NovelToon NovelToon

เบญจมาศสีชมพู

#1

เสียงจ็อกๆ จอกแจ็ก ดังมาจากธารน้ำ ที่ส่งแสงระยิบระยับ เพราะต้องแสงจันทร์ในคืนเดินเพ็ญ มันไหลเรื่อยเอื่อยๆมา ถึงจะมีเสียงดังมาจากการกระทบของผิวน้ำกับซอกหินบ้าง แต่มันกลับทำให้รู้สึกว่า…ช่างสงบยิ่งนัก

ข้าชุนฮวา…ข้านั่งเล่นอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ดวงโตแสงนวลผ่อง ที่ลอยอยู่ด้านบนเหนือหัว ต้นท้อต้นใหญ่ที่ออกดอกผลิบานสะพรั่ง ให้ข้าได้มีที่นั่งแอบอิงฟังเสียงน้ำไหล ใกล้ๆมือข้านั้น มีทั้งอาหารเครื่องดื่มพร้อมสรรพ ให้ข้าได้นั่งชมทิวทัศน์นี้อย่างสบายใจ

แซกๆ… เอ๊ะ!…นั่นเสียงฝีเท้าของใครกัน ข้าไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด แค่ข้ากำลังสงสัยเท่านั้นเอง ข้าพลันยืนขึ้น กวาดสายตามองหาที่มาของเสียงนั้น

ชุนฮวา “นั่นใคร ใครอยู่ตรงนั้น “

ไม่ได้มีคำตอบใดๆ หลุดรอดออกมาจากเงาดำสูงใหญ่ ที่พอจะมองเห็นได้ลางๆนั้น ร่างนั้นเดินเข้ามาหาข้าอย่างช้าๆ เหมือนไม่ได้มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด เป็นข้าเองที่ต้องถอยออกไปด้านหลัง …เสียทันที

ชายแปลกหน้า ท่าทางเป็นกังวล “ ข้าขออภัย ข้าเป็นขันทีรับใช้ขอรับ”

ที่แท้ก็ขันทีนั้นเอง มันทำให้ความสงสัยของข้าได้คลายลงแต่ไม่ทั้งหมด เพราะด้วยที่แห่งนี้ แม้แต่ขันทีเองก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา

ชุนฮวา “ที่นี่…แม้แต่ขันที่ก็ห้ามเข้ามิใช่รึ”

ขันที ทำท่าเลิกลัก “ข้า…ข้า…แอบเข้ามาที่นี่เป็นประจำขอรับ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายที่ภายนอก ข้า…ข้ารู้ว่าห้ามเข้า แต่ที่นี่ไม่ค่อยมีใคร ข้าก็เลย…”

เป็นอย่างนี้นี่เอง ในวังแห่งนี้มีกฎระเบียบและวินัยที่เคร่งเครียด คงไม่แปลกที่จะเสาะหาสถานที่ปลีกวิเวก หลีกเลี่ยงจากผู้คนและกฎระเบียบพวกนั้น เช่นเดียวกันกับ…ข้า

ชุนฮวา “ข้าเข้าใจแล้ว แค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ข้าจะปล่อยไป แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก ข้าแจ้งองครักษ์วังแน่”

ขันทีทำท่าโล่งใจ “ขอบคุณ…ขอรับ”

ขันทีผู้นั้น ถอยหลังกลับไปในความมืด ทำที…ทำท่าทางจะออกไป ดูแล้วก็ช่างน่าสงสาร ข้าเองต่างหากมั้งที่มารบกวนเค้า เค้าคงจะอยู่ในวังมานานแล้ว แต่ตัวของข้าเพิ่งมาได้ไม่กี่วัน

ชุนฮวา “ไหนไหนเจ้าก็มาแล้ว มานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนข้าสิ”

ขันทีผู้นั้นทำท่ารีรอ เหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอยู่ แต่สุดท้ายเค้าก็ยอมก้าวเท้าเดินเข้ามา

ขันทีท่าทางลังเล “ข้านั่งได้จริงหรือขอรับ”

ฉันเอียงหน้าไปมองที่เค้า และพยักหน้าให้เป็นการให้อนุญาต เค้าจึงค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ ด้วยสายตาที่กำลังจ้องมองข้าอยู่ตลอดเวลา ข้าเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่ม เทใส่แก้วเล็กๆแล้ววางตรงหน้าเค้า พร้อมทั้ง…ใสจานขนมไปใกล้ๆด้วย

