ดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายนยังคงร้อนจัด เหล่าผู้คนที่เดินอยู่ริมถนนรู้สึกถูกแผดเผาไปด้วยไอแดดที่รุนแรง ทำให้พวกเขาเหงื่อออก ทุกคนต่างดูรีบร้อนราวกับว่าไม่อยากจะอยู่ข้างนอกเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
อย่างไรก็ตามสำหรับจี้เฟิงนั้นความรู้สึกในตอนนี้ไม่ต่างกับฤดูหนาวที่หนาวเย็นยะเยือกไปจนสุดขั้วหัวใจ!
………
“เราเลิกกันเถอะ !”
………
“ฮุ่ยฮุ่ย เธอพูดว่าอะไรนะ ?” จี้เฟิงถาม
“ฉันบอกว่าฉันจะเลิกกับนาย” เด็กสาวนามว่าฮุ่ยฮุ่ยพูดซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แยแส
“และต่อจากนี้อย่ามาเรียกฉันว่าฮุ่ยฮุ่ยอีก เพราะ! ฉัน! ชื่อ! ฮูซู่ฮุ่ย !!”
“ทำไม ?? ” สีหน้าอันหม่นหมองพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจี้เฟิง
“ฮุ่ยฮุ่ยทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
ในตอนนี้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดหลายสิบเล่มปักเข้ามาอย่างจัง
เมื่อสองเดือนที่แล้วพวกเขาทั้งสองเพิ่งจะสาบานกันว่าจะไม่มีวันแยกจากกัน แล้วตอนนี้เขากลับต้องมาได้ยินคำว่า เลิกกัน ? นี่หรือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากวันหยุดฤดูร้อนที่เขาควรจะมีความสุข ?
จี้เฟิงจ้องมองสาวสวยตรงหน้าด้วยสายตาอันว่างเปล่าแต่ภายในใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน
………
ฮูซู่ฮุ่ยและจี้เฟิงนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันของชั้นมัธยมปลายปี 3 ที่โรงเรียนมัธยมปลายหมางซือวิทยาเขตที่สอง
จี้เฟิงเป็นคนจริงคำไหนคำนั้น พูดน้อยแต่จิตใจดี เขาและแม่อาศัยอยู่ในเขตเดียวกันกับโรงเรียน
ผลการเรียนของจี้เฟิงไม่ได้ดีอะไรมาก อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปานกลางเล็กน้อยเท่านั้น
ฮูซู่ฮุ่ย มีบุคลิกที่มีชีวิตชีวาร่าเริงสดใสหน้าตาสะสวยชอบพูดคุยกับผู้คนและยังเป็นรองหัวหน้าห้องอีกด้วย ดั้งนั้นเธอจึงเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนชายหลายคนในห้อง
แต่สุดท้ายกลับเป็นจี้เฟิงที่ได้หัวใจสาวสวยคนนี้ไปครอง เนื่องจากทั้งคู่ได้นั่งโต๊ะติดกันเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดความประทับใจที่ดีต่อกันและมีการพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ
แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร จี้เฟิงก็ไม่ทันได้คิดว่าเขากลับต้องมาได้ยินคำบอกเลิกของฮูซู่ฮุ่ยในวันแรกของการเปิดเทอมขึ้นชั้นม.ปลายปีสุดท้าย!
“ทำไม? นายไม่อายบ้างเหรอที่มาถามฉันว่าฉันบอกเลิกนายทำไม?” เสียงของ ฮูซู่ฮุ่ย ดังขึ้น นักเรียนโดยรอบที่เดินผ่านไปผ่านมาเมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“ฉันทำอะไรผิดหรอ?” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขึ้นทุกที
“จี้เฟิง เราไปด้วยกันไม่ได้ก็เพราะเส้นทางในอนาคตของเรามันแตกต่างกันมากเกินไป!!” ฮูซู่ฮุ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยและเย่อหยิ่ง
“นายคิดว่าสภาพครอบครัวนายจะสามารถสนับสนุนนายไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยเกรดของนายในตอนนี้ได้เหรอ ฉันจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมือง ฉันต้องการมีอนาคตที่ดี การที่ฉับคบกับนายมีแต่จะทำลายอนาคตของฉัน!”
“ครอบครัว?” ใบหน้าของจี้เฟิงซีดลงทันใดแต่เขายังคงนิ่งและถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันจำได้ว่าฉันบอกเธอไปตั้งแต่แรกแล้วนะว่าครอบครัวฉันยากจนมาก แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกเลิกเอาตอนนี้?”
“เหอะ!! ทำไมงั้นหรอ?” เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“จี้เฟิง นายรู้ไหม ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ฉันไปเที่ยวบ้านพี่สาวและพี่เขยของฉันในเจียงโจว ฉันจะบอกให้นะว่าต่อให้นายทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตก็คงไม่มีปัญญาที่จะมีบ้านแบบนั้นได้ หรือแม้กระทั่งห้องน้ำนายยังไม่มีปัญญาจ่ายด้วยซ้ำ นายรู้ไหมรถของพี่สาวฉันราคาเท่าไหร่?”
