NovelToon NovelToon

ราชาที่แท้จริง

บทนำ ชนเผ่าแห่งป่าทมิฬ

ณ ใจกลางของโลกมีผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลที่แผ่ขยายอนาเขตกว้างออกไปถึงสามส่วนของผืนโลก ป่าแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยเป็นกลุ่มชนเผ่าต่างๆมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามเขตุต่างๆในป่าอันกว้างใหญ่นี้

แต่มีอยู่ชนเผ่าหนึ่งที่ได้ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและรุ่งโรจน์กว่าชนเผ่าอื่นร่วมกับสัตว์ป่ามากมาย ก่อเกิดเป็นอาณาจักรที่รุ่งโรจน์และก้าวหน้าเหนือทุกชนเผ่าอันมาจากการปกครองของราขาที่ขึ้นชื่อได้ว่าโหดร้ายทารุนมากที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ราชาออกคำสั่งให้พวกเขาแสวงหาสงครามและบูชาเทพเจ้าก่อเกิดขึ้นเป็นอารยธรรมซึ่งมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกผู้คนที่อาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้นั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเทพแห่งผืนป่าที่เชื่อว่าเป็นเทพที่มีมานานตั้งแต่ครั้งสร้างโลก มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับพรจากพระเจ้าให้สร้างผืนแผ่นดินป่าไม้เขียวขจีและสรรพสัตว์ทุกตนบนผืนโลก

องค์ราชาเชื่อว่าพระองค์ได้รับเลือดจากเทพแห่งผืนป่าให้เป็นคู่ครองจึงทำทุกหนทางให้อาณาจัดรนั้นรุ่งโรจน์เพื่อที่ตนจะได้กลายเป็นชายาที่สมพระเกียรติ์ของเทพผู้ยิ่งใหญ่

พระองค์ลุ่มหลงและกระหายซึ่งการฆ่าฟันด้วยความแค้นและความวิปริตที่ฝังรากอยู่ภายในจิตใจของตน ความมัวเมาในตัณหาที่มีต่อร่างจำแลงของเทพนำพาอาณาจักรให้เจริญด้วยอารยธรรมอย่างหาที่สุดมิได้ หากไม่ใช่คนใกล้ชิดก็ยากจะรับรู้ถึงข้อนี้พวกเขาถูกปลูกฝังให้แสวงหาความรู้และวิทยาการด้วยเหตุผลของการเป็นใหญ่และกลายเป็นผู้เจริญ

หากแต่เทพที่มนุษย์บูชานั้นกลับต้องถูกจองจำและทุกข์ทรมาณด้วยความบาปของมนุษย์

เทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ดูดซับเอาความชั่วร้ายของเหล่ามวลมนุษบางส่วนมาไว้ที่ตนเองเพราะรักมนุษย์มากจนยากจะทำลาย เมื่อแปดเปื้อนก็ไม่อาจมีหน้าขึ้นไปบนสวรรค์ได้จึงจองจำตนเองเอาไว้ในหุบเขาทมิฬตรงรอยแยกของผืนดินและถูกความมืดกัดกินจนกลายเป็นสัตว์ร้าย

เมื่อราตรีกาลมาเยือนความมืดที่เกาะกุมอยู่บนผิวหนังก็จะกัดกร่อนและบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก ความเจ็บปวดจึงค่อยๆลดทอนสติที่มีหายกลายเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดเนื้อก็เท่านั้น

หากวันใดที่อสูรร้ายทนต่อความหิวโหยไม่ไหวจนยื่นแขนออกมานอกรอยแยกของถ้ำก็จะถูกเทพจันทรายิงธนูศักดิ์สิทธิเข้าฟาดฟันจนบาดเจ็บสาหัสให้ได้ถอยร่นกลับเข้าไปในมุมมืด

ซึ่งใจกลางผืนป่าของโลกตามความเชื่อของชาวมายันที่เชื่อว่าเป็นหุบเหวเชื่อมต่อกับปรโลกหรือนรกในอีกความหมายหนึ่งนั้นเป็นสถานที่เดียวกันกับที่ได้จองจำเทพแห่งผืนป่าไว้

โดยชาวมายันนั้นบูชาพระจันทร์และเทพแห่งผืนป่าด้วยความเชื่อที่ว่าเทพทั้งสองคอยปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากอันตรายภายนอกที่ย่างกรายมาในยามราตรี ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ทำจากหนังสัตว์ ที่จะแบ่งตามลำดับชนชั้นทางสังคมที่แบ่งตามวรรณอย่างชัดเจน

ราชาของพวกเขาได้กล่าวเอาไว้เมื่อครั้งที่ขึ้นเป็นราชาว่า

'มันผู้ใดใส่สีขาวให้มันเป็นแพทย์ วิทยาธรและปราชญ์

มันผู้ใดใส่สีดำให้เป็นทหารคอยรับใช้ข้าและกองทัพ

มันที่ใส่สีน้ำตาลให้เป็นแรงงานคอยแบกหามก่อสร้างเมือง

มันที่ใส่สีแดงให้เป็นมหาดและขุนนางอยู่ในพระราชวังหิน

มันที่ใส่สีเขียวทำเกษตรคอยเลี้ยงคนในอาณาจักร

ส่วนมันที่ใส่สีน้ำข้าให้มันทำงานที่เหลือจากที่ไม่ได้พูดไป ส่วนไอ้พวกที่นุ่งใบไม้ข้าให้เป็นทาสคอยแบกหามและทำงานที่ไม่สำคัญ'

​​ในส่วนอาวุธเองก็ทำมาจากแร่ที่พอจะหาได้เช่นหินหรือเหล็ก ส่วนทองคำและหนังสัตว์หายากมักจะเป็นของชนชั้นปกครองแต่เพรชพลอยนั้นสงวนไว้ให้องค์ราชาและขุนนางชั้นสูง

ตามตำนานที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ของเผ่ามายันนั้นได้จารึกเอาไว้บนแผ่นศิลาหินขนาดใหญ่เอาไว้ว่า

'เมื่อครั้งแรกที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้อพยพออกจากชายป่าอีกฟากที่อยู่ภายนอกเขตุป่าใหญ่ ได้เดินทางหลบหนีวันวิปโยคที่ผืนดินและน้ำแข็งเหมือนหินและหนาวเย็นจนกัดกร่อนถึงในกระดูกเข้ามาในป่าใหญ่เพื่อกนีจากปีศาจร้ายมายังดินแดนแห่งนี้

ตรงชายป่าของโลกนั้นเองที่พวกเขาได้พบกับเทพแห่งผืนป่าในรูปลักษณ์ที่สง่างามเปี่ยมไปด้วยอำนาจยืนปกป้องพวกเขาจากปีศาจตนนั้น

พระองค์ยิงธนูสีทองสว่างปักลงตรงกลางศรีษะของปีศาจร้ายให้ล้มตึงตรงทางเข้า ต่อมาพระองค์ก็ได้ใช้พลังที่มีอยู่ส่วนหนึ่งถางป่าที่ใกล้กับที่พำนักของตนให้มนุษย์ได้ตั้งรกรากอยู่อาศัย อีกทั้งยังสอนให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะออกล่าอาหารและทำสงครามเพื่อขยายดินแดนของตน ต่อมาวิทยาการของพวกเขาก็เจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆจนกลายมาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่

เมื่อมนุษย์มีจำนวนที่มากขึ้นเทพแห่งผืนป่าที่รักสงบก็กลับเข้าไปอยู่ในที่พำนักของตน เป็นเวลากว่าห้าร้อยปีที่ไม่มีมนุษย์คนใดได้พบเจอเทพแห่งผืนป่าอีกเลย จะมีก็แต่เสียงร้องคำรามที่จะดังขึ้นในทุกคืนจันทร์สีเลือดเพียงเท่านั้น ซึ่งเสียงร้องคำรามของสัตว์ใหญ่อันเจ็บปวดและน่ากลัวทำให้ผืนป่าโดยรอบหุบเหวเริ่มเฉาตาย สัตว์น้อยใหญ่ที่ย่างกรายเข้าไปต่างก็กลายเป็นเพียงเศษซากก้อนเนื้อเละๆเท่านั้น ซึ่งชาวมายันทุกคนรวมไปถึงองค์ราชานั้นเชื่อว่าเสียงสัตว์ร้ายที่ได้ยินคือเสียงของปีศาจที่เทพแห่งผืนป่าได้ทำการกำจัดเพื่อปกป้องพวกตน มีเพียงมนุษย์จำนวนหนึ่งเท่านั้นทีืพากันอพยพออกมาจากดินแดนต้องคำสาป แยกย้ายกันไปสร้างชนเผ่าเหลือเพียงบางส่วนที่ยังจงรักภักดีอาศัยอยู่บริเวณใกล้กันกับรกรากเก่ารอคอยวันเวลาที่เทพของตนจะเสด็จมาเยือนอีกครั้งอันเป็นอาณาจักรที่ราชาผมสีโลหิตได้ปกครองอยู่ในปัจจุบัน

บนศิลาหินได้จารึกเอาไว้ปีก่อนวันที่จันทรุปราคามาเยือนนั้นว่า ท่านเทพรูปงามได้เสด็จออกจากหุบเหวมาเยือนมนุษย์ของพระองค์อีกครั้งในรอบสี่ร้อยปี ในครั้งนี้พระองค์ร้องขอค่าตอบแทนด้วยชีวิตของเจ้าสาวที่พระองค์คัดสรร จะเป็นใครก็ได้ในเผ่าที่เกิดมามีดวงตาสีทอง หากมีคนผู้นั้นกำเหนิดขึ้นมาภายในอาณาจักรคนผู้นั้นจะต้องถวายตัวเป็นเจ้าสาวให้กับพระองค์เพื่อแลกกับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งในทุกๆหนึ่งร้อยปีจะมีเจ้าสาวกำเนิดขึ้นมาเพียงคนเดียวเท่านั้น และอาณาจักรจะต้องส่งมอบเจ้าสาวเมื่อคืนก็พระจันทร์สีเลือดเวียนมาถึงให้กับพระองค์

เมื่อตอนที่ท่านกล่าวจบก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นทมิฬลงผืนดิน มันเติบโตเป็นต้นอ่อนทันทีที่ได้สัมผัสกับผืนพสุธา ก่อนที่ท่านเทพแห่งผืนป่าจะจิ้มนิ้วของตนไปที่หน้าผากของชายคนหนึ่งในเผ่า แล้วเดินหายลับไปกับผืนป่าเบื้องหลัง นับตั้งแต่นั้นมาต้นไม้ทมิฬก็เจริญเติบโตและหลั่งหยาดน้ำสีทองประกายออกมาจากรอยแยกของลำต้นมานานหลายร้อยปี

เจ้าสาวทั้งหญิงและชายนับสิบคนที่เป็นลูกหลานของชายผู้นั้นไม่เคยหวนกลับมายังหมู่บ้านอีกเลยเมื่อถวายตัวเป็นเจ้าสาว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสงสัยหากได้ชีวิตนิรันดร์ก็คงไม่อยากจะหวนกลับมาเป็นมนุษย์ธรรมดาเช่นเดิมอีกจึงไม่มีผู้ใดทัดทานหรือคิดเสาะแสวงหาบุคคลเหล่านั้นเลย

 

มนุษย์ผู้โงาเขลาพวกเขาใช้ชีวิตต่อไปในแต่ละวันและบูชาเทพของตนตลอดเวลา ด้วยหวังว่าคำภาวนาของพวกเขาจะแบ่งเบาความหิวกระหายและทุกข์ทรมานของเทพที่เคารพได้ไม่มากก็น้อย เพื่อเติมพลังให้พระองค์ต่อกรกับสัตว์ร้ายในทุกๆคืนเป็นเวลานานนับพันปี

.

.

.

