“หนูเพียง เดี๋ยวแม่จะไปอังกฤษ 3 เดือน ขอฝากน้องไว้กับหนูหน่อยนะลูก แม่รู้ว่าเรื่องนี้มันอาจจะทำให้หนูลำบากใจ แต่น้องยังเด็กอยู่ ดูแลตัวเองก็ไม่ได้ ยังไงหนูก็โตแล้ว และก็เป็นพี่สาวเขา แม่อยากให้...”
“โอเคค่ะ อาฝน หนูรับปาก”
เพียงรักกล่าวขัดขึ้น เพื่อหยุดหญิงสาววัยกลางคนผู้เป็นทั้งแม่เลี้ยงและคู่สนทนาของเธอ ไม่ให้ยกเหตุผลมาครบล้านประการเสียก่อน
แท้จริงเธอรู้สึกลำบากใจที่จะ ตอบตกลง เพราะน้องที่เจ้าหล่อนพูดถึงก็คือเด็กหนุ่มวัย 18 ปี ที่กำลังนั่งปั้นหน้าใสซื่อบ้องแบ๊วอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นแม่
ใช่แล้ว เหตุการณ์ตอนนี้ก็เหมือนกับครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่ได้เจอกัน เพียงรักเคยคิดว่าเด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ราวกับเทพบุตรคนนี้จะเป็นคนน่ารัก สดใส และใจดี แต่ความจริงทุกอย่างมันกลับตาลปัตร เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอเห็นและจินตนาการไว้ในตอนนั้น
นี่คุณอาจะเห็นร่องรอยความร้ายกาจในแววตาของเด็กนั่นบ้างไหมนะ
แล้วดูแลตัวเองไม่ได้อะไรกัน โกหกชัด ๆ เลย
“เรียกแม่สิลูก มาองอาอะไรล่ะ”
“ค่ะ คุณแม่”
แม้เพียงรักจะเอ่ยตอบด้วยความอึดอัดใจ แต่สีหน้าของร่างบางกลับสะท้อนความน่าเอ็นดูให้ประจักษ์แก่สายตาของหญิงสาววัยกลางคนได้อย่างแจ่มชัด
“แล้วเจ้าภาคก็อย่าดื้อกับพี่เขาให้มากนัก ไม่งั้นแม่จะตัดเงินทุกบัตรเลย คอยดูสิ”
“คร้าบ ผมน่ะว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กดีอยู่แล้วล่ะ แต่พี่เพียงน่ะสิ ไม่รู้ว่าจะดูแลผมดีหรือเปล่า”
ร่างสูงแสร้งทำกิริยาออดอ้อน แต่ไม่วายที่เขาจะส่งสายตายียวนให้กับร่างบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
“แม่ว่าคงจะมีแต่เรานี่แหละที่พยศ เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาแล้ว แม่ไปก่อนนะลูก เจ้าภาค หนูเพียง ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าไปกวนใจพี่เขาให้มากล่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งผู้ได้ชื่อว่าแม่ที่รถลีมูซีนสีดำขลับ หญิงสาวกอดลาเด็กทั้งสองอีกครั้งก่อนออกเดินทาง
เมื่อรถที่จอดอยู่ขับทะยานออกไป ความเงียบงันและบรรยากาศชวนน่าอึดอัดก็เข้าครอบครองพื้นที่ตรงนี้ไปโดยปริยาย
ภาคินปรายตามองไปที่คนข้าง ๆ เพียงเวลาหนึ่งอึดใจ จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าบ้านไป ส่วนเพียงรักก็ได้แต่ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะปิดประตูรั้ว แล้วเดินตรงไปยังม้านั่งที่สวนหลังบ้านเพื่อคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียว
แต่แล้วก็ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเธอสักอย่าง เพราะเสียงกวนประสาทของภาคินที่ดังขึ้นจากทางหน้าต่างนั่นเอง
“นี่! มันจะตายหรือไง ที่ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับฉัน” ภาคินเอ่ยขึ้นด้วยความหัวร้อน
“ไม่ใช่คุณหรอกเหรอ ที่จะเป็นจะตายเพราะต้องมาอยู่กับฉัน เอาเป็นว่าฉันจะดีใจที่สุดเลย ถ้าคุณบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่” เพียงรักประชดกลับด้วยเสียงเรียบ พลางยกกระถางสีขาวใบเล็กที่บรรจุต้นฮาโวเทียขึ้นมาดูด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“เดี๋ยวนี้กล้าเถียงฉันเหรอ แถมไม่จำด้วยว่าแม่ฉันสั่งอะไรไว้บ้าง”
“แม่คุณไม่ได้สั่งอะไรฉัน แต่การกระทำแบบนั้นเขาเรียกว่าขอร้อง ถ้าคุณว่างมาก ลองเอาเวลาไปเรียนภาษาและการตีความก็ดี จะได้ไม่ลำบากตอนสอบเข้ามหาลัย”
“นี่เธอว่าฉันเหรอ” ด้วยคำพูดเชือดเฉือนนิ่ม ๆ ของเพียงรัก ทำให้ภาคินเริ่มแสดงออกว่าเขารู้สึกไม่พอใจเธอ
“ฉันไม่ได้ว่าสักหน่อย แต่ที่พูดก็เพราะหวังดี”
“หวังดีงั้นหรอ...” ร่างสูงกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินลงไปที่ม้านั่ง สิ่งที่เขาเห็นก็คือคนตัวเล็กที่ให้ความสนอกสนใจกับไม้อวบน้ำต้นน้อยซึ่งเจ้าตัวกำลังถืออยู่อย่างระมัดระวัง
ต้นไม้นั่นมีดีอะไรกว่าเขากันนะ ทำไมจะต้องไปประคบประหงมมันขนาดนั้น ภาคินคิดพลางรู้สึกน้อยใจ
เมื่อเพียงรักชำเลืองเห็นว่าเจ้าเด็กมีปัญหาได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เธอก็เบนหน้าหนีไปทางอื่นทันที
เฮ้อ นี่เขาจะรู้บ้างไหมนะ ว่าสงครามเย็นระหว่างเขากับเธอเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจที่สุดอีกหนึ่งเรื่องเลย
“ไม่กล้ามองหน้าฉัน เขินเหรอ?” แม้จะเป็นเพียงการพูดหยอกล้อ แต่ก็ดูจะได้ผลกับร่างบางตรงหน้าดี เพราะเธอหันขวับกลับมาแทบไม่ทัน แถมยังมองค้อนด้วยความไม่พอใจด้วย
“บ้าสิ”
แล้วร่างสูงก็วางมือสองข้างไว้บนพนักม้านั่ง สร้างช่องว่างระหว่างร่างของเพียงรักกับช่วงแขนทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้ จนคนที่นั่งอยู่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา
“โกหกเก่งน้อยลงนะเรา” ในขณะที่กำลังพูด เขาก็ยกนิ้วขึ้นมาเคาะปลายจมูกเล็ก ๆ ของเพียงรักเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ให้มันน้อย ๆ หน่อย” เธอตะหวาดเสียงหลง ทั้งยังมองหน้าคนขี้แกล้งด้วยความไม่พอใจ
“เธอเขินจริง ๆ ด้วย”
ร่างสูงพูดจายียวนกวนประสาทคนตัวเล็กอย่างสนุกสนาน เพราะการแกล้งเพียงรัก จนทำให้เธออารมณ์เสีย เป็นเรื่องที่เขาชอบทำมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว
“ใครเขาจะไปเขินกันล่ะ”
ร่างบางพึมพำเสียงเบาพลางเสมองไปทางอื่น เพราะความใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ หรือดวงตากลมโตที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อราวเทพบุตรซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยความซุกซน อาจจะทลายบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจเธอมาเนิ่นนานก็เป็นได้
“ถ้าไม่เขินแล้วจะหลบตาฉันทำไม นี่ก็ครั้งที่ 4 หรือครั้งที่ 5 ที่เธอเอาแต่มองไปทางนู้นที แล้วก็ทางนี้ที”
“พอได้แล้ว! ฉันจะเข้าบ้าน...”
