลูกชายของ ไรอัน
บรูโน่: นายไม่กลัวสิ่งที่จะตามมาใช่ไหม ?
โธมัส: ต้องกลัวอยู่แล้วสิเจ้าบ้า แต่ยังไงฉันก็จะยืนอยู่บนความถูกต้อง
บรูโน่: นายแม่งได้ใจฉันไปเต็มๆเลยวะ ไอ้มนุษย์
เวลา 12:00 AM ณ อาณาจักร FOJ กองทัพที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก " ริชาร์ด รอสร์เวล" และ " เฮฟเวอร์ ครัมบ์ " มือขวา และ มือซ้ายของท่าน ควินดารัส และตอนนี้พวกเขาทั้ง 2 กำลังนั่งอยู่ต่อหน้า "ควินดารัส คอร์เนล" เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความมั่นคงของประชาชนที่ตอนนี้เรื่องราวมันค่อยๆใหญ่ขึ้น เพราะประชาชนได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายเกีายวกับการลงโทษที่โหดร้ายเกินไปต่อนักโทษ......
ริชาร์ด: จับ 1 ในคนพวกนั้นแบบที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นๆ ผมว่าเป็นการกระทำที่เหมาะ และ สมควรมากในสถานการณ์แบบนี้นะครับ
ควินดารัส: นั่นมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง พวกเขามีสิทธิ์ที่จะต่อต้าน เพราะพวกเขาไม่ได้กระทำความผิดต่อผู้ใด สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่ลงโทษพวกเขา แต่เป็นการหาวิธีที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจเราต่างหาก
เฮฟเวอร์: ตอนนี้พวกเรา เพิ่งได้รับข่าวจากอาณาจักร คริวบัส ว่ามีการพบเห็นพวก เดทธ์ อีทเทอร์ ออกไล่สูบวิญญาณผู้บริสุทธิ์ไปหลายรายแล้วคร้บ
ริชาร์ด: จริงหรอ พวกมันไม่เคยเข้ามาในเขตของ มนุษย์ไม่ใช่รึไง ?
เฮฟเวอร์: เมื่อก่อนนะอาจใช่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนวิญญาณที่อยู่ในเขตของมัน และที่เราส่งไปให้ จะไม่พอต่อความต้องการสะแล้วสิ
ริชาร์ด: แล้วพวกเราจะทำยังไงละ ?
ควินดารัส: ริชาร์ด ไปบอก เอลฮาร์ด เตรียมกองทัพ โซล จำนวนหนึ่งแล้วเดินทางไปที่เมือง คริวบัส ส่วน เฮฟเวอร์ พาคนของเจ้าไปที่เมือง แอสเตอร์ ไม่ต้องถามว่าทำไม เจ้าจะรู้เองเมื่อไปถึง....
ในเวลาเดียวกัน ณ คฤหาสน์ของ วินเซนต์ ซึ่งตอนนี้ โธมัส กับ บรูโน่ กำลังดูเอกสารต่างๆที่ วินเซนต์ มีในตอนนี้ เพื่อใช้เป็นความรู้ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้ายของพวกมัน, การประกาศสงครามกับทุกๆองค์กรบนโลก และ การคิดที่จะชิง เดฟสเต็ท ออกมาจาก FOJ แต่ล้มเหลว แต่สิ่งที่เขาพบนอกจากข่าวของ Bloody Army ยังมีอีกข่าวที่น่าสนใจ และ แปลกประหลาดมากสำหรับเขา เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่อาศัยอยู่ในถ้ำที่ห่างไกลมนุษย์แถบทิศเหนือ
โธมัส: อะไรวะเนี่ย !?
บรูโน่: ไปเจออะไรเข้าให้ละ ?
โธมัส: นี่ไง สิ่งมีชีวิตลึกลับที่กินวิญญาณมนุษย์เป็นอาหารเนี่ยนะ
บรูโน่: มีของแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วยหรอวะเนี่ย!!?
