1.
เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังกลบเสียงพูดคุยรอบข้าง เหล่านางฟ้าชุดขาวกำลังเดินสวนกันไปมาภายในห้องพักฟื้นหลังคลอด บรรยากาศวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไปที่เตียงสีขาวสุดมุมห้อง สีหน้าของเจ้าหน้าที่พยาบาลเริ่มส่งสัญญาณบ่งบอกถึงความตึงเคลียด ในขณะที่เจ้าหน้าที่เริ่มสื่อสารให้เร่งตามหมอ บนเตียงคนไข้สีขาวสะอาด มีหญิงสาวร่างกายผอมบางทอดร่างนอนหายใจรวยริน ในใบประวัติคนไข้บ่งบอกอายุของผู้ป่วยด้วยวัยพียง 19ปี แต่จากร่างกายที่ซูบผอม จนแก้มตอบนั้นไร้สีสัน ทำให้มองไม่ออกเลยว่า นั่นคือร่างกายของเด็กสาว ที่ควรจะสวย สดใส และร่าเริง
“คนไข้ชีพจรต่ำลงเรื่อยๆ รีบตามหมอเร็วเข้า!”
ดวงตาไร้แววของคนป่วยมองเหม่อไปยังเตียงเด็กด้านข้าง ใบหน้ายับย่นของเด็กทารกที่โผล่พ้นผ้าขนหนูกำลังตะเบ็งเสียงร้องไห้จ้า เป็นความไร้เดียงสาที่เด็กน้อยแสดงออกมาราวกับรู้ว่า ตนเองใกล้จะสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป
“พยาบาลคะ ลูกฉันเป็นผู้หญิง หรือว่าผู้ชายคะ”
เสียงเบาราวกับกำลังกระซิบเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ชุดสีขาวด้านข้างเตียง มือบางที่ถูกระโยงไว้กับสายน้ำเกลือ พยายามยกขึ้นส่งสัญญาณเพื่อขอคำตอบที่ตนสงสัย
“เป็นเด็กผู้หญิงค่ะ ร่างกายของน้องแข็งแรงดี คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ”
เมื่อฟังคำตอบรอยยิ้มจางจึงปรากฏขึ้น ขอเพียงลูกของเธอเกิดมาแข็งแรง แค่นี้เธอก็รู้สึกมีความสุขแล้ว ดวงตาของเด็กสาวทอดมองไปยังกระจกใสด้านข้างประตูห้อง เธอกำลังพยายามส่งยิ้มให้กับชายคนรักที่ยืนอยู่ด้านหลังบานกระจก แต่กลับไม่มีปฎิกิริยาใดๆส่งกลับมาให้เธอได้เห็น ผู้ชายคนนั้นยังคงใจร้ายกับเธอไม่เปลี่ยนเลย นึกย้อนกลับไปในอดีต วันที่เธอตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ คนที่กลายมาเป็นโลกทั้งใบในชีวิตเธอ เธอจำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่แสนมีความสุข ทุกวันคืนหมุนผ่านไป เธอได้หลงไหลดื่มด่ำกับรสรักแปลกใหม่ที่เขาคอยมอบให้ ความเดียงสาต่อโลกทำให้เธอมองไม่ออกในเกมรักที่เขาปรนเปรอ จนถึงวันที่เธอตั้งครรภ์ ชีวิตของเธอก็หมุนพลิกกลับทันที
“แม่จะตั้งชื่อลูกว่า อลิสา ขอให้ลูกเติบโตขึ้นมามีความสุขเหมือนกับชื่อของลูก”
ลำคอที่แห้งผากพยายามฝืนพูดออกมา ขอบตาร้อนผ่าวบัดนี้มีหยดน้ำตารินไหล เจ็บปวดใจเหลือเกิน ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้ รับรู้เพียงแค่ข้างในหัวใจมันเจ็บหน่วงไปหมด อยากเอื้อมมือไปโอบกอดลูกน้อยสักครั้งแต่ทำไม่ได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เกิดมา กับสภาพจิตใจที่แสนเจ็บปวด ทำให้การตั้งครรภ์ครั้งนี้คงเป็นปลายทางของชีวิตเธอเสียแล้ว
“แม่ไม่อยากจากลูกไปเลย อยากอยู่รอดูวันที่หนูเติบโต แม่ขอโทษ ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
เสียงสะอื้นของผู้เป็นแม่จากไปพร้อมกับสัญญาณของชีพจรที่นิ่งเงียบ ภายในห้องสีขาวที่อ้างว้าง นอกจากเสียงเด็กทารกที่กำลังร้องไห้เพียงคนเดียว ก็ไม่มีใครรู้สึกเสียใจกับการจากไปของเธอเลย
ตรงทางเดินด้านนอกของห้อง มีสองคนชายหญิงวัยกลางคนกำลังยืนคุยกันเสียงเบา ฝ่ายชายดูภูมิฐาน แม้มีอายุเลยวัยสี่สิบมาแล้วแต่ภาพลักษณ์ยังคงดูดี บ่งบอกถึงความใส่ใจในการดูแลตัวเองอยู่เสมอ ฝ่ายหญิงก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน รูปร่างสมส่วนดูสุขภาพดีในชุดเดรสสีแดง ถึงแม้จะล่วงเลยวัยสาวมามากแล้ว แต่ก็ยังดูแลความสวย ให้สมวัยจนน่ามอง
“ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ผมบอกให้คุณใส่ชุดสีสุภาพมา ทำไมคุณไม่ฟังผมบ้าง”
สุทิน พูดขึ้นโดยไม่มองหน้าภรรยาที่ยืนเคียงข้าง ประโยคคำพูดที่ฟังเหมือนตำหนิผู้เป็นภรรยาผ่านๆอย่างไม่ใส่ใจจากผู้เป็นสามี ทำให้เรียวปากสีแดงคลี่รอยยิ้มหยัน กันยา นึกสมเพชหญิงสาวที่นอนเป็นศพร่างแข็งทื่ออยู่ภายในห้อง เด็กสาวคนนั้นที่เธอชุบเลี้ยงขึ้นมาจนโต ส่วนลึกในใจก็รักผูกพันดั่งลูกในไส้ แต่อีกใจก็แสนเกลียดชังโกรธแค้น