ในขณะที่ร่างบางกำลังรู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูดของคนตรงหน้า จู่ ๆ ร่างสูงก็โน้มใบหน้าคมคายลงมาอยู่ระดับเดียวกันกับคนตัวเล็ก ก่อนจะตีตราเจ้าของริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อด้วยสิ่งเดียวกัน เขาขยับมันด้วยจังหวะเดียวกับการหายใจ แล้วส่งลิ้นอุ่นลุกล้ำเข้าไปช่วงชิงความหวานจากโพรงปากของคนที่อยู่ด้านล่าง
แม้เธอจะพยายามขัดขืน แต่ก็เหมือนปลาที่ติดแห
ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ก็หมดแรงไปเท่านั้น จึงยอมให้คนโลภตักตวงไปจนกว่าจะพอใจ โดยเหตุการณ์นี้ได้ดำเนินไปเนิ่นนาน จนร่างสูงค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“คุณนี่มัน...” ร่างบางพูดทั้งที่ยังหอบเหนื่อยจากบทรักร้อนแรงเมื่อครู่
“อื้ม พึ่งเข้าใจคำว่าฮอตเนิร์ดก็วันนี้ เซ็กซี่ดีเนอะ เธอว่าไหม”
“มันจะมากไปแล้วนะ!”
“เธอจูบตอบด้วย” ภาคินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
แต่ในความคิดของเพียงรักนั้น มันเหมือนกับกำลังเห็นซาตานตัวร้ายกำลังเยาะเย้ยเธออย่างสนุกสนาน
“คุณภาค!” แล้วเส้นด้ายแห่งความอดทนของเธอก็ขาดสะบั้น
ร่างบางตวาดเสียงหลง ก่อนจะผลักร่างสูงออก แต่ในขณะที่กำลังจะลุกและเดินหนีไปนั้น ภาคินก็เอื้อมมือไปวางบนไหล่ทั้งสองข้างของเพียงรัก และกดร่างของเธอให้กลับไปนั่งลงตามเดิม แล้วส่งผ่านถ้อยคำบางอย่างด้วยเสียงกระซิบอันแผ่วเบาที่ข้างใบหูเล็กของเธอ
“ผมกลับมาแล้วนะ เพียงรัก”
‘ใครใช้ให้เธอเรียกชื่อฉัน คนอย่างเธอไม่มีค่าพอที่จะรู้จักฉันด้วยซ้ำ แล้วก็สำเหนียกด้วยว่าฉันไม่มีวันนับญาติกับคนที่เป็นลูกติดปรสิตอย่างเธอ พี่บ้าพี่บออะไร ฉันมีพี่แค่คนเดียวเท่านั้น อ้อ ทีนี้ก็คงจะรู้แล้วสินะ ว่าควรเรียกฉันยังไง จำใส่สมองเล็ก ๆ ของเธอด้วยล่ะ’
‘ยัยกาฝาก ไปยกกล่องของเล่นที่อยู่บนนั้นลงมาซะ อย่าทำหล่นเชียวล่ะ แพง ๆ ทั้งนั้น ก็มันเป็นของที่คุณพ่อสุดที่รักของคุณแม่ซื้อให้ฉันน่ะสิ’
‘เธอก็แค่แกล้งทำเป็นฉลาดใช่ไหม ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางอ่านหนังสือพวกนั้นรู้เรื่องหรอก ทำตัวแบบนี้คิดว่าจะได้ใจแม่ฉันเหรอ’
‘ฉันเกลียดเธอ เมื่อไหร่เธอกับพ่อของเธอจะออกไปจากครอบครัวของฉันสักที’
นั่นเป็นชิ้นส่วนความทรงจำวัยเด็กของเพียงรัก ซึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่แสนร้ายกาจของภาคิน
ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงดังกึกก้องและชัดเจนในใจเธอเสมอมา ระหว่างเธอกับเขาในอดีต มันมีแต่เธอที่ต้องคอยรับมือความเจ็บปวดกับความเสียใจที่เขาสาดซัดมาอย่างไม่หยุดหย่อน
เพียงลับหลังแม่ของเขาและพ่อของเธอไป ภาคินก็เปลี่ยนจากขาวเป็นดำทันที
พอคนเป็นพ่อมาเสียตามคนเป็นแม่ไป ทุกอย่างก็เลวร้ายลงมากกว่าเดิม จนเพียงรักตัดสินใจย้ายมาเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนแถวบ้านหลังเก่า
บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำงดงามที่พ่อกับแม่สร้างไว้ บ้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังยามเช้าหลังนั้น มันเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเยียวยาสภาพจิตใจของเธอ
แม้ว่าการย้ายออกจากบ้านครั้งนั้นจะถูกคัดค้านจากแม่เลี้ยงแสนดีของเธอก็ตามที
A PIECE OF PIANGRAK:
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากเล่าให้คุณฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักอยู่คนหนึ่ง เธอเกิดมาในครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพ่อเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่หาตัวจับยากสุด ๆ มีแม่เป็นช่างทำขนมปังชั้นเซียนและมีร้านเป็นของตัวเอง
พวกเขาต่างก็เป็นรักแรกพบของกันและกัน ซึ่งมันเริ่มจากวันที่พ่อของเธอตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อขนมในเบเกอร์รีที่แม่เป็นเจ้าของ
และหลักฐานที่บ่งบอกถึงความรักระหว่างคนทั้งสองได้ดีสุด ก็คือเด็กสาวคนนั้น
แม้จะมีเงินทองเข้ามาไม่ขาด แต่พวกเขาต่างก็เลือกวิถีทางที่เรียบง่าย เพราะแม่ของเด็กสาวรักความเงียบสงบ เกลียดสังคมที่วุ่นวาย และถือเอาชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องใหญ่
เชื่อสิว่าเธออาจจะเกิดมาในคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ได้ หากคนเป็นพ่อไม่ยอมตามใจแม่
และด้วยอิทธิพลจากความคิดของคนเป็นแม่ จึงทำให้เด็กสาวเติบโตมาราวกับเป็นร่างโคลนนิงของเธอ
ภายใต้บรรยากาศบ้านไม้สองชั้นหลังสีขาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังอบใหม่ของแม่ทุกเช้าตรู่ และกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้หลากสีที่ลอยมาแตะจมูกของเด็กสาว ยามเธอวิ่งไปงอแงกับพ่อ ในตอนที่เขากำลังดูแลสวนหลังบ้าน
อ่า ฉันเป็นเด็กสาวที่มีความสุขที่ในโลก เธอคิดแบบนั้น
แต่โบราณว่าไว้ ความสุขมันแสนสั้น
แล้วอุบัติเหตุทางถนนก็พรากชีวิตแม่ของเด็กสาวไปในตอนที่เธออายุได้ 10 ขวบ
4 เดือนต่อมา พ่อของเธอก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่ แน่นอนว่าตัวของเด็กสาวเองที่ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้น ก็ได้แต่ถามและตำหนิคนเป็นพ่อว่า ทำไมถึงแต่งงานใหม่ แล้วเขาเอาแม่ของเธอไปไว้ที่ไหน
เมื่อเด็กสาวย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านภรรยาใหม่ของพ่อ มันเปรียบเสมือนกับการที่เธอเอาตัวเองไปยืนอยู่ตรงปลายสุดของขอบหน้าผา แล้วกระโดดลงไปด้านล่างหุบเหวลึกที่แสนมืดมิด ซึ่งคนที่ทำให้เธอรู้สึกแย่แบบนั้น ก็คือลูกติดของแม่เลี้ยงที่มีวัยใกล้เคียงกับเธอ