1,221 ปี หลังจากการอพยพ ในศักราชของราชากาเรนที่ 25

 

สนมนางหนึ่งของพระองค์ได้ให้กำเนิดโอรสในคืนที่พระจันทร์กลายเป็นทรงกลด ในคืนนั้นผู้คนต่างกล่าวขานว่าแผ่นดินสนั่นหวั่นไหวเหมือนวันมหาวิปโยคอยู่หลายนาที บ้านเมืองพังทลายและหินศิลาพันปีที่วิหารหินได้ถูกแรงสั่นสะเทือนป่าขาดออกเป็นสองท่อน

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของประชาชนที่หวาดกลัวภัยพิบัติทารกเพศชายเจ้าของเรือนผมสีแดงโลหิตได้กำเนิดขึ้นมาจากครรภ์ของพระสนมพร้อมกับดวงตาสีทองเครื่องหมายของเจ้าสาวแห่งท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ลืมตาขึ้นดูโลก

เสียงร้องของทารกเปรียบเสมือนความหวังสำหรับองค์ราชา หากแต่ทารกนั้นต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเมื่อพระมารดาของทารกสิ้นใจทันทีที่ได้พบหน้าบุตรของนางทิ้งให้ทารกเพศชายร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของพระบิดาอย่างไม่มีวันหวนกลับ

มานา คือชื่อเรียกขานพระโอรสขององค์ราชากาเรนที่ถูกตั้งด้วยตัวพระองค์กับสนมรักเมื่อครั้งที่นางยังมีชีวิต

พระองค์ตามพระทัยเจ้าชายและประทานอต่สิ่งที่ดีเลิศที่สุดให้กับองค์ชายก่อนจะได้พบรักกับพระสนมคนใหม่ นั่นทำให้องค์ชายไม่พอพระทัยและเริ่มกลายเป็นเด็กก้าวร้าว 

ทารกผู้น่ารักที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีภายในพระราชวังกลางป่าใหญ่ เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความร้ายกาจที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แววตาของเขาแสนจะแข็งกร้าวและหยิ่งผยอง เป็นที่น่ารังเกียจในกลุ่มเด็กวัยเดียวกัน องค์ชายมานาใช้ชีวิตภายในพระราชวังที่แสนเปล่าเปลี่ยวโดนไร้ซึ่งสหายที่จะคบค้าสมาคมกับตน แต่ในเรื่องของความเฉลียวฉลาดและเก่งกาจในเพลงดาบนั้นองค์ชายก็ถูกยอมรับได้ว่าเป็นเลิศเหนือทุกผู้ในชนเผ่า

หากแต่มานานั้นเกลียดพระชายาของพระบิดาตนสุดจะบรรยายเพราะแม้แต่พระบิดาบิดาที่เคยรักตนเพียงคนเดียวและพร่ำบอกว่ารักมารดาของตนสุดหัวใจเองก็ปันใจไปให้นาง พระองค์ทรงอภิเษกสมรสใหม่กับธิดาจากต่างเมืองแล้วแต่งต้งให้กลายเป็นพระชายาทั้งๆที่มารดาของตนเป็นได้เพียงพระสนม 

ด้วยความที่เขามีนิสัยที่คิดอิจฉาและใฝ่สูง ลุ่มหลงในการทำสงครามตั้งแต่อายุยังน้อยและชื่นชอบในการทำลายล้าง พี่น้องต่างมารดาไม่ว่าจะหญิงหรือชายที่กำเนิดขึ้นมาหลังจากตนต่างก็ถูกสังหารจนสิ้นชีพ ข้าราชบริภารที่ปฏิบัติไม่ถูกใจหากไม่โดนทรมาน​จนตายก็ถูกทำร้ายจนพิกลพิการ 

ราชากาเรนที่เห็นถึงความร้ายกาจนี้ก็รีบร้อนหาหนทางสังหารบุตรชายด้วยกลัวว่าจะเป็นบุตรของตนคนนี้เองที่จะนำภัยมาสู่อาณาจักร ภายใต้การยุแยงของพระมเหสีที่คอยใส่ไฟอยู่ข้างกายพระองค์ด้วยพระนางเองก็ต้องการจะเอาคืนให้กับบุตรและธิดาของตนที่ถูกทำร้าย

หลังจากที่องค์ราชาอดทนมานานเจ้าชายก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยข้อหาตั้งตนเป็นทรราชเมื่อทรงสังหารพระชายาคู่พระทัยให้สิ้นชีพต่อหน้าพระองค์กลางที่ประชุม โดยองค์ชายนั้นได้ยินถึงแผนลอบสังหารพระองค์ของนางจึงลงมือสังหารทิ้งเสีย และนั่นได้ทำให้องค์ราชาหมดความอดทนเสมือนหางเส้นสุดท้ายที่ขาดสบั้น

เด็กชายผมแดงจำต้องวิ่งหนีทหารที่ตามมาสังหารตนเข้าไปในผืนป่าใหญ่อาศัยอยู่ท่ามกลางความลำบากนานัปการที่ร้ายล้อมรอบกายตน

ยามนอนหลับเขาก็ต้องคอยสดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็ตามเคลื่อนที่เข้ามาหาตนเพราะหวดกลัวสัตว์ร้ายจะบุกเข้ามาหา ต้องทนอดมื้อกินมื้อจนในบางคราก็จำใจต้องขุดดินหาหนอนแมลงมาประทังชีวิตแทนอาหาร

เมื่อไร้ซึ่งคมหอกและดาปเด็กก็ยังคงเป็นเด็กต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็ยากจะเอาตัวรอดในป่าเพียงลำพัง มีหลายคราที่องค์ชายร้องไห้ด้วยความกวดกลัวหวาดกลัวและเหว่ว้า ในบางคราก็กรีดร้องทำลายทุกสิ่งรอบตัวด้วยความเคียดแค้น 

จนเมื่อเศษเสี้ยวของดวงจิตเทพแห่งผืนป่าที่อยู่ในละแวกนั้นได้มาพบเห็น

เมื่อสปตาเข้ากับดวงตาสีทองขององค์ชายดวงจิตนั้นก็ได้ให้การช่วยเหลือในทันทีเพราะรู้ได้ว่านี่คือเจ้าสาวของตน จนองค์ชายนั้นหาทางเดินออกจากป่าใหญ่มายังชนเผ่าเล็กๆแห่งหนึ่งไม่ไกลกันนั้นได้อย่างปลอดภัย

 

มานาจดจำได้อย่างดีถึงเส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้าสว่างที่แสนจะสวยงามเหมือนอัญมณีในมื ของพระองค์

เทพแห่งป่ามีรูปโฉมไม่ต่างจากคำบอกเล่าของแม่เฒ่าที่เขาได้ยินมา บุญคุณที่บ่อเกิดเป็นความรักของเด็กชายผู้มีจิตใจที่บิดเบี้ยวนั้นนำพาเด็กชายให้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด

เขาเฝ้าคิดถึงการแก้แค้นในทุดช่วงชีวิตที่ได้เติบโตและจะต้องกลับไปฆ่าล้างทุกคนที่หักหลังตนแล้วช่วงชิงทุกสิ่งกลับคืนมา เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะถวายตัวทำลายต้นทมิฬทิ้งแล้วกลายเป็นเจ้าสาวเพียงคนเดียวและคนสุดท้ายของท่านเทพแห่งผืนป่า ความรักของเขาจะต้องไม่ถูกแบ่งไปให้ใครเหมือนอย่างที่แล้วมา

มานาเฝ้าเรียกรู้วิชาหลายแขนงและกลวิธีอันมากเล่ห์จนได้มาซึ่งตำแหน่งผู้นำเผ่า ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปเพียงสิบปีในที่สุดเด็กชายก็เติบใหญ่นำพาเผ่าเล็กๆให้จำเริญขึ้นเป็นอาณาจักรที่ทุดเทียมกับของบิดาตน

ก่อนจะรวบรวมกองทัพที่เก่งกาจมากมายไว้ใต้อำนาจจนยากที่มาเป็นศัตรู จนในที่สุดสิ่งที่ราชากาเรนทรงกังวลพระทัยก็มาถึง

ภัยร้ายที่อันตรายต่ออาณาจักรไม่ใช่ข้าศึกหรือประเทศอื่น หากแต่เป็นบุตรชายผู้เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและวิปริตของพระองค์เอง

การสู้รบของบิดาและบุตรชายจบลงด้วยการที่ศีรษะของพระองค์ถูกบั่นให้ขาดออกจากคอด้วยดาปเสี้ยวพระจันทร์ ในห้วงสุดท้ายของความตายคือใบหน้าที่บิดเบี้ยวของบุตรชายอันเป็นที่รักยิ่ง องค์ราชาได้สร้างสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ขึ้นมาเสียแล้ว แม้จะอยากกลับไปแก้ไขสักเท่าไหร่ก็สายเกินไปอยู่ดีเมื่อยามนี้พระองค์ได้สิ้นใจไปเสียแล้ว

 

หลังจากประกาศชัยชนะได้ไม่นานราชาทรราชมานาก็ขึ้นปกครองอาณาจักรต่อจากบิดาของตนผ่านการยึดครองด้วยทหาร

ทรงสั่งการให้ทหารกวาดล้างขุนนางและประชาชนที่ให้การสนับสนุนพระบิดาจนแม่น้ำกลายเป็นสีเลือดถึงสี่ปีเต็มแล้วเสียบหัวประจานอยู่หน้าทางเข้าเมืองหลวงจนสร้างความหวาดกลัวไปทั่วทุกดินแดนในแถบนั้น

แม้จะโหดร้ายเพียงใดแต่ประชาชนก็อดยอมรับไม่ได้ว่าภายใต้การบริหารของราชาผู้นี้ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน พระราชาผมสีโลหิตให้ความสำคัญกับความเจริญรุ่งเรืองของผู้คนในอาณาจักรมาเป็นสิ่งแรก สงครามที่เคยมีอยู่บ่อยครั้งก็เงียบหายเพราะชื่อเสียงขององค์ราชาได้สร้างความยำเกรงให้กับศัตรูทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะทำสงครามด้วย แม้แต่องค์ราชากาเรนที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจและเป็นบิดาร่วมสายเลือดแท้ๆเองก็ยังถูกเสียบหัวประจานให้อีแร้งจิกทึ้งอยู่ที่หน้าประตูเมือง

 

ภายในท้องพระโรงวันนี้มีคณะผู้แทนจากราชอาณาจักรอื่นเดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรมายันหวังใช้เป็นไม้ตายสำคัญในการป้องกันอาณาจักรของตนไม่ให้ถูกรุกราน

บัดนี้คณะผู้มาเยือนกำลังทำการเจรจาเรื่องการค้าและทหารแลกเปลี่ยนผ่านการอภิเษกขององค์ราชากับองค์หญิงอาณาจักรตนซึ่งนับว่าเป็นข้อเสนอที่พวกเขาคิดว่าเพียงพอที่ตัดึงดูดพระทัยขององค์ราชาได้

หากได้รวบรวมเอาอำนาจทั้งสองเข้าด้วยกันเผ่าอินคาก็จะเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เจริญแล้วมากมายอย่างเช่นอาณาจักรนี้อย่างแน่นอน เพราะว่าเผ่าอินคาเองก็เจริญด้วยทองคำคงยากที่องค์ราชาผมโลหิตจะปฎิเสธ

"ยินดีต้อนรับคณะผู้มาเยือนจากแดนไกล.. ข้อเสนอของพวกเจ้าน้บว่าน่าสนใจแต่ข้าไม่ยินดี"

มานาตัดบทคลายความรำคาญคนพวกนี้เมื่อมาถึงก็เอาแต่พูดถึงผลประโยชน์ของตนเอง เขาคร้านจะฟังเต็มที

สุรเสียงจากชายหนุ่มผู้นั่งบนบัลลังก์ทองขนาบข้างด้วยเสือดาวดังกังวานไปจนทั่วท้องพระโรงแห่งนี้ คณะผู้มาเยือนจากอาณาจักรทำได้เพียงก้มหน้าคุกเข่าอยู่กับพื้นเพื่อถวายความเคารพ เมื่อองค์ราชาตัดบทไม่คิดจะเจรจาต่อแม้จะอยากเงยหน้าขึ้นมองราชาทรราชแห่งชนเผ่ามายันมากเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้ ตลอดการเจรจาพวกเขาต้องนั่งคุกเข่าและก้มหน้ามาโดยตลอด เพราะนั่นหมายถึงชีวิตถ้าสปตาเข้ากับราชาผู้นั้น การขยับเพียงก้าวเดียวที่ก่อให้เกิดความไม่พอใจอาจสร้างภัยร้ายมาสู่ตนได้