ดูเอาเถอะนะ ตอนที่ร่างกายเด็กสาวคนนั้นยังอุ่น ดวงตายังสดใส ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆเธอคนนี้ คอยแอบเข้าหากันแบบเช้าถึงเย็นถึง ทุกการกระทำที่แอบซ่อนลับหลังเธอ ปรนเปรอรสรัก พร่ำหยอดคำหวานประโลมโลกให้เด็กสาวนั่นฟังอยู่ทุกวันทุกคืน คนที่ต้องทนเจ็บปวดใจในช่วงเวลานั้น ก็คือกันยาคนนี้ คนที่ต้องนอนกอดทะเบียนสมรสอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง คนที่ต้องอดทนกับการได้รับรู้ว่าสามีของเธอนั้น นอกจากจะไปเที่ยวหลับนอนกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาแล้ว ยังแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกบุญธรรมของเธอเอง มาในวันนี้ วันที่ร่างกายของเด็กสาวคนนั้นหมดประโยชน์ไปแล้ว ผู้ชายคนที่เคยเป็นดั่งเทพบุตรก็เผยธาตุแท้ที่เลวทรามออกมา
“วันนี้กันยาไปทานข้าวกับคุณแม่ของคุณมาไงคะ คุณก็รู้ว่าท่านชอบสีแดง”
ใบหน้าที่ตกแต่งมาอย่างปราณีตเชิดขึ้นเล็กน้อย ลึกในดวงตากำลังสะท้อนอารมณ์หลากหลาย ยากจะเข้าใจ
“คุณก็ควรจะกลับไปเปลี่ยนชุดเสียหน่อย คนอื่นเขาจะมองกันยังไง ใส่สีแดงมารับศพแบบนี้”
“ก็แค่ศพเมียเก็บของคุณไม่ใช่เหรอคะ? อ๋อ..ฉันพูดผิดไป ต้องเรียกว่าศพลูกบุญธรรมของฉันต่างหาก คุณอย่ามาทำเป็นหน้าบางไปเลยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณก็ไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่ ว่าแต่..คุณจะเอายังไงกับเด็กคนนั้นคะ”
สุทินถอนหายใจไล่ความน่ารำคาญ ความตั้งใจในตอนแรกที่เขาอยากได้ลูกชายมาไว้สืบสกุล มันปลิวหายไปตั้งแต่ที่เห็นเพศของเด็ก เขาอุตส่าห์เฝ้ารอคอยมาตลอด9เดือน ถึงวันนัดตรวจทีไร หมอก็บอกเพียงว่ากล้องส่องไม่เห็นเพศ ทำได้แค่ต้องรอให้เด็กคลอดออกมา แต่สุดท้ายแล้วก็คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิง ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
“คุณก็จัดการเรื่องศพให้ดูดีหน่อยแล้วกัน ยังไงคนอื่นๆเขาก็รู้ว่านั่นเป็นลูกบุญธรรมของคุณ ส่วนเด็กยังไงก็เป็นลูกของผม คุณก็ควรจะเลี้ยงเอาไว้ซะ เรื่องอื่นๆหลังจากนี้ก็แล้วแต่คุณจะจัดการ”
พูดจบแผ่นหลังกว้างใหญ่ก็เดินหนีไปไม่หันกลับมามองอีก ทิ้งผู้หญิงที่ได้คำนำหน้าว่าเมียหลวง ให้คอยเก็บกวาดเรื่องยุ่งยากพวกนี้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
กันยานั่งมองสามีเดินจากไปด้วยความรู้สึกเฉยชาในใจ ตัวเธอนั้นไม่สามารถมีลูกได้เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ที่เธอยังรักษาตำแหน่งเมียหลวงของผู้บริหารบริษัทอย่างสุทินเอาไว้ได้ ก็เพราะเงินทุนก้อนใหญ่ที่หมุนเวียนอยู่ภายในบริษัทนั้นเป็นของพ่อเธอ กันยาเคยชินกับพฤติกรรมของสามีคนนี้เสียแล้ว ที่ผ่านมาความเจ้าชู้ของสุทินก็มีมากไม่เคยเปลี่ยน มีผู้หญิงหลายคนที่ตั้งท้องและพยายามมาแสดงตัวถึงใต้จมูกของเธอ หน้าที่ของกันยาคือจัดการผู้หญิงพวกนั้นด้วยวิธีที่เธอถนัดที่สุด นั่นคือรีบกำจัดเด็กในท้องเหล่านั้นไปเสียตั้งแต่ยังเป็นเพียงก้อนเลือด จะมีก็แต่เด็กสาวที่นอนเป็นศพอยู่ในห้องตอนนี้ คนที่เธอไว้ใจที่สุดและไม่เคยสงสัย เด็กคนนี้ไม่เคยแสดงอาการออกมาให้รับรู้ได้เลย ไม่รู้ว่าเพราะเด็กนี่ฉลาดมาก หรือว่าโง่มากกันแน่ กว่ากันยาจะรู้ตัว นังเด็กนี่ก็ท้องได้ 6เดือนเข้าไปแล้ว
“คุณผู้หญิงเป็นญาติคนไข้รึปล่าวคะ รบกวนเซ็นชื่อทางด้านนี้ให้หน่อยค่ะ”
เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ทำให้สติของกันยากลับมา ก่อนจะปั้นใบหน้าให้อ่อนโยนปนโศกเศร้าในแบบที่ควรจะเป็น เธอเดินตามเจ้าหน้าที่ไปจัดการเอกสารเรื่องรับศพให้เรียบร้อย
