ฮุ่ยหมิงเกิดในตระกูลชาวนา เมื่อตอนที่เขายังเล็กแม่ของเขาเสียด้วยโรคชนิดหนึ่งยังหาสาเหตุไม่ได้ ทำให้หน้าที่หลักในการหาเลี้ยงครอบครัวจึงตกเป็นหน้าที่ของพ่อเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นแม้ตัวเขาจะเหลือเพียงบิดาที่เป็นที่พึ่ง ฮุ่ยหมิงก็ไม่เคยคิดที่ย่อท้อ เมื่อฮุ่ยหมิงอายุได้ 16 ปีเขาก็เริ่มทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระของผู้เป็นพ่อ ฮุ่ยหมิงได้ตัดสินใจที่จะลองปลูกผักขาย ในตอนแรกผักของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศต่างก็แห่มาอุดหนุนเขากันทั้งนั้น
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อจู่ๆวันหนึ่ง วันที่เขาตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อที่จะมาเก็บผักขายเหมือนในทุกๆวัน แปลงผักของเขาถูกเผาและถูกถางทำลายไปเสียหมด เหลือไว้แค่เพียงเศษซากผักชิ้นเล็กชิ้นน้อยเอาไว้ดูต่างหน้าเพียงเท่านั้น ฮุ่ยหมิงในวัย 16 ปีเสียใจมาก ฮุ่ยหมิงพยายามหาต้นตอของสาเหตุจนเขาได้รู้ความจริงว่าคนที่ลงมือก่อเหตุนั้นเป็นกลุ่มบุคคลชั้นสูงอย่างพวกอัลฟ่า เพียงแค่รู้เท่านั้นความหวังที่จะจับคนร้ายก็ริบหรี่มากขึ้น เพราะคนที่เป็นโอเมก้าอย่างเขารึอาจจะไปต่อกรกับคนชั้นสูงอย่างพวกอัลฟ่าได้ เขาได้แต่ต้องทำใจยอมรับมันและหาลู่ทางใหม่ เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำเป็นอาชีพเพื่อที่จะนำเงินมาจุนเจือครอบครัวแท้ๆแต่ทุกอย่างต้องมาพังทลายลงเพียงความอิจฉาจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า
กาลเวลาร่วงเลยผ่านฮุ่ยหมิงในวัย 20 ปี ได้เติบโตเป็นหนุ่มวัยแรกแย้ม แม้สถานะครอบครัวของเขาในตอนนี้จะไม่ต่างกับเมื่อก่อนเสียมากแต่เขาก็เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ในวันนี้โอเมก้าหนุ่มออกจากบ้านเดินทางมาที่เถี่ยนโจว เมืองใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจริญรุ่งเรืองเพื่อนำข้าวปลูกมาส่งยังโรงสีข้าว ในการเดินทางฮุ่ยหมิงไม่ลืมที่จะหยิบสมุนไพรตี่ต้าง\*ติดตัวมา เนื่องจากในปีนี้ตัวเขาอายุเข้า 20 ฟีโรโมนในร่างกายจะออกมามากกว่าปกติเขาจึงต้องคอยกินสมุนไพรเพื่อยับยั้งฟีโรโมนที่จะปล่อยออกมา
ในที่สุดฮุ่ยหมิงก็เดินทามางถึงเถี่ยนโจว นั่งเรือจากเมืองบ้านเกิดใช้เวลาร่วมชั่วโมง จัดการจ่ายค่าโดยสารเสร็จสรรพก่อนจะนำกระสอบข้าวขึ้นรถเข็นเช่าแล้วเข็นนำไปส่งยังโรงสีข้าว