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวอันแสนเลวร้าย ที่เกิดจากความเกลียดชังของลูกติดคนนั้น
เด็กสาวถูกเขากลั่นแกล้งสารพัด ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายและจิตใจ โดยที่เธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเธอทำผิดอะไร ผิดตรงไหน แล้วทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้
แม้เด็กสาวจะมีช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้รับการทะนุถนอมจากแม่และพี่ชายคนใหม่ แต่นั่นก็ไม่อาจทดแทนช่วงเวลาอันแสนเลวร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับน้องชายคนใหม่
แล้วมันก็เกิดจุดพลิกของเรื่องราวที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้าอีกครั้ง เมื่อโรคร้ายมาพรากชีวิตคนเป็นพ่อไปในตอนที่เด็กสาวอายุได้ 14 ปี และนั่นก็ทำให้เธอรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงแต่งงานใหม่
เขาไม่ได้กลัวว่าเด็กสาวจะขาดความรักจากแม่
แต่เป็นเพราะเขารู้ตัวดีว่าเวลาที่จะได้อยู่กับเธอ มันแสนสั้น
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อาจทิ้งเด็กสาวให้ไปเผชิญหน้ากับโลกใบนี้เพียงลำพัง จึงตัดสินใจแต่งงานกับคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด เพื่อจะฝากฝังให้เธอดูแลเด็กสาวแทนเขา
มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตหรือโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิต แต่เด็กสาวก็ไม่ได้คิดจะก่นด่าเทวดาบนฟ้าหรอกนะ เพราะเธอเชื่อมาเสมอว่าฉันต่างหากล่ะที่ลิขิต ฉันต่างหากที่อยากทำสิ่งนี้ และจะไม่มีใครมาห้ามฉันได้ทั้งนั้น
เอาล่ะ แม้ว่านิทานจะจบลงแล้ว แต่ชีวิตมันก็ต้องไปต่อ
ตอนนั้นสามีของอาฝนก็เสียไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับแม่ของฉันพอดี พ่อก็เลยไปคุยและทำข้อตกลงกับอาฝนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาในวัยเด็ก ว่าช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้จะทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพื่อพี่ภาม ภาคิน และฉัน
แม้ว่าฉันจะเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไม่จะสนใจความเป็นไปของโลกเท่าไหร่ แต่ฉันดูออกว่าพวกท่านไม่ได้รักกัน
พ่อฉันแทบจะไม่กลับมานอนที่บ้านเลย ท่านจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น ส่วนเวลาทั้งหมดก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่บริษัท อีกทั้งพวกเขาก็แยกห้องนอนกันด้วย ที่สำคัญคือธรรมชาติการสนทนาของคนรักมันไม่ใช่แบบนี้
มองมาจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเขาเป็นเพื่อนกัน
เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่แม่พึ่งจะจากไปได้ไม่นาน
แล้วทำไมต้องพาฉันมาอยู่ที่นี่
เอ่อ... ฉันหมายถึงว่า ทำไมต้องพาฉันมาทรมาณอยู่ที่นี่น่ะ
แต่หลังจากที่พ่อล้มป่วยและจากฉันไป งานของอาฝนก็รัดตัวขึ้น จนเธอไม่ค่อยมีเวลามาดูแลเด็กในบ้าน ส่วนพี่ภามก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
ช่วงเวลาอันแสนสงบของฉันก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างน้อยตอนที่พี่ภามยังอยู่ เขาจะคอยช่วยฉันในเวลาที่โดนภาคินแกล้ง แต่พอพี่เขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันก็โดนน้องชายเขาสับเละเป็นปุ๋ยเลย
แค่นึกถึงตอนที่อยู่กับภาคิน ฉันก็รู้สึกขยาดแล้ว
ลองยกตัวอย่างสักเรื่องดีไหม เอาเรื่องนี้นี้ละกัน เขาน่ะเคยฉีกหนังสือเรียนกับการบ้านของฉันบ่อย ๆ
ตอนที่ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ก็เคยเอาซอสถั่วเหลืองเน่ามาราดบนเตียงฉัน หนักสุดก็ปลาเน่า ทุกคนรู้ไหมว่ามันเหมือนกลิ่นศพแค่ไหน
ยังไม่หมดนะ เรื่องที่เลวที่สุดก็คือมาหาว่าฉันเป็นคนขโมยแหวนวงสำคัญของเขาไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเอามาวางที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องฉันแท้ ๆ ดีนะที่ตอนนั้นฉันแก้ปัญหาด้วยการเอามันไปวางในห้องของอาฝนแทน ไม่งั้นซวยแน่
แล้วที่แสบทรวงอีกเรื่อง ก็คือตอนที่เจ้าคนเสียสตินั่นเอาชุดนักเรียนของฉันไปเผาหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่วันนั้นฉันมีสอบ ทีนี้ฉันก็ต้องแก้เกมด้วยการขอใช้ยูนิฟอร์มเก่าของอาฝน เพราะเธอก็จบมัธยมต้นที่โรงเรียนนี้เหมือนกัน
แต่กลับโดนไอ้เด็กนี่หาว่าฉันเข้าไปขโมยของ และหลักฐานก็อยู่ในกระเป๋ากระโปรงตัวนี้
ภาคินเตรียมการมาอย่างยอดเยี่ยม ฉันขอศิโรราบให้กับความร้ายกาจของเขาอย่างไร้เงื่อนไข
แต่โทษที บังเอิญว่าคดีพลิกจ้ะ เพราะหลักฐานดังกล่าวกลับมีของสำคัญที่อาฝนตามหาอยู่ เธอจึงเข้าใจว่าของทั้งสองชิ้นที่เจอในกระเป๋ากระโปรงตัวนี้ คือสิ่งของที่เธอลืมเอาออกก่อนที่จะนำไปซัก
แม้ภาคินจะโวยวายและใส่ร้ายฉันอย่างเต็มที่ แต่อาฝนก็เข้าข้างฉัน พร้อมกับอธิบายเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันถึงไม่มีทางที่จะเป็นคนเอาไป ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะเธอเป็นคนพาฉันมาที่ห้องนี้ครั้งแรกด้วยตัวของเธอเอง และเธอก็เป็นคนหยิบกระโปรงตัวนี้ให้ฉันเองกับมือ