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างยากลำบากและพูดว่า “ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน!” จากที่จี้เฟิงจำได้ ฮูซู่ฮุ่ยเคยเล่าว่า พี่สาวของเธอเพิ่งจะไปทำงานในเจียงโจวได้ไม่นาน ทำไมตอนนี้จู่ๆเธอก็ร่ำรวยขึ้นมาได้?
“หืมม? ทำงานหนักเหรอ?” ฮูซู่ฮุ่ย หัวเราะเยาะเย้ย
“นายต้องทำงานอีกซักกี่ปีดีล่ะ? สิบปี… ยี่สิบปี… หรือห้าสิบปี? ฉันไม่อยากจมอยู่กับนายจนแก่ตายเพื่อรอนายทำงานหาเงินมาซื้อบ้านในเมืองใหญ่หรอกนะ!”
“จี้เฟิงนายเลิกยุ่งกับฉันได้แล้วอย่ามารบกวนฉันอีกต่อไป ฉันต้องไปเจียงโจวเพื่อไปมหาลัยเราคงไม่ได้เจอกันอีกเพราะเราจะเหมือนอยู่กันคนละโลก!”
จี้เฟิงมองเธอด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ใบหน้าใบเดิมที่เคยมีรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดสำหรับเขา แต่ในตอนนี้ใบหน้าที่สวยงามนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและแววตาที่ดูถูกเหยียดหยาม ในเมื่อความพยายามที่จะยื้อความสัมพันธ์ของเขาไม่เป็นผล สุดท้ายจี้เฟิงจึงพยักหน้ายอมรับในที่สุด
“ตกลงเราเลิกกันเถอะ!”
ในตอนนี้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและเต็มไปด้วยความรู้สึกอันต่ำต้อย จี้เฟิงเลือกที่จะรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้ตัวเอง!
“นอกจากนี้ฉันได้ขออาจารย์ปรับเปลี่ยนที่นั่งแล้ว และฉันคงไม่ได้นั่งโต๊ะเดิมอีกต่อไปและต่อจากนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรให้พูดคุยกันอีก!!”
ฮูซู่ฮุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นก็หันไปอย่างภาคภูมิใจโดยไม่หันกลับมามองที่จี้เฟิงอีกเลย
หญิงสาวที่รอฮูซู่ฮุ่ยอยู่ไม่ไกลนักเห็นว่าการสนทนาระหว่างทั้งสองคนจบลงแล้วจึงเดินไปพร้อมกับเธอเพื่อออกไป
“ซู่ฮุ่ย ที่เธอพูดกับเขามันไม่แรงไปเหรอ? นั่นมันไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากระยะไกล
“ฉันสุภาพที่สุดแล้วนะ!” ฮูซู่ฮุ่ยตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ
และเสริมต่ออีกว่า “โชคยังดีที่อย่างน้อยเขาก็หน้าตาพอใช้ได้ แต่เรื่องความยากจนนี่…เขาไม่เคยแม้แต่จะซื้อของขวัญให้ฉันซักชิ้น! ทำไมฉันถึงได้ตาบอดไปคบกับเขาได้นะ!”
“ซู่ฮุ่ย!! พูดเบาๆหน่อย เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก!” หญิงสาวดูเหมือนจะรู้สึกแย่และท้อแท้เล็กน้อย
“เธอจะกลัวอะไร? เขาก็เป็นแค่ลูกเมียน้อยจนๆที่น่าสงสาร เหมือนพวกคนเถื่อนพันทาง! ไม่มีหัวนอนปลายเท้า!” ฮูซู่ฮุ่ยพูดอย่างเหยียดหยามด้วยถ้อยคำรุนแรง
ฮึ่ม..ม !!
จี้เฟิงที่อยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ลมหายใจหอบถี่รุนแรง ใบหน้าและดวงตาของเขาตอนนี้เป็นสีแดงก่ำราวกับจะลุกเป็นไฟ!!
ลูกเมียน้อย…ไม่มีหัวนอนปลายเท้า… คนเถื่อน…!!!