“คนตายเขาเป็นเด็กกำพร้าค่ะ แต่ฉันเป็นคนที่คอยอุปการะเขามาตลอด เอกสารต่างๆฉันจะรับผิดชอบทั้งหมดเองค่ะ ส่วนเรื่องลูกของเขา ฉันจะขอจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมเสียเลย ยังไงรบกวนคุณเจ้าหน้าที่ช่วยดำเนินการให้ทีนะคะ”
“ทางเรายินดีจะทำเรื่องเอกสารให้ค่ะ แต่ว่า..ก่อนที่แม่เด็กจะเสีย เขาได้ตั้งชื่อให้เด็กไว้ว่า อลิสา คุณกันยาจะตั้งชื่อให้ใหม่ หรือใช้ชื่อนี้ดีคะ”
ดวงตาของกันยากระตุกไปวูบหนึ่ง นี่ลูกเลี้ยงของเธอกำลังเล่นตลกร้ายอะไรกับความรู้สึกของเธออยู่กันแน่ อยากจะเยาะเย้ยโดยให้เธอต้องจดจำชื่อนี้ไว้นานๆเหรอ หรือว่าเกิดรู้สึกผิดตอนตัวเองใกล้จะตาย จึงอยากยกชื่อตัวเองให้เด็กคนนี้ เพื่อให้เด็กนี่เป็นตัวแทนของลูกบุญธรรมอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ
“งั้นก็ใช้ชื่อนี้ได้เลยค่ะ ถึงอลิสาผู้เป็นแม่เด็กจะตายจากไป แต่ฉันก็อยากให้เด็กคนนี้ใช้ชื่ออลิสาแบบเดียวกับแม่ของเขา เพื่อให้เติบโตมามีชีวิตที่ดีแทนแม่ของเขาค่ะ”
ได้สิ อลิสา ในเมื่อตัวเธอที่ทำบาปไว้กับฉันจากไปแล้ว เธอจะยกชื่อและเด็กนี่มาชดเชยให้กับฉัน ฉันก็ยินดีที่จะเลี้ยงมันขึ้นมาแทนเธอ เลี้ยงให้มันมาชดใช้ชีวิตบาปกรรมที่เธอรวมหัวกับสามีของฉันสร้างขึ้น จงหลับให้สบายนะลูกรัก แม่คนนี้จะเลี้ยงนังเด็กนี่ให้เติบโตขึ้นมาเหมือนกับเธอในทุกเรื่องเลย
ภายใต้สายตาที่กำลังชื่นชมจากเจ้าหน้าที่ ภายใต้รอยยิ้มจอมปลอมที่ฉาบลงบนใบหน้าของกันยา และชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนึง ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาในทิศทางชีวิตที่บิดเบี้ยว
*
*
ภายในท้องฟ้าสีครามสดใส ด้านหลังของมุมกำแพงในบ้านร้างหลังหนึ่ง แม่แมวตัวสีดำกำลังใช้ความพยายามเต็มที่ในการคลอดลูกๆของมัน เมื่อลูกแมวตัวสุดท้ายคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แม่แมวจึงจัดการทำความสะอาดลูกแมวทั้ง3ตัวอย่างรักใคร่ ที่คอของแม่แมวมีปลอกคอเก่าๆสีแดงสลักชื่อเอาไว้เส้นหนึ่ง มิเชล คือตัวหนังสือเก่าๆที่มองแทบไม่เห็นแล้ว ชาวบ้านในระแวกนี้ต่างรู้จักกับมิเชล แมวจรสีดำตัวนี้มันเคยมีเจ้าของที่รักมันมาก มีคุณตาคนนึงเคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เพียงลำพังกับแมวดำของแก จนวันหนึ่งคุณตาก็ล้มป่วยลง ลูกหลานจึงมาพาตัวแกไปอยู่ด้วย แล้วแกก็ต้องจากบ้านหลังนี้ไปตลอดกาล
มิเชลถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ มันเฝ้ารอคอยให้คุณตากลับมาหามัน จนเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายปี เจ้านายของมันก็ยังไม่กลับมาบ้านหลังนี้อีกเลย มีเพียงคุณป้าบ้านข้างๆที่คอยแวะเอาอาหารมาให้มันกินบ่อยๆ ด้วยความสงสารที่คุณป้ามีให้ กับนิสัยที่เรียบร้อยน่ารักของมิเชล ทำให้คุณป้าพยายามหลายครั้งที่จะพามิเชลกลับไปเลี้ยงที่บ้าน แต่มิเชลก็จะหนีกลับมาที่บ้านหลังนี้เสมอ จนคุณป้าต้องยอมยกธงยอมแพ้ให้กับความพยายามนั้น แกคงทำได้แค่คอยหิ้วอาหารมาส่งให้เจ้าแมวตัวนี้ได้กินอิ่มท้องทุกวันแทน
“มิ้วววว ม๊าววว”
เมื่อมิเชลทำความสะอาดลูกๆของมันจนขนนุ่มฟู ลูกแมวตัวน้อยก็แข่งกันส่งเสียงร้อง เพื่อส่งสัญญาณบอกให้แม่ของพวกมันรู้ว่าท้องน้อยๆเริ่มหิวแล้ว มิเชลล้มตัวลงนอนตะแคงเพื่อให้ลูกๆของมันคลานมากินนมได้สะดวกขึ้น ตัวที่หนึ่งมีสีขาวดำ ตัวที่สองสีนวลเหลือง ตัวที่สามเป็นลายสลิดสลับสีขาวจึงทำให้มองเหมือนแมวสามสี จากเสียงร้องที่ดังจนแสบหู มิเชลรู้ทันทีว่าลูกๆของมันแข็งแรงดีทุกตัว จนเมื่อตัวที่สามคลานเข้ามาหาเต้านมด้วยท่าทางแปลกๆ มิเชลจึงได้เห็นว่า ลูกแมวสามสีตัวนั้นมันมีเพียงแค่สามขา ลูกของมันตัวนี้มีขาหน้าสองข้าง แต่ขาหลังกลับมีเพียงข้างขวาข้างเดียว ทำให้คลานมากินนมช้ากว่าตัวอื่น แม่แมวเลียให้ลูกของมันด้วยความเป็นห่วง โดยสัญชาตญาณของสัตว์ ในความเป็นแม่ของมันรู้ได้เลยว่า ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ลูกตัวที่สามของมันคงเติบโตได้ลำบากเสียแล้ว
2.