ที่เกริ่นมายังน้อยไป เพราะนี่มันแค่เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน ยังไม่รวมที่โรงเรียน หรือทุกครั้งที่เราอยู่พ้นสายตาของอาฝน ภาคินก็พร้อมจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชกับฉันเสมอ
เมื่อความเฮงซวยของน้องชายคนนี้ มาทำให้ฟางแห่งความอดทนเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง
มันทำให้ฉันได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมาก นั่นก็คือฉันไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับหมอนี่ได้อีกต่อไป
เอ่อ... อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าฉันกำลังวางแผนฆ่าเขา แล้วเอาศพไปถ่วงทะเลซะล่ะทุกคน
เพราะฉันเพียงต้องการที่จะออกไปอยู่คนเดียว หรือออกจากบ้านหลังนี้ไปเท่านั้น
วิธีเดียวที่ทำให้ฉันออกจากที่นี่ได้โดยที่อาฝนจะต้องอนุญาตและไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ก็คือการไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่ดีสุดของประเทศนี้ แถมโรงเรียนนั้นก็อยู่ใกล้บ้านฉันด้วย
แต่เขาลือกันว่าการสอบเข้าของที่นี่โหดหินสุด ๆ เลย แถมต้องแข่งกับเด็กหัวกะทิที่เดินทางมาสอบจากทั่วประเทศอีกด้วย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ฉันขอยอมลำบากอ่านหนังสือ ยอมลำบากเรียนหนักกว่าเดิมสองถึงสามเท่า เพื่อไปให้พ้น ๆ หน้าเจ้าคนเสียสตินั่น
พอสอบเข้าที่นี่ได้แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิด
อาฝนอนุญาตให้ฉันมาเรียนที่นี่ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเดิม แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอม เพราะที่นี่มันไกลจากโรงเรียนนั้นมากจริง ๆ ซึ่งเธอไม่อยากให้ฉันเหนื่อยกับการเดินทาง
แน่นอนว่าชีวิตช่วงม.ปลาย มันทำให้สุขภาพจิตของฉันดีขึ้นมาก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่อยู่กับพ่อและแม่ แต่บ้านหลังนี้ก็สามารถมอบความสุขให้ฉันได้ตลอดมา
จนกระทั่งฉันสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนี้ได้ คนที่ดีใจเกินหน้าคนสอบติดก็หนีไม่พ้นอาฝน ซึ่งเธอก็ส่งของขวัญมาให้ พร้อมกับหาเวลาว่างพาไปเลี้ยงฉลอง
เอาจริง ๆ นะ ฉันอยากรู้สาเหตุที่ว่าทำไมภาคินถึงเกลียดฉันมาโดยตลอด ว่ามันเป็นเพราะการที่พ่อของฉันกับแม่ของเขาแต่งงานกัน หรือมันเป็นเพราะการที่อาฝนชอบเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเขา ซึ่งฉันก็พยายามอธิบายให้เธอฟังไปหลายครั้งแล้ว ว่าบางทีเราจะเอาปลามาปีนต้นไม้แข่งกับลิงไม่ได้
ภาคินเขาเกิดมาเพื่อเป็นสตาร์ล่ะ ทั้งวาดรูปเก่ง ทั้งร้องเพลงเพราะ ทั้งฝีมือการเล่นดนตรีขั้นเซียน ทั้งยังมีสมรรถภาพทางร่างกายที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้เขาเล่นกีฬาได้ดีกว่าใคร นอกจากนี้ในแวดวงของเกมเมอร์ทั่วโลก เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา
เขาก็คืออีกหนึ่งบุคคลคุณภาพที่นาน ๆ ทีจะลงมาส่องแสงให้กับโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงฉันจะพูดถึงด้านแย่ ๆ ของเขาไว้เยอะ แต่ฉันก็อยากให้ทุกคนรู้นะว่าที่จริงเขาเป็นคนใจดี น่ารัก แล้วก็ปฎิบัติกับคนรอบข้างดีมาก เพียงแต่เขาเป็นคนดีที่เกลียดฉัน เขาจึงกลายเป็นคนเฮงซวยสำหรับฉันไปโดยปริยาย
หากมีโอกาสเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา มันจะมีห้องกว้าง ๆ โล่ง ๆ ห้องหนึ่งที่เป็นเหมือนกับพื้นที่จัดนิทรรศการแสดงรางวัลของเจ้าตัวที่ได้รับมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นถ้วยรางวัล เหรียญรางวัล โล่ห์แก้ว หรือเกียรติบัตร พวกมันต่างก็พากันสลอนหน้าอยู่จนเต็มห้อง
แต่ภาคินเคยบอกว่ารางวัลที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือเงิน พวกเหรียญหรือถ้วยเนี่ย ได้มาก็รกห้อง ซึ่งประเด็นนี้เขาพูดถูก ฉันเห็นด้วย
ส่วนเหตุผลที่เขายังเก็บของพวกนี้ไว้อยู่ก็เป็นเพราะอาฝนนั่นเอง แม้ว่าเธอมักจะดุเขาเรื่องผลสอบ แต่เธอก็ดีใจทุกครั้งที่รู้ว่าภาคินได้รางวัลชนะเลิศ หรือทำอะไรสักอย่างจนประสบความสำเร็จ
คือเขาไม่เคยได้รางวัลอื่นนอกจากชนะเลิศ กับอันดับหนึ่งจริง ๆ นะทุกคน อีกรางวัลลักษณะหนึ่งที่เขามักจะได้คู่กันก็คือ Popular vote
อาฝนไม่เคยห้ามในสิ่งที่ภาคินอยากทำเลย แถมเธอยังสนับสนุน แล้วก็ดูจะภูมิใจกับลูกชายคนนี้สุด ๆ ด้วย ที่ไปได้สวยกับสิ่งที่ตัวเองเลือก
แต่ในทางกลับกัน ภาคินดันแย่วิชาการมาก สอบเลขมาทีนึงก็ได้ 2 หรือ 3 คะแนน ไม่ใช่ว่าข้อสอบมี 5 หรือ 10 ข้อนะ แต่นั่นมันข้อสอบปลายภาคที่มีอยู่ 100 ข้อต่างหาก
พอตัดภาพมาที่พี่ภามกับฉัน ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายและดีไปเสียหมด มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ภาคินรู้สึกเหนื่อยล่ะมั้ง ที่ไม่อาจไปสุดได้ทุกทางเหมือนฉันกับพี่ชายสุดที่รักของเขา
แต่เขาควรรู้ว่าตัวเองก็เป็นมหาเทพ และโคตรจะสุดโต่งในเรื่องที่ตัวเองถนัด จนฉันกับพี่ภามเทียบเขาไม่ติดเหมือนกัน
อันที่จริงมันก็น่าสงสาร แล้วก็น่าเห็นใจเวลาที่เห็นภาคินโดนอาฝนบ่นเรื่องผลสอบหรือเกรดเฉลี่ยของเขา แถมยังโดนบ่นคนเดียวในบ้านอีก มันก็คงกดดันแหละ แม้ว่าอาฝนจะไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องเป็นเลิศด้านวิชาการ แต่มันก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ขอให้ได้คะแนนสัก 30% ก็ยังดี ไม่ใช่ได้คะแนนไม่ถึง 10% ทุกวิชาอยู่แบบนี้
คือโรงเรียนนี้ตัดเกรดเฉพาะวิชาการเท่านั้น ส่วนพละ ศิลปะ หรือดนตรี จะให้แค่ผ่านกับไม่ผ่าน