ฟันของจี้เฟิงกำลังจะแหลกจากการยืนกัดฟันอย่างโกรธแค้น บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งการหายใจที่รุนแรงจนเหมือนคนจะขาดอากาศหายใจ หมัดของเขาที่กำแน่นค่อยๆคลายลง
หลังจากที่ฮูซู่ฮุ่ยเริ่มเดินห่างออกไปไกล จี้เฟิงเริ่มสงบลงและค่อยๆแสยะยิ้มออกมา
“ลูกเมียน้อย…คนเถื่อนพันทาง…หึหึ”
ใช่! จี้เฟิงเป็นลูกนอกสมรส แต่มันจะไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอที่จะด่าคนที่เคยรักกันด้วยถ้อยคำรุนแรงพวกนี้
เขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับความลับนี้ยกเว้น ฮูซู่ฮุ่ย เพียงเพราะจี้เฟิงเป็นลูกนอกสมรสแม่ของเขาจึงถูกตาและยายไล่ออกจากบ้าน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนใจดี แม่และตัวเขาคงกลายเป็นขอทานข้างถนนหรือแม้แต่อดตายข้างถนนไปแล้ว
ลูกเมียน้อย สามคำนี้กลายเป็นเรื่องตลกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคนอื่นๆ ที่จะหัวเราะเยาะเขาเมื่อตอนที่เขายังเด็ก และสามคำนี้มันก็อยู่กับเขาตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็ก
เพียงเพราะตัวตนของเขาในฐานะลูกนอกสมรส ทำให้เขากลายเป็นเด็กมีปมด้อยและเก็บตัวเพราะแม้แต่สายตาที่เยาะเย้ยเขามันก็ทำให้เขาอับอายจนอยากจะตายได้
จนกระทั่งเขาได้พบกับ ฮูซู่ฮุ่ย ผู้หญิงที่ทำให้เขาเริ่มเปิดใจมีชีวิตที่ร่าเริงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงกล้าที่จะเล่าเรื่องครอบครัวและตัวตนของเขาให้กับฮูซู่ฮุ่ยฟัง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าครอบครัวที่ยากจนของเขาจะกลายเป็นสาเหตุให้ฮูซู่ฮุ่ยกับเขาต้องเลิกกัน และตัวตนของการเป็นลูกนอกสมรสก็กลายเป็นเป้าหมายของการเยาะเย้ยและดูถูกของเธอ
จี้เฟิงส่ายหัวและเดินออกจากโรงเรียนอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขายิ้มอย่างเศร้าๆ “ฉันมันก็เป็นแค่ลูกนอกสมรส แม้แต่คนที่ฉันรัก ก็ยังดูถูกเหยียดหยามฉัน…”
เดือนกันยายนที่ร้อนระอุแทบไม่มีคนเดินถนนให้เห็น นั่นยิ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกเคว้งคว้างมากขึ้นไปอีก มีเพียงทีวีในร้านข้างทางที่เปิดเพลงและรายการทีวีต่างๆที่ช่วยทำให้ฤดูร้อนนี้เหงาน้อยลงมาหน่อย
“การแพร่ภาพล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็นกลุ่มของเนบิวลาที่มีลักษณะคล้ายปูอยู่ในอวกาศที่อยู่ห่างจากระบบสุริยะหนึ่งพันล้านปีแสง ซึ่งปล่อยแสงแฟลชของรังสีแกมมาที่แปลกประหลาด นับเป็นครั้งแรกที่เนบิวลาปล่อยแสงสว่างจนแทบจะลุกเป็นไฟ ตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่า รังสีแกมมาอยู่ไกลเกินไปที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก…”
ในขณะที่ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าวอยู่นั้นพวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า ชั้นบรรยากาศภายนอกได้เกิดลำแสงแกมมาที่สว่างจ้ากำลังพุ่งมาที่พื้นโลก…
………
จี้เฟิงเดินไปตามถนนด้วยความสิ้นหวังอย่างไร้จุดหมาย ถูกสาวอันเป็นที่รักเยาะเย้ยอย่างร้ายกาจทำให้หัวใจเขาแหลกสลายราวกับว่าเขาไม่มีหัวใจ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆแสงแดดบนท้องฟ้าดูเหมือนจะสั่นไหวและลำแสงที่สว่างจ้าไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็พุ่งเข้าใส่หัวของจี้เฟิง ทำให้เขาเป็นลมล้มลงบนพื้นและหมดสติไป !!
…จบบทที่ 1~❤️
ในวอร์ดสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของยา จี้เฟิงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เขายังคงอยู่ในอาการโคม่า
แต่ความเป็นจริง ในเวลานี้ในสมองของจี้เฟิงมีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา
“การกระตุ้นทางชีวภาพเพื่อมองหาโอกาสในการรวมเข้าด้วยกัน….”
……
“ความผันผวนตามปกติของจิตวิญญาณเชื่อมต่อปลายประสาทเสร็จสิ้น….”
……
“ประสาทส่วนกลางของโฮสฟิวชั่นสำเร็จ…”
……
“สมองอัจฉริยะข้างหนึ่งเริ่มรวมเข้ากับโฮส…”
……
“การหลอมรวมเสร็จสมบูรณ์ระบบฐานข้อมูลเริ่มขึ้น…ติ๊ง…!!”
……
“โปรแกรมเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายโฮสเริ่มต้นขึ้น . . .”
……
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจี้เฟิงค่อยๆตื่นจากอาการโคม่า สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“แม่…!!” จี้เฟิงตะโกนเรียกแม่โดยอัตโนมัติพอเริ่มตั้งสติได้ เขาลุกขึ้นนั่ง และมองไปรอบๆด้วยความมึนงง “แม่ที่นี่…โรงพยาบาลเหรอ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เซียวซูเหม่ย หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงในตอนนี้ก็คือ แม่ของจี้เฟิง
เมื่อเห็นจี้เฟิงฟื้นขึ้นมา เธอรีบเอามือปาดน้ำตาบนใบหน้า “เฟิงเอ๋อ! ฟื้นแล้วหรอลูก”
เซียวซูเหม่ย จับมือของลูกชายขึ้นมาพร้อมกับถามต่อว่า “เฟิงเอ๋อเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
จี้เฟิงพยักหน้าแบบมึนงง และถามด้วยความสับสน “แม่ผมเป็นอะไร แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
เซียวซูเหม่ยเช็ดน้ำตาของเธอและพูดว่า “หลังจากที่ลูกโดดเรียนในวันแรกของการเปิดเทอม ก็มีคนมาเจอลูกหมดสติเพราะโรคลมแดดอยู่ข้างถนน ถ้าไม่ได้เขาช่วยส่งลูกมาที่นี่แม่คงเสียลูกชายของแม่ไปแล้ว”
โดดเรียน? เป็นลมแดด?