“มิเชล ไปนอนอยู่ตรงไหน ป้าเอาข้าวมาให้กินแล้ว”
เสียงคุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ มิเชลจำได้ว่าเป็นเสียงของคุณป้าใจดีที่มาหามันบ่อยๆ จึงส่งเสียงเรียกให้แกได้ยิน
“นอนอยู่ตรงนี้นี่เอง มิเชล แกคลอดลูกแล้วเหรอ น่ารักน่าชังจริงๆ”
คุณป้ามองลูกแมวทั้งสามอย่างเอ็นดู ก่อนจะไปสะดุดตากับลูกแมวตัวสุดท้าย ถึงแม้ว่าตัวมันจะเล็กกว่าพี่น้อง มีขาเล็กๆเพียงแค่สามข้างเท่านั้น แต่มันก็พยายามครอบครองเต้านมของแม่แมวเอาไว้อย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าสามสีตัวนี้น่าสงสาร มีอยู่แค่สามขา ตัวก็เล็กนิดเดียว แล้วจะเติบโตขึ้นมายังไง”
วันนี้คุณป้าเทอาหารใส่ถ้วยให้มิเชลเยอะกว่าเดิม แม่แมวที่ต้องให้นมลูกเล็กจะต้องกินเยอะกว่าปกติ เธอลูบหัวลูบตัวมิเชลด้วยความห่วงใย ก่อนจะเดินกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ว่าจะทำยังไงแม่แมวก็ไม่ยอมไปอยู่กับเธอที่บ้านเสียที
‘มิเชล หลับอยู่รึปล่าว’
ตรงขอบประตูที่เริ่มผุพัง มีสุนัขพันธุ์โกลเด้นริทรีฟเวอร์สีน้ำตาลยืนอยู่ นั่นคือลุงทอมใจดี ที่มักจะคอยเล่นเป็นเพื่อนกับเด็กๆในหมู่บ้านนี้อยู่เสมอ เจ้านายของลุงทอมก็คือคุณป้าใจดีที่นำอาหารมาให้มิเชล ในตอนที่มิเชลยังเป็นเพียงลูกแมว ลุงทอมมักจะมุดข้างรั้วมาเล่นเป็นเพื่อนเธอเสมอ
‘ฉันคลอดลูกแล้วค่ะลุงทอม ตอนนี้กำลังกำลังนอนพัก’
‘ฉันรู้แล้ว เจ้านายของฉันเดินคุยไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ว่าลูกๆของเธอน่ารักแค่ไหน’
ลุงทอมเดินตัวอุ้ยอ้ายมายืนอยู่ใกล้ๆ เจ้าเด็กพวกนี้พอกินนมจนอิ่ม ก็นอนปากแดงทำท่าน่ารัก พุงอ้วนๆของทั้งสามตัวเป็นหลักฐานอย่างดีว่า มิเชลคงจะต้องเหนื่อยกับการผลิตน้ำนมมากแค่ไหน เจ้าขาวดำนี่ก็น่ารัก เจ้าสีนวลนี่ท่าทางจะซุกซน ส่วนเจ้าตัวเล็กสุดนั่น... สายตาของลุงทอมมองเจ้าสามสีนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ในบ้านร้างหลังนี้ไร้เจ้านายคอยปกป้อง ประตูและรั้วก็ผุพังไปหมดแล้ว ถึงจะอยู่ติดกันกับบ้านของคุณป้า แต่ในตอนกลางคืนก็มักจะมีแมวจรจากต่างถิ่นลุกล้ำเข้ามาบ่อยๆ ที่ผ่านมามิเชลได้กินอิ่มร่างกายแข็งแรง จึงไม่เคยเสียเปรียบให้กับใคร แต่ในเวลานี้มันต่างกัน แม่แมวเพิ่งคลอด กับลูกเล็กๆที่ยังไม่ลืมตา ไหนจะเจ้าตัวจิ๋วที่มีเท้าน้อยๆเพียงสามข้างนั่นอีก
‘มิเชล เธอรู้ใช่ไหม? เจ้าสามสีตัวนี้คงใช้ชีวิตเป็นแมวจรไม่ได้แน่ๆ เธอเลิกรอคอยเพียงลำพัง แล้วย้ายลูกๆของเธอไปอยู่กับเจ้านายของฉันเถอะ ฉันจะช่วยเธอคาบเจ้าเด็กพวกนี้ให้เอง’
เจ้าเด็กน่ารักพวกนี้ฉันจะช่วยเธอเลี้ยงให้เอง ลุงทอมคิดอยู่ในใจด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เจ้าตัวน้อยพวกนี้ยังไม่ทันได้ลืมตา แค่ได้กลิ่นเขามายืนอยู่ใกล้ๆก็รีบคลานดุ๊กดิ๊กส่งเสียงร้องไปหาแม่ทันที เขาไม่ได้คิดว่าพวกมันน่าแกล้งจริงๆนะ
ท่าทางเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ของลุงทอมทำให้มิเชลแอบอยู่ขำในใจ ในอนาคตลูกๆของเธอคงจะมีพี่เลี้ยงตัวโตคอยเป็นเพื่อนเล่น ขนาดตอนนี้ลูกเธอยังไม่ทันได้ลืมตา ลุงทอมก็ทำท่าอยากกลั่นแกล้งใจจะขาด มิเชลหลับตานิ่งสักพัก สิ่งที่ลุงทอมพูดมานั้นเธอเข้าใจดี บ้านหลังนี้ไม่เคยปลอดภัยมานานแล้ว เธอในเวลานี้คงไม่อาจปกป้องลูกๆของตัวเองได้
‘ฉันก็กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ หลายปีมานี้ฉันมัวแต่หลอกตัวเองว่า ถ้าอยู่รออีกหน่อยคุณตาก็อาจจะกลับมา แต่พวกเราที่นี่ต่างก็รู้กันทั้งนั้น ว่าคุณตาจากไปแล้ว’
ต่อให้ต้องรอจนสิ้นอายุขัยของแมวตัวนึง คุณตาก็ไม่อาจกลับมาหาเธอได้อีกต่อไปแล้ว พวกมนุษย์ชอบเข้าใจว่าสัตว์ร้องไห้ไม่เป็น แต่หลายปีมานี้ มิเชลร้องไห้อยู่ภายในใจของเธอทุกวัน ความเจ็บปวดสูญเสียที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ เฝ้าแต่หวังให้คนที่เธอรักที่สุดได้เดินกลับมายังประตูของบ้านร้างเก่าๆหลังนี้ แต่ในวันนี้เธอควรจะต้องยอมรับความจริงเสียแล้ว
‘ไปกันเถอะค่ะลุงทอม ช่วยฉันพาลูกๆไปบ้านของคุณป้ากันค่ะ’
หางของลุงทอมโบกสะบัดด้วยความยินดี ความตื่นเต้นทำให้เผลอเห่าออกมาเสียงดัง ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนร้องกันเสียงหลง มิเชลต้องแอบส่งสายตาดุห้ามปรามให้ลุงทอมสงบลง ให้ตายสิ นี่เขาเป็นลูกชายคนโตของเธอรึไงนะ
‘เดี๋ยวฉันจะสอนวิธีคาบไปทีละตัวนะคะ ลุงทอมต้องคาบตัวสีขาวดำไปก่อน แล้วกลับมาคาบตัวสีนวล ส่วนตัวสุดท้ายฉันจะคาบเดินตามไปเอง’
มิเชลค่อยๆสอนให้ลุงทอมงับที่หลังคอเล็กๆของลูกแมว ลุงทอมจึงพยายามจะทำตาม แต่ปากใหญ่ๆนั่นทำยังไงก็งับแบบแม่แมวไม่ได้สักที ลุงทอมทดลองทำอยู่3-4ครั้ง ก็เปลี่ยนใจเป็นใช้ทั้งปากงับเอาเจ้าตัวน้อยหายเข้าไปครึ่งนึง เหลือเพียงท่อนส่วนหัวโผล่ออกมาร้องโวยวายเรียกหาแม่ด้วยความตกใจ มิเชลมองตามก้นของลุงทอมที่ส่ายหางไปมาอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจเสียงร้องของเจ้าตัวเล็กสีขาวดำในปากเลยสักนิด ได้แต่ถอนหายใจตามหลังไปช้าๆ สงสัยวันนี้เธอคงต้องทำความสะอาดตัวให้ลูกๆใหม่อีกรอบ ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยที่ยังไม่ลืมตาของเธอ คงจะตกใจกับกลิ่น*ของลุงทอมจนหวาดกลัวทั้งคืนแน่ๆ
