NovelToon NovelToon

君の虜​ #น้องบิลคนคลั่งรัก

Prologue

เหมือนเวลาหยุดหมุนให้ผมได้โฟกัสบางอย่างได้เต็มที่ ภาพของใครบางคนในชุดออกกำลังกายเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่มีเหงื่อเกาะกันเป็นกลุ่มบนผิวหนัง แม้จะเห็นแค่ด้านหลังแต่มองดูก็รู้เลยว่าเขาต้องหุ่นของอีกคนต้องดีเยี่ยมมากแน่ๆ แขนทั้งสองข้างค่อยๆยืดขึ้นจนเกือบสุดเห็นกล้ามสวยๆอยู่ปรายๆ ภาพตรงหน้าจู่ๆก็เหมือนจะสโลวช้าๆให้ผมสามารถมองมันได้อย่างเต็มที่ กลืนน้ำลายอึกใหญ่เผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือสั่นๆหยิบมือถือขึ้นถ่ายรูปอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆแต่มาถึงขนาดนี้มันก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว ผมกดชัตเตอร์ได้ภาพมาประมาณสองสามภาพโชคดีที่จุดที่ผมยืนอยู่ด้านหลังและมีเครื่องออกกำลังกายอื่นบังอยู่ ผมเช็ครูปในมือถือใช้นิ้วทั้งสองซูมภาพก่อนจะจัดการย้ายรูปเข้าอัลบั้มที่ตั้งไว้

พี่คลื่นคนน่ารัก

พูดแล้วก็หอมมือถือไปหนึ่งที

ภารกิจถ่ายรูปพี่คลื่นเสร็จสิ้นแต่ตัวผมยังไม่ได้ขยับไปไหน นั่งที่เครื่องออกกำลังกายเอนตัวลงที่เครื่องก่อนจะขยับขึ้นลงเพื่อบริหารหน้าท้องอย่างเนียนๆ จุดพักสายของผมแน่นอนว่าไม่ใช่ใครนอกจากพี่คลื่น แม้ผมจะเกลียดการออกกำลังกายแต่ถ้าพี่คลื่นชอบผมก็จะชอบด้วย

“มึงทำอะไรเนี่ย”

“บริหารหน้าท้องอยู่”

ผมตอบเมล การบริหารหน้าท้องแค่แป๊บเดียวมันก็เริ่มเหนื่อยแล้วแต่เชื่อมั้ยเพียงแค่ผมมองพี่คลื่นเท่านั้นความเหนื่อยของผมก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย

พี่คลื่นนี่ยาวิเศษดีๆนี่เอง

“มองเขาขนาดนี้เขาคงไม่รู้เลยเนาะ”

“ไม่หรอก อีกอย่างเราก็ต่างคนต่างโฟกัสกับการออกกำลังกายของตัวเองกันทั้งนั้นไม่มีการมาคอยนั่งมองคนอื่นหรอก”

“เหมือนมึงที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะหรอ”

“ใช่”

“ตอแหลสิ้นดี”

เมลบ่นแล้วเดินจากไป ผมไม่สนใจหันกลับมาออกกำลังกายตามสายตาของผมยังคงทอดมองตรงหน้า แต่ก็ต้องเอ๊ะเพราะจู่ๆพี่คลื่นก็หายไป!

ผมหันซ้ายหันขวามองหาพี่คลื่นแต่ก็ไม่พบเขาเสียแล้ว ผมหันไปหาเมลนี่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลก่อนจะตะโกนถามอย่างเบาๆ

“เมล พี่คลื่นไปไหนอ่ะ”

“กูจะไปรู้มั้ยล่ะกูนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่”

ไม่จริงน่า ผมเบะปากนั่งห่อเหี่ยวพลางเอนหลังกับเครื่องออกกำลังกาย นี่ผมต้องคลาดกับพี่คลื่นอีกแล้วหรอเนี่ย

เศร้าใจจุง

“เสร็จแล้วรอข้างหน้านะ”

“เออ”

ผมตอบรับด้วยเสียงที่ห่อเหี่ยวก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำของยิม ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการชำระล้างร่างกายจนสะอาดเอี่ยมอ่อง จัดการเช็ดตัวให้แห้งทำการใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เตรียมมา เอื้อมมือเปิดประตูห้องอาบน้ำสายตาปะทะกับใครบางคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่อยู่ก่อนหน้า ผมกำกลอนประตูแน่นราวกับจะหยุดลมหายใจ พี่คลื่นในชุดลำลองเสื้อยืดเขียวเข้มกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มผมสีดำที่เปียกชื้นตัดกับผิวขาวนั่นค่อยๆหันมาทางด้านหลังจนผมเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน เราสบตากันก่อนที่พี่คลื่นจะเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มให้

“สวัสดีครับ”