"อาณาจักรของข้ายินดีต้อนรับพวกท่านในฐานะผู้มาเยือน หวังว่าหนึ่งเดือนที่ได้มาเจริญสัมพันธไมตรีกันนั้นจะทำให้พวกท่านได้รับความรู้กลับไปพัฒนาประเทศของตน"

ฝ่ามือสีน้ำผึ้งของมานาได้หยิบเอาอัญมณีจากถาดที่ได้รับถวายเป็นของกำนัลขึ้นมาหมุนเล่นพลางเหลือบดู พอสังเกตุดีๆก็พบได้ว่ามณีในมือและมณีที่อยู่บนถาดเหล่านี้นั้นล้วนแล้วไม่ได้แตกต่างหรือดูมีมูลค่าเทียบเท่าที่หาได้ในอาณาจักรของตน อาจดูด้อยกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็นับได้ว่าหาข่าวมาดีที่สืบทราบว่าตนนั้นมีความสนใจในอัญมณีสีฟ้ามากเป็นพิเศษถึงกระนั้นหากนำมาเทียบเคียงกับดวงตาที่ส่องประกายในความทรงจำแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากก้อนกรวด

องค์ราชาในชุดหนังเสือดาวที่พันรอบเอวปรายตาลงมองคณะต่างถิ่นด้วยสีหน้าของผู้มีอำนาจ

เกศาสีแดงยาวสยายลู่ไปกับลำคอและตามลำตัวของพระองค์เองก็ประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทองคำมากมากมาย บางชิ้นเองก็มีมณีสีแดงเลือดเฉกเช่นเดียวกับผมประดับอยู่ บนศีรษะเองก็มีขนนกแก้วมาคอร์ทีาแผ่สยายแสดงออกถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรได้เป็นอย่างดี

เสือดาวทั้งสองตัวเองที่นอนหมอบอยู่ข้างๆกันบ้างก็หาวเหมือนกับแมวตัวหนึ่งเมื่ออยู่ใต้อำนาจของราชาพระองค์นี้ พวกมันล้วนสงบนิ่งอยู่ข้างกายเสมือนองครักษ์ ำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำำ

"ข..ขอบพระทัยฝ่าบาท..."

คณะผู้มาเยือนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวทำได้เพียงพูดขอบคุณอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รับรู้ว่าตนทำสิ่งใดให้ไม่พอำระทัยราขาพระองค์นี้

"เราจะให้ราชเลขาพาพวกท่านไปพบกับขุณนางที่เหลือ เรามีราชกิจอีกมากที่ต้องไปทำหากขาดเหลือสิ่งใดก็บอกแก่คนของเราแล้วกัน.."

ด้วยอีกฝ่ายเป็นเพียงประเทศเล็กๆพระองค์จึงไม่สนใจที่จะสนทนาด้วยอีก องค์ราชาผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วเดินหายออกไปจากท้องพระโรงพร้อมกับเสือดาวสองตัวที่คอยเดินตามหลังอย่างนอบน้อม พวกมันไถสีข้างคลอเคลียไปตามสีข้างของมานาอย่างออดอ้อนไปตลอดทางเดินจากท้องพระโรง

"สังหารพวกมันให้สิ้นแล้วส่งร่างไปที่หุบเหวทมิฬ"

เมื่อพ้นออกมาจากราชทูตดวงตาสีทองก็หรี่ลงเป็นประกายของความโกรธเกรี้ยว มานาออกคำสั่งกับราชเลขาที่เดินตามมาอยู่ห่างๆทางด้านหลังแล้วเดินหายลับไปไม่คิดเหลียวหลังกลับมาอีก

พระองค์ถนอมพรมจรรย์ไว้ให้เพียงผู้เดียวในใจไม่คิดอภิเษกมีพระชายาหรือบุตรให้น่าปวดหัว มันผู้ใดที่ไม่เคารพและละเมิดก้าวล่วงมาบงการชีวิตของพระองค์มันผู้นั้นไม่สมควรได้มีลมหายใจ ในเมื่อโง่เขลาเกินจะเข้าใจก็จงตายไปพร้อมกับความโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นเสีย

"ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย"

ราชเลขาก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินปั้นหน้ายิ้มออกไปหาคณะทูตจากต่างแดนเมื่อนายเหนือหัวของตนพ้นจากสายตา

---------------------------------------------------------------------------------

น้องร้ายกาจมากเลยค่พทุกคน! น่าตีก้นมากเลย เป็นคนสวยที่ใจรว้ายจริงๆ

บทที่1 ราชาทรราช

มานายืนมองไปยังหุบเหวทมิฬจากระเบียงห้องบรรทมพร้อมแก้วไวน์องุ่นสีทองในมือ

ร่างผิวน้ำผึ้งอวดผิวกายที่กำลังยืนรับลมอยู่บนระเบียงในสภาพที่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งผ้าแพรหรือเครื่องประดับปกปิด

พระองค์ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าที่ห่างไกลออกไปด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ศีรษะของคณะเจริญไมตรีและร่างที่ถูกสับจนเละนั้นถูกจับโยนเข้าไปภายในหุบเหวนั้นถึงสามร่าง ร่างของมนุษย์ที่แสนโง่เขลานั่นคงจะทำให้เทพที่พระองค์รักยิ่งคลายความทุกข์ทรมานและหิวกระหายไปได้บ้างจะได้มีแรงต่อสู่กับสัตว์ร้ายในยามค่ำคืนดังจะรับรู้ได้เพราะคืนนี้ไม่มีซึ่งเสียงของความทุกข์ทรมาณให้ได้ยินแว่วมาตามสายลม 

อีกไม่กี่เดือนพิธีถวายตัวก็จะมาถึง พระจันทร์สีเลือดและต้นไม้ทมิฬคือสัญลักษณ์ของพิธีที่เสมือนกับเป็นพิธีอภิเษกของพระองค์กับเทพแห่งผืนป่าผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่คิดถึงเกศาสีทองและดวงตาสีฟ้าที่ได้พบพานเมื่อในวัยเยาว์แกนกายของพระองค์ก็ตื่นตัวขึ้นมาเสียแล้ว

แกนกายขนาดพอดีร่างกายผงกหัวขึ้นรับลมเย็นๆที่พัดผ่านร่างทำเอารู้สึกวาบหวิวจนยอดอกแข็งเป็นไตจนต้องวางแก้วไวน์ลงแล้วบีบขยี้ให้รู้สึกเสียวซ่าน

"อ...ฮา อื้มมม.."

เมื่อเล่นกับหน้าอกจนพอใจมือข้างที่ว่างของพระองค์ก็นำมารูดรั้งแกนกายจนมันปริ่มน้ำใสๆไหลเยิ้มออกมาหยดลงพื้นเป็นดวงเล็กๆ เส้นสายสีเงินที่หยดย้อยลงมาทำให้ภาพตรงหน้านั้นดูวาบหวิวขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า

แม้จะคงพรหมจรรย์แต่ก็ต้องขยายตัวตนเตรียมรองรับแกนกายของว่าที่พระสวามีตามหน้าที่ของพระชายาที่ดีตามความคิดของตนเอง แก้วไวน์ที่ถูกวางเอาไว่บนราวระเบียงถูกมืออีกข้างของมานาจุ่มลงไปในแก้วจนชุ่มไปด้วยน้ำสีแดงของไวน์ เมื่อมือนั้นชุ่มมากพอนิ้วมานาก็ค่อยๆสอดใส่นิ้วที่ชุ่มไปด้วยไวน์เหล่านั้นเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังของพระองค์ด้วยตัวพระองค์เองทีละนิ้วจนคับแน่นไปทั่วทั้งช่องทางเมื่อนิ่วมือทั้งห้านั้นถูดสอดใส่เข้าไปจนครบ

"อ๊าา... อื้อ!~"

เมื่อปรับตัวได้นิ้วมือค่อยๆขยับหมุนคว้านไปมาภายในช่องทางที่ชุ่มไปด้วยไวน์

แอลกอฮอล์ที่อยู่ในไวน์ค่อยๆมอมเมาองค์ราชาทำให้พระองค์ลุ่มหลงมัวเมาไปกับการปรนเปรอตัวเองอย่างยากจะถอนตัว

เสียงเฉอะแฉะและน่าอายนี้มีทหารบางส่วนเท่านั้นที่ได้ยิน พวกเขาล้วนชินชาเกินกว่าจะรู้สึกอะไรเสียแล้วด้วยว่าหากมันผู้ใดมีอารมณ์กับพระวรกายขององค์ราชาก็จะถูกจับไปประหารแล้วโยนร่างลงหุบเหวทมิฬ หน่าที่ของทหารองครักษ์คือเฝ้ารักษาพระวรกายพวกมันไม่สิทธิ์แม้แต่จะหันไปมองแม้สุรเสียงที่ได้ยินนั้นจะไพเราะและปลุกกำหนัดมากเท่าไหร่ก็ตามที

"อ๊าา!~... โอ้ววว~ ท่า..ท่านเทพ อ๊า!~"

มานาไถหน้าอกอวบอัดของตนเข้ากับราวระเบียงจนมันขึ้นสีแดง ยอดอกที่แข็งชี้เป็นสีแดงก่ำและสร้างความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับสร้างความเสียวสะท้านไปทั่วทั้งร่างอย่างยากจะถอนตัว

เมื่อความเสียวซ่านนั้นทำให้ตาพร่ามานาก็ขยับยอดอกไถกับขอบราวระเบียงจนแก้วไวน์ถูกหน้าอกอวบอัดนั้สชนตกลงมาจากระเบียงเสียงดังทำเอาทหารที่กำลังยืนเหม่ออยู่ด้านล่างถึงกับสดุ้ง ดูเหมือนว่าราชาของพวกเขาคงอยากจะถวายตัวเต็มทีแล้วถึงได้ส่งเสียงครางแล้วปรนเปรอตนเองอย่างเผ็ดร้อนถึงขั้นนี้

"อ๊าา...!~"

เมื่อปรนนิบัติส่วนหน้าของตัวเองจนเสร็จสมแกนกายสีชมพูขนาดพอดีตัวก็คายน้ำหวานออกมาจนเปรอะเปื้อนราวระเบียง

นิ้วมือทั้งห้าถูกดึงออกมาจากช่องทางที่ชุ่มฉ่ำ

มานาแลบลิ้นลิ้นสีแดงของพระองค์ลามเลียไปตามนิ้วมือของตน ดูเหมือนความกำหนัดของพระองค์จะยังไม่ทุเลา เพราะช่องทางด้านหลังยังคงรู้สึกยุบยิบอยู่ภายในตรงส่วนที่ลึกเข้าไป

องค์ราชาค่อยๆเยื้องย่างเดินเข้าไปในห้องบรรทมแล้วหยิบเอาแท่งไม้รูปองคชาตขนาดเท่าของพระองค์เองมาวางไว้บนกลางปท่นบรรทม ก่อนจะใช้สองมือแหวกก้นอวบอัดทั้งสองออกจากกันเผยให้เห็นช่องทางที่หิวกระหายซึ่งขมิบตอดรัดอากาศระรัวด้วยความกระสันอยากจะถูกสอดใส่ของพระองค์ให้แท่งไม้ได้เชยชม

ตอนนี้มานากำลังจินตนาการถึงเทพผมทองว่าพระองค์นั้นกำลังร่วมหลับนอนด้วยกันโดยมีพระองค์เองที่กำลังควบขี่อยู่บนแกนกายใหญ่ที่ตั้งชัน เอวแน่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นลอนกำลังกระแทกสวนสอดใส่ทะลวงรูรักของพระองค์จนแทบมอดไหม้ ทำให้ราชาทรราชที่กำลังลุ่มหลงอยู่ในจินตนาการของตนแสดงท่าทางน่าอายและร่านร้อนออกมาจนแกนกายกระตุกหงึก ก่อนจะกดสะโพกลงไปกลืนกินแท่งไม้เสียจนมิดเมื่อมันสอดลึกเข้ามาจนสุดถึงภายใน

แม้จะไม่สุขสมเท่าที่อยากให้เป็นอต่ก็สร้างความเสียวซ่านให้ได้เมื่อต้องใช้แก้ขัดไปก่อน สะโพกแน่นหมุนควงอยู่บนแท่งไม้ขยับยกตัวขึ้นลงตอกลึกเข้าออกอย่างรุนแรงไร้ความปราณีต่อร่างกายตน

"อ...อร๊าา!~..."