พอได้ฟังเรื่องราว ใบหน้าชองจี้เฟิงก็ซีดลง เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาโดดเรียน และออกจากโรงเรียนมา เขาแค่ไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขากลัวว่าเขาจะได้ยินคำสามคำนั้น คำว่า ลูกเมียน้อย จากปากของ ฮูซู่ฮุ่ยอีก บวกกับความเจ็บปวดจากการถูกบอกเลิกและจากนั้นเขาก็ออกจากโรงเรียนด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของลูกชาย เซียวซูเหม่ยผู้เป็นแม่ก็เริ่มเป็นกังวล “ลูกแม่ ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ อาการไม่ดีเหรอลูก?”
“แม่! ผมสบายดี!”
จี้เฟิงรีบคว้ามือแม่ที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรตามหมอ พอเห็นท่าทางอันเป็นกังวลของแม่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจี๊ดในใจ และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปนี้ผมสัญญาว่าผมจะไม่โดดเรียนอีกในอนาคต ผมจะตั้งใจเรียน แม่จะไม่ต้องกังวลเรื่องการเรียนของผมอีกต่อไป”
“โอเคโอเค” เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมเมื่อเห็นลูกชายของเธอมีความคิดที่ดี
“แม่รู้ว่าเฟิงเอ๋อ มีสติคิดได้อยู่แล้ว!”
มีสติ?
จี้เฟิงยิ้มอย่างประชดประชันให้กับตัวเอง ถ้าเขามีสติจริงเขาจะไม่มีวันลืมแม่ที่ทำงานเพียงคนเดียว แต่เขากลับไปหมกมุ่นอยู่กับฮูซู่ฮุ่ย ทั้งๆที่แม่ต้องทำงานขายผักเพื่อการศึกษาของเขาเอง
เขามันเป็นลูกที่เลว เลวยิ่งกว่าสัตว์ร้าย! จี้เฟิงรู้สึกเกลียดตัวเอง!!
บ้านเกิดของเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง อยู่ในชนบทแต่เนื่องจากเธอตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เซียวซูเหม่ยจึงถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน ทำให้เธอไม่มีที่อยู่อาศัย เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีและถูกเยาะเย้ยถากถางจากญาติและเพื่อนๆรวมถึงผู้คนแถวบ้าน นั่นจึงทำให้เธอไม่สามารถอยู่ที่ชนบทบ้านเกิดของเธอได้อีกต่อไป เธอจึงได้ย้ายมาในเขตเมืองเพื่อลูกในท้องของเธอ
นับว่ายังโชคดี เธอได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีจิตใจดีคนหนึ่ง เซียวซูเหม่ยได้บ้านเช่าราคาถูกและเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกชายเธอ “จี้เฟิง”
ในตอนที่จี้เฟิงยังเด็ก เซียวซูเหม่ยทำได้เพียงอุ้มจี้เฟิงไว้บนหลังของเธอในขณะที่เธอช่วยคนอื่นๆดูแลเด็กๆในตอนกลางวัน พอตกเย็นเธอไปที่กองขยะใกล้ๆ เพื่อหาเศษขยะที่พอจะสามารถขายได้ ชีวิตของเธอยากลำบากมาก
เมื่อจี้เฟิงโตขึ้นมาหน่อย การทำงานของเซียวซูเหม่ยก็ง่ายขึ้นเล็กน้อย ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนบ้านเธอจึงซื้อรถสามล้อถีบมาเป็นแม่ค้าขายผักเล็กๆน้อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้เงินมากมายนักแต่ก็พอเพียงแค่ค่าเล่าเรียนของจี้เฟิงเท่านั้น พวกเขาแทบจะไม่สามารถผ่านความยากลำบากนี้ไปได้เลย
ตอนแรกจี้เฟิงเป็นเด็กที่กตัญญูและมีความคิดดี เขาช่วยแม่ของเขาได้มาก หลังเลิกเรียนเขาจะมาที่ตลาดผักในเมืองเพื่อช่วยแม่ของเขาขายผัก
แต่พอเขาได้คบหากับฮูซู่ฮุ่ย เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการเรียนหนักในทุกครั้งที่เขาว่างเพื่อที่จะได้อยู่กับฮูซู่ฮุ่ย ทำให้เขาไปช่วยแม่ได้น้อยลง
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจุกเสียดในอก อะไรทำให้เขาตาบอดไปหลงรักฮูซู่ฮุ่ยและทิ้งแม่ผู้ที่หาเลี้ยงเขามาให้ทำงานหนักเพียงคนเดียว
“แม่ ผมขอโทษ!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงจัง “จากนี้ไปผมจะไม่ปล่อยให้แม่ต้องมาลำบาก ผมจะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาหัวเราะเยาะและดูถูกพวกเราอีก ผมจะทำให้แม่ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้!”