เฮือก! กูตาย

“ส\-สวัสดีครับ”

มือของผมกำกลอนประตูแน่นเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นตุ๊บๆราวกับจะออกมาด้านนอก ผมค่อยๆก้าวขาแข็งช้าๆไปยืนขนาบข้างอีกคน กลิ่นหวานของน้ำหอมลอยเตะจมูกบ่งบอกได้ว่าเจ้าของต้องมีความอ่อนโยนมากแน่ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด

กลิ่นของพี่คลื่นดีจริงๆ

ผมพามือสั่นๆหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋าแต่ด้วยมือที่อ่อนแรงเกินไปทำให้มือถือร่วงสู่ลงพื้นพี่คลื่นที่เห็นเหตุการณ์ก้มหยิบมือถือส่งให้ผมพร้อมกับคำพูดหนึ่งประโยคที่ทำให้หัวใจของผมเกือบจะหยุดเต้นก่อนจะเดินทิ้งจากไป

“รูปหน้าจอสวยดีนะครับ”

รูปหน้าจอ

รูปพี่คลื่น

โชว์ซิกแพ๊ค

เฮือก!!!!!

“ไอ้บิลยังไม่เสร็จอีกไง”

ผมค่อยๆหันไปหาเมลที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ สมองขาวโพลนนิ่งค้างเหมือนโปรแกรมที่กำลังค้าง เมลที่ยืนอยู่ด้านนอกวิสาสะเข้ามาในห้องน้ำชายตรงเข้ามาหาผม มือสั่นๆเอื้อมจับแขนเพื่อนสาวอาการผมตอนนี้ไม่ต่างกับคนที่ลมจับ เนื้อในอกด้านซ้ายเต้นระรัวเหมือนจะลุออกมาด้านนอก

“มึง…พี่…คลื่น”

“ใจเย็นๆค่อยๆพูดดิ”

“มึง…กูไม่ไหว…เขาทำดาเมจกู”

“ห๊ะ? อะไรนะ”

น้ำตาไหลนองหน้ามือขวายกขึ้นกุมอกที่เต้นระส่ำไม่หาย ภาพตรงค่อยๆดับไปเหลือแต่เพียงความจำบางส่วนที่หลงเหลือ

“เดี๋ยว เฮ้ย!! ไอ้บิล”

ขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้ผมเกิดมา ขอบคุณเมลเพื่อนรักที่คอยเป็นผู้สนับสนุน ขอบคุณพระเจ้าที่คอยสร้างโอกาสดีๆให้ได้เจอพี่คลื่นเสมอมา

คิมิโนโตะนะครับ

พี่คลื่น

สิ่งบูชาใจ - 01

'คลื่น' เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของน้ำทะเลโดยมีสาเหตุเกิดมาจากลม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดหรือจากการขยับของแผ่นเปลือกโลกเป็นต้น แต่อีกในแง่มุมหนึ่ง 'คลื่น' ก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ที่พบเห็นไม่ว่าจะทั้งรูปลักษณ์หรือเสียงของมันเป็นอีกสิ่งที่คอยเยียวยาจิตใจให้สงบได้เป็นอย่างดี

กวาดสายตาไล่อ่านตัวหนังสือนับร้อยอ่านบทความก่อนจะบังคบเม้าส์ให้เอกสารที่ว่างเปล่าแล้วจัดการพิมพ์เนื้อหาบางส่วนลงไป เนื้อหาเรื่อง 'คลื่น' อีกนิดก็ใกล้จะสมบูรณ์เหลือก็แต่สรุปและคำนำที่ส่วนนั้นผมไม่ได้เป็นคนทำ เปิดห้องถูกเปิดออกโดยคนข้างนอกเผยให้เห็นเมลเพื่อนสาวสนิทในชุดเสื้อยืดสีขาวโอเวอร์ไซส์กางเกงดำขาสั้นยืนหาวอยู่หน้าประตู

“เสร็จยัง”

“เสร็จละ นี่มึงทำอะไรอยู่เนี่ย”

ผมถามอีกคน วันนี้เรามีนัดกันทำรายงานที่ห้องของผม ผมเลือกมานั่งทำให้ห้องเพราะทันเงียบสงบแล้วอีกอย่างผมขี้เกียจแบกโน๊ตบุ๊คออกไปทำด้านนอกส่วนระหว่างนั้นเมลที่ว่างก็ทำส่วนที่เหลือไปพลางโดยใช้ห้องนั่งเล่นเป็นห้องทำงานไปแทน

“นอนรอ โคตรง่วงเลย”

“เวลาหาวหัดปิดปากบ้าง เป็นผู้หญิงแท้ๆ”

“กูก็เป็นผู้หญิงไง มีตรงไหนที่บอกว่ากูไม่ใช่ผู้หญิงฮะ”