ดวงตาสีทองของมานทปรือลงจมสู่ห้วงกามา ร่างสีน้ำผึ้งขยับโยกไปมาอยู่บนแท่นบรรทมอยู่อย่างนั้นจวบจนเสร็จสมระรอกที่สอง น้ำกามพวยพุ่งออกจากปลายแกนกายเปรอะเปื้อนแท่นบรรทมเป็นทางตามห้วงอารมณ์รันแรงที่เพิ่งจบสิ้น

เมื่อถึงฝั่งฝันองค์ราชาจึงค่อยๆถอนตัวออกแล้วหยิบแท่งไม้เก็บเข้าที่เดิมที่ตนได้ซุกซ่อนเอาไว้

พอได้ปลดเปลื้องความกำหนัดก็ทำให้จิตใจที่ร้อนลุ่มใจเย็นลงได้บ้าง

มานาดับไฟตะเกียงแล้วจมเข้าสู่ห้วงนิทรา

ฉับพลันที่เขาจมเข้าสู่ห้วงฝันความฝันประหลาดก็แล่นเข้ามาในหัว มันคือภาพของสัตว์อสูรหน้าตาดุร้ายและอัปลักษณ์กำลังวิ่งต้อนผู้คนแล้วกัดกินลงท้อง แผ่นดินอาบนองไปด้วยเลือดจากซากศพนับพัน หัวของผู้เคราะห์ร้ายอยู่บนเขาที่เสมือนกับมือทั้งสองข้างของมันโดยที่ ดวงตาสีแดงฉานของเจ้าสัตว์ร้ายนั้นกำลังจับจ้องมาที่ตน เมื่อนั้นที่พระองค์กำลังจะวิ่งหนีมีนก็จู่โจมเข้ามาหาแลเวคว้าร่างของพระองค์ขึ้นจากพื้น

'เจ้าไม่มีวันหนีข้าพ้น มานา'

เฮือก!...

ราชาพลันสะดุ้งตัวขึ้นจากแท่นบรรทม

นี่คือนิมิตเตือนล่วงหน้าเป็นพรจากเทพแห่งผืนป่าที่ได้มอบให้ไว้ตั้งแต่ยังหลงป่าเมื่อครั้งเยาว์วัย มันฉายภาพของอสูรน่ากลัวให้พระองค์ได้เห็น

ดวงตาสีทองสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวเหลือคนา เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นต่อให้เป็นตนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต่อกรด้วยได้หรือไม่หากมันมีตัวตนจริงๆก็คงยากที่สู้ด้วย แต่หากฝันร้ายกลับกลายเป็นดีนั่นก็หมายถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรอย่างถึงขีดสุด การปรึกษากับท่านแม่เท่าจึงเป็นเรื่องจำเป็นถึงนิมิตหมายที่ได้รับ

พอคิดได้ก็ผุดลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าแพรผืนบางมาสวมใส่ก่อนจะเดินออกมาจากห้องบรรทมท่ามกลางสายตางุนงงของเหล่าทหารองค์รักษ์ที่เฝ้ายามอยู่หน้าห้องบรรทม

"ไม่ทราบว่าองค์ราชาต้องการไปที่ใด"

มานาปรายตามองทหารที่พระองค์ไม่แม้แต่จะรู้จักผู้นี้แล้วออกคำสั่ง

"ไปตามแม่เฒ่ามาหาที่ห้องลับ.."

"ขอรับ"

นายทหารคนดังกล่าวก้มหัวรับคำสั่งแลเวรีบวิ่งไปตามท่านแม่เฒ่าทันที ส่วนมานาเองนั้นก็รีบเดินไปรอท่านแม่เฒ่าที่ในห้องลับ

ภายในของห้องนี้ตรงใจกลางคือแท่นหินศิลาจันทราที่เขาบากบั่นสร้างมันขึ้นมาจากโครงกระดูกของมนุษย์ผู้คั่งแค้นอันได้มาจากข้าศึกในสงคราม พวกมันล้วนถูกเข้าสงหารบกับมือทั้งสิ้น

เมื่อได้ศพก็จดะทำการแยกเนื้อออกแล้วนำกระดูดมาบดละเอียดผสมกับหินปูนก่อร่างขึ้นมาเป็นศิลาทมิฬเพื่อใช้การในคืนถวายตัว

หลังจากที่ยืนรอได้สักพักแต่ไม่ทันได้นานเกินรอในที่สุดแม่เฒ่าก็มาถึง ใบหน้่าเหี่ยวย่นของนางดูผ่อนคลายผิดกับมานาที่เครียดขึง ไม้เท้าเก่าๆถูกใช้้ป็นที่ค้ำยันเมื่อนางค่อยๆออกก้าวเดินมาหาองค์ราชาที่ยืนรอนางอยู่

"เรียกข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือมานา..."

"ข้าฝัน ฝันถึงการนองเลือด.. ในฝันนั้นข้าเห็นอสูรหน่าตาน่ากลัวอยู่ตนหนึ่ง มันสังหารทุกคนแล้วพุ่งตัวเข้ามาหาข้า ท่านพอจะใช้ศิลาทำนายดูได้หรือไม่"

แม่เฒ่าส่ายหัวไปมานางแย้มยิ้มแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง

"ต้องขออภัยแต่ข้าคิดว่าความฝันของท่านไม่ใช่เรื่องร้าย การใช้ศิลาจึงไม่สามารถทำได้"

"กระนั้นรึ..."

แม้จะไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดแต่มานาก็ไม่คิดถามอีก องค์ราชายืนครุ่นคิดถึงภาพในนิมิตของตนอีกครั้งก็คิดได้ว่าหรือมันจะหมายถึงความรุ่งโรจน์จริงๆดังที่ตนได้คิดเอาไว้

เมื่อความกังวลถูกคลายสงสัยองค์ราชาก็ใช้โอกาสนี้ยืนหารือเรื่องพิธีถวายตัวกับท่านกับแม่เฒ่าติอีกสักพักแล้วพากันแยกย้ายกลับไปยังที่ของตนเอง

ตึงๆ ตึงๆ..

เสียงกลองบรรเลงและเสียงแตรเขาสัตว์ดังก้องกังวลไปทั่วผืนป่า ในค่ำคืนนี้ท่ามกลางพระจันทรสีเลือดจะเกิดการถวายตัวของเจ้าสาวพระองค์ใหม่ขึ้นให้ชาวเผ่าทุกคนได้ประจักษ์ถึงพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ของราชาที่แท้จริง ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากเทพแห่งผืนป่าอันสืบเชื้อสายมาจากเจ้าสาวที่แท้จริงเมื่อครั้งแรกเริ่ม

เหมือนกับธรรมชาติแห่งผืนป่านั้นสดับรับฟังและรับรู้ถึงพิธีการสำคัญนี้ ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็สั่นไหวโอนเอนไปมาดูน่าหวาดหวั่รเหมือนว่าพวกมันนั้นมีชีวิต ลำธารที่เคยสงบนิ่งก็เชี่ยวกราก ราวกับว่ากำลังร่ายลำเพื่อต้อนรับให้กับเจ้าสาวขอฃท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่

เจ้าของใบหน้างดงามที่มีร่างกายของชายนักรบราชาแห่งผืนป่าผมสีโลหิตกำลังรู้สึกตื่นเต้นจนดวงดาพร่าเบลอ เขาเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนานกว่าที่ราตรีนี้จะมาเยือน

เสียงกลองพลันหยุดบรรเลงเมื่อราชาของพวกเขามาถึง พวกเขาล้วนก้มหัวลงคำนับหน้าผากจรดผืนดินและเงียบเสียงลงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ

ไม่มีใครกล้าเงิยหน้าเพื่อสปตากับราชา หรือต่อให้มีผู้กล้ามันก็จะถูกตัดหัวเสียบประจานอยู่ด้านหน้าทางเข้าของป่า รูปโฉมของราชาคือเรื่องต้องห้ามที่ห้ามมิให้ผู้ใดเห็นยิ่งในค่ำคืนของการถวายตัวเช่นนี่แล้วนั้นเสื้อผ้าที่องค์ราชาสวมใส่จึงจัดเป็นสิ่งต้องห้ามให้ได้ชม มีเพียงองค์เทพของป่าผืนนี้เท่านั้นที่จะได้มองใบหน้าอันงดงามของราชาแล้วดื่มด่ำกับค่ำคืนแสนหวานของพิธีวิวาห์สีเลือด

กริ๊ง... กริ๊ง...

เสียงกระดิ่งข้อเท้าดังสอดรับไปกับย่างก้าวของเท้าสพน้ำผึ้ง

เจ้าของผมสีโลหิตพาเรือนในร่างในชุดผ้าแพรโปร่งใสไร้สิ่งปกปิดจุดลับเดินไปที่ด้านหน้าปรำพิธี ผ่านคนมากมายที่ก้มหัวแหวกทางให้

เขาคือราชาของป่าผู้มีสมญานามว่าราชาผมสีโลหิต คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่เขาถูกสถาปนาเพื่อรับใช้องค์เทพที่อยู่ใจกลางป่าท่ามกลางหุบเขาสีทมิฬในฐานะของเจ้าสาวที่ได้รับเลือก

ตัวตนอันแข็งแกร่งและงดงามที่เคยได้พานพบเมื่อครั้งยังเยาว์วัยนั้นตราตรึงในหัวใจมานานแสนนาน ร่องรอยการรบราฆ่าฟันเพื่อประกาศชัยชนะเหนือขัตติยวงศ์พร่างพราวไปทั่วร่างกายของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดูด่างพร้อย กลับยิ่งเพิ่มความดุดันเย้ายวนและอันตรายให้แก่เขามากขึ้นทวีคูณ

ขั้นตอนของพิธีนี้กล่าวคือเจ้าสาวหรือผู้ที่เป็นราชาอย่างมานานั้นจะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สีทองที่หลั่งออกมาจากต้นไม้ทมิฬที่แห้งกรอบและใกล้ตายในคืนพระจันทร์ทรงกลด ก่อนจะกรีดฝ่ามือกล่าวคำสาบานถวายตัวให้เทพแห่งผืนป่าด้วยชีวิตนิรันดร์ของตนเอง เมื่อนั้นที่พิฑีจะเสร็จสมบูร์ณแล้วนอนรอเจ้าบ่าวมารับตัวไปในที่สุด

'มานา'มองกริซสีชาดตรงหน้าตนแล้วหยิบขึ้นมาบรรจงกรีดไปที่ฝ่ามือ พลันเกิดปาฏิหาริย์เมื่อเถาวัลย์เหี่ยวเฉาของต้นไม้สีนิลค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาดูดกลืนหยดเลือดบนพื้นจนแห้งสนิท

กรรรร!...

เสียงคำรามของบางสิ่งดังสะท้านไปทั่วผืนป่าโดยมีทิศทางจากล่องหลืบของหุบเขา เสียงของเทพแห่งพงไพรที่ตื่นขึ้นจากการหลับไหลนั้นก้องกังวาลสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งผืนดิน ใบไม้สั่นไหว น้ำในลำธารเชี่ยวกราดเสียงยิ่งกว่าตอนเริ่มพิธีเหมือนวันมหาวิปโยคกำลังมาเยือนก่อนทีาทุกสิ่งจะกลับคืนสู่ความปกติเมื่อเจ้าสาวเริ่มกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ

"ข้าแด่ท่านเทพแห่งพงไพร!.. ข้ามานา ราชาผมสีโลหิตขอถวายร่างกายและจิตใจรับใช้ท่านพร้อมด้วยชีวิตนิรันดร์ตราบสิ้นดาราบนฟ้า!"

เขาไม่รอให้แม่เฒ่ายกน้ำศักดิ์สิทธิ์มาถวายก็ก้าวขาไปแย่งลงมาจากปรำพิธี

สองมือยกจอกสีทองขึ้นสูงกรอกน้ำศักดิ์สิทธิ์ใส่ปากแล้วดื่มให้หมดสิ้นทุกหยด ไม่ให้หลงเหลือไปถึงผู้ใดอีก

"ช้าก่อนท่าน! ตามพิธีท่านต้องดื่มเพียงจิบเดียว!"

