ตรี๊ดๆๆๆ... ตรี๊ดๆๆๆ... ตรี๊ดๆๆๆ..
เสียงนาฬิกาปลุกแสนหน้ารำคาญที่ดังต่อเนื่องอยู่ในห้องนอนเพื่อปลุกให้ผมตื่นในแต่ละวัน
ด้วยอาการงัวเงียและรู้สึกนอนไม่พอยังคงดึงผมให้จมอยู่กับหมอน เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อไป ด้วยความหงุดหงิดบวกกับความขี้เกียจผมจึงหยิบหมอนข้างสีน้ำเงินลายมิ๊กกี้เมาส์ขึ้นมาอุดหูไว้ หวังให้มันลดเสียงที่หน้ารำคาญนั้นไป... แต่ทันใดนั้น
ตึก.. ตึก.. ตึก... ตึก.. ตึก..
เสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ และในทุกๆย่างก้าวเต็มเปลี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
.. ปังงงงงงง! เสียงประตูที่เปิดออกอย่างรุนแรงและไปกระทบกับผนังห้อง
ผมที่กำลังนอนงัวเงียอยู่บนเตียงรู้สึกหนาวสันหลังในทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดตื่นขึ้นในทันใด รีบเด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียงแบบอัตโนมัติและหันหน้าไปทางประตูซึ่งเป็นต้นเสียง ทันใดนั้นเอง!
แม่ : มึงซินอนเอาโล่ทองคำติบักเอก!! .. บ้านเมืองเขาไปฮอดกรุงเทพแล้ว มึงคาแต่นอนกองดากอยู่นี้ละ บ่ทันขี้หมาหยังเขาดอกมึง!! ลุกหาอาบน้ำอาบในไปโรงเรียนทะแม้!! หึมึงซิให้กุแต่งขันธ์ 5 มามนต์ดีบ่!!! ห่าขั่ว!
เสียงสบถเป็นชุดๆเหมือนกับปืนไรเฟิลที่ใช้ในสนามรบยิงสาดกระสุนใส่หน้าผมเต็มๆ .. ใช่ครับ นี่คือเสียงที่ชนะนาฬิกาปลุกทุกเรือนบนโลก หรือแม่ผมเอง..
เมื่อได้ฟังเทศน์จากมารดาผู้ให้กำเนิดจนหนำใจแล้ว ผมจึงรีบย้ายก้นไปอาบน้ำในทันที แต่ก็ยังได้ยินเสียงบ่นจางๆ ของแม่ตามหลังมา..
ผมชื่อ เอกภพ มาดี ชื่อเล่น เอก แม่ตอนปกติเรียก เอก ตอนแปลงร่างเรียก บักเอก ส่วนเพื่อนเรียก ไอ้เอก
ตอนนี้ผมเรียนอยู่ ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านแห่งนึง อธิบายแค่นี้ก่อน ตอนนี้ผมรีบมาก เพราะมีเรียนวิชาพุทธศาสนาตอน 8 โมง ครึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็ 8 โมง 15 นาที แล้ว พอเเต่งตัวเสร็จผมรีบวิ่งลงบันไดมา แล้ววิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านในทันที มือซ้ายคว้าลูกบิดประตู มือขวาคว้ารองเท้าผ้าใบสีขาวที่ชั้นวางรองเท้า กำลังจะเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนจากห้องครัวมา
แม่ : บ่กินข้าวก่อนติ
ผม: บ่ทันแล้วแม่ สายแล้วๆ
แม่ : ซันละ ดึกดื่นเที่ยงคืน บ่จักหลับจักนอน เล่นตายแต่เกม... @#&)%)$##% เหมือนแม่กำลังจะเทศน์อีกครั้ง ผมจึงรีบตัดบทก่อนจะยาว
ผม : ไปเรียนก่อนเด้อ แม่หวัดดีครับ
พอใส่รองเท้าเสร็จ ผมรีบคว้ามอเตอร์ไซต์คู่ใจสีดำ ตัดเส้นด้วยสีแดง บึ่งไปมอ.ทันที...