“มึงนี่…”

ผมส่ายหัวกับความกวนตีนของอีกคน หันกลับมาสนใจงานต่อก่อนจะส่งไฟล์เข้าแชทเพื่อส่งให้เมลเอาไปรวมเล่ม

“อุ๊ย หลุด”

เสียงแจ้วเอ่ยอุทานให้หันไปมองรู้ตัวอีกเมลก็ไปยืนอยู่ด้านผนังด้านหลังผม เธอมองสิ่งที่อยู่ในมือสลับกับกำแพงที่ถูกตกแต่งไปด้วยรูปและสติ๊กเกอร์ต่างๆนาๆ ผมเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือเล่นทำเอาผมแทบช็อคเพราะเป็นรูปพี่คลื่น!!

ผมรีบทิ้งงานตรงไปหามันทันทีก่อนจะหยิบรูปพี่คลื่นแล้วนำไปแปะลงที่เดิม

เนี่ย เผลอไม่ได้ซนตลอด

“ไอ้เมลลลล มึงนี่น้าาาาาา”

“กูไม่ได้ทำนะ มันหลุดเอง”

เมลตอบด้วยเสียงเอื่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะทันทีที่ผมเห็นว่าเป็นรูปพี่คลื่นใจผมแทบสลายเลย แล้วเมื่อกี้ผมเห็นมันขาดด้วย เมลมึงใจร้ายกับกูมาก แปะเสร็จผมถอนหายใจด้วยความโล่งตอนนี้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ยันตัวลุกขึ้นถอยก้าวออกมาเล็กน้อยมองกำแพงผนังที่เต็มไปด้วยรูปพี่คลื่นบวกกับของตกแต่งสไตล์วินเทจ ผมยกมือถือขึ้นถ่ายรูปปรับภาพให้ชัดระดับ 4k

ให้ตายสิใครทำเนี่ยโคตรสวยเลย

“กูไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมึงต้องเอารูปพี่คลื่นไปแปะผนังห้องด้วย”

ผมหันมองเมลที่ตอนนี้มันทำหน้างงงวยไม่เข้าใจกับสิ่งตรงหน้า

“มันคือความสุขทางใจเว้ย มึงต้องเข้าใจ”

“ไม่อ่ะ กูไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แค่รูปวอลเปเปอร์ในโน๊ตบุ๊คในมือถือยังไม่พออีกหรอ”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อยเอื้อมมือแตะบ่าเพื่อนสาวอย่างเบาๆ

“เมล สิ่งที่กูทำอยู่เนี่ยมันก็เหมือนกับการติ่งอปป้านั่นแหละ เวลามึงคิดถึงเขามึงก็จะเข้ายูทูป ฟังเพลงไม่ก็ดูรูปเขาใช่มั้ย อันนี้มันก็เหมือนกัน เวลากูคิดถึงพี่คลื่น กูก็เข้ามาในห้องนี้ มานั่งดูรูปถ่ายของเขา ดูคลิปของเขา เขาเรียกว่าเป็นการแสดงความรักอีกแบบยังไงล่ะ”

“หรอ”

“ใช่”

เมลมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงพลางส่ายหัวก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมลมึงไม่เข้าใจในความรักของเพื่อนเลยว่ะ งี้แหละคนไม่เคยมีความรักอ่ะเนาะ

“แล้วนี่เหี้ยอะไรเนี่ย”

เนี่ย ยังไม่ทันก้าวพ้นขอบประตูมันก็ซนอีกแล้ว ไอ้เมลอีเพื่อนเวรนี่จะอยู่เฉยๆสักสิไม่ได้รึไงวะ

“อะไรของมึงอีกเนี่ย”

ผมเดินตรงไปหาเมลที่ยืนจ้องบางอย่างที่หน้าประตูห้อง ป้ายไม้สลักชื่อห้อง Cleun My Love ถูกอีกคนดึงเอาออกมา ผมตีมือเมลไปหนึ่งป๊าบข้อหาดึงป้ายห้องสุดรักออก

“หยุดเลยมึงนี่เผลอไม่ได้เลยนะ ขยันจับขยันถอดจริงๆเลย”

“เดี๋ยว นี่มึงถึงขั้นตั้งชื่อห้องเป็นชื่อเขาด้วยเรอะ”

“ทำไมล่ะ นี่มันห้องแห่งความรักของกูที่มีให้พี่คลื่นเลยนะ ชื่อห้องมันก็ต้องเป็นศิริมงคลสิ”

“มันเกี่ยวตรงไหนวะนั่น”

“เมลมึงไม่เข้าใจอ่ะ ความรักของกูที่มีต่อพี่คลื่นมันมากมายมหาศาลเลยนะ อีกอย่างตามหลักฮวงจุ้ยที่กูไปดูมาเขาบอกว่าห้องนี้เหมาะกับการทำเป็นที่บูชาเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจกูเลยทำตามที่แม่หมอบอกไง”

“นี่มึงบูชาผู้ชายเรอะ!?”