(ลูกแมวแรกเกิดที่ยังไม่ลืมตา มันจะใช้วิธีจดจำกลิ่นของแม่แมว หากมีกลิ่นของตัวอื่นๆเข้ามาใกล้มันจะรู้สึกกังวล และร้องเรียกแม่แมวทันทีโดยสัญชาตญาณ)
*
*
กันยากำลังนั่งละเลียดรสชาติของไวน์แดงช้าๆ วันนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก สุทินไม่ยอมกลับบ้านมาสองสัปดาห์แล้ว ภาพที่โชว์บนหน้าจอสมาร์ทโฟนราคาแพง เป็นคลิปวีดีโอของชายมีอายุกับเด็กสาวชาวต่างชาติในชุดชั้นใน ทั้งคู่กำลังนัวเนียแสดงบทรักกันอยู่ภายในรถยุโรปคันหรู ที่จอดนิ่งในสวนสาธารณะยามค่ำคืน ข้อความที่ถูกส่งมาด้านล่างของวีดีโอ เป็นประวัติย่อๆของเด็กสาวที่อยู่ในคลิป รู้สึกว่านักสืบที่กันยาจ้างไว้จะทำงานได้ดีจนเกินไป แก้วไวน์และโทรศัพท์มือถือถูกขว้างออกไปกระจัดกระจาย เครื่องสำอางค์ราคาแพงบนใบหน้าที่เคยทำหน้าที่ของมันได้ดีมาตลอด เวลานี้ถึงคุณภาพจะดีสมกับราคาของมันเช่นเดิม แต่กันยารู้ดีว่ามันไม่สามารถนำความอ่อนเยาว์คืนกลับมาให้เธอได้เลยสักครั้ง
“ครั้งนี้ไปติดใจนังนางเอกหนังAVเนี่ยนะ สุทิน! รสนิยมของคุณมันสกปรกไม่เปลี่ยนจริงๆ”
กันยาพยายามหลับตานิ่งเพื่อกดข่มความโกรธเอาไว้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีของเธอไปหลับนอนกับผู้หญิงมากมาย ถึงภายนอกจะแสดงท่าทีเมินเฉยให้คนภายนอกได้เห็นเสมอมา แต่ความเป็นจริงแล้วหัวใจเธอเจ็บปวดทุกครั้ง กันยาเดินมาตรงผนังห้องที่มีกระจกบานใหญ่ เงาที่สะท้อนให้เห็นคือ หญิงสาววัยกลางคนที่ตอนนี้อายุล่วงเลยวัย50มาแล้ว ร่างกายสมส่วนที่ดูดีไร้ไขมัน มาจากความพยายามในการออกกำลังกายอยู่เสมอ ผิวหน้าที่ได้รับการฉีคบำรุงดูแลจากมือแพทย์ เพื่อฝืนริ้วรอยธรรมชาติไม่ให้โผว่ขึ้นมาสะกิดสายตา ทุกสิ่งที่กันยาพยายามทุ่มเทมาโดยตลอด มันกลับไม่สามารถทำให้สุทินพอใจได้ เพราะสิ่งที่เธอไม่มีก็คือ ความอ่อนเยาว์
ร่างระหงเดินมานั่งลงบนเตียงนุ่ม สายตาเย็นชาทอดมองเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ในความเก่าตามระยะเวลายังคงมีร่องรอยของการทำความสะอาดอยู่เสมอ นี่เป็นห้องของอลิส ลูกบุญธรรมคนใหม่ของเธอ กันยาลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้ามองชุดเก่าๆที่ถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้า ของใช้ ทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องนี้เคยเป็นของแม่นังเด็กนั่น กันยาเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เติบโตขึ้นมาในเงาของแม่ตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนภายในบ้านหลังนี้ยกเว้นแค่เด็กคนนั้น ต่างรู้ในสิ่งที่เจ้านายทำทุกเรื่อง แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้าพูดมาก เสื้อผ้าถูกหยิบออกจากตู้โยนลงพื้นทีละชุด กันยาใช้เท้าเดินเยียบย่ำลงบนชุดเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกพอใจ เธอแค่อยากปลดปล่อยความรู้สึกเกลียดชังที่มีอยู่ แต่คงต้องพอแค่นี้เพราะชุดเหล่านี้ยังคงต้องเก็บไว้ให้ลูกบุญธรรมของเธอใส่ต่อไป
“พี่อุ่น เดี๋ยวพาคนเข้ามาทำความสะอาดได้เลย ทำให้เรียบร้อยก่อนที่ลูกสาวของฉันจะกลับมาจากโรงเรียน”
กันยาพูดพลางเดินออกจากห้องไป เธอคงต้องรีบออกไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่เสียแล้ว คงต้องแวะแต่งหน้าทำผมด้วยเลย
เพราะคืนนี้จะต้องไปงานเลี้ยงที่บ้านภรรยาของท่านนายก ทำไมชีวิตเธอถึงได้มีแต่งานจนไม่ได้หยุดพักแบบนี้นะ
“แล้ววันนี้ฉันคงกลับดึก พี่อุ่นบอกแม่ครัวด้วยว่าไม่ต้องเตรียมอาหาร”
ป้าแม่บ้านร่างท้วมก้มศรีษะลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ ด้วยอายุที่ห่างจากกันยาแค่5ปี ทำให้แกได้มีโอกาสอยู่รับใช้ข้างกายมาตั้งแต่สมัยที่กันยายังคงเป็นเด็กสาว จนถึงวันที่กันยาตกหลุมรักสุทิน เด็กสาวในรักแรกยินยอมทุ่มเทสิ่งที่ตัวเองมีทุกอย่าง ให้กับชายคนรักที่เป็นเพียงนักศึกษาขอทุนเรียน ด้วยฐานะที่ยากจนแถมยังมาจากครอบครัวที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล ทำให้คุณท่านทั้งสองที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น ต่างก็ไม่พอใจในตัวว่าที่ลูกเขยคนนี้ กลับเป็นกันยาที่ดื้อรั้นหนีไปหลับนอนกับสุทิน ด้วยความช่วยเหลือของพี่เลี้ยงคู่กายอย่างพี่อุ่น และคนขับรถที่เป็นแฟนของพี่อุ่นในตอนนั้น ได้ทำให้การลักลอบพบกันของหนุ่มสาวเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก กันยาก็สารภาพกับพ่อแม่ว่าตนเองตั้งท้อง สุดท้ายคุณท่านก็ต้องจำใจยินยอมจัดงานแต่งให้กับลูกสาวสุดรัก แล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากแต่งงานได้เพียง6เดือน เป็นช่วงเวลาที่สุทินเพิ่งได้รับตำแหน่งงานที่พ่อตามอบหมายให้ ทำให้เขาต้องบินไปดูงานที่เมืองนอกบ่อยๆ ในคืนที่พายุฝนโหมกระหน่ำกันยาก็มีอาการเจ็บท้องคลอด รถตู้คันหรูวิ่งทะยานฝ่าสายฝนไปด้วยความร้อนใจของคนเป็นพ่อแม่ คนขับรถไม่ทันได้มองเห็นไฟแดงจนฝ่าพุ่งประสานงากับรถอีกคัน อุบัติเหตุตรงแยกไฟแดงในคืนนั้น คนขับรถและคุณท่านทั้งสองเสียชีวิตคาที่ ด้วยแรงกระแทกทำให้ร่างของกันยากับพี่อุ่นลอยกระเด็นออกมานอกรถ ร่างกายของพี่อุ่นบาดเจ็บแต่ไม่ถึงขั้นโคม่า แต่ร่างอ่อนแอของหญิงท้องแก่แบบกันยานั้นเรียกว่าเข้าขั้นวิกฤติ การผ่าตัดยาวนานจนคุณหมอรักษาชีวิตของกันยาไว้ได้ แต่เด็กในท้องนั้นต้องจากไปพร้อมกับมดลูกที่เสียหายอย่างหนัก หลังจากฟื้นขึ้นมากันยาก็โศกเศร้าเสียใจอยู่หลายเดือน ร่างกายทรุดโทรมไปตามจิตใจที่บอบช้ำ เสียใจที่สูญเสียพ่อและแม่ เสียใจที่ไม่มีโอกาสพบหน้าลูก และเสียใจที่สามีแสนดีเริ่มออกลายโชว์สันดานอันต่ำตม
ในวันที่ศพพ่อแม่เธอยังไม่ทันได้เผา สุทินคงไม่คิดอยากกลับมาร่วมงาน จึงอ้างแค่ว่าการเจรจาธุรกิจทางนั้นยังไม่ลงตัว ปล่อยให้กันยาแบกร่างกายที่เจ็บป่วยจัดการงานทุกอย่างเพียงลำพังไร้เงาของสามี สุทินคอยโทรศัพท์มาหยอดคำพูดหวานหูให้กันยาฟังทุกวัน จนเธอหลงเชื่อไปว่าที่เขาต้องอยู่เมืองนอกนานหลายเดือนก็เพราะต้องทำงานทุกอย่างเพื่อเธอ แต่ว่าความลับมันไม่มีทางปกปิดได้ตลอดไป กลางดึกคืนนึงก็มีเบอร์ของสุทินโทรเข้ามา สุทินไม่เคยโทรมาหาเธอเวลานี้ ด้วยคิดว่าคงเป็นเพราะความคิดถึงที่มีให้กัน กันยาจึงกดรับสายพร้อมรอฟังคำพูดหวานๆจากสามี เสียงที่กันยาได้ยินกลับเป็นเสียงการร่วมรักกันของชายหญิง ฝ่ายหญิงพร่ำเรียกชื่อของสุทินปานจะขาดใจ กันยาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่ประเมินสถานการณ์นี้ไม่ได้ เธอกดวางสายก่อนจะโทรกลับไปอีกครั้ง ทันทีที่สุทินรับโทรศัพท์เธอก็ให้เขาตัดสินใจเลือกระหว่างเธอกับแหม่มฝรั่งคนนั้น เป็นอีกคืนที่พี่อุ่นได้ยินเสียงกันยาร้องไห้คร่ำครวญจนถึงรุ่งเช้า แล้วสุทินก็โทรมาบอกกันยาว่าเขากำลังบินกลับมาหาเธอ
3.
‘คำว่ารักมันทำให้คนตาบอด’ จู่ๆพี่อุ่นก็นึกถึงประโยคนี้ขึ้นมา เมื่อสุทินกลับมาทั้งสองก็ใช้ชีวิตกันหวานชื่นเสมือนไม่เคยมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นความสงบสุขให้กันยาได้แค่ชั่วคราว สุนัขที่มันเคยได้ลิ้มรสของเน่าของเสีย มันก็มักจะติดใจในรสชาตินั้นจนหยุดกินไม่ได้ หลายปีมานี้มีผู้หญิงชั้นต่ำของสุทินจำนวนมากแวะเวียนมาสร้างความทุกข์ใจให้กันยาไม่ขาดสาย แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หนึ่งในบรรดาผู้หญิงพวกนั้นเป็นลูกบุญธรรมที่กันยาเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูขึ้นมากับมือ ยามที่กันยาต้องไปออกงานสังคม ความสัมพันธ์ของพ่อลูกก็บรรเลงกันอย่างหฤหรรษ์ภายในบ้าน อย่างไม่แคร์สายตาว่าใครจะเดินมาพบเห็น พี่อุ่นจึงได้รับรู้ถึงรสนิยมการกินที่พิลึกพิลั่นของสุทินมาโดยตลอด
“ป้าอุ่น เอาจริงนะ ฉันว่าคุณกันยาแกดูแปลกๆยังไงไม่รู้”
“อย่าพูดให้มากความ เอาเวลาไปทำความสะอาดก่อนที่คุณหนูอลิสจะกลับมาเถอะ”
ป้าอุ่นหันไปดุเด็กคนงาน ในตอนนี้แกต้องเป็นทั้งคนข้างกายของกันยา และยังต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับคุณหนูอลิสาด้วย เรื่องงานทำความสะอาดส่วนใหญ่จึงเป็นของคนงานที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานได้ไม่นาน เวลานี้คุณหนูอลิสเพิ่งจะอายุแค่ห้าขวบ มีลุงคนขับรถคอยไปรับส่งถึงโรงเรียนทุกวัน ในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีใครให้ความรัก ช่วงเวลาในตอนกลางวันที่ได้ไปโรงเรียนอนุบาล คงเป็นความสุขที่สุดที่เด็กคนนั้นจะสามารถมีได้ ป้าอุ่นหันไปสั่งงานอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังห้องครัว ถึงจะมีคำสั่งให้คืนนี้ไม่ต้องเตรียมอาหาร แต่คงต้องให้ในครัวเตรียมเมนูง่ายๆไว้แอบยกไปให้คุณหนูอลิสทานในห้องนอน ป้าอุ่นไม่อยากให้เด็กน้อยต้องพบเจอเผชิญหน้ากับสุทินเพียงลำพังในบ้านที่ไม่มีกันยาอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะป้าอุ่นกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิม ถึงยังไงทั้งคู่ก็เป็นสายเลือดเดียวกันแท้ๆ แต่เพราะป้าอุ่นคือคนที่รู้จักความคิดของกันยาดีที่สุดในบ้านนี้ และแกรู้ถึงสิ่งที่กันยากำลังจะทำกับชีวิตของคุณหนูหลังจากนี้ด้วย มันน่าตลกที่กันยาตั้งมั่นในการวางแผนร้ายน่ารังเกลียดมากมายขนาดนั้น แต่ป้าอุ่นเห็นว่าทุกครั้งที่พ่อลูกได้พูดคุยกันครั้งใด เวลาต่อมาบนเนื้อตัวของคุณหนูจะมีรอยเล็บของกันยาหยิกจนเขียวช้ำ รอยจ้ำเหล่านั้นมักจะถูกซุกซ้อนไว้ภายใต้เสื้อผ้า แต่ป้าอุ่นคือคนที่ต้องช่วยอาบน้ำให้เด็กน้อยทุกวัน ถึงไม่อยากเห็นก็ต้องได้เห็น แม้ลึกลงในใจจะสงสารมากแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่คอยหายามาทาให้
“พี่อุ่น ฉันแอบเตรียมของว่างไว้ให้คุณหนู คุณกันยา แกออกไปข้างนอกรึยัง?”