ในเวลานี้หลังจากที่เขาได้เห็นน้ำตาของแม่ ในที่สุด จี้เฟิงก็ตาสว่างและได้สติ พร้อมจะเริ่มต้นใหม่! นี่เป็นคำสัญญาที่ออกมาจากใจเพื่อแม่ของเขาที่ทำงานหนักและเขาจะทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น!
“จ้ะ ลูกรัก” ทันใดนั้นเซียวซูเหม่ยก็คว้าตัวลูกชายมากอดพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม
เซียวซูเหม่ยรู้สึกดีใจในที่สุดความเจ็บปวดและความยากลำบากกำลังจะหมดลง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหนเธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะมีลูกชายที่ดีและกตัญญู!
จี้เฟิงกอดอกพูดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปจี้เฟิง! นายต้องเป็นคนใหม่ นายต้องลืมฮูซู่ฮุ่ยเพราะนายยังมีแม่ที่นายต้องกตัญญูรู้คุณ!”
จี้เฟิงและแม่โผเข้ากอดกัน บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นของครอบครัว
ปึง..ง!!
จู่ๆประตูห้องพักของผู้ป่วยก็ถูกผลักออกอย่างแรง!
จี้เฟิงและแม่หันไปมองพร้อมกัน และเห็นพยาบาลร่างอ้วนเดินเข้ามา เธอมองมาที่สองแม่ลูกด้วยสายตารังเกียจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คุณเซียวซูเหม่ย ระยะเวลารักษาตามกำหนดสามวันของคุณกำลังจะหมดลงในอีก 20 นาที หากต้องการจะรักษาต่อ ก็ช่วยไปชำระเงินด้วย ไม่เช่นนั้นก็เก็บของและเชิญออกไปได้แล้ว!”
เซียวซูเหม่ยตกใจเธอรีบลุกขึ้นและพูดว่า “คุณพยาบาลคะ! ตอนนี้ลูกชายฉันเพิ่งฟื้น ร่างกายของเขายังอ่อนแอ คุณไม่เห็นเหรอคะ? ฉันขอเวลาอีกซักหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้เขาได้พักฟื้น แล้วเราจะรีบออกไปทันทีที่เขาดีขึ้น”
“เหอะ!” นางพยาบาลร่างอ้วนพูดอย่างเหยียดหยาม “คิดว่าที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์หรอ? ที่นี่คือโรงพยาบาลประจำเมือง ไม่ใช่คลินิกเล็กๆตามชนบท ที่จะจ่ายเงินช้าแค่ไหนก็ได้ ถ้าอยากจะอยู่เพื่อรักษาชีวิตก็ต้องมีเงินจ่ายค่ารักษา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ออกไปตายข้างนอก!”
เซียวซูเหม่ยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เมื่อนึกถึงร่างกายของลูกชายที่ยังอ่อนแออยู่เธอทำได้เพียงกัดฟันและพูดว่า “โอเค! ฉันจะจ่ายเงินเพื่อรักษาต่อ!”
“แม่!!” สีหน้าของจี้เฟิงดำมืดลงอย่างเห็นได้ชัด จี้เฟิงหันไปมองที่นางพยาบาลอย่างเย็นชาพร้อมกับเดินลงมาจากเตียง เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เรายังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีใช่ไหม?”
“ใช่” นางพยาบาลตอบอย่างไม่แยแส “แล้วทำไม? มีปัญหาอะไร? จะทำร้ายร่างกายฉันหรอ?!”
“เหอะ!” จี้เฟิงหัวเราะและกล่าวอย่างเย็นชา “เนื่องจากพวกเรายังมีเวลาอีกยี่สิบนาที และในยี่สิบนาทีนี้ห้องนี้ก็ยังคงเป็นของพวกเราใช่ไหม?”
“เธออยากจะสื่ออะไร ฉันไม่มีเวลามาคุยเล่นกับเธอหรอกนะ รีบเก็บของแล้วรีบออกไปได้แล้ว!” พยาบาลพูดอย่างหมดความอดทน
“ออกไป!!” จี้เฟิงตะคอกกลับ
“เธอ…ว่าอะไรนะ!!” พยาบาลร่างอ้วนถามกลับด้วยอาการอึ้งๆ
“ผมบอกว่าให้คุณออกไป หรือถ้าไม่อยากไปดีๆคุณจะกลิ้งออกไปก็ได้นะ ออก!! ไป!!”