เมลมองหน้าผมอย่างตกใจ ผมเอื้อมมือแตะบ่ามันอีกครั้งสบตากับเพื่อนรักด้วยสายตาแน่วแน่

“เค้าไม่ได้เรียกบูชาเพื่อนรัก เค้าเรียกว่าสถานที่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจต่างหาก”

“what the fuck”

Gerberg Cafe ร้านกาแฟสไตล์วินเทจที่พวกผมชอบมากันประจำ มันทั้งอยู่ใกล้มหาลัยและเป็นสถานที่ที่ผมสามารถเจอพี่คลื่นได้ ไม่ใช่ว่าพี่คลื่นทำงานอยู่ที่คาเฟ่นี้แต่เป็นบริษัทที่อยู่ตรงข้ามต่างหาก แต่มันก็ไม่ใช่ทุกวันหรอกที่ผมจะเจอพี่คลื่นมีแค่บางวันเท่านั้น

เอื้อมมือหยิบแก้วสตอเบอรี่ปั่นขึ้นดูดแก้กระหายพลางใช้นิ้วเรียวข้างที่ว่างกดแป้นพิมพ์โน๊ตบุ๊คจนเกิดเสียงดัง จัดการพิมพ์งานที่ยังคั่งค้างที่จะต้องส่งวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะแต่ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องทำ ไม่ว่าจะแปะรูปพี่คลื่น ติตตามพี่คลื่นบนโซเชียล จดของชอบและกิจวัตรพี่คลื่น และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้

จี้พี่คลื่น

“มึงใส่จตุคามมาหรอ”

“นี่อ่ะหรอ”

“เออ”

ผมก้มมองที่คอตัวเองก่อนจะถอดมันออกมา จี้พี่คลื่นที่ทำมาจากปูนปั้นสีขาวใส่กรอบที่น้ำเงินเข้มอย่างดี ผมมองมันนิ้วเรียวลูบยกมือแนบอกก่อนจะพนมมือสาธุ เมลที่มองอยู่จับแขนผมพลางจับจี้ที่มือพลิกดู

“ไอ้ห่ากูก็นึกว่าพระ ที่ไหนได้รูปผู้ชาย”

“แหงล่ะ ออกมาข้างนอกแบบนี้กูก็ต้องหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสิ”

ผมเอ่ยพลางใส่สร้อยกับไปเหมือนเดิม แม้ผมจะมีรูปวอลเปเปอร์พี่คลื่นแล้วก็ใช่ว่าการดำเนินชีวิตประจำวันจะแคล้วคลาดผมก็ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อเสริมสร้างเสริมดวงอื่นๆเพิ่มด้วย

โดยเฉพาะเรื่องความรัก

“มึง พี่คลื่นไม่ใช่พระนะที่ช่วยเสริมดวงมึงอ่ะ บิลสติ”

“กูรู้มึง แต่พอกูใส่จี้อันนี้แล้ว กูรู้สึกสบายใจอ่ะ แบบเหมือนพี่คลื่นจะคอยคุ้มกันกูคอยปกป้องกูอ่ะ”

เมลถอนหายใจพลางยกมือกุมหัวเหมือนคนเครียด ทำไมอ่ะผมพูดอะไรผิด ก็ผมรู้สึกปลอดภัยจริงๆเวลาผมใส่จี้สร้อยพี่คลื่นอ่ะ

“บิล ความจริงก็คือความจริง ต่อให้มึงทำตัวเป็นซางแซงจะมีรูปพี่คลื่นเป็นร้อยรูป จะบูชาพี่คลื่นห่าเหวอะไรของมึงเนี่ย…”

อย่ามาว่าพี่คลื่นห่าเหวนะเว้ย!!

“มึงไม่ใช่แฟนเขาไม่ใช่ครอบครัวหรือเพื่อนเขา ให้ตายเขาก็ไม่มาช่วยมึงหรอก”

ผมเบะปากปล่อยน้ำตาคลอเบ้า เมลมึงมันใจร้าย!!! พูดตรงเกินไปแล้วนะ

แต่มันก็จริงง่ะ พูดแล้วก็เศร้า

ฮือออออออ

ผมเอนหลังพิงเก้าอี้เงยหน้ามองเพนดานก่ายหน้าเม้มปากแน่นอยากจะยอมรับความจริงนะแต่มัน…

“ขอโทษนะครับ อันนี้ของคุณรึเปล่า”

เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยกับผมสายตาเลื่อนโฟกัสจากเพดานไปยังด้านหลัง ภาพกลับหัวที่เห็นชายผมดำในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินเข้มยืนค้ำหัวผมมองลงมาที่ผมด้วยสายตาที่ตั้งคำถาม ใบหน้านี้ผมจำได้เป็นอย่างดี คนที่ผมแอบเซฟรูปเอามาตั้งเป็นจากวอลเปเปอร์ คนที่ผมยอมเสียตังเอารูปเขาไปทำพิมพ์เพื่อมาทำเป็นจี้ห้อยคอ

พี่คลื่น

ผมผงกหัวขึ้นด้วยความเร็วสบตากับเพื่อนสาวเมลมองผมสลับกับคนด้านหลังก่อนจะเป็นคนเอ่ยตอบแทน

“อ่อใช่ค่ะ กระเป๋าตังเพื่อนหนูเอง”

“พอดีผมเห็นมันตกเลยเก็บมาให้”

“ขอบคุณค่ะ มึงก็ขอบคุณเขาสิ”

ประโยคสุดท้ายเมลพูดด้วยเสียงที่เบาหวิวพลางเตะขาผมเพื่อส่งสัญญาณ ผมหันดึงสติส่งมือสั่นไปรับกระเป๋าตังนั่นมาเอาไว้ในมือ

โฮฮฮฮฮฮฮ มือพี่คลื่นขาวมาก

“ข\-ขอบคุณครับ”

“ทีหลังก็ระวังหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะหายเอาได้”

“ครับ”

พี่คลื่นเอ่ยประโยคพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานให้แล้วเดินจากไปทิ้งไว้แต่เพียงดาเมจทำลายหัวใจที่ทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นจนแทบจะลุออกมา

“มึง…พี่คลื่น…พี่คลื่น”

“ใช่ พี่คลื่นไง มึงเห็นเป็นอะไร”

“พ่อของลูก”

“เพ้อเจ้อ”

“โฮฮฮฮฮฮฮ เป็นเพราะจี้พี่คลื่นแน่เลย ทำให้กูได้เจอกับเขา”

ว่าแล้วก็จับจี้ยกพนมมือสาธุรัวๆพลางจับจี้แนบอกปาดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความประทับใจในความศักดิ์สิทธิ์ จี้พี่คลื่นโคตรศักดิ์สิทธิ์เลย นี่สินะสิ่งที่เขาเรียกว่าความศักดิ์สิทธิ์

สาธุจี้พี่คลื่น

ขนาดจี้ยังแสดงความศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้แล้วถ้าเป็นรูปปั้นพี่คลื่นล่ะ

“บิล มึงหยุดความคิดอุบาทว์ๆเลยนะ ครั้งนี้ที่มึงเจอพี่คลื่นก็แค่บังเอิญ บังเอิญเท่านั้น อย่าคิดไกลเพื่อน”

“โถ่”

ผมเบะปากเล็กน้อยแม้เมลจะห้ามความคิดผมแต่ใจของผมมันหนักแน่นแล้ว

“นี่กูมีเพื่อนเป็นคนคลั่งรักหรือซาแซงว่ะเนี่ย เครียดว่ะ”

สถานีต่อไปคือรูปปั้นพี่คลื่น

สู้ตายเว้ย!!

เดี๋ยวพี่ไปส่ง - 02

นิ้วเรียวกดสัมผัสแป้นพิมพ์จนเกิดเสียงเป็นจังหวะสลับกับเม้าส์ที่คอยถูกบังจับให้วิ่งทั่วหน้าจอคอม ผมเพ่งสายตาไล่อ่านตัวหนังสือที่ถูกนำใส่ในตารางอย่างพินิจพลางจัดการข้อมูลตรงหน้าอย่างช้าเพื่อป้องกัยการผิดพลาด

“อ่าวคลื่น ยังไม่กลับอีกหรอ นี่มันจะทุ่มนึงแล้วนะ”

“เดี๋ยวก็กลับแล้วครับพี่ ผมขอทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อน”

ผมหันไปบอกกับพี่ภาคก่อนจะกลับมาทำงานตัวเองที่ค้างไว้ต่อ เสียงขลุกขลิกด้านข้างพี่ภาคเท้าแขนลงบนฉากกั้นพลางชะเง้อหน้ามาดูจอ

“เดี๋ยวนะ นี่มันงานเราหรอคลื่น ไม่คุ้นเลย”

“อ๋อ ของพี่ฟากอ่ะครับ เขาฝากผมทำต่อเห็นว่าต้องไปทำธุระด่วน”

“ใจดีอีกแล้วนะคลื่น แทนที่เราจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนกลับต้องมานั่งทำงานแทนคนอื่นเนี่ย”

“แต่มันได้โอทีนะพี่”

“แต่เอ็งเหนื่อยไง แค่งานตัวเองก็ล้นแล้วยังต้องมานั่งทำงานให้คนอื่นอีก”