“อ่ะ นี่ของเจ้า”
ฮุ่ยหมิงรับถุงเงินมาเอาไว้ในมือก่อนจะเปิดมันเพื่อตรวจสอบ เขาค่อยๆนับเงินทีละเหรียญ
“หนึ่ง สอง…สาม”
ทำไมถึงมีแค่ 3 ตำลึงเองล่ะ ฮุ่ยหมิงค้นในถุงเงินอีกครั้งดูว่ายังคงมีเหลืออีกหรือไม่พอลองมองหาดูดีๆก็ไม่พบ
“อาโป ทำไมรอบนี้ถึงได้แค่สามตำลึงล่ะ คราวที่แล้วข้าได้ตั้งห้าตำลึงเชียว”
“คนอื่นมันก็ได้ไม่ต่างจากเจ้านักหรอก เผลอๆได้น้อยกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่างตั้งแต่ช่วงที่ฮ่องเต้คนใหม่ขึ้นปกครอง อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมด เจ้าจะมาว่าข้าคนเดียวมิได้หรอก”
จบคำพูดของอาโปฮุ่ยหมิงไม่สามารถทักท้วงอะไรได้นอกจากต้องรับเงินเพียงแค่ 3 ตำลึงลงถุงเงินดังเดิม ตัวเขาเดินทอดน่องผ่านตัวตลาดสดผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่ ฮุ่ยหมิงเดินหลบคนนั้นทีชนคนนี้ทีด้วยสภาพที่ราวกับคนอาลัยตายอยาก มือน้อยๆของเขาจับถุงเงินที่ด้านในมีเพียงแค่ 3 ตำลึง เงินจำนวนเพียงเท่านี้ยังน้อยกว่าค่าเรือกับค่ารถเข็นเช่าเสียอีก
“โอ๊ย”
ความเจ็บแล่นขึ้นจนตัวงอราวกับกุ้ง ฮุ่ยจับไปที่เอวพลางนวดคลึงดูเหมือนว่าตัวเขาจะไปกระแทกกับอะไรบางอย่าง เสียงจ้อกแจ้กจอแจจากกลุ่มบุคคลที่อยู่ไม่ไกลประชาชนหลากหลายชนชั้นพากันมุงดูอะไรบางอย่าง ฮุ่ยหมิงมีความสงสัยอาศัยด้วยความตัวเล็กค่อยๆลัดเลาะแทรกเข้าด้านใน ป้ายประกาศที่เต็มไปด้วยกระดาษหลากหลายดูเหมือนไม่มีอะไร สายตาพลันหยุดไปที่กระดาษใบหนึ่งเขียนหัวกระดาษด้วยตัวหนังสือจีนตัวใหญ่
‘รับสมัครนางบำเรอรับใช้ฮ่องเต้ ได้ทั้งอัลฟ่า เบต้าและโอเมก้า’
ดวงตาเล็กตื่นโตทันทีเหมือนว่าป้ายประกาศนี้จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก ฮุ่ยหมิงจัดการไล่อ่านรายละเอียดดูเหมือนว่าผู้ที่ต้องการจะสมัครจะต้องเขียนชื่อประวัติของตนส่งเข้าวังหลวงและรอจดหมายตอบกลับถึงเข้าร่วมการทดสอบเพื่อเป็นนางบำเรอได้
หากนึกย้อนอีกทีหากพ่อรู้เรื่องนี้จะยอมรับหรือป่าวนะ
แต่มันก็ไม่มีเวลาให้นั่งคิดมากแล้ว ในเมื่อโอกาสที่เขาจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวมายื่นให้ตรงหน้าเขาก็ต้องรับไว้ไม่ให้มันหลุดเสีย ถึงแม้จะเป็นแค่นางบำเรอหากผู้เป็นพ่อได้อยู่กินสบายแค่นั้นมันก็เพียงต่อเขาแล้ว
ยามเช้าที่สดใสช่างเหมาะกับการทำพืชไร่เสียเหลือเกิน แต่ความคิดนั้นก็คงต้องพับไปเสียเพราะวันนี้เป็นวันที่ฮุ่ยหมิงจะออกเดินทางยังไงล่ะ!
แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะง่ายเหมือนทุกคราว เมืองต้าหัวตั้งอยู่อีกฟากของภูเขาการจะเดินทางมันไม่ง่ายเสียขนาดนั้น จะเดินเท้าผ่านภูเขาไปกว่าสองลูกข้ามแม่น้ำอีกหนึ่งทอด แค่คิดจินตนาการของปวดหัวแล้ว
วันนี้ฮุ่ยหมิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันในตอนเช้าเฉกเช่นเดิมเหมือนทุกครั้ง รดน้ำบำรุงพืชหรือพูดคุยกับควานฮวาเจ้าปลาคราฟคู่ใจ
“ควานฮวา ต่อจากนี้ข้าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจงอย่าดื้อกับพ่อข้าล่ะ”
“บุ๋งๆ”
ควานฮาโผล่ปากของมันขึ้นเหนือน้ำพะงาบปากของมันเพื่อตอบรับ ฮุ่ยหมิงหยิบอาหารในถ้วยป้อนใส่ปากของมันแต่เหมือนควานฮาจะอยากเล่นกับเขามันพ่นน้ำใส่จนชุดใหม่เปียกแม้มันจะไม่มากแต่มันก็เปียก
“ควานฮานี่เจ้าทำอะไรเนี่ย นี่มันชุดใหม่ของข้านะ โถ่”
“บุ๋งๆ”
ฮุ่ยหมิงเบะปาก ดูเจ้าควานฮาสิแม้เขาจะดุสีกเท่าใดมันก็ยังคงติดเล่น มันช่างน่าจับไปทำปลาต้มเสียจริงเชียว
“ข้าไปล่ะควานฮา ไว้ข้าว่างเมื่อใดจะกลับมาเล่นกับเจ้านะ”
แม้จะหมั่นไส้แต่ภายในใจลึกๆก็โหวงเหวง นี่ก็ใกล้เวลาแล้สที่จะต้องออกเดินทาง ฮุ่ยหมิงเดินเข้าบ้านสำรวจสัมภาระว่าครบหรือไม่ วันนี้เขาจะต้องออกจากบ้านไปยังที่แสนไกลแล้ว การตรวจสอบและเตรียมของก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน
“จะไปแล้วหรอลูก”
“ครับท่านพ่อ”
ฮวาน ฉินผู้เป็นพ่อเอ่ยทักเดินมาพร้อมกับของบางอย่างที่อยู่ในมือ
“นี่เป็นซาลาเปา เอาไว้ทานระหว่างทางเผื่อเจ้าหิวนะ”
“ขอบคุณท่านพ่อ”
ฮุ่ยหมิงมองหน้าพ่อก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม คำถามนี้เขาค้างคาใจมาอยู่นานครู่แต่วันนี้ไหนๆแล้วก็อยากจะถามให้หายแคลงใจ
“ท่านพ่อ การที่ข้าไปเป็นนางบำเรอแบบนี้ท่านรังเกียจข้าหรือไม่”
ฉินมองหน้าลูกชายพลางส่ายหัว ตัวเขามิเคยรังเกียจลูกตัวเองเป็นแน่ แม้หากตัวเป็นชายใจเป็นหญิง ฮุ่ยหมิงก็คือฮุ่ยหมิงลูกของเขาเหมือนเดิม
“ใยข้าต้องเกลียดเจ้า เจ้าก็คือเจ้า ฮวาน ฮุ่ยหมิงลูกชายของข้าเหมือนเดิม”
ได้ยินคำตอบถึงกับกลั้นไม่อยู่ ฮุ่ยหมิงเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ
“ข้าดีใจจริงๆที่ได้เจอเกิดเป็นลูกของท่าน”
“ข้าก็เหมือนกัน”
ปาดเช็ดน้ำตาตัวเขาต้องฮึบไว้ ฮุ่ยหมิงก้มคาราวะก่อนจะหยิบสัมภาระแล้วออกจากบ้านไป
"เอ่อ…เจ้าคือคนรถม้าหรือไม่”
ฮุ่ยหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง บอกตามตรงเขาไม่ชินเลยที่จะต้องคุยกับคนแปลกหน้ายิ่งอีกฝ่ายหน้าตาเหี้ยมโหดยิ่งไม่กล้าเสียใหญ่
"ใช่ เจ้าจะโดยสารใช่มั้ย”
"ใช่ๆ ข้าจะไปที่ต้าหัวแต่ต้องไปต่อที่ท่าเรือฟากนู่น”
"งั้นเจ้าก็ขึ้นมาเลย พวกเราจะออกกันแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮุ่ยหมิงก็รีบขึ้นรถม้าทันที ไม่นานรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกพร้อมกับรถม้าคันอื่นๆ ในคราวแรกเขาเกือบจะตัดสินใจเดินเท้าเองแต่ลืมไปว่าตนไม่รู้เส้นทางบวกกับการเดินทางในม้ามันยากลำบากเลยเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรถม้าโดยสารแทน
ระหว่างเดินทางฮุ่ยหมิงที่ได้นั่งฝั่งด้านนอกสุดพลางกวาดสายตามองรอบๆพร้อมกับทิวทัศน์ ตัวรถม้าก่อขึ้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีที่นั่งสองฝั่งด้านซ้ายกับด้านขวาสามารถบรรจุคนได้ราว 5-6 คน นับว่านี่เป็นรถม้าโดยสารที่ยอดเยี่ยมเลยล่ะ
ตอนนี้รถม้าโดยสารเริ่มเข้าสู่เขตป่าเส้นทางย่อมขรุขระมีหลุมมีบ่อบ้าง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเดินทางเอง เหนื่อยก็เหนื่อย ช้าก็ช้า ดีมิดีอาจมีหลงทางได้
เดินทางได้ยามกว่าคนม้าเอ่ยบอกจอดพักแถวชานเขา ฮุ่ยหมิงกระโดดลงจากรถม้าก่อนจะค่อยๆยืดตัวให้คลายความเมื่อยล้า ตัวเขานั่งเกรงกว่าหลายชั่วโมงกลัวหากเผลออาจกระเด็นตกรถได้
"ฮี้!!!!!”