“จี้เฟิงพูดเน้นทีละคำ ในเวลายี่สิบนาทีนี้ สิทธิการรักษาและการใช้ห้องนี้ยังเป็นของพวกเรา และผมขอสั่งให้คุณ ออกไป”
“เธอ..!!” นางพยาบาลจ้องไปที่จี้เฟิงด้วยความโกรธ แต่ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เพราะภายในระยะเวลา 20 นาทีที่เหลือนี้จี้เฟิงมีสิทธิทุกอย่างตราบใดที่มันไม่ผิดกฎระเบียบของทางโรงพยาบาล!
ในที่สุดนางพยาบาลร่างอ้วนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “อีก 20 นาที ถ้าเธอและแม่ของเธอยังไม่ออกไป ฉันจะเรียก รปภ.ให้มาลากตัวพวกเธอออกไป ฮึ่ม!!”
หลังจากนั้นนางพยาบาลร่างอ้วนก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
…จบบทที่ 2~
“อะโธ่! ทำเป็นวางท่า!” จี้เฟิงสบถไล่หลังนางพยาบาลร่างอ้วนอย่างเย็นชา
“เฟิงเอ๋อ ลูกแม่โตขึ้นจริงๆนะเนี่ย!” เซียวซูเหม่ยมองไปที่ลูกชาย เขาสูงกว่าเธอไปเสียแล้วตอนนี้ เธอมองลูกชายด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มภูมิใจ
ในตอนแรกเซียวซูเหม่ยกลัวว่าการขัดใจกับนางพยาบาลนั้น จะส่งผลร้ายต่อการรักษา นางพยาบาลอาจใช้อารมณ์ส่วนตัวและไม่เต็มใจรักษาลูกชายของเธอ และผลที่ตามมามันอาจจะร้ายแรงได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กลับทำให้เซียวซูเหม่ยพอใจมาก จี้เฟิงอดทนฟังที่นางพยาบาลร่างอ้วนดูถูกเหยียดหยามอย่างใจเย็น เขารอจังหวะสวนกลับนางพยาบาลอย่างมีสติ นั่นทำให้นางพยาบาลได้รับความอับอายกับสิ่งที่เธอทำเสียเอง มันเจ็บยิ่งกว่าถูกทำร้ายร่างกายเสียอีก
“แม่..ผมบอกแม่แล้วไงผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นต้องมาดูถูกพวกเราอีก!” จี้เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น
“จ้าๆ แม่เชื่อในตัวลูกนะ!” เซียวซูเหม่ยอมยิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ
จู่ๆจี้เฟิงก็นึกถึงที่นางพยาบาลอ้วนพูดขึ้นมาและถามแม่ว่า “แม่ผมนอนไม่ได้สติมาสามวันแล้วเหรอ?”
พอพูดถึงอาการของลูกชายเซียวซูเหม่ยก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที เธอถามลูกชายอย่างร้อนรน “เฟิงเอ๋อแล้วตอนนี้ลูกอาการเป็นยังไงบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
หลังจบประโยคที่แม่ถามเขาด้วยความเป็นห่วง ความรู้สึกอบอุ่นถาโถมเข้ามาภายในใจของจี้เฟิง เขามองไปที่แม่ของเขาที่มีอายุเพียงสี่สิบปีแต่ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยที่ทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงของเธอมากนัก เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เพื่อที่จะเลี้ยงดูเขาด้วยตัวเองเพียงลำพังแม่ต้องลำบากมามากขนาดไหน!
“แม่ไม่ต้องห่วง ผมสบายดี ดูนี่นะ!” จี้เฟิงลุกขึ้นขยับแขนขาอย่างกระฉับกระเฉง และทันใดนั้นเขารู้สึกราวกับว่าร่างกายเขาเต็มไปด้วยพละกำลังเขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน
เมื่อก่อนร่างกายของจี้เฟิงอ่อนแอ เนื่องจากโภชนาการที่เขาได้รับไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเขา
แต่ในตอนนี้ถึงเขาจะรู้สึกแข็งแรงมากเขาก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“หรือเป็นเพราะได้นอนพักที่โรงพยาบาลอย่างเต็มที่มาสองสามวัน!?” จี้เฟิงเดา
เซียวซูเหม่ยมองไปที่ลูกชาย เมื่อเห็นว่าลูกชายของเธอไม่ได้แกล้งทำเป็นแข็งแรงเพื่อให้เธอสบายใจ เธอก็รู้สึกโล่งใจ
จี้เฟิงพูดว่า “แม่เรากลับบ้านกันเถอะ ผมหายดีแล้วจริงๆ”
“ป่ะ กลับก็กลับ!” เซียวซูเหม่ยถอนหายใจเบาๆถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน มีหรือที่เธอจะเต็มใจให้ลูกชายออกจากโรงพยาบาลในตอนนี้ เพราะลูกชายของเธอเพิ่งจะฟื้นจากอาการโคม่าและยังต้องการการพักผ่อนอีกมาก
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากห้องพวกเขาก็เห็นพยาบาลร่างอ้วนยืนอยู่ตรงทางเดินยังคงมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาดูถูก
เมื่อเห็นสองแม่ลูกกำลังจะกลับ นางพยาบาลก็พึมพำอย่างเหยียดหยาม
“หึ! พวกคนจนที่น่าสมเพช เป็นฉันคงอายที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งๆที่ไม่มีเงิน!”