“เอาน่าพี่ แค่นี้เองมันไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอก”

“เฮ้อ เอ็งนี่น้า พี่ไม่รู้จะพูดยังไงเลย”

พี่ภาคถอนหายใจพลางยกมือกุมขมับส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับ ก็นะ ผมไม่ได้ชอบหรอกไอ้การรับฝากงานจากคนอื่นแต่คงเป็นเพราะผมพึ่งพาทำงานที่นี่หรือเรียกง่ายๆก็เด็กใหม่ จะไปปีกกล้าขาแข็งใส่คนที่อยู่ก่อนมันก็กะไรอยู่ถูกมั้ย แล้วอีกอย่างที่ฝากงานผมมันก็เป็นหัวหน้าผมอีกทีด้วยเลยต้องเลยตามเลยไป

“งั้นพี่กลับก่อนนะ เจอกันวันจันทร์”

“หวัดดีครับพี่”

“เออๆ”

พี่ภาคกลับไปแล้วเหลือแตผมที่ยังคงทำงานต่อ ไฟในออฟฟิศเริ่มปิดมืดทีละดวงเหลือเพียงแค่โซนที่ผมนั่งที่ยังคงเปิดไฟเอาไว้ เหลือบมองนาฬิกาข้างมุมของจอด้านล่างขวาขึ้นบอกเวลาว่าตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว เอาล่ะพอแค่นี้แล้วกลับบ้านดีกว่าเดี๋ยวมันจะดึกไปกว่านี้

ผมจัดการปิดคอมเก็บของให้เรียบร้อยปิดไฟออฟฟิศที่เหลือก่อนจะลงลิฟต์ออกจากตึก ตรงไปที่จอดรถขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรด เวฟร้อยห้าสิบถูกถอยอย่างค่อยๆสตาร์ทให้ติด ขับมาถึงหน้าถนนใหญ่มีใครบางคนเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา ผมเหลือบมองไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามเด็กคนหนึ่งที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง ไม่รู้นึกอะไรจู่ๆสมองก็บังคับให้ผมขี่รถวนไปอีกฝั่งทั้งที่บ้านของผมมันอยู่คนละทางด้วยซ้ำ

จอดเทียบที่ฟุตบาทเอ่ยเรียกอีกคน เด็กคนนั้นหันหน้ามาด้วยสีหน้าที่เหรอหรา

“ไงเรา ยังไม่กลับบ้านอีกหรอครับ”

“พ-พี่”

ผมขยับรถเข้าไปใกล้อีกคนแสงไฟจากถนนสาดส่องลงมาจนสามารถเห็นแก้มแดงๆที่ค่อยฟาดๆขึ้นเรื่อยอย่างชัดเจน มือเล็กนั่นผมแอบเห็นว่ากำสายกระเป๋าแน่นราวกับตื่นเต้นตกใจที่เห็นผม

ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ เด็กคนนี้แอบน่ารักนะเนี่ย

“คือ คือ ผม ก-กำลังจะกลับครับ”

“ทำไมพึ่งกลับล่ะ”

“พ-พอดีทำงานอยู่ครับ เลยกลับดึก”

“อ๋อ”

ผมเท้าคางลงที่หน้าปัดมอไซค์พลางยิ้มให้อีกคนอย่างเป็นมิตร

“งั้นให้พี่ไปส่งบ้านนะครับ”

“อะ…เฮือก!”

“หืม?”

ผมเลิกมองอีกคนที่กำลังทำหน้าตาเหมือนช็อคอะไรสักอย่างแก้มขาวเนียนมีสีแดงฟาดขึ้นเรื่อยๆจนน่าอยากจะหยิกให้หายหมั่นเขี้ยว ไม่รู้ว่าเด็กเขินหรือเพราะอากาศตอนนี้คืนกันแน่

แต่คงอากาศแหละ

“ผม ผมเกรงใจอ่ะครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจ อีกอย่างนี่ก็ดึกแล้วกลับคนเดียวมันอันตราย”

“แต่…”

ผมไม่รอให้อีกคนตอบจัดการยื่นหมวกกันน็อกให้อีกคนสวม ผมไม่ได้บังคับน้องนะแค่เป็นห่วงน้องไม่อยากให้กลับคนเดียว

“ก็ได้ครับ”

ผมมองคนตัวเล็กที่กำลังใส่หมวกอย่างเงอะงะผมขยับลงจากรถลงไปช่วยอีกคนใส่ พอมายืนขนาบข้างผมได้รู้ว่าอีกคนตัวเล็กมากถ้าเดาจากความสูงก็คงประมาณร้อยเจ็ดสิบต้นๆได้

“เสร็จล่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ขึ้นค่อมรถสตาร์ทให้มันติดรอจนอีกคนขึ้นมาเรียบร้อย