วินเซนต์: นั่นคือพวก เดทธ์ อีทเทอร์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด หากมันพบเห็นใครทำสิ่งดีๆ พวกมันก็จะรู้สึกกระหายมากขึ้น
บรูโน่: เหมือนปีศาจจากหนังสือเลยแหะ
วินเซนต์: ใช่แล้วน้องหมา พวกมันเหมือนกับ ปีศาจ ที่หนังสือ หรือ ภาพยนตร์เลยละ
โธมัส: พวกมันกำเนิดมาได้ยังไงหรอครับ ?
วินเซนต์: เรื่องนั้นฉันก็ยังไม่รู้หรอกนะ พอดีไม่ได้สืบค้นเจ้าพวกนี้ขนาดนั้น
บรูโน่: อย่าเอาเรื่องปีศาจบ้านั่นเข้ามาในหัวเลย โธมัส เอาเรื่องของพวกเราให้รอดก่อนจะดีกว่านะ ได้ข่าวอะไรมาบ้างละ ?
โธมัส: เท่าที่อ่านมา ก็มี การวางเพลิง, ลอบสังหาร, ประกาศสงคราม แล้วก็พยายามชิง เดฟสเต็ท
บรูโน่: มีแต่คดีใหญ่ๆแหะ
โธมัส: แล้วคุณมีแผนยังไงหรอ ?
วินเซนต์: ฉันไม่มีหรอก แต่นายมี...
ณ บ้านของแอปบี้ โดยตอนนี้ โจลี่ กำลังนั่งคุยกับแอปบี้อยู่ภายในบ้าน....
โจลี่: ไม่เคยรู้เรื่องนี้มากาอนเลยจริงๆ
แอปบี้: วินเซนต์ ไม่ต้องการให้พวกคุณรู้เรื่องนี้ เพราะมันอันตรายเกินไปสำหรับพวกคุณ โธมัส อยู่กับเข้าแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วละ
โจลี่: เธออยากรู้ไหม ทำไมฉันถึงตั้งชื่อหมาตัวนั้นว่า บรูโน่ ?
แอปบี้: ทำไมหรอคะ ?
โจลี่: เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก อายุประมาณ 8 ขวบ พ่อของฉัน เขาได้ซื้อหมาตัวแรกมาเลี้ยง และ ฉันก็รักหมาตัวนั้นมาก ทุกๆครั้งที่ฉันลงมาจากรถโรงเรียน เขาก็จะมายืนต้อนรับฉัน เวลาที่ฉันเหงา หรือ เศร้า เขาก็จะมานั่งอยู่ข้างๆฉัน เขาให้ความอบอุ่นกับฉันได้ดีมากๆเลย แต่เขาอยู่กับฉันได้แค่ 5 ปี....
แอปบี้: เกิดอะไรขึ้นหรอคะ ?
โจลี่: จนฉันอายุ 13 ปี วันนั้นฉันลืมประเป๋าเงินไว้ที่บ้าน นึกขึ้นได้ก็ตอนที่รถวิ่งออกมาได้นานแล้ว เมื่อฉันเลิกเรียนก็ขึ้นรถกลับบ้านตามปกติ แต่เมื่อเดินมาถึงบ้าน ฉันกลับไม่พบเขาเหมือนที่ผ่านมา ฉันเดินเข้าไปในบ้าน เดินหาอยู่ทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบตัวเขาเลย และ กระเป๋าตังที่ฉันลืมไว้ก็หายไปด้วย ไม่นาน พ่อ กับ แม่ ฉันก็กลับมาจากข้างนอก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนมา แต่พวกเขาทำหน้าเศร้ามาก ก่อนจะยื่นกระเป๋าตังของฉันที่มีเลือดติดอยู่ ฉันถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแม่ฉันก็ร้องไห้ออกมา และ ดึงตัวฉันเข้าไปกอด จากนั้นพ่อก็มานั่งลงข้างๆฉัน บอกกับฉันเบาๆว่า " เขาคาบกระเป๋าตังที่ฉันลืมไว้ หวังจะไปให้ฉันที่โรงเรียน แต่เขาดัน ถูกรถชนก่อน!!! "
แอปบี้: อะไรกัน!!