แล้วเวลาอาฝนบ่นทีนะ น่ารำคาญสุด ๆ เลย เพราะเธอจะเข้าสู่โหมดมนุษย์แม่เต็มตัว ที่มักพูดอะไรซ้ำ ๆ วน ๆ ในเรื่องเดิม ๆ อยู่นั่นล่ะ เรียกได้ว่าเป็นการตอกย้ำจนกว่าคนฟังจะลงไปกองกับพื้น
แต่น่าแปลกที่ภาคินดูไม่โกรธอาฝน แถมยังดูเศร้าและกดดันทุกครั้งที่เดินออกมา เขาคงจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มันทำได้เท่านี้
อย่างไรก็ตาม เขาจะเอาอารมณ์ทุกอย่างมาลงที่ฉันไม่ได้หรือเปล่า
เอาล่ะ กลับมาที่เกือบปัจจุบันซึ่งอาฝนจะต้องเดินทางไปที่อังกฤษ เพื่อช่วยงานที่บริษัทสาขาหลักตามคำขอจากพี่ภาม และเธอก็ได้ฝากฝังปีศาจตัวร้ายไว้กับฉัน
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากทำที่สุดในโลก แต่ทุกครั้งที่นึกถึงหน้าอาฝน ความดีงามอันแสนประเสริฐในฐานะผู้ปกครองที่คอยดูแลฉัน ก็จะคอยผุดขึ้นมาย้ำเตือนฉันว่าห้ามลืมบุญคุณของบุพการีคนนี้เด็ดขาด
ถ้าปฏิเสธเธอไป ฉันคงจะรู้สึกละอายใจหนักมาก
เพียงไม่กี่อึดใจที่พ้นสายตาของอาฝนไป เจ้าเด็กนรกนี่ก็แผลงฤทธิ์ใส่ฉันซะแล้ว ไหนจะเรื่องที่มาขโมยจูบกันอีก
แต่ยอมรับก็ได้ว่าฉันเขินจริง ไม่ได้เจอกันตั้งสามปีกว่า ๆ ภาคินโตขึ้นเยอะเลย ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีมาก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะดีได้มากกว่านี้เมื่อเขาอายุมากขึ้น เรียกได้ว่าดูดีจนทำให้ฉันใจกระตุกวูบ เชื่อสิว่าอีกประมาณ 5-10 ปีข้างหน้า เขาจะต้องหล่อกรุบกว่านี้
แล้วฉันก็โดนเจ้าเด็กนี่หาว่าเป็นฮอตเนิร์ด
ถึงฉันจะเนิร์ด แล้วก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ไม่เคยขาดคนคุยนะ ด้วยภาพลักษณ์ของฉันที่สวย แซ่บ และมีเสน่ห์มากนั่นเอง ซึ่งมันขัดกับตัวตนของฉันที่ติ๋มและจืดสนิท
แต่พอมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์ความรัก จากหนุ่มหล่อเลิศแต่เฮงซวยสมัยม.ปลาย มันก็ทำให้ฉันไม่จืดอีกต่อไป สำหรับเรื่องอย่างว่านี่ขอผ่าน เพราะฉันคิดว่านี่ยังไม่ถึงเวลา แล้วก็ยังทำใจเรื่องที่ครั้งแรกมันเจ็บมากและอาจจะมีเลือดออกไม่ได้ด้วย
พอนึกถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของภาคิน ฉันว่าเขาดูเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก
เขาดูไม่ร้ายกับฉันเหมือนเดิม แต่กลับกวนประสาท ขี้เล่น แล้วก็อารมณ์ร้อน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติที่เขามักจะเป็นกับทุกคน
วันนี้อาจจะมีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับเขาก่อนจะมาที่นี่ก็ได้มั้ง
ถ้าจากนี้ไปเขาจะไม่ร้ายกับฉันอีก สัญญาเลยว่าจะพยายามลืมเรื่องราวหรือความรู้สึกแย่ ๆ ที่เขาเคยทำไว้กับฉัน
แต่ไม่รับปากว่าจะหายโกรธได้หรอกนะ
A PIECE OF PHAKIN:
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ไม่ว่าผมจะนอนหลับไปมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา
18 ปี มันก็เป็นเวลาที่นานพอดูเลย
แต่คุณรู้ไหมครับว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ไม่นานพอที่จะสอนใคร
ผมชื่อภาคิน เป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ มีพ่อกับแม่เป็นนักธุรกิจใหญ่ แล้วก็มีพี่ชายสุดเท่ที่อายุห่างจากผม 4 ปี
มองเผิน ๆ ครอบครัวของเราอาจจะดูคล้ายกับบ้านคนรวยส่วนใหญ่ ที่มักจะเลี้ยงลูกออกมาเพื่อเป็นปัญหาของสังคมโดยเฉพาะ แต่บ้านผมไม่ใช่แบบนั้น ทั้งผมและพี่ต่างก็ได้รับความรักและการเลี้ยงดูจากคนเป็นพ่อแม่อย่างดี
แต่พระเจ้าคงจะเห็นว่าชีวิตของผมมันดีเกินหน้าเกินตาชาวบ้านชาวช่องไปหน่อย จึงพรากเอาชีวิตคุณพ่อที่ผมรักและเคารพไป ในตอนที่ผมอายุได้เพียง 9 ขวบ
แล้วไม่นานแม่ก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่ผมรู้เรื่องนี้ก็อาละวาดจนบ้านแตก
และจุดเริ่มต้นของความเกลียดชังที่บางครั้งก็ทำให้ผมกลายเป็นเด็กมีปัญหาก็คือ ลูกติดของพ่อคนใหม่
เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณละเอียด อายุมากกว่าผมหนึ่งปี
แต่ผมกลับไม่ชอบบุคลิกที่โตเกินไวของเธอ ที่มักจะทำตัวเงียบ ๆ คอยสังเกตสิ่งรอบข้าง วางตัวดี และรู้กาลเทศะ
ยิ่งกว่านั้น ความเฉลียวฉลาดของเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ภามเลย และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ จนสุดท้ายผมก็เลิกหาเหตุผลที่จะเกลียดเธอ
เพราะการจะเกลียดใครสักคนมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก
ใครมันจะดีใจที่แม่ตัวเองแต่งงานใหม่ ทั้ง ๆ ศพของพ่อยังไม่ทันเย็นล่ะ
ผู้ชายคนนั้นคงจะเห็นว่าแม่ผมรวย ก็เลยจะมาเป็นปลิงล่ะสิ ผมเกลียดคนแบบนี้มากเลย
และที่ผมเกลียดที่สุด ก็คือการถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น
ตั้งแต่เกิดมา ผมก็โดนเปรียบเทียบกับพี่ภามอยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาโดนเปรียบเทียบกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ แถมเธอก็ไม่ได้เป็นแม้แต่เด็กข้างบ้านหรือเพื่อนร่วมชั้นด้วย
สุดท้ายมันก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่อง ที่เรียนก็ไม่เก่งเท่าพี่ภามกับยัยเด็กนั่น
และความคิดที่ว่า ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าเธอจะมีความสุขอีกต่อไป ก็เข้ามาอยู่ในหัวผม
จากนั้นเป็นต้นมา การกลั่นแกล้งเธอ การต่อว่าให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ หรือการหาเรื่องปวดหัวมาให้เธอ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไป
เพราะผมมีคติประจำใจว่าจะทำทุกอย่าง ที่ทำให้เธอต้องปวดหัว เสียใจ และแอบไปร้องไห้คนเดียว ในขณะที่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผมจะแสร้งทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารัก แต่ลับหลังผมจะสร้างเรื่อง แล้วก็ทำตัวเฮงซวยกับเธอครับ
แม้ว่าพี่ภามจะรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากคอยปกป้องเธอเงียบ ๆ
พอหลังจากพี่ภามไปเรียนต่อที่อังกฤษ แม่ก็ทำงานตัวเป็นเกลียว แล้วพ่อของยัยเด็กนั่นก็มาตายตามแม่ของเธอไป
ช่วงเวลาที่ดี ๆ ของผมกำลังจะเริ่มขึ้น
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เธอไม่อยู่ให้ผมโขกสับ เพราะเธอดันไปสอบเข้าม.ปลายที่อื่น แม้ผมจะอยากตามไปจองเวรอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญญาสอบเข้าไปเรียนที่นั่นหรอกครับ
ส่วนชีวิตม.ปลายของผมก็โอเคดี ผมเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนเฉพาะทางด้านศิลปะและดนตรีชั้นนำแห่งหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ผมสามารถเรียนได้อย่างมีความสุขจริง ๆ สักที
ชีวิตที่ไม่ต้องมานั่งเรียนเลข วิทย์ หรืออะไรก็ตามที่ผมไม่ถนัดและไม่อยากเรียนเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุด แล้วผมก็มีโอกาสได้ทุ่มเทกับสิ่งที่ผมรักและอยากทำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป การเล่นดนตรี และการเล่นกีฬา
ส่วนเรื่องที่ไม่โอเค ก็มีแค่ตอนกลับบ้านมาแล้วเจอแต่หน้าพ่อบ้านกับแม่บ้านนี่แหละ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง
พอมาคิดแล้ว มันก็ดีเหมือนกันที่พ่อกับแม่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับผม ผมจึงได้เรียนในสิ่งที่ชอบและอยากเรียนจริง ๆ
ผิดกับพี่ภามที่ต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง และต้องเรียนในสิ่งที่พ่อกับแม่เลือกไว้เท่านั้น
บางทีผมก็อยากจะถามพี่เขาเหมือนกัน ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ มีความสุขอยู่ใช่ไหม แล้วชีวิตตอนนี้โอเคดีหรือเปล่า
กลับมาที่เกือบปัจจุบัน ซึ่งจู่ ๆ พี่ภามก็มาขอให้แม่กลับไปช่วยงานที่บริษัทสาขาหลักอย่างกะทันหัน แต่เรื่องนั้นมันทำให้ผมนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ จึงเดินไปคุยกับท่าน
“แม่จะทิ้งผมไว้คนเดียวจริง ๆ เหรอ” ผมเดินเข้าไปกอดคุณแม่จากทางด้านหลัง พร้อมกับซุกหน้าลงที่ไหล่ของท่าน
“เจ้าภาค เราโตเป็นหนุ่มแล้วนะลูก ต้องหัดอยู่คนเดียวบ้าง” ท่านตอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ก็บ้านหลังมันใหญ่เกินไป”
“อืม... งั้นไปอยู่กับหนูเพียงดีไหมลูก จะได้ไม่เหงา อีกอย่างแม่จะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงเราด้วย”
“ก็เป็นความคิดที่ดีครับ ไม่ได้เจอพี่เพียงตั้ง 3 ปี ไม่รู้ว่าพี่เขาจะคิดถึงผมบ้างไหม แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการรบกวนพี่เขาหรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงนะลูก หนูเพียงจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เดี๋ยวแม่จะช่วยพูดให้อีกแรง เอ... เมื่อก่อนแม่เห็นว่าเราเอาแต่แกล้งเขา จนเขาทนไม่ไหวต้องย้ายออกไป อยู่ดี ๆ ทำไมวันนี้ถึงนึกอยากเจอเขาขึ้นมาล่ะ เจ้าตัวแสบ”
“พี่เพียงย้ายออกก็เพราะไปเรียนต่อต่างหาก มันไม่ได้เป็นเพราะผมสักหน่อย แล้วผมก็โตมากับพี่เขา คนเคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน มาแยกจากกันเป็นปี ๆ มันก็ต้องอยากเจอสิครับ”
“โอเค ๆ แม่เข้าใจละ งั้นแม่จะฝากเราไว้กับหนูเพียง ขาดเหลืออะไรก็บอกนะลูก”
ใช่แล้วครับ เป็นเพราะผมเอง
ที่จริงก็ไม่ได้อยากเจออะไรขนาดนั้น แต่ผมไม่ยอมให้เธอไปใช้ชีวิตอย่างสบายใจคนเดียวหรอก
สำหรับครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่เราเจอกัน ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเธอเติบโตมาดีแค่ไหน
ใบหน้าที่สละสลวยงดงามเกินใคร ช่างเข้ากันกับผมสีปีกกาสั้นประคอระหงเหลือเกิน อีกทั้งรูปร่างที่ได้สัดส่วนก็เหมาะกับชุดมินิเดรสสีขาวแขนกุดที่เธอใส่ดี
เมื่อหยุดมองที่ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ ซี่งขลับกับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอ ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากแม่ตอนสาว ๆ ก็มีแต่เธอนี่แหละ ที่ผมยอมรับว่าสวยมาก
อ้อ! แล้วที่ผมแกล้งเธอไปเมื่อครู่นี้ ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอก
แต่เป็นเพราะน้ำหอมกลิ่นวนิลามิ้นต์ที่เธอใช้ แล้วก็ใบหน้าขาวนวลที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฝาดนั่นต่างหาก ที่ทำให้ผมอยากแกล้งเธอหนักกว่าเดิม
ก็ใครใช้ให้เธอโตมาแล้วสวยขนาดนี้วะ คนอะไรสวยจนใจเจ็บ หรือที่จริงแล้วเธออาจจะเป็นเฮเลนออฟทรอยกลับชาติมาเกิด
ผมเกลียดข้ออ้างของตัวเองชะมัด คือผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบเธอ แต่พอมารู้ตัวอีกที ผมก็ไม่สามารถพูดจาดี ๆ หรือทำอะไรดี ๆ ได้แล้ว ผมชินที่จะหาเรื่องเธอมากกว่า
นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยงามสมวัย ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ เธอยังคงเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง มีเหตุผล และโลกส่วนตัวสูงเหมือนเดิม
และอีกเรื่องที่มันจะต้องเหมือนเดิมตลอดไป คือเธอจะไม่มีสิทธิ์เสียน้ำตาให้ใครนอกจากผม!