“เกาะเอวพี่ไว้นะเดี๋ยวตก”

“เดี๋ยวผมเกาะที่จับเอาก็ได้ครับ”

“ส่งมือมา”

“เอ๊ะ…”

ผมถือวิสาสะจับมือของอีกคนเอามาเกาะไว้ที่เอวผมหันซ้ายหันขวาดูรถก่อนจะค่อยๆขับออกไป แสงสีส้มสองข้างทางสาดลงถนนในเวลานี้ดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีรถมากจริงสามารถขับขี่ได้อย่างสบาย

“เอ่อ พี่ครับเลี้ยวซ้ายข้างหน้าครับ คอนโดอยู่ฝั่งขวาชื่อชิลลี่คอนโดครับ”

“โอเคๆ”

ผมตะโกนตอบกลับไปจัดการหักเลี้ยวซ้ายตามที่อีกคนบอก ผมเริ่มเห็นคอนโดสูงอยู่ไม่ไกลค่อยๆจอดเทียบอย่างช้าๆจนสนิท

“คอนโดนี้ใช่มั้ย”

“ใช่ครับ” คนด้านหลังลงจากรถถอดหมวกกันน็อกยื่นคืนให้ผม

“ขอบคุณครับที่มาส่ง”

“ไม่เป็นไรพี่ยินดีครับ งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“ครับ”

ผมสตาร์ทรถเพื่อจะตรงกลับบ้านสายตาเห็นอีกคนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

“ไม่เข้าหรอ”

“คือ คือ พี่…กลับดีๆนะครับ แล้วก็…”

ผมเลิกคิ้วมองอีกคน คนตัวเล็กยืนกุมสายสะพายกระเป๋าแน่นเม้มปากสนิทแก้มแดงอมชมพู

“พักผ่อนเยอะๆนะครับ”

ผมยกยิ้มเล็กน้อยเอื้อมมือยีหัวอีกคนเบาๆ

“ขอบคุณครับ”

บิดรถออกมาจากคอนโดตรงกลับบ้านมุมปากยังคงยกยิ้มอยู่ไม่หาย สงสัยวันนี้คงจะฝันดีแน่ๆเลยแฮะ

\[ฮา\-\]

“กรี๊ดดดดดดดดดด มึงๆๆๆๆๆๆ\]

\[โอ๊ย!! อีเหี้ยกรี๊ดหาพ\_มึงเรอะ อีห่าหูกูจะแตก\]

“มึงงงงงงง ฮือออออออ กูไม่ไหวววว”

\[ทำไม เจอพี่คลื่นไง\]

“มึงรู้ได้ไงอ่ะ”

\[สภาพแบบนี้มีแค่เรื่องเดียวแหละ\]

รู้ดี เพื่อนคนนี้มันรู้ดีเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ มือไม้ผมอยู่ไม่สุขกระโดดโลดเต้นพลางล้มตัวกลิ้งกับพื้นห้องเหมือนคนบ้า อยากจะป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า กูมีความสุขโว้ยยยยยยยย

\[แล้วที่โทรมานี่แค่มากรี๊ดใส่หูกูแน่นี้น่ะหรอ\]

“ไม่ใช่ๆ กูจะเล่าให้ฟัง”

\[เออๆ\]

“คือตอนที่มึงกลับไปแล้วอ่ะ กูอยู่รอรถเมล์แล้วที่มันเป็นจังหวะที่พี่คลื่นออกมาจากบริษัทพอดี แล้วเขาก็วนกลับรถมาหากูแล้วจอดรถทักอ่ะ”

\[โหหหหห ตัวอย่างกับมดเขาเห็นมึงด้วย\]

“เอ๊ะมึงนี่” ผมเหวใส่อีกคน

\[อ่ะๆ แล้วไงต่อ\]

“แล้วที่นี้เขาก็ถามกูว่ายังไม่กลับหรอ ตอนนั้นคือกูตื่นเต้นมากพูดแทบไม่ออกเลย แต่ทีนี้ที่พีคกว่าก็คือเขาบอกว่าจะไปส่งกูด้วย ฮืออออออออ ตอนนั้นคือกูไม่ไหวอ่ะมึง”

ผมเล่าพลางหยิบหมอนพี่คลื่นเอามากอดรัดฟัดเหวี่ยงไม่รู้ว่ามันจะขาดรึยัง แต่นั่นแหละขอฟัดก่อนอาการผมตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ

\[อ่าฮะ\]

“แล้วทีนี้นะกูก็ปฏิเสธตามสไตล์นางเอกเว้ยแต่พี่คลื่นเขาไม่ฟังเขายื่นหมวกกันน็อกมาให้กูเลย เหมือนบังคับมห้กูกลับกับเขาอ่ะ มึ๊งงงงงงงงง โคตรพระเอกเลย”

ว่าแล้วผมก็ลงไปดิ้นกับพื้นอีกทียิ่งเล่ายิ่งเขิน โอ๊ยยยยย แก้มผมอุณหภูมิขึ้นไปหมดแล้ววววว

\[แล้วมึงก็รับมาใส่สินะ\]

“โถ่มึงงงง ก็เขาบังคับอ่ะ กูก็ต้องใส่ป่ะ อร้ายยย”

\[ตอแหล\]

เมลพูดเหมือนเสียงกระซิบแต่โทษนะเพื่อนกูได้ยินเว้ย!