"โอ๊ย!! นี่เจ้าเป็นอะไรเนี่ย”
เสียงร้องของคนม้าทำให้ทุกคนต่างละหันไปมอง เจ้าม้าที่จู่ๆก็เกิดตื่นกลัวมันสะบัดขาหลังโดนคนม้าจนกระเด็นก่อนที่จะวิ่งหนีหาย ทันใดนั้นกลุ่มควันปริศนาก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ฮุ่ยหมิงยกมือขึ้นปิดจมูกเพื่อไม่ให้สูดดมพร้อมกับแหวกควันเดินหาคนอื่นๆ
“แค่ก”
เหมือนว่าเจ้าควันเจ้าปัญหามันจะทำให้เขาเริ่มหายใจไม่ออก กลิ่นของมันเหม็นจนแสบจมูกหูตาไปหมด ดวงตาพยายามเพ่งมองไปด้านหน้าแต่ก็เห็นแต่ควันสีขาวเต็มไปหมด ร่างกายเริ่มอ่อนแรงมองซ้ายมองขวาตาเริ่มหัวเริ่มหมุน ฮุ่ยหมิงรุดคุกเข่าลงกับพื้นเจ้ากลิ่นควันพวกนี้มันทำให้เขาเหม็นจนแสบจมูกไปหมด
“ครบรึยัง”
“ยังครับลูกพี่”
เสียงใครกัน อยู่ตรงไหน หันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของเสียง ฮุ่ยหมิงใช้แรงทั้งคลานไปยังต้นตอของเสียง
“เฮ้ย! ใครวะ!”
เจอแล้ว เขาจับเจอแล้ว ฮุ่ยหมิงค่อยๆเงยหน้าแต่เพราะความมึนจากควันส่งผลให้เขามองคนตรงหน้าได้ไม่ชัดมากนัก ฮุ่ยหมิงพยายามเพ่งมองชุดสีน้ำตาลยาวมีฝักอะไรไม่รู้เสียบที่เอว จะว่าไปใช่คนม้าหรือไม่ หากรู้ไม่ว่าขาที่ฮุ่ยหมิงนั้นจับไปมันเป็นขาของโจร!
“เจ้า…คนม้ารึไม่”
ฮุ่ยหมิงเอ่ยถามเขาจะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้น้ำเสียงของเขาไม่ต่างอะไรกับคนเมา ชายนิรนามอีกคนเดินเข้ามาร่วมวงก่อนจะนั่งยองเชยคางของฮุ่ยหมิง
“ถ้าข้าบอกว่า ไม่ใช่ล่ะ”
“แล้ว…เจ้าเป็นใคร”
“หึๆ เจ้าไม่ต้องรู้หรอกเด็กน้อย”
“อั่ก!!”