ท่านแม่เฒ่าที่มองดูอยู่รีบเอื้อมมือไปคว้าจอกสีทองออกจากมือขององค์ราชาแต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อมานานั้นได้ขว้างจอกออกจากมือพุ่งเข้าไปในเปลวไหกลางปรำพพิธี

"หุบปาก!!.. ข้าจะเป็นเพียงผู้สุดท้ายและผู้เดียวของท่านเทพ มันผู้อื่นไม่มีสิทธิ์!!"

เมื่อจอกสีทองถูกความร้อนมันก็เริ่มหลอมละลายกลืนหายไปกับเปลวไฟ

มานายิ้มหยันให้กับผลงานของตนแล้วหมุนตัวเดินลงจากปรำพิธี หากแต่เขายังไม่ทันจะได้ก้าวขาข้าฃถัดไปน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ดื่มกินเข้าไปเมื่อครู่ก็เริ่มออกฤทธิ์

สองขาพลันทรุดลงกับพื้นดินความรู้สึกเร่าร้อนแผ่ขยายจากท้องน้อยเอ่อล้นจากข้างใน แกนกายแข็งตัวดีดขึงขึ้นแนบไปกับหน้าท้องกระตุกหงึกเมื่อกำหนัดถูกเร่งเร้าให้ตื่นขึ้นมาถึงขีดสุด ที่ช่องทางด้านหลังเองก๋หลั่งน้ำหวานสีใสออกมาจำนวนมากจนเอ่อนองเต็มหว่างขาให้ผ้าแพรผืนบางเป็นดวงด่าง

"แฮ่ก.. ข...ข้าเป็นอะไรไป"

"ดูเหมือนท่านจะดื่มมากจนเกินไปถึงได้ออกฤทธิ์ไวขนาดนี้.."

แม่เฒ่ากระตุกยิ้มผิดกับเมื่อครู่ที่มีท่าทีกังวล ราวกับร่วงรู้อยู่แล้วว่ามานาคิดกระทำการอันใดอยู่

"ข้า.. ข้า...อึกก อ๊าา...แกนกาย ข้าต้องการแกนกายใหญ่ๆ รูของข้ามันกระตุกไปหมดแล้ว!~"

สติสัมปชัญญะเลือนหายไปจนสิ้นดวงตาเหลือกลานป้าอ้ากว้างแลบลิ้นออกมาเหมือนคนกระหายในกาม สุระเสียงที่เปล่งออกมาร้องเรียกหาแต่แกนกาย แม่เฒ่าพลันนึกเวทนาให้กับราชาผู้อาจหาญตรงหน้า เมื่อตกอยู่ในห้วงกามก็ดูร่านเสียยิ่งกว่าหญิงโสเภณีของเผ่าเสียอีก

"พวกเจ้าสองคนมาทางนี้ จงตามข้ามาแล้วแบกราชาของพวกเจ้าเดินลึกเข้าไปที่กลางป่า ทิ้งเขาไว้ที่หน้าทางเข้าหุบเขาทมิฬเสีย..."

"ขอรับ"

ชายสองคนที่แม่เฒ่าเรียกหาพลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาแบกร่างขององค์ราชาขึ้นจากพื้นดิน

แม่เฒ่ากระแทกไม้เท้าลงกับพื้นเป็นคำสั่งให้ทุกคนแยกย้าย เดินหายเข้าไปในป่าลึกมุ่งหน้าสู่หุบเขาทมิฬที่มีเทพแห่งพงไพรรอคอยอยู่ด้านใน

.

.

.

"วางเขาไว้.. เดี๋ยวท่านเทพจะออกมารับเขาเอง"

ร่างของราชาที่มัวเมาไม่ได้สติถูกวางลงบนโขดหินด้านหน้าช่องแคบที่บึกเข้าไปด้านในเป็นช่องทางใต้หุบเขาไร้แสงสว่าง มันมืดมิดและแผ่กลิ่นอายของความน่ากลัวออกมาอยู่ตลอดเวลาจนทำให้นะแวกนี้ไร้สัตว์หรือต้นไม้ดำรงชีวิต ราวกับว่าพวกมันหวาดกลัวต่อสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายในซอกหลืบนั้น

เมื่อจัดการธุระเสร็จแม่เฒ่ากับช่ยทั้งสองก็เดินหายลับไปยังทางเดิมที่ผ่านมา ทิ้งร่างของราชาผมสีโลหิตให้รอยกระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้นเพียงคนเดียว

"กลับมาก่อน.. อย่าทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว!"

องค์ราชาเปล่งเสียงตะโกนเรียก มือข้างหนึ่งเอื้อมคว้าไปที่ด้านหน้าหาแม่เฒ่าที่เดินหายลับไปสุดลมหายใจของตน ฤทธิ์ของน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำให้แข้งขาของเขาอ่อนแรงจนยากจะคลานออดมาจากตรงนั้น ได้แต่นอนรอให้สักคนมาช่วยเขาออกไปจากที่ตรงนี้ด้วยความทรมาน

"อึกก.. บ้าเอ้ย! อ๊า!.."

มือสั่นๆเอื้อมมารูดรั้งแกนกายของตัวเองด้วยความทรมาน กลิ่นหอมประหลาดเย้ายวนโชยออกมาจากตัวของเขาลอยไปตามลมสู่หลืบมืดลึกเข้าไปด้านในยังที่ซ่อนเร้นกายของเทพแห่งป่า

ดวงตาสีทองเบิกโพลงจนสว่างเรืองรองเห็นเด่นชัดออกมาจากซอกเขา

สองมือขององค์ราชาพลันหยุดชะงักเมื่อได้แต่เข้ากับลูกไฟสีทองทั้งสอง เหมือนร่างกายคลายความทรมานที่มีไปชั่วครู่ ดวงตาพลันเลื่อนลอยเหมือนต้องมนต์สะกด

ร่างอัปลักษณ์ค่อยๆคืบคลานออกมาจากที่มืดอย่างช้าๆ แขนที่แห้งเหี่ยวเหมือนซากศพของสัตว์เท้ากิบนั้นยืดยาวออกมาจนถึงร่างที่นั่งนิ่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ก่อนจะไล้สัมผัสเบาๆตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงข้อเท้า

"งดงามยิ่ง... นานมากแล้วที่มนุษย์ไม่ได้ให้กำเนิดทายาทผมสีแดง"

เสียงแหบแห้งขององค์เทพเปล่งออกมาจากลำคอที่ตีบตันของตนเบาๆ เนื่องจากหลับไหลมานานนับร้อยปีร่างกายจึงเหี่ยวแห้งไร้เลือดแม้แต่หยดเดียว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันตายด้วยพรจากพระเจ้าที่ประทานให้แก่องค์เทพแห่งผืนป่า

จมูกของเขาสูดกลิ่นกายหอมไปจนสุดลมหายใจแล้วคำรามออกมาเบาๆด้วยความกระสัน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและเนื้อหนังให้กลับมาสมบูรณ์จำต้องเสพสังวาสกับเจ้าสาวที่ถูกเลือกแล้วสูบเอาพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงตนกับต้นไม้โดนรอบที่พำนัก

ดังจะเห็นได้ว่าร่องลึกกลางป่านี้ต้นไม้แห้งเหี่ยวไร้สัตว์อาศัยก็เพราะว่านานมากแล้วที่เจ้าสาวไม่เคยถูกส่งตัวมาที่นี่ ตัวท่านเทพเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดแต่นับว่ายังดีที่มนุษย์ไม่ลืมสิ่งที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาแล้วส่งผู้ที่ได้รับเลือกของตนมาหาเขาในวันที่กำลังหิวโซพอดิบพอดี แม้จะมีซากมนุษย์มากมายอันไร้ที่มาที่ไปกองอยู่หน้าปากทางให้ได้กัดกินแต่น่นก็ไม่ต่างจากน้ำหนึ่งหยดที่ตกลงบนผืนดินที่แตกระแหง มันไม่เคยช่วยดับความหิวกระหายให้ได้เลยทำได้เพียงบรรเทาให้ไม่ต้องทุกข์ทรมาร

เสียงคำรามที่เปล่งออกมาก่อนหน้าคือเสียงอันทุกข์ทรมารจสกความหิวกระหายนับร้อยๆปี หลังจากเปล่งออกมาดังถึงเพียงนั้นก็ถึงกับต้องหลับตาพักจนได้กลิ่นหอมจากร่างกายขององค์ราชามาปลุกเขาจากนิทราถึงได้ลืมตาตื่นเพื่อเพ่งมมองร่างอันเย้ายวนบนโขดหินนั้น

"กระสันอยากมากเลยใช่รึไม่... คลานเข้ามาในนี้สิแล้วข้าจะช่วยเจ้าเอง"

ดวงตาสีทองค่อยๆร่ายมนต์ล่อหลอกให้เหยื่อตัวน้อยหาร่างกายของตนเดินเข้าไปหลืบอันมืดมิดช้าง แต่ดูเหมือนว่าความหิวกระหายจะมีมากเกินต้านทาน ท่านเทพที่่หมดความอดทนจึงคว้าเข้าที่ลำตัวของร่างผมแดงเข้ามาด้านในทันที

"ยาปลุกกำหนัดออกฤทธิ์ได้ดี.. ข้าคงแทบจะไม่ต้องทำอะไรกับเจ้าให้เปลืองแรง"

ร่างขององค์ราชาถูกจับให้นอนพลิกคว่ำอยู่บนกองฟางที่มีเศษซากกระดูกมากมายกระจัดกระจายเต็มไปหมดต่างที่นอนขององค์เทพ

เขาสำรวจเหยื่อของตนพอสังเขปได้ก็คลายมนต์ออก พลันร่างขององค์ราชาก็กลับมาสั่นเทิ่มอีกครั้งด้วยความอยากที่ปะทุขึ้นมาจากช่องทางด้านหลัง

"อ...อ๊า.. ที่นี่ ที่ไหน มืด ข้ามองไม่เห็น"

สองมือขาวคลำไปทั่วพื้นรอบตัวด้วยความหวาดกลัวต่อความมืดมิดที่ได้พานพบ มันมืดเสียจนมองไม่เห็นอะไรรอบข้างเลยแต่กลับรู้สึกได้ว่ามาดวงตาคู่ใหญ่นั้นจ้องมองมาที่ตนอยู่ตลอดเวลา

"ถ้ารอดจากแกนกายข้าไปได้เจ้าก็จะรู้..."

ท่านเทพไม่รอช้าก็ชำแรกแกนกายอันเขื่องแหวกรูจีบสีชมพูให้ปริออกรับของตนเข้าไปจนฉีกขาด กลิ่นเลือดอันหอมหวานผสมกับกลิ่นหอมจากร่างขององค์ราชาฟุ้งจนขึ้นมาถึงจมูกของร่างยักษ์เจ้าของดวงตาสีทอง

"อ๊ากกก!!..."

ร่างผมแดงกรีดร้องจนสุดเสียงด้วยความเจ็บที่แทบจะทำให้สิ้นสติ ตัวเขาสั่นเทิ้มไปด้วยความกระสันที่เจ็บปวดและทรมาน เครื่องในเหมือนถูกดันขึ้นมาจนถึงอก ไม่นานนักก็ต้องอ้วกออกมาเป็นเลือดกองโตเพราะแกนกายที่สอดลึกเข้ามาได้ทำลายอวัยวะภายในไปบางส่วน

นับว่าเป็นโชคดีบนโชคร้ายที่ความมืดทำให้เขาไม่เห็นภาพนั้นจนสติหลุดไปเสียก่อนจึงยังพอประคองสติเอาไว้ได้โดยรับรู้เพียงแค่ว่าตนได้สำรอกเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาเท่านั้น

"ถ้าตายข้าก็จะกัดกินเจ้าไม่ให้เหลือซาก..แต่ถ้ารอดเจ้าจะเป็นเมียรักที่ข้าเอ็นดูที่สุด"

การเสพสังวาสอันแสนทุกข์ทรมานได้เริ่มต้นขึ้นมืออีกคู่ของท่านเทพที่คล้ายกับมนุษย์จับเอาเอวขององค์ราชาขยับรูดขึ้นลงตามความกระสันอยากของตนอย่างไร้ความปรานี ร่างที่รองรับความกระหายอันบ้าคลั่งนั้นไม่แม้แต่จะเปล่งเสียร้องออกมาได้เพราะความทรมานที่มี แต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำจากต้นไม้สีนิลยังออกฤทธิ์อยู่ความเจ็บที่แทบสิ้นสติจึงมาพร้อมกับความเสียวซ่านยากที่สติจะรองรับไหว

"อ่อก!!ๆๆๆ.. อั่ก..!! อึกกก!!"