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนลงทันใดเขาตะคอกกลับไปด้วยความโกรธ “เฮ้ยย..ย!!”
เซียวซูเหม่ยตบบ่าลูกชายเบาๆแล้วกระซิบว่า “เฟิงเอ๋อช่างเขาเถอะไม่ต้องไปสนใจ”
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม่ไปกันเถอะ!”
เมื่อออกจากโรงพยาบาล จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก กลิ่นยาในโรงพยาบาลมันฉุนเสียจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก
“เฟิงเอ๋อเอาของวางบนรถ” เซียวซูเหม่ยขี่รถสามล้อคันเดียวในบ้านออกจากใต้โรงจอดรถที่อยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ถามอย่างรู้สึกผิด “แม่ไม่ได้ไปขายของเพราะต้องมาดูแลผมใช่ไหม?”
“เจ้าเด็กโง่!” เซียวซูเหม่ยยิ้มพร้อมกับขยี้หัวของจี้เฟิง “ที่แม่ทำงานก็เพื่อลูก ถ้าลูกเป็นอะไรไป ไม่ว่าแม่จะหาเงินได้มากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์!”
จี้เฟิงแตะหัวของเขาและยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าความรักที่แม่มีต่อเขามันมากมายเหลือเกิน
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ผมว่าผมยังไม่กลับบ้านดีกว่าขอไปโรงเรียนเลยนะแม่” จู่ๆจี้เฟิงก็นึกขึ้นได้และพูดว่า “ฉันพลาดการเรียนไปสามวันทั้งๆที่เพิ่งจะเปิดเทอมแท้ๆ”
เซียวซูเหม่ยไม่อยากให้ลูกชายไปโรงเรียนในตอนนี้ เธอจึงพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมลูกชาย “เฟิงเอ๋อแม่ขอครูที่โรงเรียนให้แล้ว ดังนั้นวันนี้กลับบ้านก่อนหยุดพักอีกสักวัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปโรงเรียนก็ได้”
จี้เฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ได้หรอกแม่ตอนนี้ผมอยู่มัธยมปลายปีสามแล้ว ผมต้องตั้งใจเรียนจริงๆจังๆได้แล้ว!”
เมื่อเห็นลูกชายตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปโรงเรียนให้ได้ เซียวซูเหม่ยจึงไม่คิดที่จะรั้งอีก เธอได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “งั้นตอนบ่ายแม่จะซื้อเนื้อดีๆมาไว้ทำรอลูกกลับจากโรงเรียนตอนเย็นแล้วกันนะ!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเขาได้แยกกับแม่และไปโรงเรียน
………
เซียวซูเหม่ยมองไปที่ด้านหลังของลูกชายรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆหุบลงกลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองและพูดกับตัวเองเบาๆว่า “ลูกชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วหรือนี่ แต่เงินค่าเทอมนี่สิ…”
เธอกัดฟันและพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่นว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อให้ต้องทำงานหนักอีกร้อยเท่า เราก็จะหาเงินส่งเฟิงเอ๋อเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้!!”
………
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูโรงเรียน จี้เฟิงรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง สามวันที่ผ่านมาเขาพบกับความรักที่ไม่สมหวังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งนี้
“ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!” จี้เฟิงพูดกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า “จี้เฟิงนายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว นายยังมีแม่ที่ทำงานหนักนายจะต้องไม่ให้คนอื่นมาดูถูก นายจะปล่อยให้แม่นายต้องลำบากอีกไม่ได้!”
หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จี้เฟิงก็เดินไปที่ห้องเรียนอย่างสงบนิ่ง
ชั้นเรียนของจี้เฟิง เป็นชั้นมัธยมปลายปี 3 อยู่ที่ชั้น 2 ของอาคารสอน
ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าบรรยากาศภายในโรงเรียน ค่อนข้างเงียบเพราะเป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว
จี้เฟิงมาถึงหน้าประตูห้องเรียน เขาพูดกับอาจารย์ที่กำลังสอน “ขอโทษที่มาสายครับ”
สายตาที่ดูอิดโรยแต่แฝงด้วยความใจดีของอาจารย์ผู้สอนวัยห้าสิบปี หันมามองจี้เฟิงแล้วพยักหน้า “เข้ามา!”
ทันทีที่จี้เฟิงก้าวเข้ามาในห้องเรียน สายตาของนักเรียนทุกคนในชั้นก็จับจ้องไปที่เขา สีหน้าและสายตาของคนในห้องแสดงให้เห็นถึงความสงสารเห็นอกเห็นใจที่มีต่อจี้เฟิง บางคนก็มองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม
จี้เฟิงเดินไปยังที่นั่งของเขา เขานั่งลงอย่างสงบนิ่ง ทางด้านขวาของเขาเดิมทีเป็นที่นั่งของฮูซู่ฮุ่ยแต่ในตอนนี้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
เด็กหนุ่มนี้มีชื่อว่า จางเล่ย ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับจี้เฟิงตั้งแต่ม.ปลายปีหนึ่ง และยังเป็นเพียงคนเดียวที่จี้เฟิงเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเพื่อน
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจี้เฟิงจะอ่านหนังสือมากแค่ไหนแต่ผลการเรียนของเขาก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่นั่นไม่ใช่กับจางเล่ย เขาดูเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ค่อยจะสนใจเรียนนักและแน่นอนเขาไม่เคยอ่านหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียนเลย แต่ทุกครั้งที่มีการสอบ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องมีชื่อ “จางเล่ย” ติดหนึ่งในสิบของระดับชั้น และหนึ่งในสามของห้องเสมอ!!