เมื่อพูดจบฝ่ายโจรก็ปล่อยเข้าที่หน้าท้อง ความจุกทำให้ฮุ่ยหมิงนิ่งไปครู่ก่อนจะแน่นิ่งไป
ฝ่ายโจรที่ยืนมองจัดอุ้มร่างของฮุ่ยหมิงขึ้นท้ายรถม้า ตอนนี้หมอกควันได้จางหายไป เหล่ากลุ่มโจรทยอยขนข้าวของและตัวประกันที่จับม้าได้ขึ้นรถม้ามุ่งตรงออกจากบริเวณนั้นไป
เจ็บ
ความรู้สึกแรกที่รับรู้ได้คือความเจ็บที่ปั่นป่วนอยู่ที่หน้าท้อง ฮุ่ยหมิงค่อยๆลืมตาเพดานห้องที่แปลกไปหันมองซ้ายพบคนจำนวนหนึ่งที่นั่งกุมเข่าด้วยความกลัวเขาจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นผู้โดยสารที่มาพร้อมกับเขา ฮุ่ยหมิงรีบรุดขึ้นนั่งก่อนจะหันไปมองรอบๆพวกอยู่ในห้องที่ปิดมืดมีเพียงแสงสว่างของแสงจันทร์ที่ลอดออกจากหน้าต่างบานเล็กเหนือหัว ฮุ้ยหมิงเขย่งดูเพื่อสอดส่องสถานที่ที่พวกเขาอยู่พร้อมกับนึกว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น
เขาเดินทางมาด้วยรถม้าโดยสาร แล้วก็หยุดพักที่ตรงลำธารกลางภูเขา จากนั้นก็มีควันโพยพุ่ง
และมีโจร
ใช่!!!! โจร เขาถูกพวกโจรจับมา
เมื่อนึกได้ฮุ่ยหมิงหันซ้ายขวาหาถุงสัมภาระ เมื่อเขารีบค้นของที่อยู่ในกระเป๋าพบว่าถุงเงินของเขามันหายไป
หนอยแน่เจ้าพวกโจร! บังอาจมาเอาถุงเงินของข้าเชียวรึ!!
ฮุ่ยหมิงลุกขึ้นฟัดสู้แต่นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นโจร เขาตัวเล็กและไม่มีพละกำลังหรืออาวุธที่จะต่อกรได้ หรือหากไปเขาก็ตายก่อนอยู่ดี
ฮุ่ยหมิงรุดกลับนั่งลงตรงที่เดิมหยิบถุงสัมภาระขึ้นมากอดเอาไว้แน่น
“แม่ฮะ ข้าหิว”
“อดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราแล้ว”
เสียงสนทนาของแม่ลูกละให้เขาหันไปมอง จะว่าไปตัวเขาก็มีซาลาเปาด้วยนี่ ฮุ่ยหมิงค้นในถุงก่อนจะเจอซาลาเปาหนึ่งลูก เขายื่นไปให้เด็กน้อย
“อ่ะ ข้าให้”
“จะดีหรือ”
แม่ของเด็กเอ่ยถาม ฮุ่ยหมิงพยักหน้าพลางยิ้มตอบ แม้ในใจเขาจะหิวแต่ชีวิตของเด็กก็สำคัญกว่า
“ขอบคุณครับ”
เด็กน้อยยิ้มรับก่อนจะกินแก้มตุ้ย ฮุ่ยหมิงมองภาพนั้นด้วยความอิ่มเอิบใจก่อนเอนหลังพิงกับกำแพง
หวังว่าพรุ่งนี้ ทั้งข้าและทุกคนจะรอดปลอดภัย
“ปล่อยข้า!!!”
เสียงตะโกนจากด้านนอกส่งผลให้ทุกคนตกใจตื่นรวมถึงฮุ่ยหมิง ทุกคนที่อยู่ภายในห้องเริ่มพากันหวาดกลัว ไม่สามารถรู้ได้ว่าด้านนอกเหตุการณ์ใด เสียงปะทะรีมฝีปากของคนด้านนอกยังคงดังขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งมีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้น
“อ๊ากกกกก!!!”
เสียงโอดโอยที่ฟังแล้วดูทรมาน พวกโจรพวกนั้นมิใช่ฆ่าแกงใครไปแล้วหรือ ทุกคนภายในห้องเริ่มจับกลุ่มกันด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดเลยว่าการเดินทางในครั้งนี้จะต้องมาพบเรื่องแบบนี้
ประตูห้องถูกเปิดออกเผยให้เห็นใครบางคน ร่างสูงใหญ่มีบากที่หน้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีโทนเดียวกับกับพวกโจร
“พวกเจ้านี่มันเสียงดังน่ารำคาญเสียจริง”
ด้วยท่าทางที่สุขุมที่สามารถทำให้คนเกรงกลัวดูท่าจะไม่ใช่โจรธรรมดาเสียแน่ ฮุ่ยหมิงจ้องเขม็งเขามิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยต้องการถุงเงินคืนต่างหาก
เงินข้าน่ะ!!! เอาคืนมา!!!