ดวงตาขององค์ราชาเหลือกลอยจนแทบจะเห็นตาขาวปากอ้่กว้างน้ำลายและเลือดไหลย้อยจนดูไม่งาม

"กรรรร!!.."

แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สาแก่ใจท่านเทพเท่าไหร่นักจึงขยับมือเร็วขึ้นจนในที่สุดองค์ราชาก็ปลดปล่อยออกมาอย่างยากที่จะหยุด ทุกการสอดใส่แกนกายสีชมพูก็จะคายน้ำคาวออกมาไม่หยุดยั้งเอิ่งนองจนเต็มพื้นฟางเป็นวง

ในที่สุดแกนกายใหญ่ก็ปลดป่อย มันล้นออกมาจากช่องทางอันบอบช้ำตกลงพื้นปนกับของร่างผมแดงพร้อมๆกับเลือด และเมื่อแกนกายใหญ่ถอดถอนออกไปมันก็พวยพุ่งออกมาจากช่องทางที่กรวงโบ๋

"ตายรึยัง.."

เทพแห่งป่าที่ได้กินอาหารจนหนำใจใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติงเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าจะกะแรงผิดไปเสียหน่อยเพราะเบาๆของสิ่งยักษ์ใหญ่กับสิ่งที่เล็กกว่าไม่เหมือนกัน ร่างผมแดงจึงนอนพับไปกับพื้นทันที

"อ..โอ๊ย ฮึกก.. เจ็บข้าเจ็บ"

ดูเหมือนว่าจะยังไม่ตายเพราะร้างผมแดงนั้นยังไม่สิ้นสติดีเหมือนว่ายังมีแรงกระเสือกกระสนร้องบอกความเจ็บปวดได้อยู่

"...ไม่ตายรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ได้เป็นเมียข้า"

ร่างอัปลักษณ์ที่เคยแห้งเหี่ยวของตนพลันกลับมามีชีวิตชีวาทันทีหลังจากร่วมสังวาสกัน ท่านเทพจึงไม่รีรอที่จะรักษาบาดแผลอันสาหัสจากการร่วมรักให้กับร่างผมแดง ก่อนจะใช้พลังของตนเปลี่ยนร่างจริงเป็นร่างจำแลงของเทพรูปงามดวงตาสีทอง

"เจ้าจะได้รับชีวิตนิรันดร์เมื่อลืมตาตื่น ความเจ็บปวดใดๆก็ไม่อาจทำอันตรายได้ รึแม่แต่ความตายก็จะไม่ได้สัมผัส.. ต่อให้ร่างกายแห้งกรอบรึเหลือเพียงเถ้าธุลีเจ้าก็จะไม่ตายเช่นเดียวกันกับตัวข้า.. 'มานา'.."

สองแขนกำยำค่อยๆช้อนร่างที่แน่นิ่งไปเข้าสู่อ้อมกอด ก่อนจะบุกขึ้นยืนแล้วอุ้มองค์ราชานอนไปยังแท่นบรรทมของตนในร่างมนุษย์อย่างแผ่วเบา

"เดี๋ยวข้าจะกลับมาเสพสังวาสกับเจ้าต่อ.. แต่ตอนนี้ข้ามีหน้าที่ต้องทำ จงนอนรอข้าอย่าไปไหนแล้วข้าจะกลับมา..."

ท่านเทพพูดกับร่างที่นอนนิ่งอยู่คนเดียวแล้วค่อยๆหายตัวไปในทันทีที่พูดจบ ทิ้งให้องค์ราชาที่สิ้นสตินอนอยู่ในถ้ำท่ามกลางเศษซากกองกระดูกในอยู่ความมืดมิดเพียงลำพัง

 

บทที่2 ราชาคลั่ง

ก่อนพิธีถวายตัวหนึ่งเดือน 

ศักราชราชามานาแห่งชนเผ่ามายัน

3,200 ปี ก่อนคริสตกาล

.

.

.

ภายใต้ท้องพระโรงของราชวังหินศิลาแห่งชนเผ่ามายัน บนบัลลังก์หินสลักรูปวงแหวนพระจันทร์เสี้ยว

องค์ราชาผมสีโลหิตเจ้าของสมยานามราชาทรราชกำลังนั่งเอกเขนกท้าวคางอ่านราชกิจและราชสารหินสลักที่ได้รับมาจากพระราชเลขาจำนวนมากด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แม้จะอยู่ในท่วงท่าสบายขีดจากอินิยาบทที่กษัตริย์ควรมีแต่มานาก็กำลังใช้ความคิดและสมาธิไปกับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้น

ทุกสิ่งในอาณาจักรล้วนอยู่ภายใต้การปกครองที่มีราชาเป็นศูนย์กลางในแต่ละวันราชกิจที่มานาจะต้องสะสางจึงมีจำนวนมาก ศิลาหินสลักที่ถูกส่งมาในแต่ละวันล้วนสูงเลยหัวจากพื้นดินขึ้นไปในทุกๆวัน โดยมานาจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาสะสางศิลาหินเหล่านี้ให้หมดไปก่อนช่วงเย็นไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีเวลาส่วนตัวให้ได้ยืนทอดสายตามองหุบเหวทมิฬ

ราชเลขานั้นเข้มงวดและทำหน้าที่ของตนได้ดีเสียจนมานาอยสกจะปรัหารทิ้งหากแต่ถ้าเขาทำแบบนั้นก็ย่อมขสดแขนขาที่จะทำหน้าที่จีดดารตารางชีวิตอันยุ่งเหยิงให้ ส่วนสาเหตุที่ตนไม่แต่งตั้งขุนนางขึ้นมาช่วยเหลือนั่นก็เป็นเพราะบทเรียนที่ได้รับจากการปกครองของพระบิดา ที่เปิดโอกาสให้เหลือบไรพวกนี้อาศัยช่องว่างจากงานที่ราชามอบหมายกอบโกยผลผลิตและที่ดินของประชาชนมาเป็นของส่วนตน อีกทั้งยังขูดรีดภาษีและส่งส่วยช่วยเหลือกันเองภายในกลายเป็นหนอนที่ชอนไชทิ้งสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นให้กับเชื้อพระวงศ์

ขุนนางพวกนี้มักจะมีนิสัยชอบบ่มเพาะอำนาจสายใหญ่จนอยู่เหนือผู้ปกครองแล้วปกครองอยู่เบื้องหลังกอบโดยผลแระโยชน์ ชักใยราชวงศ์ให้เต้นไปตามเกมส์ของตน ทำให้ราชาและราชวงศ์ตกเป็นเบี้ยล่างในการกระจายอำนาจของขุนนางซึ่งมานารู้ดีและหาทางทำให้ขุนนางเหล่านี้หุบปากชะงักมาเป็นเวลากว่าห้าปี

งานของราชานั้นมีตั้งแต่การวางแผนในการทำการเกษตร ขยายเขตดินแดนและความเป็นอยู่ของประชาชนตลอดจนการก่อสร้างบ้านเรือนและชลประทาน

ศิลาหินสลักหลายร้อยแผ่นจะถูกจัดเตรียมตั้งแต่รุ่งสางรอองค์ราชามาอ่านและวางแผนหลวมไปถึงออกอำนาจอนุมัติ และในเมื่อมีวันที่ทำงานหนักองค์ราชาเองก็ต้องมีวันหยุด ในหนึ่งเดือนมานาจะได้หยุดทุกๆคืนเดือนดับเพื่อไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงบูชาเทพแห่งดวงจันทร์เพื่อให้คงความแข็งแกร่งและพละกำลังเอาไว้ แม้จะดูเหมือนไม่ใช่วันหยุดแต่การพักสมองและสายตาจากศิลาหินพวกนี้บ้างก็ทำให้ราชาหนุ่มผู้นี้ไม่มีสภาพที่เหี่ยวเฉาเช่นราชาพระองค์อื่นที่ทรงงานทุกวันจนฝืนสังขารแล้วเสื่อมสมรรถภาพในการทรงงานลงไปในที่สุด กลายเป็นเพียงตาแก่มากเมียที่นั่งกินนอนกินไปวันๆ

"วันนี้ที่ปากแม่น้ำดานุทางตอนเหนือของอาณาจักร เราได้รับรายงานจากนายกรมว่าพบรอยร้าวของเขื่อนและมีท่อนซุงบางส่วนโดนกระแสน้ำที่ไหลหลากเมื่อรุ่งสางเซาะออกไปจนเกิดช่องโหว่ ทำให้น้ำที่ไหลเข้ามาในเมืองหลวงเชี่ยวกรากกว่าปกติ เกรงว่าปล่อยไว้จะทำให้เกิดปัญหาในการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร..."

ราชเลขายืนอ่านศิลาหินจากกรมประมงให้องค์ราชาผมแดงฟังทีละบรรทัดจนคนฟังป้องปากหาว ก่อนที่มานาจะออกคำสั่งให้ขุนนางกรมประมงแก้ปัญหาตามที่ตนแจ้งโดยมีผู้จดบันทึกอีกสองคนทำหน้าที่สลักข้อความลงบนศิลาหิน

เมื่อกองงานราชกิจพร่องไปก็ว่าครึ่งก็มีผู้ส่งสารจากเมืองอื่นวิ่งเข้ามาในท้องพระโรงพร้อมด้วยแผ่นศิลาดินเผาส่งให้กับทหารเบื้องล่างที่รอรับอยู่ก่อนจะถูกส่งมายังราชเลขาที่ยืนรออ่าน

ตามปกติราชสารใดก็ตามที่ใช้ในราชวังบ้วนแต่ต้องเป็นศิลาหินเพื่อบ่งบอกถึงลำดับและให้เกียรติเพราะศิลาหินนั้นจัดเป็นของมีราคา การที่ส่งราชสารมาหาราชาอีกอาณาจักรด้วยศิลาดินเผาของคนทั่วไปคือการหยามเกียรติกันกลายๆนั่นเอง

ราชเลขามองราชสารในมือสลับกับมองสีพระพักตร์ของราชาเพื่อรอพระราชานุญาติ เมื่อมานาโบกมือเขาก็ลงมืออ่านทันที

แม้จะกำลังอ่านราชสารจากอาณาจักรที่เคยส่งขุนนางทั้งสองมาเยือนอยู่แต่มานาก็ยังสามารถวางรับฟังเนื้อหาของสารได้อย่างครบถ้วน

ฝ่ามือของเขาเอื้อมไปหยิบศิลาขาวออกมาแล้วขีดเขียนรายชื่อช่างทำเขื่อนไม้ในราชสำนักส่งกลับไปให้พระราชเลขาโดยไม่ได้คิดจะให้ความสำคัญกับราชสารประกาศสงครามที่ส่งมาโดยสิ้นเชิง

"นำไปให้ฟามุสถ้าเขื่อนยังซ่อมแซมไม่เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ให้จับนายช่างทั้งหมดไปประหารแล้วนำผู้อื่นมาทำแทน ข้าไม่อนุญาตให้หยุดพักจนกว่าจะเสร็จสิ้น"

"ขอรับ"

ศิลาหินอ่อนถูกยื่นไปหาคนรับใช้ที่ทำหน้าที่ส่งราชสารที่นั่งรออยู่เต็มท้องพระโรง

การใช้มนุษย์มาทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือจุดมุ่งหมายขององค์ราชา ไม่ว่างานที่ทำจะต่ำต้อยหรือมากน้อยเพียงใดขอเพียงแค่ไม่ใช่คนขี้เกียจต่อให้เอามูลสัตว์มาขายก็ถูกนับว่าเป็นงานที่น่ายกย่อง และผู้ที่ทำงานได้ดีจะได้มีชีวิตที่สงบสุข ในทางกลับกันมันผู้ใดที่ลักขโมยเกียจคร้านและทำงานไร้ประสิทธิภาพ ความตายเป็นผลตอบแทนเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับ

เมื่อสายตากวาดลงมาอ่านแผ่นศิลาตรงหน้าจนครบถ้วนคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม การสังหารทูตทั้งสองทำให้เกิดปัญหาเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับผลการตัดสินของอาณาจักรตน ปัญหาที่ตามมาจึงเป็นการประกาศทำสงคราม ดูท่าอาณาจักรแห่งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรเล็กๆโดยรอบจึงกล้ามากพอที่จะประกาศสงครามกับอาณาจักรของเขา

"หึ... หึๆ.. กล้าดีนี่ไอ้พวกตัวเสนียด"

แผ่นศิลาแผ่นนั้นถูกหยิบแล้วโยนไปให้ข้ารับใช้คนหนึ่งที่วิ่งเข้ามารับได้ทันก่อนที่แผ่นศิลาจะร่วงลงพื้น

"องค์ราชาจะทำเช่นไรขอรับ จะบุกไปตีเช่นทุกทีหรือไม่ขอรับ..."