และผู้ที่เป็นอับดับหนึ่งคือหัวหน้าชั้นของม.ปลายปี 3 “ถงเล่ย” ยังมี “ซูหม่า” ที่เป็นรองหัวหน้าชั้นรวมถึงจางเล่ย พวกเขาสามคนได้รับฉายาว่าสามหัวหอกแห่งคลาสหก นั่นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของจางเล่ยเป็นอย่างดี!
อย่างไรก็ตามถ้ามองจากภายนอกคงไม่มีใครคิดว่า จางเล่ย จะเป็นนักเรียนที่ดีได้ ด้วยผมสีเหลืองทอง เสื้อคลุมที่เปิดโล่งดูโปร่งสบาย นี่คือชุดที่เป็นสัญลักษณ์ของจางเล่ย
ทันทีที่จี้เฟิงนั่งลงจางเล่ยก็ทุบหลังของเขาและกระซิบ “ไงเจ้าบ้า เป็นไงบ้าง โอเคยัง?”
จี้เฟิงส่ายหัวและกระซิบตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรมากฉันแค่เป็นลมแดดน่ะ!”
จางเล่ยแสยะยิ้มที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของจี้เฟิง “ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนายและยัยฮูซู่ฮุ่ยจอมหยิ่งหัวสูงนั่น แต่นายไม่ต้องเศร้าไป เดี๋ยวตอนเลิกเรียนฉันจะพานายไปเลี้ยงอาหารทะเลแก้เครียดเอง สนใจไหม?”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจหลั่งไหลออกมาเป็นรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าในห้องเรียนมีนักเรียนมากกว่าสี่สิบคนแต่คนที่ปลอบใจเขาได้นั้นมีเพียงจางเล่ย เพื่อนเพียงคนเดียวของเขา!!
“เอ้า!! มาเรียนกันต่อ” อาจารย์ยังคงบรรยายบนโพเดียมที่หน้าห้อง จี้เฟิงหยิบหนังสือออกมาจากใต้โต๊ะและเตรียมทำการบ้านที่เขาได้หยุดเรียนไป
ในสามวันแรกของการเรียน อาจารย์ไม่ได้สอนอะไรมาก จี้เฟิงดูเหมือนจะโล่งใจ ดังนั้นเมื่อหมดชั่วโมงเรียนเขากะว่าจะพยายามนั่งอ่านหนังสือในส่วนที่เขาหยุดไปให้ทัน
กริ๊งง…งงงงง~~~!!
หลังจากกริ่งดังขึ้น จี้เฟิงก็อ่านเนื้อหาในหนังสือเกือบทั้งหมด
“เห้ยไอ้บ้า! นายโอเคนะ?” จางเล่ยที่อยู่ข้างๆ เขายิ้มและหรี่ตามองไปที่หนังสือของจี้เฟิง
“เราอยู่ในชั้นเรียนฟิสิกส์แต่นายอ่านภาษาอังกฤษ?”
ปึงงง..!
จี้เฟิงปิดหนังสือและเหลือบมองไปที่จางเล่ย “นายคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนายกันหมดหรือไง ฉันหยุดเรียนไปตั้งสามวันถ้าฉันไม่ตั้งใจในตอนนี้ แล้วจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไง แล้วนายก็เลิกเรียนฉันว่าไอ้บ้าได้แล้ว!”
จางเล่ยหัวเราะและไม่สนใจคำบ่นของจี้เฟิง “ก็นายมันบ้า!”
“นายยย!!” จี้เฟิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ทั้งสองคุยกันและหัวเราะ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจขึ้น เขารู้ว่าจางเล่ยกำลังปลอบเขาด้วยวิธีของจางเล่ยเอง เฉพาะต่อหน้าเพื่อนเท่านั้นแหละที่เขาจะสามารถผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขากำลังจะหยิบหนังสือเรียนที่เคยอ่านมาก่อนหน้านี้และจำได้ว่ามีปัญหาอยู่สองสามข้อที่เขาไม่เข้าใจและเขาต้องการจะถามจางเล่ย
ทันใดนั้น จี้เฟิงก็สะดุ้ง
จี้เฟิงพบว่าเมื่อเขานึกถึงปัญหาสองสามข้อ ที่เขาเคยอ่านมาและไม่เข้าใจ จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนกับมีภาพยนตร์มาฉายชัดในหัวของเขา
“นี่มัน….ภาพอะไรกันเนี่ย ทำไมอยู่ดีๆก็จำได้ทั้งหมด!?” จี้เฟิงตกใจและจมอยู่ในความคิดกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
จบบทที่3
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!