ตึกๆๆๆๆๆ... แฮกๆๆ ตึกๆๆ แฮกๆ...
เสียงผมที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ เพราะต้องวิ่งจากชั้นที่ 1จนถึง ชั้นที่ 7 แต่ตอนนี้พึ่งถึงชั้นที่ 4 ก็แทบจะได้คลานขึ้นบันไดแล้ว พอหันไปดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ซึ่งตอนนี้เข็มสั้นอยู่ที่เลข 8 เข็มยาวก็อยู่ที่เลข 8 เหมือนกัน นั่นหมายถึงผมสายไป 10 นาทีแล้ว... แรงเฮือกสุดท้ายจึงทำให้ผมวิ่งขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 7 แล้วรีบตามหาห้องเรียน
ผม : 701....702.....703....704...! เจอแล้ว
705 ห้องเรียนพุทธศาสนา
ผมยืนนิ่งหน้าประตูแบบเลื่อนสีเทาหรือก็คือหน้าห้องเรียนพุทธศาสนานั่นแหละครับ รวบรวมความหน้าด้านทั้งหมดที่มีแล้วเปิดประตู
คลืดด~~~~ ตึก!..
สายตาทุกดวงประมาณ 40 คู่ จับจ้องมาที่ผม ผู้ยืนอยู่หน้าประตูเพียงคนเดียว...
อาจารย์ประจำวิชา ดูลักษณะเป็นผู้ชายมีอายุ เพราะผมเริ่มมีสีขาวในบางจุด กำลังยืนอธิบายสไลด์ให้นักศึกษาฟัง หันไปดูนาฬิกาหลังห้องแล้วหันกลับมาพูดกับผม
อาจารย์ : สาย 15 นาทีตั้งแต่วันแรกเลยนะ ไปหาที่ว่างนั่งซะ
ผม : ครับ...
พอกำลังจะเดินเข้าห้อง ก็ได้ยินเสียงอาจารย์พูดขึ้น
อาจารย์ : ก้าวขาซ้ายเข้ามาก่อนด้วย
ผมเสียหลักเล็กน้อย เพราะก้าวขาขวาก่อน เสียงหัวเราะคิ๊กคักเบาๆ จากนักศึกษาก็ดังขึ้น ผมยิ้มแก้เขิลนิดหน่อยแล้วก้าวขาซ้ายเข้าห้องก่อน ตามที่อาจารย์บอก ซึ่งก็ตะหงิดอยู่ในใจ ว่าทำไปทำไม?
ผมกวาดตามองภายในห้องเรียนที่มีลักษณะเป็นชั้นๆเหมือนบันได ก็เห็นไอ้กฤษนั่งยุหลังห้อง ซึ่งมันยังหัวเราะไม่เสร็จ มันกวักมือแล้วชี้ให้ผมมานั่งข้างๆมันผมเดินไปบ่นกับมันเล็กน้อย เพราะเล่นเกมกับมันเมื่อคืนจนดึก ผมดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง หยิบสมุดขึ้นมาเพื่อแล็คเชอร์ ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องเรียกชื่อผม
อาจารย์ : นายเอกภพ "ผี" คืออะไร?
"ผี" หรอ? ผีมีจริงบนโลกนี้ด้วยหรอ?
ผมคิดสงสัยอยู่ในใจ เกี่ยวกับคำถามที่อาจารย์ถาม เพื่อหาคำตอบ แต่ก็นั่นแหละคนยุคผมไม่มีความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราเกิดมาในยุคที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอิทธิพลกับชีวิต เรื่อง ภูติ ผี วิญญาณ สำหรับเด็กยุคเราๆ จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย...
ผมยืนขึ้นแล้วตอบคำถามอาจารย์
ผม : "ผี" คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงครับ เป็นแค่การอุปมาอุปไมยของคนโบราณครับ
อาจารย์ : ..... เธอคิดแบบนั้นหรอ?
ผม : ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นครับ.
พออาจารย์ฟังคำยืนยันจากผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้ว สักพักก็ปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกหนาวๆ ด้านหลังต้นคออย่างบอกไม่ถูก ก่อนอาจารย์จะพูดออกมา
อาจารย์ : งั้น... หมดเรียนวันนี้แล้ว อาจารย์อยากให้เธอมาหาหน่อย
ผม : คือ.. ผมไม่รู้จักห้องอาจารย์ครับ
อาจารย์ : ให้นาย กฤษดา พามา เขารู้จักห้องอาจารย์
ผมหันไปมองไอ้กฤษด้วยความสงสัยว่ามันไปรู้จักห้องอาจารย์ได้ยังไง ทั้งๆที่พึ่งเปิดเรียนวันนี้วันแรก มันก็หันมามองผมแล้วยักไหล่เล็กน้อย ผมหันกลับไปตอบอาจารย์ด้วยความ งง สงสัย และ ความรู้สึกสับสนอีกมากมาย แต่ก็ทำได้แค่... " ครับ"
ผม: ไอ้กฤษ... มึงรู้จักห้องอาจารย์ด้วยหรอ?
กฤษ : เออ.. กูเคยไปครั้งหนึ่ง
ผม : มึงไปหาอาจารย์ทำไมว่ะ? มึงรู้จักกับอาจารย์หรอ?
ความสงสัยของผม เปลี่ยนเป็นคำถามมากมายที่ต้องการความกระจ่างจากเพื่อนสนิทของผม
กฤษ : เปล่าๆ... กูเดินตามสาว.. แล้วสาวคนนั้นเดินขึ้นบันไดมาชั้น 4 ของตึก 19 นี่แหละ จากนั้นเธอก็หายไปไหนไม่รู้ แล้วบังเอิญอาจารย์เปิดห้องออกมาพอดี กูเลยเข้าไปช่วยเพราะเห็นแกถือของเยอะแยะ แต่ไม่คิดว่าจะมาสอนห้องเรา
ผม : อ๋อ มึงเดินตามสาวว่างั้น.. แล้วสาวคนนั้นเป็นใครละ
กฤษ : ไม่รู้ว่ะ อยู่ดีๆ เขาก็หายไปตรงมุมบันได กูนี้ยืน งง เลย ฮ่าๆๆๆ
ผม : เงียบหน่อยมึง คนมองทั้งห้องแล้ว
ผมกับไอ้กฤษได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วขอโทษคนในห้องที่หันมามอง เพราะเสียงหัวเราะของไอ้กฤษมัน...
ตึ๊งตึงตึ้ง~~~
เสียงสวรรค์นี้คือ หมดเวลาคาบเรียน
ผมมองนาฬิกาข้อมือตอนนี้ก็ 12:31 น. แล้ว เลยชวนไอ้กฤษไปหาอะไรกินข้างมหาลัย จึงรีบเก็บของบนโต๊ะ พอเดินไปถึงหน้าประตูห้อง ก็ได้ยินเสียอาจารย์พูดย้ำ
อาจารย์ : นายเอกภพ อย่าลืมมาหาอาจารย์ที่ห้องละ
ผมหันกลับไปรับคำ "ครับ" ก่อนจะไหว้แล้วเดินออกจากห้องพร้อมกับไอ้กฤษ..
ผม: ไปกินร้านไหนดีว่ะ?