โจลี่: พ่อของฉันไปเจอตอนกำลังเดินตามหาเขา
แอปบี้: บ้าที่สุดเลย เรื่องแบบนี้
โจลี่: เพื่อนรักของฉันตัวนั้นชื่อว่า "บรูโน่"
โจลี่ ได้เล่าเรื่องอันแสนเศร้าเกี่ยวกับสุนัขตัวแรกของเธอ และยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สึดของเธอ ให้กับแอปบี้ฟัง จนตัวแอปบี้ถึงกับน้ำตาไหลออกมา และ นั่นคือเหตุผลที่เธอตั้งชื่อให้กับสุนัขที่ โธมัส รับมาว่า "บรูโน่"
ณ คฤหาสน์ของ วินเซนต์ เวลา 13:40 PM เสียงมือถือของ โธมัส ดังขึ้น คนที่โทรมาก็คือ โจลี่ แม่ของเขาเอง....
โธมัส: ฮัลโหล
โจลี่: โธมัส ลูกเป็นไงบ้าง ปลอดภัยใช่ไหม
โธมัส: ปลอดภัยดีครับแม่
โจลี่: ลูกไม่ควรจะหลอกแม่แบบนี้นะรู้ไหม
โธมัส: ผมขอโทษครับ แต่เพื่อความปลอดภัยของแม่ ผมต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
โจลี่: คิดว่าแม่ต้องการอยู่ในที่ปลอดภัย โดยการให้ลูกออกไปเสี่ยงอันตรายงั้นหรอ ??
โธมัส: เดี๋ยวๆแค่นี้ก่อนนะแม่ ผมมีธุระ รักษาตัวนะครับ รักแม่ครับ...
โธมัส ต้องรีบตัดสายแม่เขา เมื่อจู่ๆเขาก็ได้ยิน เอ็มม่า เธอมารายงานกับคุณ วินเซนต์ ว่าในเมือง แอสเตอร์ เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น โดยมีกองกำลัง 2 ฝ่ายกำลังสาดกระสุนใส่กันกลางเมือง โดยมีฝ่ายของ ฟอจ กับฝ่ายของ Bloody Army โดยตอนนี้ทุกคนงงมาก ว่าทำไม ทั้ง FOJ และ Bloody ถึงมาอยู่ในเมือง แอสเตอร์ เมืองที่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ไม่เกิน 10 ไมล์ (ไม่เกิน16 กิโลเมตร)
โธมัส: ทุกคน ผมคิดแผนเจ๋งๆออกแล้ว....
ภายในเมือง แอสเตอร์ ขณะนี้เต็มไปด้วยเสียงปืน และ ปลอกกระสุนอยู่เต็มถนน โดยกลุ่มของ FOJ จะมีสีที่เป็นเอกลักษณ์คือสี น้ำเงิน ส่วนฝั่งของ Bloody ก็ตรงตัวตามชื่อเลยก็คือ สีแดง ดำ และ ดูเหมือนว่าฝั่งของ FOJ กำลังเสียเปรียบเนื่องจากจำนวนคนที่น้อยกว่า เฮฟเวอร์ ผู้นำหน่วยจึงจำเป็นต้องขอกำลังเสริม แต่กว่ากำลังเสริมจะมาก็ต้องใช้เวลาเกือบ 1 ช.ม โดยฝั่งของ Bloody ที่ได้เปรียบก็เพราะ การสาดยิงที่ไม่ต้องกลัวว่าคนธรรมดาจะโดนลูกหลงหรือไม่ ต่างกับพวก FOJ ที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
ผ่านไปไม่นาน จู่ๆก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมา ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องหยุดยิงและวิ่งไปหลบตามมุมต่างๆ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าคือเสียงอะไร แต่เมื่อฟังไปสักพัก พวกเขาก็รู้ว่าเสียงนั้นมันมาจาก หอกระจายข่าวที่อยู่รอบๆเมือง มันเป็นเสียงเพลง แดนซ์ จังหวะกวนๆ ซึ่งมันได้ถูกใครบางคนเปิดผ่านหอกระจายข่าว
สมาคมBloody: อะไรกันวะ , ใครเเปิดเพลง , เกิดอะไรขึ้น
สมาชิกFOJ : เสียงเพลงจากหอกระจายข่าวงั้นหรอ , อะไรกันวะเนี่ย..