ขันทีท่าทางดีใจ “ขอบคุณขอรับ”

ฉันนั่งเงียบๆ มองสายน้ำมองจันทร์ไปตามประสา โดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรมากมาย ปล่อยให้ใจล่องลอยไปเรื่อยๆ

ขันที “ท่านหญิงเพิ่งจะเข้ามาในวังหรือขอรับ ข้าไม่คุ้นหน้าท่านเลย”

ชุนฮวา “ข้ามาเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนม”

ขันที “อ๊ะ…คืนนี้มีงานเลี้ยงนี่ขอรับ ทำไมท่านหญิงไม่ไปเข้าร่วมขอรับ”

ขันทีผู้นี้สะดุ้งด้วยความแปลกใจขึ้นมาเล็กๆ ที่ฉันไม่ได้ให้ความสนใจ กับงานเลี้ยงต้อนรับหญิงงาม ที่เข้ามาคัดตัวสักเท่าไร หึ…งานวันนี้…ถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวหญิงทุกนาง อย่างเป็นทางการต่อหน้าฮ่องเต้และบรรดาอ๋องทั้งหลาย ไม่แน่หากแม้นว่า ไม่ได้รับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินีในครั้งนี้ ก็อาจจะได้มีสิทธิ์เป็นชายาท่านอ๋อง ท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ หากเกิดต้องตาต้องใจกันขึ้นมา

ชุนฮวา “ข้าไม่สนใจ ข้าแค่อยากให้มันจบ และกลับบ้านเท่านั้น”

ขันทีคนนั้นทำหน้าเบ้ จนดวงตากับคิ้วย่นเข้าไปเกือบชนกัน ท่าทางของอาการแปลกใจเป็นแน่แท้

ขันที “ท่านหญิง ไม่ได้สนใจตำแหน่งจักรพรรดินีหรือขอรับ”

ชุนฮวา “ ใยข้าต้องสนใจ”

ข้าทำหน้านิ่งจริงจัง จ้องตาเขม็งแบบไม่กระพริบ ส่งสายตาจ้องมองไปที่ดวงตาของเค้า ต้องการฟังสิ่งที่เค้ากำลังคิดอยู่ในใจ

ขันที “ปกติท่านหญิงทุกท่านก็เป็นเช่นนั้น”

ชุนฮวา “ 555…แต่คงไม่ใช่ข้า ข้าเพียงอยากกลับบ้าน ข้า…อยากร่อนเร่พเนจร เป็นจิตรกรที่เดินทางวาดรูปไปในที่ต่างๆเท่านั้น”

ขันทีผู้นี้ แสดงท่าทางตกใจออกมาทางร่างกายจนเห็นได้ชัด ว่าเค้าไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดเยี่ยงนี้ของข้าเลย

ขันที “แต่ท่านเป็นผู้หญิงจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน สักวันท่านจะต้องแต่งงานขอรับ”

ชุนฮวา “ใครกำหนดไว้รึ”

ฉันถามพร้อมทั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองเค้าให้ลึกเข้าไปอีกในดวงตา เพื่อเค้นให้เค้าตอบคำถามข้าในสิ่งนี้ออกมา และเค้าคนนี้ กลับตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหมือนโดนปลูกฝั่งมาในสิ่งที่เค้าตอบเช่นกัน

ขันที “ตามจารีตประเพณีแล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ”

ชุนฮวา “555…ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเป็นหญิงนอกรีตแล้วกัน…555”

เค้าถึงกับหลุดเสียงแปลกๆออกมาจากปาก ด้วยความตกใจ ยืนยันทางสายตากลับมาว่า ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูดเป็นอย่างยิ่ง ขันทีผู้นี้ก็ไม่เลวเลย ทำให้ข้าหัวเราะได้ ทั้งที่อยู่ในวังแห่งนี้ ถือว่าคุ้มที่ให้เค้ามานั่งเป็นเพื่อนคุย เอาหละ…ถึงเวลาที่ฉันเองคงต้องกลับสักที นางกำนัลของข้า คงวิ่งเตลิดตามหาข้ากันวุ่นแล้วตอนนี้

ชุนฮวา “ข้าคงต้องกลับแล้ว หากเจ้าจะอยู่ต่อก็ตามสบาย ขนมและเครื่องดื่มข้ายกให้เจ้า ข้าขอตัวก่อน”