กฤษ: ร้านแม่อุ้ย อาหารอีสานใหม กูอยากกินลาบเป็ด
ผม : เออๆๆ.. ดีๆ กูอยากกินส้มตำพอดี
ผมกับไอ้กฤษเดินคุยกันจนไปถึงหน้าลิฟท์
ตื้อดึ้ง เสียงลิฟท์ดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดออก ผมกับไอ้กฤษเดินเข้าลิฟท์ กดชั้น 1 เพื่อลงไปเอารถ ลิฟท์ปิดและลงไปเรื่อยๆ ติ๊ง! ผมกับไอ้กฤษมองด้านบนประตูลิฟท์เพื่อดูชั้นที่ลิฟท์จอด มันคืิอชั้นที่ 4 ไอ้กฤษเลยพูดขึ้น
กฤษ : ชั้นนี้แหละ ที่กูเดินตามสาวมา แล้วเจอกับอาจารย์
ผม : ฮ้าๆๆ เออ แห้วละซิมึง
ผมกับไอ้กฤษหัวเราะกันเสียงดังในลิฟท์ พอประตูลิฟท์เปิดออกก็ไม่เห็นมีใครสักคน
ผม : ใครมากดลิฟท์เล่นว่ะ
ผมจึงกดปิดประตูลิฟท์ ประตูลิฟท์กำลังปิดก็ได้ยินเสีไอ้กฤษร้องขึ้นมา
กฤษ : นั่นๆๆ สาวคนนั้นน่ะ ที่กูเดินตามขึ้นมา
มันชี้ไปข้างนอกลิฟท์ขณะที่ประตูกำลังปิด ผมหันไปมองตามที่มันชี้ เห็นผู้หญิงผมยาวสีดำ สูงประมาณ160 รูปร่างดี หน้าตาน่ารัก ปากเล็กสีแดงอมชมพู ตากลมโต ในตาสีดำ คิวดำเข้มโก้งโค้งกำลังดี ถือหนังสือเดินขึ้นบันได้มา ผู้หญิงคนนั้นหันมาทางพวกเรา สบตากับผมแล้วยิ้มให้ก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิด
ไอ้กฤษพูดขึ้น
กฤษ : มึงเห็นไหม น่ารักว่ะ เขายิ้มให้กูด้วย
ผม : เออๆ กูเห็นแล้ว
ภาพรอยยิ้มของเธอ ยังติดตาผมอยู่ เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเย็นๆ กับสายตาที่อมทุกข์ มันไม่ใช่สายตาของการทักทาย แต่มันเหมือนสายตาของคนที่รอคอยใครมาเป็นเวลานานและเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ผมมั่นใจ 100% ว่าคนที่เธอมอง ไม่ใช่ไอ้กฤษ แต่เป็นผม...
กฤษ : แม่อุ้ยครับ ผมเอาลาบเป็ดจานนึง กับข้าวเปล่าหนึ่งจานครับ
แม่อุ้ย : ได้จ้า... แล้วหนูละ เอาอะไร
แม่อุ้ยหันมาถามผมที่กำลังยืนเหม่ออยู่..
ไอ้กฤษหันมาหาผม มันเอาศอกสะกิด ผมสะดุ้งเล็กน้อย
ผม : เอ่อๆๆๆ.. ครับ ว่าไงครับแม่?
ไอ่กฤษถอนหายใจ แล้วสั่งข้าวให้ผมแทน
กฤษ : มันเอาตำมั่ว กับข้าวเปล่าอย่างละจานครับแม่
แม่อุ้ย : ได้จ่ะ พวกหนูไปหาที่นั่งรอเลยจ้ะ เสร็จแล้วเดี๋ยวแม่เอาไปให้
กฤษ : คร้าบบบ
ผมได้แต่พยักหน้ากับยิ้มแก้เขิล แล้วเดินตามไอ่กฤษไปหาที่นั่ง
กฤษ : เฮ้ย.. ไอ่เอก มึงว่าสาวคนนั้นน่ารักมั้ยว่ะ?