เหมือนโจรผู้นั้นจะสัมผัสได้ เขาเดินตรงมาที่ฮุ่ยหมิงนั่งยองลงตรงหน้าก่อนจะเชยคางขึ้น
“เจ้ามองหน้ามีปัญหารึไง”
“เอาถุงเงินข้าคืนมา”
ฮุ่ยหมิงตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว ความทะเยอทะยานนี้ทำให้โจรผู้นี้ถึงกับหลุดขำ
“เจ้านี้น่าสนใจเสียจริง”
ผู้จบเขาก็โดนกระชากตัวขึ้น ฮุ่ยหมิงพยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไร้ผล
“ปล่อยข้านะ!!”
ออกมาด้านนอกสายตาเหลือบเห็นร่างปริศนานอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น ชุดสีเขียวเข้มนั่นหากจำไม่ผิดคือหัวหน้าคนม้า เจ้าคนพวกนี้ทำอะไรเขากัน
“โอ๊ย!”
ฮุ่ยหมิงถูกเหวี่ยงลงพื้นอย่างเต็มแรง เขายกแขนขึ้นมาปัดป่ายให้ตายสิแม้เขาจะเพียงแค่ตัวประกันแต่อย่างน้อยก็ทะนุถนอมกันบ้าง ฮุ่ยหมิงหันตัวกลับแต่สายตาของเขาดันไปเห็นอะไรที่ไม่ควร กองซากศพทั้งสัตว์และมนุษย์ที่กองพะเนินอยู่ไม่ไกลจุดที่เขานั่ง ทั้งกลิ่นเหม็นสาบจนแทบอยากอ้วก นี่อีกไม่นานตัวเขาจะต้องกลายเป็นแบบนี้น่ะหรือ ไม่เอานะ!!!
“นี่เจ้าจะทำอะไรข้า”
“หืม? สงสัยงั้นรึ”
ฮุ่ยหมิงถามด้วยน้ำเสียงสั่น ตอนนี้เขาเริ่มไม่สู้ดี โจรผู้นี้หรือถ้าเรียกตามูกน้องของมันก็คือกวางฉามีศักดิ์เป็นหัวหน้าโจร กวางฉาย่างก้าวมาอีกคนก่อนจะนั่งยองลงตรงหน้า
“ตอนแรก ข้าก็กะว่าจะทำให้เจ้าเป็นแบบเจ้าพวกนั้น…” กวางฉาชี้ไปที่กองศพที่อยู่มุมห้อง
“แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว อยากสนุกสักเสียหน่อย กับโอเมก้าอย่างเจ้า ฮ่าๆๆ”
สิ้นประโยคกวางฉาหัวเราะร่าทันที เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น เขายังไม่อยากมาตายที่นี่!!!
ฮุ่ยหมิงฮึดสู้ปล่อยหมัดเล็กชกเข้าที่หน้าของกวางฉาสบโอกาสวิ่งหนี แต่เพียงแค่แรงหมัดนั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรหัวหน้าโจรอย่างเขาได้ กวางฉาคว้าตัวฮุ่ยหมิงทุ่มลงพื้นจนอีกคนร้องออกมาด้วยเจ็บ
“อั่ก!!!”
เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มอ่อนแรงกวางฉาก็จัดการฉีกชุดบนร่างออกเป็นชิ้นๆ ฮุ่ยหมิงที่ตอนนี้แรงแทบไม่เหลือไม่สามารถต่อกรหรือดิ้นหนีได้เขาได้แต่ใช้มือเล็กๆปัดป้อง
“ย\-อย่า”
น้ำเสียงสั่นยิ่งทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายพุ่งพล่านกว่าเดิม กวางฉาจัดการตึงแขนอีกฝ่ายขึ้นเหนือศรีษะ ฮุ่ยหมิงพยายามใช้แรงทั้งหมดเพื่อให้หลุดจากการจับกุม แต่ด้วยแรงที่น้อยกว่าไม่ว่าจะดิ้นสักเท่าใดก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด เพียงเสี้ยววินาทีที่กลางฉาจะลงมือกระทำลูกธนูคันยาวก็พุ่งเสียบทะลุศรีษะของหัวหน้าโจรทันที ร่างของกวางฉาล้มแน่นิ่งบนตัวของฮุ่ยหมิง ด้วยความช็อคจู่ๆน้ำตาของเขาก็เอ่อล้นมาทันที
ประตูห้องถูกเปิดออกเผยให้เห็นชายคนใหม่ในชุดเกราะเต็มยศพร้อมกับดาบเล่มยาวในมือ ทันทีที่ชายผู้นั้นพบเห็นก็รีบรุดตรงมาหาเขาทันที
“เจ้าปลอดภัยดีใช่มั้ย”
ไม่รู้ว่าชายผู้นี้คือใครแต่ฮุ่ยหมิงรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ร่างของกวางฉาถูกยกออกจาตัวเขา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดของหัวหน้าโจร ชายชุดเกราะหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาจากเสื้อเกราะก่อนจัดการห่มให้
“เจ้าคลุมผ้าผืนนี้ไม่ก่อนนะ”
ฮุ่ยหมิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำจาพยักหน้าหงึกก่อนจะค่อยๆลุกจากแรงดึงของชายชุดเกราะ เดินออกมาด้านสายตาของเขาก็กวาดสำรวจ ถุงสัมภาระกับถุงเงินของเขาล่ะ
“ของข้าล่ะ ถุงเงินล่ะ”
“ของเจ้า?”
“ข้ามีถุงสัมภาระอยู่ในห้องนั้น แล้วก็…ถุงเงินของข้า พวกโจรมันเอาไป”
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เจ้าออกไปรอที่ด้านนอกกับคนอื่นๆ ข้าจะจัดการหาให้”
ฮุ่ยหมิงพยักหน้ารับคำก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองออกมา
“ตายแล้ว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
ทันทีที่ออกมาป้าแม่ลูกอ่อนก็เข้าสวมกอดทันที รวมถึงคนอื่นต่างพากันมามุงดู
“ข้าไม่เป็นไร”
เหล่าพวกของชายชุดเกราะทยอยกันออกมาพร้อมกับพวกโจรที่บ้างก็บาดเจ็บบ้างก็โดนฆ่าตาย
“พวกจ้าไม่มีใครเป็นอะไรใช่หรือไม่”
ทุกคนขานรับ ต่างกับฮุ่ยหมิงที่ชะเง้อมองหาใครบางคน ไม่นานชายชุดเกราะก็ออกมาพร้อมกับถุงสัมภาระและถุงเงินของเขา
“นี่ของหรือไม่”
“ใช่ๆ”
เมื่อได้ของของตนคืนสีหน้าของเขาก็ดูเปลี่ยนไปทันที ฮุ่ยหมิงตรวจสอบว่าทุกอย่างยังอยู่ครบดีก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“งั้นทีนี้พวกเจ้าทุกคนก็ขึ้นรถม้าไปได้เลย เดี๋ยวพวกข้าจะพาข้ามทะเลไปส่งยังปลายทาง”
ทุกคนต่างดีใจรวมถึงฮุ่ยหมิง อย่างน้อยตัวเขาก็ไม่ต้องมาตายที่นี่ ทุกคนทยอยพากันขึ้นรถม้าเตรียมออกเดินทาง เหลือเพียงแม่ทัพหลวงที่คอยยืนตรวจตราความเรียบร้อย
“ท่านดูสนอกสนใจเด็กคนนั้นนะ”
“เจ้าหมายถึงอะไร”
ซานถิงเอ่ยถาม เขาไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
“ก็นั่นไง มีไปตามหาถุงสัมภาระให้ด้วย ถ้าท่านไม่สนใจแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ”
“ข้าก็แค่ช่วยเหลือเขาเท่านั้นเอง”
แม่ทัพหลวงเอ่ยคำตอบ ซานถิงรู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็แค่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันเอง แล้วอีกอย่าง ในสภาวะเช่นนั้นอีกคนตื่นกลัวเหตุการณ์ที่คนตายต่อหน้าจะให้เขานิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร ว่าแล้วก็ขึ้นม้าพร้อมกับตามขบวนรถม้าไปทิ้งให้เหว่ยเมี่ยงยืนพรรณนาอยู่เพียงลำพัง
“ปากแข็งเสียจริงเชียว”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!