เฮฟเวอร์: ทุกคนตื่นตัวไว้ มันอาจเป็นตัวล่อ
เสียงเพลงยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง ก่อนที่จะเงียบไป ซึ่งไม่นาน ทั้ง 2 ฝ่ายก็กลับมายิงกันอีกครั้ง แต่เสียงปืนดังขึ้นแค่แปปเดียว เสียงเพลงจากหอกระจายข่าวก็ดังขึ้นอีก ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มที่จะโมโห โดยฝั่งของ Bloody ได้มีบางคนหันปากกระบอกปืนไปทางลำโพง และ กระหน่ำยิงเพื่อจะทำลายเสียงเพลงนั่น
สมาชิกFOJ: คุณเฮฟเวอร์ ต้องมีคนตั้งใจจะปั่นหัวพวกเราแน่ๆ
เฮฟเวอร์: ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่าบุกคลลึกลับนั่นเป็นฝ่ายใคร
ตอนนั้นเอง ก็ได้มีระเบิดแฟรชหล่นลงไปในพื้นที่ของ Bloody เมื่อมันระเบิด ทุกคนที่อยู่ในรัศมีของระเบิดแฟรชนั่นก็จะรู้สึกแสบแก้วหู และ ดวงตา และตามมาด้วยระเบิดควัน ที่หล่นลงไปในกลุ่มของ Bloody และเมื่อระเบิดควันทำงาน รถกระบะคู่ใจของ โธมัส มันก็วิ่งผ่านพวก Bloody และ ขับหนีไปทันที ถึงจุดนี้พวก FOJ กำลังได้เปรียบ และรู้แล้วด้วยว่าบุคคลลึกลับนั่นอยู่ฝั่งเดียวกับเขา พวกเขาจึงสาดกระสุนใส่พวก Bloody ที่กำลังแสบแก้วหู และ ดวงตา จะไม่สามารถโต้ตอบ หรือแม้แต่หลบได้เลย ทำให้ศึกนี้ FOJ เป็นฝ่ายชนะ
สมาชิกFOJ: คนพวกนั้นเป็นใครกันครับ ทำไมเขาถึงช่วยเรา ?
เฮฟเวอร์: ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ กระจายกำลังหาพวก Bloody อาจยังมีหลงเหลืออยู่ ตื่นตัวไว้ตลอดเวลาด้วย
ณ รถกระบะคู่ใจของ โธมัส ตอนนี้ได้มีคนของ Bloody ที่ถูกจับขึ้นรถมาด้วย 1 คน ซึ่งคนที่จับก็คือ วินเซนต์ ที่แอบอยู่หลังกระบะตอนที่โธมัสขับผ่าน และ ให้เอ็มม่า ช่วยในเรื่องปาระเบิดอยู่บนตึกเล็กๆแถวนั้น ก่อนที่โธมัสจะขับรถกลับไปรับเมื่อ เอ็มม่า หลังจากที่ได้ตัวคนของ Bloody มาแล้ว และ กลับมาสู่ คฤหาสน์ของ วินเซนต์ ด้วยความรวดเร็ว....