มันถามผมพร้อมกับทำหน้าตาเคลิบเคลิ้ม.. ตาหวานฉ่ำ
ผม : เออๆ น่ารักดี
ผมตอบมันแบบปัดๆ แล้วนึกถึงรอยยิ้มของเธอคนนั้น "เธอเป็นใคร ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก" ผมคิดในใจ
กฤษ : ตอนบ่ายเราเรียนอะไรนะ กูลืม
ผม : ภาษาอังกฤษ
กฤษ : เฮ้อออออ อังกฤษอีกแล้ว น่าเบื่อชิบหาย
ผม : ฮ้าๆๆๆ มึงก็ตั้งใจหน่อย วิชาหลักนะ ได้เกรดน้อยระวังมันดึง GPA มึงร่วง
กฤษ : กูมีมึงซะอย่าง ช่วยผมหน่อยนะครับนายท่าน
มันหันมาแล้วทำสายตาบ้องแบ๊ว กระพริบตารัวๆ
ผม : เออๆ กูก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยแหละ ข้อสอบมึงก็กาแม่นๆเอาละกัน
กฤษ : ไม่ใช่ปัญหา กูมีตัวช่วย 😁
มันยิ้มกว้างแล้วหัวเราะคิ๊กคั๊ก
แม่อุ้ย : ได้แล้วจ้า
แม่อุ้ยถือถาดกับข้าวที่เราสั่งมาเสริฟที่โต๊ะ อาหารร้านแม่อุ้ยถือเป็นที่หนึ่งของพวกผม จากการจัดอันดับร้านอาหารข้างมหาลัย ด้วยรสชาติจี้จ๊าดถึงเครื่อง ให้เยอะ ราคาไม่แพงเหมือนร้านอื่น อีกทั้งแม่อุ้ยยังเป็นคนอัธยาศัยดี น่ารักพูดเพราะ บางครั้งก็เผลอพูดสำเนียงทางเหนือ เพราะแม่อุ้ยเป็นคนเชียงรายแต่ย้ายมาอยู่กินกับสามีที่ภาคอีสานและเปิดร้านอาหารเล็กๆข้างมหาลัย ทำให้เรามาฝากท้องไว้กับแม่อุ้ยในทุกๆมื้อ
ผม : ขอบคุณครับแม่
ผมกับไอ่กฤษช่วยแม่อุ้ยหยิบอาหารในถาดวางบนโต๊ะ
แม่อุ้ย : ขาดอะไรบอกแม่ได้เลยนะเจ้า
ผมและกฤษ : คร้าบบ
พร้อมกับยิ้มให้แม่อุ้ย......
.
.
.
ผม : เร็วซิมึง มันจะบ่ายโมงแล้วนะนิ
ผมเร่งไอ่กฤษ ที่พึ่งตื่นหลังจากกินข้าวเสร็จแล้วกลับมาเล่นที่หอมัน แต่มันดันเผลอหลับ
กฤษ : เออ แปป กูหวีผมก่อน
ผม: มึงจะห่วงหล่อไปใหน
ไอ่กฤษมันเป็นคนที่หน้าตาดี คิ้วเข้ม จมูกเป็นสัน ผิวขาว บ้านมันอยู่ไกลจากมหาลัยประมาณ 15 กิโล มันจึงเช่าหออยู่เพราะขี้เกียจขับรถไกล แต่บ้านผมอยู่ใกล้ๆมหาลัยเดินทางแค่ 3 กิโล ก็ถึง ผมกับไอ่กฤษ รู้จักกันตอนเรียน ม.4 มันย้ายเข้ามาใหม่ ตอนนั้นผมนั่งหลังห้องข้างๆหน้าต่าง แล้วโต๊ะข้างผมก็ดันว่าง มันเลยได้มานั่งข้างผม มันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับผม คือ PSP เรา 2 คน เล่น Monsters Hunter ด้วยกันอยู่เป็นประจำ บ้างก็ชวนกันไปเล่นร้านเกมส์ ด้วยนิสัยใจคอผมกับมันที่เข้ากันได้ดี จึงทำให้เราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา เวลามันเบื่อนอนหอ มันก็มักมานอนบ้านผมบ่อยๆ ทุกครั้งที่มันมาบ้านผม เราจะพรี้เกมกันทั้งวันทั้งคืน ฮ้าๆๆๆ
กฤษ : เสร็จแล้วๆ ป่ะ
ผมกับไอ่กฤษไปรถคันเดียวกัน เพราะเรียนเสร็จแล้วต้องไปหาอาจารย์วิชาพุทธศาสนาต่อ ไอ่กฤษเป็นคนขับ พอถึงห้องเรียน นั่งเรียนได้ประมาณ 30 นาที ผมและไอ่กฤษเราก็หลับทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆ วิชานี้ไม่ได้อะไรเลย เหมือนมารอเช็คชื่อ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!