ราชเลขาเหลือบมองข้ารับใช้คนนั้นแล้วกวักมือเรียกให้เข้ามายืนอยู่ข้างหลังตนเพื่อรอแผ่นศิลาขาวจากองค์ราชา

มานาส่ายหัวเขาเบื่อการทำสงครามกับพวกกระจอกที่ต้องรวมกันเป็นฝูงเต็มที การวิ่งเต้นไปตามที่พวกมันต้องการก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับตัวเองว่ามีสติปัญญาเท่ามันพวกนั้น แผ่นศิลาอื่นๆที่เหลืออยู่สองสามแผ่นตรงปลายเท้าถูกเตะจนกระเด็นตกลงไปอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าบัลลังก์ที่อยู่ปลายเท้า

มานาหมดอารมณ์จะอ่านราชกิจต่อแล้วและคร้านจะฟังปัญหาที่เล็กน้อยนี้เต็มทีจนเคาะนิ้วเข้ากับแท่นวางแขน

"เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจพวกมัน แค่ตั้งรับแล้วฆ่าให้หมดก็พอ.."

ราชเลขาพยักหน้ารับเห็นพ้องกับราชาของตนอย่างไร้ซึ่งข้อกังขา ด้วยความที่ทำงานรับใช้กันมานานความทระนงตนและฉลาดของราชาพระองค์นี้เขาได้เรียนรู้มันมาโดยตลอดและเลื่อมใสในความปราดเปรื่องนั้นไร้ซึ่งข้อกังขาโดยสิ้นเชิง หากองค์ราชาตรัสว่าชนะพวกเขาก็จะชนะและมันก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด เมื่อใดก็ตามที่มานาได้จับดาปนั่นหมายถึงหัวของศัตรูจะหลุดออกจากบ่าหล่นกระจายบนพื้นไม่ต่างจากผลไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น

"ส่งศิลาหินดำกลับไปหาพวกมัน ระบุไว้ด้วยว่าข้าราชามานาแห่งอาณาจักรมายันยินดีตั้งรับพวกกระจอก เชิญบุกกันมาให้เต็มที่.. แล้วอย่าหนีเหมือนหมาตอนที่ข้าก้าวขาลงสนามรบก็แล้วกัน"

"ขอรับ.."

แผ่นศิลาดำถูกสลักคำพูดขององค์ราชาอย่างครบถ้วนทุกคำไม่มีขสดตกบกพร่อง ทันทีที่ถ้อยคำถูกสลักจนเสร็จสิ้นศิลาหินก็ถูกส่งไปยังข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ ทันทีที่ได้รับศิลาหินมาข้ารับใช้ชายคนดังกล่าวรีบออกวิ่งด้วยฝีเท้าของตนให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาจากท้องพระโรงเพื่อนำสารประกาศยอมรับสงครามไปส่งให้กับประเทศศัตรูอย่างสุดชีวิต

 

ประชาชนเผ่ามายันแทบทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ภายในกำแพงที่สร้างจากหินสลักขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเป็นครึ่งวงกลม กำแพงนี้ตั้งตระหง่านมาตั้งแต่ยุคสมัยแรกของอาณาจักรมานานหลายร้อยปีโดยไม่บุบสลาย ไร้ซึ่งผู้ใดที่จะมีพละกำลังมากพอที่จะปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนนั้นหากไม่ใช่เหล่าทหารกล้าขององค์ราชาผมสีโลหิต

เมื่อครั้งที่บุกโจมตีเมืองพระองค์ยังทรงวิ่งไต่กำแพงเมืองขึ้นมาแล้วสังหารทหารสังเกตุการ์ณที่อยู่ใกล้จนสิ้นชีพไปหลายคนจนกลายเป็นที่เลื่องลือไม่ต่างจากนิทาน

เหล่าทหารกล้าจัดทัพเตรียมสังหารข้าศึกที่จะบุกมาโดยการแฝงตัวอยู่ตามต้นไม้และพื้นหญ้า กระบองกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่กับคันธนูพร้อมด้วยลูกศรอาบยาพิษคืออาวุทที่ใช้ในการสังหาร อาวุทที่ร้ายกาจคือมีดทรงตะขอที่มัดติดกับเชือกใช้สังหารศัตรูจากระยะไกล ผู้ที่ฉลาดที่สุดและมีกำลังมากที่สุดคือผู้ชนะในป่าที่อารยธรรมยังไม่พัฒนามากคือผู้ชนะ พวกเขาทุกคนล้วนมีอาวุทลับสุดท้ายเป็นดาปเสี้ยวจันทร์ที่องค์ราชาประทานให้ติดกายอยู่ทุกคนเมื่อทำลายศัตรูได้ครึ่งหนึ่งดาปเสี้ยวจันทร์จึงจะถูกนำออกมาใช้ เป็นการให้เกียรติองค์ราชาของอาณาจักรตน

ทหารของเผ่ามายันพวกนี้ไม่เคยกลัวตาย พวกเขาหวาดกลัวการบาดเจ็บที่ทำให้พิการมากกว่าการถูกสังหาร เมื่อใดก็ตามที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในกองทัพต่อไป

เหล่าทหารกล้าพวกนี้จึงมักจะสังหารตนเองทันทีถ้าได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นทำให้พิการหรืออยู่ในสภาวะที่ใกล้ตาย

พวกเขายืนประจันหน้าเป็นแนวกำแพงมนุษย์อยู่หน้าประตูเมือง โดยมีหน้าที่สำคัญในวันนี้ที่ได้รับจากองค์ราชาที่มีรับสั่งโดยตรงลงมาให้พวกเขาเตรียมตัวตั้งแต่รุ่งสาง หน้าที่ในวันนี้หาใช่การปกป้องกำแพงเมืองแต่เป็นการกวาดล้างศัตรูให้สิ้นสาก หากมันคนใดได้ก้าวขาพ้นประตูเมืองไป พวกเขาทุกคนจะถูกประหารเมื่อสงครามจบลงในทันทีและร่างของพวกเขาจะถูกเผาทิ้ง ไม่ได้รับเกียรติเป็นเครื่องบรรณาการแด่เทพแห่งผืนป่ากลายเป็นความอัปยศแก่ครอบครัวและเผ่า

เสียงฝ่าเท้าของข้าศึกใกล้เข้ามาทุกขณะ นายทหารที่อยู่บนยอดไม้เริ่มผิวปากออกคำสั่งทหารบนพื้นกว่าพันนายให้ออกวิ่งแทรกตัวลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า

เมื่อตั้งรับอยู่ในป่าที่คุ้นเคยพวกเขาย่อมได้เปรียบ อีกทั้งการเคลื่อนไหวที่ถูกฝึกมาก็ช่วยกลบเสียงเท้าและทำให้พรางตัวไปกับต้นไม้ได้เป็นอย่างดี

ทหารนายหนึ่งของกองทัพข้าศึกเป็นหน่วยกล้าตายเดินนำหน้ามาตามทางของป่ารกชัฏ

แม้จะอยู่ในช่วงกลางวันที่แสงแดดเริ่มส่องมาถึงป่าด้านล่าง แต่ด้วยสภาพทางที่ไม่อำนวยทำให้พวกเขาต้องย่างฝีเท้าให้แผ่วเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ข้าศึกนั้นรู้ตัว แต่กระนั้นทหารของดผ่ามายันเองกับแข็งแกร่งกว่า พวกเขาพรางตัวอยู่ทั่วป่าแถบนี้และซุ่มรอโจมตี ดฝ้ามองศัตรูผู้โง่เขลาค่อยๆเดินผ่านป่ามาทีละก้าวอย่างใจเย็น

ฟุบ!...

จนฝ่าเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายรายหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกองหญ้าและเถาวัลย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ที่หนาแน่นด้านหน้า กับดักตาข่ายที่เต็มไปด้วยมีดตะขอก็ยกตัวเขาขึ้นไปห้อยโหนอยู่กลางอากาศ ถูกเสียดแทงด้วยตะขอมากมายที่แทรกตัวอยู่ตามตาข่ายนั้นจนเลือดไหลอาบลงพื้นกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

นายทหารคนอื่นๆเองที่ตามหลังมาบางส่วนก็เหยียบพลาดโดนกับดักเช่นกัน

พวกมันที่เหลือแตกฮือแล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วเหมือนมดที่แตกรังหาทางเแาตัวรอดในทันที ซึ่งทางรอดเพียงทางเดียวทีาจะหนีพ้นจากกับดักเหล่านี้คือความเร็วเท่านั้น

ฝีเท้าเปล่าเปลือยวิ่งย่ำไปด้านหน้าเป็นทางตรงมุ่งหวังให้กองรบเหลือรอดให้มากที่สุดเพื่อเข้าโจมตีศัตรูของตน

แต่ความฝันของพวกเขาก็แตกสลายเมื่อทหารของมายันลูกขึ้นจากพื้นดินแล้วเงื้อมือขึ้นฟาดกระบองที่ทำจากกระดูกวัวป่าไล่สังหารเหล่าข้าศึกผู้ไม่รู้จักประมาณตนจนเสียงกรีดร้องแห่งความตายดังไปทั่วทั้งผืนป่า

มานานั่งมองภาพการต่อสู้ของทหารทั้งสองฝ่ายตรงจากยอดของหอคอยบนกำแพงเมือง จากบนนี้หากมองไปยังเบื้องหน้าใต้ต้ยไม้ใหญ่มนุษย์ทั่วไปอาจเห็นเพียงกิ่งไม้ใบหญ้าธรรมดาเท่านั้น แต่กับมานาที่ได้รับเพลงจากเทพแห่งจันทราที่เขาส่งมารถมองเข้าไปในผืนป่าได้อย่างทะลุปรุโปร่งประหนึ่งว่าเขากำลังนั่งดูการแสดงชุดหนึ่งชัดเจนไร้สิ่งกีดขวางได้อย่างเพลิดเพลิน

ในอุ้งมือเรียวสวยคือไวน์สีแดงที่ถูกบรรจุอยู่ภายในแก้วที่ทำจากทองคำ มานายกแก้วขึ้นจิบไวน์องุ่นหมักดื่มด่ำให้กับการสังหารหมู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข มุมปากประดับรอยยิ้มบางดูทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนโยนขึ้นหากแต่รอยยิ้มนั้นกลับถูกมอบให้แก่เหล่าซากศพของศัตรู

ด้านข้างของบัลลังก์ไม้มีราชเลขาที่กำลังยืนถือถาดทองคำสำหรับใส่ขนมปังแผ่นบางและเนื้อย่างเลิศรสอัรเป็นอาหารกลางวันขององค์ราชา

หากมีพระประสงค์ที่อยากจะเสวยอาหารกลางวีนท่ามกลางสนามรบ มันผู้ใดเล่าจะกล้าทัดทานองค์ราชาผู้นี้

ราชเลขาใช้ไม้คีบเนื้อย่างที่ถูกหั่นพอดีคำป้อนใส่ปากองค์ราชาที่นั่งรออยู่อย่างใจเย็น