โธมัส: วู้วๆ เป็นไงบ้างแผนของฉันสุดยอดไปเลยใช่ไหมละ รู้นะว่านายอยากชมฉันอะ บรูโน่ ชมมาเลยไม่ต้องอาย
บรูโน่: เห่อ ฉันมาอยู่กับคนติงต๊องแบบนายได้ยังไงกันเนี่ย....
วินเซนต์: แผนใช้เพลงเป็นตัวล่อ ก่อนจะทำลายการมองเห็น และ ได้ยินจากระเบิดแฟรช ไอเดียไท่เลวเลยนะ โธมัส
โธมัส: ขอบคุณครับ
บรูโน่: แล้ว.... จะเอายังไงกับไอ้สารเลวนี่ดีละ ?
โธมัส: ถามทุกอย่างที่เราอยากรู้จากมันไง
วินเซนต์: บรูโน่ ลองดูสิ ไอ้หมอนี่มีเครื่องติดตามอยู่รึเปล่า
บรูโน่: เห่ออ หน้าที่หมา.....ไม่มีอะ ไม่ได้กลิ่นเลย
หนึ่งในคนของ Bloody ถูกจับตัวโดยพวกของโธมัส และถูกมัดไว้กับเก้าอี้ หน้าที่ของการสืบหาความจริงตกเป็นของ วินเซนต์ เพราะเขาคืออดีตหน่วยรบพิเศษของ FOJ....
วินเซนต์: ไงไอ้ระยำ!! แกอาจไม่รู้จักฉัน แต่ฉันรู้จักพวกแกดี !!
วินเซนต์ พูดพร้อมกับชกไปที่หน้าของมันไป 1 ครั้ง ต่อ 1 ประโยค ตามสเต็ปของการสอบสวน...
วินเซนต์: ตอบฉันมาสิ กองบัญชาการของพวกแกอยู่ที่ไหน มีการป้องกันอะไรบ้าง !! ตอบฉ้นมาเดี๋ยวนี้ ไอ้สารเลวเอ้ย!!
บรูโน่: ดูท่าเขาคงโกรธมากจริงๆ
โธมัส: ใช่ หวังว่ามันจะยอมปริปากออกมาบ้างนะ
บรูโน่: โอ้ว ให้ตายสิเพื่อน
โธมัส: ทำไมหรอ เกิดอะไรขึ้น มีอะไร ?!
บรูโน่: ฉันหิวแล้วอะ หาอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ
โธมัส: ตกใจหมดเลย ไอ้หมาตะกละเอ้ยย......
เวลา 16:00 PM ณ ฐานทัพของ Bloody Army ข่าวการทำงานพลาดของกลุ่มที่ไปยังเมือง แอสเตอร์ ก็มาถึงหูของเหล่าหัวหน้าภายในเวลาไม่ช้า.....
เชสเตอร์: อะไรนะ ?!?!
เซบาสเตียน: คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ หน่วยที่เราส่งไปเมือง แอสเตอร์ ตอนนี้ ตายเรียบ
ดักลาส: เป็นไปได้ไงวะ แพ้พวก FOJ งั้นหรอ ??
เซบาสเตียน: เรื่องนั้นฉันเองก็ยังไม่รู้
แจ็คกี้: แล้วของที่ให้ไปเอามาละ ตอนนี้มันยังอยู่ที่เดิมรึเปล่า ??
เซบาสเตียน: ถ้าพวก FOJ ไม่ชิงเก็บไปสะก่อนนะ
เชสเตอร์: บ้าเอ้ย !!!!
ในเวลาเดียวกัน ณ ดินแดนของ FOJ เฮฟเวอร์ ได้กลับมา และนำของที่พวก Bloody ต้องการชิงไปกลับมาด้วย และ ส่งมันให้กับท่าน ควินดารัส ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ แบบแปลนการสร้างอาวุธที่สามารถใช้สังหารกลุ่ม เดทธ์ อีทเทอร์ ได้นั่นเอง โดยมันเคยถูกเก็บรักษาไว้ที่เมือง แอสเตอร์ ก่อนที่ท่าน ควินดารัส จะสั่งให้นำมาเก็บไว้ที่นี่ และ ส่งเฮฟเวอร์ ไปเพื่อดูแลแบบแปลนนี้ แต่มันผิดคาด ทำให้ เฮฟเวอร์ เกือบจะได้เป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้.......