“ออกไปเมื่อสักพักนี่เอง วันนี้อบขนมเหรอ มิน่าล่ะกลิ่นหอมเชียว”
สองคนยืนคุยกันได้เพียงสองสามประโยค ป้าอุ่นก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอด พร้อมกับเสียงสดใสของคุณหนูตัวน้อยวิ่งเสียงดังเรียกหาแกอยู่หน้าบ้าน เด็กก็ย่อมมีความสดใสเดียงสาไปตามวัย ต่อให้ผู้ใหญ่บางคนจะพยายามสาดสีเข้าใส่สักแค่ไหน ครั้งนี้ป้าอุ่นตั้งใจแล้วว่าจะใช้เวลาชีวิตที่เหลือน้อยนิดของพวกแก คอยโอบกางปีกเพื่อปกป้องจิตใจอันบริสุทธิ์ดวงนั้นให้ได้ หลังจากยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือเหี่ยวย่นก็ยกถาดน้ำส้มกับคุ๊กกี้เนยหอมๆเดินออกจากห้องครัวไป
*
*
“ลุงทอม เห็นเจ้า เอวา บ้างไหม? ฉันเดินหาจนรอบบ้าน ปวดขาไปหมดแล้ว”
เสียงบ่นเหนื่อยหน่ายใจของเจ้านาย ทำให้ลุงทอมลืมตาขึ้นมาดู ปากสีน้ำตาลใหญ่หาวโชว์ไปหนึ่งที บ่งบอกถึงความเหนื่อยใจเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย หากนับตามอายุของสุนัขตอนนี้มันก็แก่มากแล้ว ร่างอ้วนกลมสีน้ำตาลยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินนำเจ้าของไปยังพื้นที่สวนด้านหลังบ้าน
“โฮ่งๆ”
คุณป้าเดินตามเสียงส่งสัญญาณของสุนัขคู่ใจ เบื้องหน้าคือใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง หลานสาววัยห้าขวบ กำลังนอนหลับอยู่บนพื้นดิน คราบน้ำลายที่ไหลย้อยลงข้างแก้มเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงความหลับสนิทมากแค่ไหน ทั้งเนื้อทั้งตัวขมุกขมอมไปด้วยเศษใบไม้และขี้ฝุ่น ข้างกายมีเจ้าแมวสามสี กำลังนอนหงายท้องให้เด็กน้อยกอดไว้นิ่ง ดวงตาแป๋วของมันมองปริบๆมาทางคุณป้า เหมือนกำลังจะฟ้องว่า ‘หนูไม่ได้ชวนเล่นนะ แต่เจ้าเด็กนี่มันซนมากเลย’
“มอมแมมขนาดนี้ นี่ลูกคนหรือลูกแมวกันแน่”
มือเหี่ยวย่นช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้มไว้ เด็กน้อยดิ้นยุกยิกเข้าซุกหาความอบอุ่นจากอกของผู้เป็นยาย เมื่อได้เห็นความมอมแมมของหลานใกล้ๆ ก็แทบอยากจะหยิกเนื้อนิ่มๆนี่สักสองที นี่ตัวแกมีหลานสาวจริงๆใช่ไหม ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ซุกซนเสียจนคนแถวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้ชายกันหมดแล้ว คิดแล้วก็ได้แต่เดินถอนหายใจ
เอวาคือหลานสาวเพียงคนเดียว ที่ลูกสาวของแกนำมาฝากเลี้ยงไว้ตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กน้อยต้องไปทำงานไกลถึงเมืองนอก ในช่วงนั้นแกจำได้ดีเลยว่า บ้านหลังเล็กนี้จากที่เคยมีเพียงแค่ตัวแกกับลุงทอมสุนัขคู่ใจ เวลานี้มันกลับเต็มไปด้วยของเสียงเด็กทารก และเสียงลูกแมวอีกสามตัว เป็นความวุ่นวายที่เข้ามากลบความเหงาออกไปจากชีวิตผู้หญิงแก่ๆคนนึง เวลาของความสุขเคลื่อนผ่านมาจนถึงช่วงปลายปีที่แล้ว แม่แมวตัวสีดำก็จากไปด้วยโรคไข้หัดแมว คงเป็นเพราะมิเชลต้องอยู่แบบไร้เจ้าของมานาน แม่แมวผู้หน้าสงสารจึงไม่ได้รับวัคซีนตามที่ควร หลังจากที่มิเชลจากไป ตัวแกจึงเริ่มคิดหาบ้านใหม่ให้กับลูกทั้งสามตัวของมัน ไม่ใช่ว่าแกไม่รัก แต่ความตายของมิเชล ทำให้ตัวแกตระหนักได้ถึงวันเวลาของชีวิต หากวันนั้นของแกเดินทางมาถึง เจ้าแมวที่น่าสงสารเหล่านี้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง เป็นความโชคดีที่มิเชลได้ท้องกับแมวตัวผู้ที่มีสายพันธุ์ดี จึงทำให้ลูกๆของมันออกมาหน้าตาน่ารัก ถึงขนจะไม่ได้ยาวสวย แต่พวกมันก็มีขนหนานุ่มทุกตัว ทำให้เมื่อลงประกาศหาบ้านได้ไม่นาน ความน่ารักของเจ้าตัวสีขาวดำและสีนวล ก็มีคนมารับไปเลี้ยงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่เจ้าสามสีตัวเดียว เพราะความพิการทำให้มันไม่ถูกใครเลือกไปสักที เมื่อเห็นว่าคงไม่มีใครอยากได้แมวพิการตัวนี้ แกเลยตั้งชื่อให้มันว่าเดซี่ และเลี้ยงมันเอาไว้ให้เป็นเพื่อนเล่นของหลานสาว