“กูได้ยินนะ”

\[อ่าวหรอ\]

“กวนตีนมึงอ่ะ”

\[เหอๆ หมดยัง\]

“ยังไม่หมด มึงต้องอยู่ฟังกูเล่าก่อน”

ผมบังคับการที่ผมจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ขนาดเมื่อก่อนผมพยายามแทบได้ยังได้แค่มองเลย แต่นี่ นี่พี่คลื่นตัวเป็นๆที่มาส่งผมกลับบ้านเลยนะเว้ย เรื่องแบบนี้ผมจะเก็บไว้คนเดียวได้ไงล่ะต้องแชร์ โดยเฉพาะเมลผู้สนับสนุนหลักผมยิ่งปล่อยมันไปนอนไม่ได้

\[โห่ หูแตกแน่กู งั้นกูถอดหูฟังแปป\]

“นี่ๆๆแล้วทีนี้นะตอนที่กูขึ้นซ้อนแล้วกูก็จับตรงที่จับข้างหลังอ่ะ แต่พี่คลื่นเขาให้กูจับเอวเค้า ตอนแรกกูเล่นตัวแบบ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมจับที่จับเอา แล้วพี่คลื่นเขาหันมาดึงมือกูไปจับเอวเขาเลย ฮือออออมึงงงงงง ช็อตนี้กูตายฮืออออออ”

\[โห ร้ายเหมือนกันนะเนี่ยพี่คลื่นมึงอ่ะ\]

“ใช่มะๆ แล้วพอตอนที่มาถึงข้างหน้าคอนโดแล้วอ่ะ กูก็เลยวิสาสะบอกเขาให้กลับบ้านดีๆแล้วก็บอกให้เขาพักผ่อนเยอะๆแล้วทีนี้เขายิ้มแล้วก็ยีหัวกูอ่ะ อ้ากกกกกกใจกูฮือออออ”

พูดไปก็ดิ้นไปพลางผมไม่ไหวอ่ะ พอนึกถึงช็อตเมื่อกี้ใจผมนี่แทบจะออกมาเต้นข้างนอกอยู่แล้ว ฮืออออออ

\[ถามจริง ตอนขึ้นห้องมามีแอบกรี๊ดบ้างมะ\]

“มีดิ มึงมันไม่ไหวจริงๆนะ ใจอกูก็มีอยู่แค่นี้อ่ะ พี่คลื่นทำดาเมจกูแรงมากอ่ะ”

\[แรงแบบเอ็กพีหมดเลยป่ะ\]

“อ่ะอีนี่อันนี้มึงแช่งกูล่ะ”

ผมเบ้ปากใส่อีกคนเอาจริงมันไม่เห็นหรอก งี้แหละคนไม่เคยมีความรักอ่ะเนาะเล่าไปก็ไม่เข้าใจหรอก

“กูว่านะ เป็นเพราะจี้พี่คลื่นนั่นแน่เลยพี่คลื่นเลยเข้ามาหากูอ่ะ”

\[เพื่อน เขาแค่สงสารมึงแค่เห็นว่ามันดึกแล้วเลยอาสาไปส่งแค่นั้นเอง\]

“มึง แต่เขาถึงขั้นลูบหัวกูเลยนะ ให้กูกอดเขาด้วย ไม่ได้ล่ะสงสัยกูต้องทำจี้เพิ่ม”

เผลอๆผมว่าต้องทำอันใหญ่กว่าด้วยเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์

\[เอิ่ม แล้วแต่มึงเลยอ่ะ\]

“งั้นกูไปล่ะ โทรมาเล่าให้ฟังเท่านี้ก่อน ไปนะคนโสดตลอดกาล”

\[fuck\]

ผมกดวางสายปล่อยให้คนโสดได้ไปนอน หันกลับไปมองตุ๊กตาพี่คลื่นหอมมันไปทีนึงก่อนจะจับกลิ้งกับพื้นฟัดมันจนยับ

ยิ่งคิดยิ่งเขินก็ฟัดมันอีกละกัน

พอฟัดได้สมใจผมยันตัวขึ้นหยิบจี้ที่วางบนโต๊ะหน้าทีวีมาดู

“แหม่ สงสัยต้องเพิ่มขนาดสักหน่อยแล้วล่ะ”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!