เฮฟเวอร์: เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นครับ
ควินดารัส: เกิดอะไรขึ้น ?
เฮฟเวอร์: จริงๆแล้วพวกเราเกือบจะได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วครับ เราอาจจะไม่ได้กลับมา หากไม่ได้คนกลุ่มนึงช่วยไว้....
ควินดารัส: คนกลุ่มนึงงั้นหรอ ใครกัน ?
เฮฟเวอร์: ผมไม่เห็นเขาครับ มันเกิดขึ้นเร็วมาก
ควินดารัส: ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร จงตามหาเขาให้เจอ และ พาพวกเขามาหาข้า
เฮฟเวอร์: ครับท่าน......
เวลา 18:00 PM ณ คฤหาสน์ของ วินเซนต์ เขาได้ใช้เวลากว่า 3 ช.ม ในการสอบปากคำคนของ Bloody ที่จับตัวมาได้ ส่วนโธมัส เขา กับ บรูโน่ กำลังทานอาหารกันอย่างอร่อยในห้องรับประทานอาหาร ด้วยฝีมือของ เอ็มม่า......
บรูโน่: รสชาติอาหารแย่มาก บอกเลยว่าแย่สุดๆเท่าที่ฉันเคยกินมาเลย
เอ็มม่า: ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันไม่สามารถทำอาหารให้ถูกปากคุณได้
โธมัส: รสชาติก็ไม่เลวนะ บรูโน่ นายคิดไปเองรึเปล่า
บรูโน่: คุณวินเซนต์ คงเผลอทำหมอนั่นตายสะแล้วมั้ง ?
โธมัส: ฉันว่าฉันไปดูหน่อยดีกว่า
บรูโน่: ถ้าหมอนั่นยังไม่ตาย ฝากบอกคุณวินเซนต์ เหลือไว้ให้ฉันเคี้ยวบ้างนะเฟ้ย.....
โธมัส ตัดสินใจลุกไปดู แต่คุณวินเซนต์ ก็เดินออกมาพอดี อย่างน้อยคนของ Bloody ก็ยังไม่ตาย.....
โธมัส: เป็นไงบ้างครับ ?
วินเซนต์: ปากแข็งเป็นบ้าเลย แต่อย่างน้อยก็บอกข้อมูลสำคัญๆให้ได้รู้ละ เจ้าพวกเวรนั่นฝึกคนมาดีจริง
โธมัส: เขาบอกอะไรคุณบ้าง ?
วินเซนต์: โอเค ไปที่ห้องฉันกัน เรียกบรูโน่ กับ เอ็มม่ามาด้วย
วินเซนต์ ได้เรียกทุกนให้มาฟังความจรืงที่ห้องของเขา ้เนื่องจากห้องของเข้ามีจอภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ทั่วคฤหาสน์ เมื่อทุกคนมาถึง เขาก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ได้ยินมา.....
วินเซนต์: ฐานทัพลับของพวกมันตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 300 ไมล์ (480 กิโลเมตร) แถมการทดลอง MDB ยังคงมีต่อไป เพราะพวกมันต้องการหาสุนัขที่มีพรสวรรค์เหมือน บรูโน่
บรูโน่: บ้าจริงๆเลย การตายของสุนัขยังคงมีอยู่ จนกว่าพวกมันจะตายห่ากันหมดสินะ
โธมัส: เราจะต้องช่วยพี่น้องของนายให้ได้
บรูโน่: เห้ออ ขอบใจเพื่อน
โธมัส: แล้วพวกมันมาทำอะไรกันที่ แอสเตอร์ ??