ตัดภาพมาที่ความทรงจำของหญิงสาววัยกลางคน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนรักของเธอกำลังกล่าวคำสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
“แม้จะเป็นคำขอที่ดูเห็นแก่ตัว แต่หากว่าเจ้าเพียงเรียนจบมหาลัย แล้วยังไม่เจอผู้ชายที่ดีพอ ขอฝากชีวิตหลังแต่งงานของลูกสาวผมไว้กับเจ้าภามได้ไหม”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลหนูเพียงอย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องของเด็กสองคนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ฉันหวังไว้อยู่แล้ว”
“แต่ต้องให้เพียงเป็นคนตัดสินใจเองนะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาขอ เพราะตัวหล่อนเองก็คงไม่ยอมปล่อยให้เด็กสาวคนนี้ไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น
แน่นอนว่าการเดินทางไปอังกฤษครั้งนี้ เธอต้องการคุยกับลูกชายคนโต ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเขากับลูกสาวของเพื่อนรัก
แต่หล่อนคงจะลืมนึกถึงหัวอกของลูกชายคนเล็ก ในวันที่เขาต้องรับรู้เรื่องนี้
A PIECE OF PIANGRAK:
“เพียง ทำไมตู้เย็นบ้านเธอมันถึงร้างเป็นป่าช้าแบบนี้ล่ะ”
เสียงของภาคินดังขึ้น ในขณะที่เขากำลังทิ้งตัวลงบนเบาะโซฟาข้าง ๆ ฉัน
และมันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดไม่ใช่น้อย เพราะความเงียบสงบที่ฉันรักกำลังจะหายไป
“ก็มันไม่ใช่ตู้เย็นบ้านคุณนี่ ที่จะได้มีคนซื้อของมาเติมอยู่ตลอดเวลา” ฉันตวัดสายตามองเขา ก่อนจะกลับไปสนใจกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
“เดี๋ยวนี้ยอกย้อนเหรอ นี่ไม่กลัวว่าฉันจะสร้างเรื่อง แล้วเอามาให้เธอปวดกบาลเล่นใช่ไหม แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันหิวอะ” ร่างสูงทำหน้าตาออดอ้อนน่ารัก พลางดัดน้ำเสียงให้น่าฟัง
“งั้นอีกสัก 30 นาที ค่อยไปซุปเปอร์มาร์เก็ตละกัน”
“ไม่เอา! เธอต้องไปเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉันหิวมาก แล้วคุยกับฉันอยู่ ก็หยุดอ่านหนังสือน่าเบื่อนั่นสักที” ภาคินแสร้งทำท่าทีกระฟัดกระเฟียด
เอาล่ะ ฉันอาจจะแปลกใจที่ภาคินหล่อได้มากกว่าที่เคยเป็น แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้น ก็คือการที่เขาสามารถเอาแต่ใจได้มากกว่าเดิม คือเพดานหรือจุดสิ้นสุดของนิสัยนี้มันไปอยู่ตรงไหน แถมยังทำตัวเยอะอย่างกับผู้หญิงงี่เง่าพวกนั้น ฉันล่ะเหนื่อยหน่ายใจนัก
“ถ้าหิวขนาดนั้น ฉันทำอะไรให้กินก่อนดีไหม”
“ไม่เอา! เราต้องไปซื้อของกันเดี๋ยวนี้”
ภาคินถือวิสาสะหยิบหนังสือที่ฉันกำลังอ่านอยู่ไป ก่อนจะจับมือฉันแล้วออกแรงดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็ลากฉันออกไปที่หน้าประตูบ้าน
“นี่! เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้เตรียมตัว...”
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ใจได้ขนาดนี้
แล้วฉันก็ต้องยอมทุกที เพราะสู้แรงเจ้าเด็กนี่ไม่ไหว
“ฉันยังไม่ได้หยิบกุญแจรถเลย”
“ใกล้ ๆ แค่นี้ไม่ต้องขับรถไปหรอก ถ้าเธอจะไม่ยอมใส่ใจใคร ก็ควรใส่ใจโลกบ้างสิ” เขาพูดพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างมีนัย
“แล้วคุณคิดจะซื้อของกี่อย่างกัน ฉันไม่อยากลำบากตอนขากลับนะ แล้วที่คุณพูดแบบนั้น คิดว่าฉันเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจรักใครไม่เป็นเหรอ”
“ซื้อไม่เยอะหรอก เธอถือกลับได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”
สีหน้าระรื่นของภาคินคือลางบอกเหตุชั้นดี ว่าอีกไม่ช้าจะมีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น
และฉันจะไม่ยอมแบกของกลับคนเดียวหรอกนะ คอยดูสิ!