เจ้าเหมียวเดซี่เดินตามหลังคุณป้าเข้ามาภายในบ้าน มันนั่งทำความสะอาดขนอยู่นานจนพอใจ แล้วค่อยเดินไปล้มตัวลงนอนใกล้ๆลุงทอม เท้าปุยสีขาวไล่ตะปบหางสีน้ำตาลของลุงทอมที่กำลังแกว่งหยอกล้อไปมา
‘วันนี้พากันไปเล่นซนจนมอมแมมเชียวนะ ระวังโดนคุณป้าทำโทษให้อดข้าว เดี๋ยวจะหาว่าลุงไม่เตือน’
ลุงทอมแกล้งทำเป็นดุเสียงเข้ม ก่อนจะยกเท้าขึ้นมาจับหัวกลมๆปุยๆเอาไว้ เพราะเจ้าแมวตัวแสบนั่นเริ่มจะงับหางเขาแรงขึ้น ถึงเขาจะเป็นสุนัขที่มีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังต้องรักษาความน่ารักเอาไว้ จะปล่อยให้ขนหางตัวเองแหว่งคงไม่ได้ เดซี่ร้องแง๊วขึ้นมาเพราะการถูกขัดใจจากของเล่นตรงหน้า เมื่อสู้แรงไม่ไหวจึงยินยอมปล่อยหางปุยๆออกจากปากอย่างไม่เต็มใจ เจ้าตัวซุกซนนอนแกว่งหางไปมาอย่างเบื่อหน่าย หลังจากนอนนิ่งๆได้เพียงไม่นาน ในหัวเล็กๆนั่นก็นึกถึงเรื่องสนุกขึ้นมา
‘ลุงทอมคะ หนูอยากออกไปเที่ยวตรงบ้านหลังใหญ่หน้าปากซอย ลุงไปกับหนูหน่อยสิ’
‘จะไปทำไม เดี๋ยวก็โดนเขาไล่ออกมาอีก’
‘ก็ในบ้านหลังนั้นมีของแปลกๆเยอะมาก วันก่อนหนูยังสำรวจไม่ทั่วเลย แอบไปด้วยกันเถอะนะ’
เดซี่ใช้หัวกลมปุยน่ารักของตนถูไถไปตามขนสีน้ำตาล ลุงทอมหันหน้าหนี พยายามทำใจแข็งไม่ยอมหันไปสบตากลมโตแป๋วนั่น หลายวันก่อนเดซี่วิ่งมาบอกแกว่า เจอช่องปูนแตกตรงกำแพงบ้านหลังใหญ่ จึงชวนกันไปเดินตรวจตราดูแถวนั้น ลุงทอมเดินดมกลิ่นอย่างระแวดระวังแต่ไม่เจอสิ่งใดผิดปกติ คงเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมีฝนตกหนักติดกันหลายวัน รั้วสูงใหญ่ที่สร้างมานานจึงทรุดพังบ้างไปตามกาลเวลา พื้นที่ของบ้านหลังนี้กว้างมาก ไม่แปลกใจที่คนในบ้านจะยังไม่เห็นรอยชำรุดตรงนี้ ระหว่างที่ลุงทอมกำลังเดินดมรอบๆอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีเจ้าเดซี่ก็มุดรูเข้าไปสำรวจข้างในรั้วเรียบร้อย ลุงทอมยืนตกใจได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงตะโกนโวยวายพร้อมๆกับที่เห็นเดซี่วิ่งหางชี้ฟูพุ่งกลับออกมาจากทางเดิม
‘ไม่เคยเข็ดเลยรึไง ไปอีกรอบนี้ได้โดนเขาเอาไม้ไล่ตีจริงๆแน่’
ถึงจะบ่นออกไปแบบนั้น แต่เพราะทนความอ้อนของเจ้าแมวไม่ไหว ก้นอวบๆจึงขยับลุกขึ้นเดินนำไปทางประตูหน้าบ้าน พอเห็นแบบนั้นดวงตาของเดซี่ก็เป็นประกาย ครั้งนั้นมันจำได้ดี ก่อนที่จะโดนคนพวกนั้นไล่ออกมา มันเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงกำลังนั่งซุกอยู่ในครัวเหมือนกำลังหลบอะไรสักอย่าง ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะอายุพอๆกับเจ้าหนูเอวา มันอยากให้เอวาได้เจอกับเด็กคนนั้นจริงๆนะ เจ้าหนูเอวาจะดีใจขนาดไหนถ้ามีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ในหัวเล็กปุยเวลานี้คิดแค่อย่างเดียวว่า จะต้องใช้วิธีไหน ถึงจะได้เป็นเพื่อนกับเด็กคนนั้น
“วันนี้จะพาเดซี่ไปเดินเล่นกันที่ไหนล่ะลุงทอม?”
“โฮ่ง โฮ่ง”
“ฮ่าๆ อย่าพากันไปใกลนักล่ะ กลับบ้านช้าระวังจะโดนไม้เรียวหวดก้นเอานะ”
เสียงทักทายของผู้คนตลอดทางที่เดินผ่าน ทำให้ลุงทอมหยุดแวะกระดิกหางทักทายอย่างอารมณ์ดี ภาพของสุนัขพันธุ์โกลเด้นริทรีฟเวอร์สีน้ำตาลกับแมวสลิดสามสีที่มีแค่สามขา เป็นสิ่งที่ผู้คนแถวนี้เห็นเป็นประจำทุกวัน ทั้งคู่มักจะมาแวะทักทายอยู่หน้าบ้านอย่างเป็นมิตร ไม่ว่าใครที่ได้เห็นความน่ารักนี้ ต้องอดใจไม่ได้ที่จะหยิบขนมอร่อยๆมายื่นให้กิน รูปร่างของลุงทอมกับเดซี่จึงอ้วนตุ้ยนุ้ยมากขึ้นทุกวัน
*
*
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!