วินเซนต์: พวกมันต้องการ แบบแปลน ในการสร้างอาวุธที่ใช้ในการฆ่าพวก เดทธ์ อีทเทอร์
บรูโน่: แล้วการป้องกันของฐานทัพมันละ ?
วินเซนต์: บอกตรงๆว่ามันไม่ง่ายเลยละที่จะเข้าไปข้างใน มันมีป้อมปืนกว่า พันป้อม หน่วยรบอีกกว่า แสนคน!!
โธมัส: โอโห ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆแบบนี้ เราจะเอาคนที่ไหนไปสู่กับคนเยอะขนาดนี้ละเนี่ย
บรูโน่: ยังไงมันก็ต้องมีวิธี
โธมัส: ให้ตายสิ ฉันไม่ถนัดในการทำสงครามหรอกนะ ฉันเป็นแค่เด็กส่งพิซซ่า
บรูโน่: แต่พ่อของนายคือ วีรบุรุษ เชียวนะ
โธมัส: ฉันไม่เหมือนพ่อฉันหรอก
บรูโน่: ฉันเข้าใจนายนะ ถ้านายจะรู้สึกกลัว ฉันทำให้นายต้องมาลำบาก
วินเซนต์: เธอไม่เอาด้วย ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ
โธมัส: เปล่า ฉันจะบอกว่าเราต้องหาคนเพิ่มต่างหากละ
บรูโน่: เยี่ยมมากๆเลย เราจะหาคนเพิ่มยังไงละ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครพร้อมจะสู้รบกับพวกนั่นนะ
โธมัส: วินเซนต์ คุณมีแผนยังไงครับ
วินเซนต์: ฉันพอรู้จักเพื่อนๆสมัยก่อนอยู่ พวกเขาอาจช่วยเรื่องนั้นได้
บรูโน่: แล้วกองทัพหมาละ ?
วินเซนต์: อะไรนะ ?
บรูโน่: กองทัพหมาไง ฉันหาให้พวกนายได้นะ
โธมัส: จริงด้วย นายคุยกับหมารู้เรื่อง
บรูโน่: ใช่ เพื่อช่วยพี่น้องของฉัน
วินเซนต์: เยี่ยมมาก เจ้าหมาน้อย....
โธมัส ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะช่วย บรูโน่ แล้วทำลายองค์กรนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงเด็กส่งพิซซ่าก็ตาม
วินเซนต์: พรุ่งนี้เช้าเเราจะเริ่มวางแผนกัน คืนนี้เรานอนพักผ่อนกันก่อน เอ็มม่า เธอไปทำที่นอนให้พวกเขาทีนะ
พวกเขาทั้งหมดจึงตัดสินใจเข้านอนกันก่อนเพื่อเก็บแรงไว้เดินทางไปหาพรรคพวกเก่าๆของ วินเซนต์ แต่แล้ว กลางดึกคืนนั้นเอง เวลาประมาณตี 1 จู่ๆบรูโน่ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกเหมือน มีบางอย่างกำลังมา เขาจึงเริ่มที่จะไปปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อบอกถึงความรู้สึกนี้ และ ตอนนั้นเอง เสียงระเบิด ก็ได้ดังขึ้น ต้นเสียงมาจาก ประตูรั้ว นั้นนั่นเอง ทุกคนจคงรีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ วินเซนต์ รีบวิ่งไปที่จอภาพจากกล้องวงจรปิด.......
วินเซนต์: เอ็มม่า ไปเตรียมรถไว้ทางประตูฝั่ง ทิศตะวันออกเร็ว!!!
เอ็มม่า: คะ!!
บรูโน่: เจ้าพวกนั้นใช่ไหม !?
โธมัส: เกิดอะไรขึ้น คุณวินเซนต์ !?!?
วินเซนต์: มีพวก Bloody อยู่นอกคฤหาสน์เต็มไปหมดเลย!!!
" To Be Continue "
Episode. IV
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!