ณ ห้างสรรพสินค้า
ทันทีที่มาถึง ฉันกับภาคินก็เดินตรงดิ่งไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของห้างแห่งนี้
ระหว่างที่เรากำลังเลือกของกันอยู่นั้น เขาก็วางท่าราวกับคุณชายที่พกคนรับใช้มาช่วยถือของ
ในตะกร้ารถเข็นยังไม่มีของที่ฉันต้องการจะซื้อเลยสักชิ้น ขณะที่เจ้าคนเสียสตินั่นเอาแต่หยิบของใส่รถเข็นอย่างบ้าคลั่ง แล้วน้ำอัดลม 2 ลัง นมสด 3 แกลลอน น้ำผลไม้ 6 กล่องใหญ่ มันคืออะไรเนี่ย ยังไงฉันก็ถือกลับไม่ไหว
แล้วก็ทำเป็นมาบอกว่าใส่ใจโลก มันก็แค่ข้ออ้างของคนเฮงซวยที่อยากหาเรื่องแกล้งชาวบ้านไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ
“ของที่ฉันอยากได้ครบแล้วนะ ถ้าเธอจะเลือกของต่อก็ตามสบาย ส่วนฉันจะไปทำธุระที่อื่นต่อ แล้วก็อย่าคิดเอามันออกเชียวล่ะ เพราะฉันจำของทุกชิ้นที่อยู่ในนี้ได้ และถ้าเกิดว่ามันขาดไปสักชิ้นล่ะก็ เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องเจออะไร”
รอยยิ้มปีศาจของภาคินทำฉันแทบจะกรีดร้องกลางห้าง แล้วเขาก็เดินหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
เอายังไงดี นี่ยังไม่ได้ซื้อพวกอาหารสด กับของใช้ในบ้านเลยนะ
แล้วไหนบอกว่าหิวข้าวไง ทำไมถึงหยิบแต่ขนมไร้สาระมา
และเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ก็คือการที่ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์ออกมาด้วยนี่แหละ
แต่ในขณะที่ฉันยืนกังวลอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มหวานที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง
“เพียง”
“พี่ปัณณ์ มาได้ไงเนี่ย ไม่คิดว่าจะเจอพี่ที่นี่ ” ฉันกล่าวทักด้วยน้ำเสียงสดใส
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ร่างสูงถามกลับด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเข้ามาเดินข้าง ๆ ฉัน
“ปกติเห็นอยู่แต่ที่ตึกคณะ โรงอาหาร แล้วก็ที่ตึกคณะอีกนั่นแหละ”
“ให้ได้เจอกันที่อื่นบ้างเนอะ ขอร้องล่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
พี่ปัณณ์เป็นรุ่นพี่คนแรกที่ฉันรู้จักตอนเรียนม.ปลาย
ความจริงก็ไม่คิดว่าจะได้สนิทกับเขาขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญ ที่ฉันมักจะเจอพี่ปัณณ์ที่ร้านกาแฟบ่อย ๆ
ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปนั่งร้านไหน ก็จะเจอพี่เขาตลอด ซึ่งฉันตอนแรกฉันก็สงสัยว่ามันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วยเหรอ
แต่ก็ลองคิดในแง่ดีว่าพวกเราอาจจะมีรสนิยมเรื่องเครื่องดื่มเหมือนกัน หรือไม่ก็อาจจะขยันเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอกันที่ร้านกาแฟโต้รุ่ง แล้วเวลาที่เจอกันเขาก็อ่านหนังสือหนักตลอดเลย
แล้วมันก็มีวันหนึ่งที่ฉันหาโต๊ะไม่ได้เพราะเป็นช่วงสอบปลายภาค ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่จะนิยมมาอ่านหนังสือกันที่ร้านกาแฟโต้รุ่ง
ในขณะที่ฉันกำลังถอดใจและเดินออกจากร้านไป จู่ ๆ พี่ปัณณ์ก็เดินมาเรียกฉัน แล้วพูดว่ามานั่งกับพี่ก็ได้ สุดท้ายเราก็รู้จักกัน
จากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็มีเพื่อนอ่านหนังสือ
มีครั้งหนึ่งที่เขาแอบงอแงว่าไม่อยากอ่านแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นปีแห่งการตัดสินอนาคต ป่านนี้เขาคงจะปิดหนังสือ แล้วลากฉันไปเที่ยวที่ไกล ๆ สักแห่ง
แต่หลังจากที่พี่ปัณณ์สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้ ฉันก็แทบจะไม่เห็นเขาอีกเลย
พอเวลาผ่านไปได้สองปี จากรุ่นน้องที่โรงเรียนในวันนั้น ก็กลายเป็นรุ่นน้องต่างคณะในวันนี้ และด้วยเหตุที่ว่าคณะแพทย์กับวิศวะอยู่ใกล้ ๆ กัน ฉันจึงได้เจอหน้าพี่ปัณณ์เกือบทุกวัน ไม่ว่าเป็นที่ร้านถ่ายเอกสาร ที่ร้านกาแฟใต้ตึกคณะ และที่โรงอาหาร
“ว่าแต่ทำไมคนเรียนหนักถึงได้หน้าตาสดใสนักล่ะ”
“ก็คนมันหล่อ ต่อให้โทรมก็ดูดีไหม ว่าแต่เราเถอะ ทำหน้ากังวลมาตั้งแต่เมื่อกี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“พอดีว่าฉันมาซื้อของกับน้องค่ะ แต่บังเอิญว่าน้องขอออกไปทำธุระก่อน ปัญหาคือสถานที่ที่เขาไปอยู่ไกลจากห้างนี้พอควรเลย ซึ่งเขาคงจะกลับมารับฉันไม่ทันแน่นอน แล้ววันนี้ห้างก็ปิดเร็ว ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับของพวกนี้ดี”
ขอโทษที่ต้องโกหกนะคุณพี่ปัณณ์ ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้จริง ๆ
“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพี่ไปส่ง แต่พึ่งรู้นะเนี่ยว่าเราก็มีน้อง พี่เข้าใจมาตลอดว่าเพียงเป็นลูกคนเดียว”
“ฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ แต่น้องที่พูดถึงเป็นลูกติดของแม่เลี้ยง”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง งั้นพี่ไม่ถามแล้วดีกว่า ว่าแต่เราอยากซื้ออะไรอีกไหม”
“วันนี้ฉันว่าจะทำเค้กแครอท แล้วก็ของคาวอีกหลายอย่างเลย งั้นเราไปที่โซนอาหารสดกันเถอะ”
“เค้กแครอท~ อยากกินอะ พี่ไม่ได้กินขนมฝีมือเรานานแล้วนะ”
“ไว้ฉันจะเอาไปให้ที่คณะแล้วกันค่ะ ว่าแต่พี่ควรหัดตอบแชทคนอื่นบ้างสิ”
“ได้ ๆ พี่จะรอ รอตอบแชทเรา รอขนมของเราด้วย” พี่ปัณณ์พูดพร้อมกับยื่นมือมายีผมฉัน
พอเห็นรอยยิ้มน่ารักสดใสของเขาแบบนี้ ก็นึกถึงช่วงเวลาที่ฉันแอบชอบเขาขึ้นมา
แต่ตอนนั้นจังหวะไม่ดีเอาซะเลย เพราะพี่เขาดันมีแฟนอยู่แล้ว ฉันก็เลยต้องตัดใจ แต่พอพี่เขาเลิกกับแฟนไป แล้วก็มีท่าทีว่าจะสนใจฉัน ฉันก็ดันคบกับคนอื่นอยู่
บางทีพวกเราคงเหมาะกับความสัมพันธ์แบบนี้ที่สุดแล้วมั้ง
ตัดภาพมาที่ภาคิน ซึ่งเขากำลังจับจ้องไปที่หญิงสาวกับชายแปลกหน้าผู้เป็นเจ้าของรถคันสีขาว
เขาเห็นตั้งแต่ตอนที่ชายคนนั้นเดินไปเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ ก่อนจะช่วยพยุงร่างเล็กของหญิงสาวให้ลุกขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันขนของลงจากรถ
แม้คนเฝ้ามองไม่อาจรับรู้ได้ถึงเนื้อความในบทสนทนาของหญิงสาวกับชายแปลกหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นอย่างชัดเจน คือรอยยิ้มอันแสนสดใสของหญิงสาวที่เขาไม่เคยได้รับจากเธอเลยสักครั้ง
และความรู้สึกของเขาตอนนี้ ก็เหมือนกับคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ ที่รอเวลาถาโถมใส่หญิงสาวคนนั้น
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!