"อื้ม~... วันนี้พ่อครัวทำเนื้อได้ดี อร่อยมากข้าฝากเจ้าไปชมเขาด้วยนะ"

พระองค์ดื่มด่ำไปกับเนื้อย่างที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยเลือดและสมุนไพรเสมือนว่าเนื้อคือเลือดและเนื้อของศัตรูที่พระองค์ได้ฆ่าฟัน

"การแสดงจากอาณาจักรอินคาข้าศึกของเราเป็นที่พอพระทัยหรือไม่ขอรับ"

มานาบิดขี้เกียจแล้วส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายอ้าปากงับขนมปังและเนื้อย่างเข้าปากเป็นคำสุดท้าย

"ตายง่ายกันไปเสียจนข้าคิดว่าสู้กับเด็กทารก.. แต่เหมือนจะบุกมากันเรื่อยๆ ทหารของเราแค่ห้าร้อยคนคจะงไม่พอสังหารสิ้น คงทำได้แค่ต้านทานแล้วมอบความพ่ายแพ้ให้กับพวกมัน... แต่ข้าไม่ได้ต้องการความพ่ายแพ้ข้าต้องการซากมนุษย์"

แก้วสีทองถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนไวน์สีแดงไหลรดลงมาตามลำคอสู่แผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนเปรอะเปื้อนสร้อยคอเหมือนกับเลือดทีาไหลชะโลม ดวงตาสีทองเหลือบไปเห็นทัพสนับสนุนของศัตรูวิ่งตรงมาทางกลุ่มที่กำลังฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดตรงกลางวง ทหารของเขาต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหนแต่กับข้าศึกที่มากันเหมือนมดแมลงพวกนี้ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญมานาจึงรู้สึกครั่นตัวอยากจะลงไปวิ่งเล่นให้หายเบื่อ

"ท่านราชาจะลงไปหรือขอรับ"

"ขอลงไปยืดเส้นยืดสายสักนิด.. จะได้เป็นการเตือนความจำเสียบ้างว่าข้าเป็นใคร"

มานาปาแก้วทิ้งลงพื้นแล้วหยิบดาปเสี้ยวจันทร์ขนาดใหญ่ที่วางพิงอยู่ด้านข้างของบัลลังก์ขึ้นมาถือกระชับแน่นอยู่ในมือทั้งสองข้าง

ดาปเสี้ยวจันทร์ที่ถูกตีให้โค้งงอจากดาปยาวมีขนาดเท่ากับแขนของมานาเพียงข้างหนึ่ง ดาปทั้งสองถูกลับคมทั้งสองด้านอย่างดีจนมันวาวสะท้อนแสงเมื่อพระอาทิตย์ส่องลงมาให้เห็นเส้นโค้งอันงดงามและน่าหวาดหวั่น

เสือดาวทั้งสองตัวที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างเริ่มพลิกตัวไปมาแล้วบิดขี้เกียจประหนึ่งแมวตัวโต พวกมันมันอ้าปากหาวจนเห็นเขี้ยวที่ยาวงุ้มอย่างน่ากลัวครบทุกซี่เมื่อเจ้านายส่งเสียงเรียกพวกมันก็รีบเดินเข้ามาหา พลางคลอเคลียใช้หัวทุยๆเบียดไปตามท่อนขาขององค์ราชาอย่างออดอ้อน

"หึๆ.. ไปเล่นสนุกกันเจ้าแมวโง่"

เจ้าของผมสีโลหิตแสยะยิ้มกว้างออกมาก่อนจะแล้ววิ่งนำเสือดาวทั้งสองตัวไต่ลงมาจากกำแพงเมืองมุ่งตรงเข้าไปยังป่าด้านหน้าที่กลายเป็นสนามรบด้วยพละกำลังและความเร็วที่เหนือมนุษย์

หนึ่งนายสองสัตว์เลี้ยงกระโจนเข้าไปกลางวงต่อสู้จนกลุ่มคนคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่หยุดชะงักทั้งสองฝ่าย สีหน้าของทหารมายันเต็มไปด้วยความปลื้มปีติที่ได้รับเกียรติร่วมรบไปกับราชา แตกต่างจากฝ่ายอินคาที่รับรู้ได้ถึงหายนะอันใหญ่หลวงที่แผ่ซ่านออกมาจากบุรุสตรงหน้าพวกเขา

ดาปเสี้ยวจันทร์ประกายคมสว่างวาบเสมือนสัญญาณเตือนแห่งความตาย

"องค์ราชา!"

ทหารมายันกู่ร้องเสียงดังสนั่นผิดกับแม่ทัพของข้าศึกที่กู่ร้องคำสั่งการ หากล้มราชามานาได้แม้จะยากเพียงใดแต่ก็คงไม่ยากเกินทหารหนึ่งพันนายจะต่อกร หากแต่เขากลับคิดผิด

"สังหารทรราชมานาให้สิ้น!"

เมื่อเห็นร่างของประมุขฝ่ายศัตรูกลางสนามรบชัดเจนแม่ทัพผู้โง่เขลาก็ตะโกนสั่งทหารอีกกลุ่มที่เหลือรอดให้วิ่งกรูเข้าไปรุมสังหารร่างผมแดงที่ยืนอยู่กลางวงสนามรบ

มานาไม่รอให้ใครพุ่งคมดาปเข้ามาสังหารตน ดาปเสี้ยวจันทร์ก็ถูกเหวี่ยงออกไปตัดผ่านลำคอของทหารสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆจนให้ขสดสบั้นร่วงหล่นลงพื้นหญ้าทั้งๆที่ร่างยังคงวิ่งอยู่

ด้วยความบ้าคลั่งของหยดเลือดที่พวยพุ่งสัญชาตญาณและความบ้าคลั่งอย่างแท้จริงก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ทหารทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกสังหารด้วยคมดาปจากร่างผมแดง บ้าคลั่ง ป่าเถื่อนและไร้มีแต่เลือดสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นชะโลมลงผืนหญ้าให้เจิ่งนองเหมือนบ่อเลือด

นายทหารยอดฝีมือของอินคาหลายสิบนายวิ่งกรูเข้ามาหาหวังใช้จำนวนเข้าข่มแต่ก็ถูกเสือดาวที่คอยปกป้องเจ้านายกระโจนใส่และวิ่งไล่ขย้ำ พวกมันใช้อุ้งมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมตะปบเข้าที่หัวของศัตรูถลกเอาหนังศีรษะหลุดให้สิ้นชีพ

มานากลายเป็นเสมือนปีศาจในคราบมนุษย์จากพรของเทพแห่งดวงจัทร์ที่เขาบูชา ราชาหนุ่มคำรามออกมาเหมือนสัตว์กระหายเลือดเข้าจู่โจมทุกคนในสนามรบ

ดาปเสี้ยวจัทร์ตวัดฟาดฟันเหล่าทหารอินคาและทหารของมายันที่หนีคมดาปไม่พ้น

ทหารมายันบางส่วนที่เคยผ่านสนามรบเคียงข้างองค์ราชามาก่อนรีบพาสหายของตนหนีความบ้าคลั่งอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ไปอยู่ยังแนวหลัง ทิ้งให้องค์ราชาที่ไร้สติกลายเป็นปีศาจร้ายไล่ฆ่าฟันข้าศึกที่พากันหนีตายอย่างน่าเวทนา

เสียงกรีดร้องและฉีกกระชากกับเสียงบดแตกของกระดูกกับเลือดที่พวยพุ่งจากคอที่ขาดของร่างไร้ชีวิตเป็นเสมือนสิ่งที่ย้ำเตือนถึงความกระหายในการฆ่าฟันของร่างผมสีโลหิต กลายเป็นฝันร้ายของทุกผู้ที่ได้พบเห็น

"อ๊ากก!"

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วยย!.."

ทหารที่หนีตายห่างออกไปจากรัศมีของคมดาปจะถูกจู่โจมด้วยเสือดาวตัวใหญ่ทั้งสองโตสิ้นสิ้นชีพ คมเขี้ยวของนักล่าพร้อมฉีกกระชากท่อนแขนและศรีษะให้แยกออกเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะหนีหรือหันหน้าเข้าสู้ก็มีแต่ความตายรออยู่ทหารฝ่ายศัตรูกว่าจะตระหนักรู้ถึงหายนะก็สายเกินกว่าจะก้าวขาหนีราชาผู้บ้าคลั่งได้พ้น

เลือดที่เปรอะไปตามร่างกายของมานาทำให้เขาดูน่ากลัวจนผู้ที่พบเห็นแทบสิ้นสติ มีเพียงดวงตาสีทองสว่างของเขาเท่านั้นที่ยังไม่กลายเป็นสีเลือด มงกุฎขนนกและเครื่องประดับทองคำทั่วร่างกายอายย้อมโลหิตจนกลายเป็นสีแดงฉานแล้วหยดลงบนพื้นเหมือนเขากำลังดื่มด่ำไปกับน้ำสีแดงเหล่านี้อย่างมีความสุข 

แม่ทัพของศัตรูถึงกับทรุดลงกับพื้นปัสสาวะราดอาบหว่างขาอย่างน่าสมเพช คลานหนีความตายที่เดินตรงเข้ามาหาพร้อมทั้งกรีดร้องเหมือนทารกจนแทบสิ้นสติ

"ไม่ๆๆๆ..!! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!"

ขาทั้งสองข้างเกร็งค้างด้วยความหวาดกลัว เขาใช้สองมือลากร่างของตนหนีปีศาจร้ายด้านหลังที่เดินเข้ามาหาอย่างใจเย็นเพราะขาเกร็งค้างก้าวไม่ออก

เมื่อการไล่ล่าเริ่มจะน่าเบื่อดาปเสี้ยวพระจันทร์ก็ถูกคว้างออกไปจนปักเข้ากลางหลังตรึงร่างที่กำลังหนีเอาติดกับพื้นดิน ไม่ต่างจาดแมลงที่ถูกยึดเอาไว้ด้วยหมุดกลางลำตัว

มานาปรายดวงตาสีทองมองไปที่แม่ทัพผู้น่าสมเพช เขายืนคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นสูงแกระทืบลงบนศีรษะที่หวีดร้องน่ารำคาญจนกะโหลกแหลกและคาเท้า ลูกตาหลุดออกมาจากเบ้าน่าสยดสยอง

เมื่อเหยื่อตายสนิทมานทก็เท้าออกแล้วผิวปากเรียกเสือดาวทั้งสองตัวให้กลับมายืนเคียงข้างกาย

องค์ราชานั่งยองๆลงกับพื้นแล้วใช้ดาปฟันแขนทั้งสองข้างของร่างที่ไร้ลมหายให้ขาดออกจากร่าง ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาส่งเข้าปากเสือดาวทั้งสองตัวเป็นรางวัลย์ตอบแทนให้กับความภักดีของพวกมัน

"รางวัลของพวกเจ้า.. ข้าให้ได้แค่แขนท่อนเดียวเพราะที่เหลือคือของท่านเทพเข้าใจรึไม่"

แม้พวกมันจะอยากได้เพิ่มแต่ก็ยอมรับท่อนแขนในปากแต่โดยดี เสือดาวทั้งสองยื้อแย่งท่อนแขนกันอยู่พักหนึ่งก็ได้สัดส่วนของท่อนเนื้อตามที่ต้องการ เมื่อนั้นเองที่พวกมันสงบนิ่งรอคอยเจ้านายให้เดินนำทาง

 

เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบมานาก็พาร่างที่อาบย้อมไปด้วยเลือดและเสือดาวคู่กายตัวเดินผ่านกองทัพทหารมายันที่รอดชีวิตเข้าไปในประตูเมือง

เหล่าทหารกล้าข่มความกลัวจนขาสั่นก่อนจะทรุดลงกับพื้นเมื่อองค์ราชาเดินผ่านไป

"ปีศาจ... ปีศาจชัดๆ"

ทหารใหม่ที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกถึงกับอ้วกแตกเมื่อพวกเขาต้องพบเจอกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวพาลให้สมองและจิตใจหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าในการรบครั้งต่อไปพวกเขาจะรอดหรือไม่เพราะถ้าไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของศัตรูก็คงเป็นดาปเสี้ยวจัทร์ที่บั่นลงมายังคอของตนเอง

 

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!