ขันที “ท่านหญิง ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรขอรับ เผื่อวันหลังได้เจอ ข้าจะได้ตอบแทนที่ท่าน ช่วยปกปิดเรื่องในวันนี้”

ชุนฮวา “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้หวังอะไรจากเจ้า หากมีวาสนาคงได้เจอกันใหม่ ข้าขอตัว”

เมื่อชุนฮวาคล้อยหลังไป ขันทีผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมคาย เนื้อตัวผิวพรรณ สะอาดสะอ้านหมดจน มองตามชุนฮวาด้วยอาการตาลอย ใบหน้าแดงก่ำร้อนผ่าว เค้าค่อยๆเอามือทาบที่หน้าอกตัวเอง ฝ่ามือที่หนาใหญ่นิ้วเรียวยาว รู้สึกสึกถึงการเต้นของหัวใจ ตุบๆตุบๆตุบๆ มันก็ทำให้เค้ารู้สึกได้ทันที ด้วยหัวใจที่โครมครามอยู่จากการได้สนทนาเมื่อครู่…เค้าชอบนาง

ขันที “หลีอิง…”

ทันใดนั้นร่างกายสูงใหญ่กำยำ แต่ทว่าแฝงไว้ด้วยความเร็วว่องไว องครักษ์ส่วนตัวที่คอยเฝ้าแอบตามเค้าอยู่ตลอด ปรากฏตัวขึ้น นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ทางด้านหลังของเค้า

ขันที “ ไปสืบมาว่านางเป็นใคร”

หลีอิง “พะยะค่ะ…ฝ่าบาท”

#2

ข้าชุนฮวา…ข้าปกคลุมร่างกาย คลุมหัวและคลุมครึ่งหน้า ด้วยชุดผ้าสีดำมืดสนิทอย่างมิดชิด ข้าแอบซ่อนเร้นแฝงกาย ไปในยามราตรี ร่อนเร่พเนจรยามวิกาลอยู่ลำพังผู้เดียว เพื่อติดตามเสาะหา ผู้ที่บุกเข้าปล้นบ้านเรือนประชานชนผู้มีอันจะกิน ในเมืองถือกำเนิดของข้า ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดนเข้าปล้นไปแล้วทั้งหมดสิบห้าหลังด้วยกัน ถือว่าเป็นโจรอุกฉกรรจ์เลยทีเดียว และเรื่องนี้ทำให้ท่านพ่อข้า ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ดูแลเมือง ต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อข้า ข้าจึงออกมาเฝ้าดูอยู่ทุกคืน และท่านพ่อข้าก็ได้รับรู้เรื่องที่ข้าทำด้วยเช่นกัน

ข้ากระโดดลอยตัวด้วยเสียงอันเงียบกริบ ไปตามหลังคาบ้านเรือน ไปเรื่อยๆในคืนจันทร์เสี้ยว เสียงดังโหกเหวกผิดปกติของผู้มีวิสัยชอบดื่มเหล้า ที่ข้าบังเอิญได้ยินขึ้นมา ข้าเงียบและหยุดกระโดดลงสักครู่ ใช่แล้ว…เสียงร้องไม่ใช่เพราะเมาเหล้าเป็นแน่แท้ ข้าหันซ้ายแลขวาหาต้นทางของเสียง แล้ววิ่งตามไปทันที

บัณฑิตผู้หนึ่งกำลังโดนนักเลงรีดไถเงิน อยู่ในทางเปลี่ยวและมืด มองเห็นได้แค่สลัวๆเท่านั้นเอง และพวกนักเลงมีทีท่าว่าจะเข้าทำร้ายเค้า…ข้าตัดสินใจอย่างทันท่วงที กระโดดลงจากหลังคาสูง มุ่งเป้าไปที่ หนึ่งในสามคนร้ายนี้ ถีบเข้าถูกตัวเต็มๆอย่างเต็มแรง จนล้มลงไปนอนกองกับพื้น อีกสองคนปรี่รี่เข้ามาหาข้าทันที ที่ได้เห็นเพื่อนล้มลงไป คนหนึ่งวิ่งเข้ามาเร็วเงื้อหมัดเข้าหวังต่อยให้ถูกข้า แต่ด้วยทักษะที่ข้าได้ร่ำเรียนมา ข้าจับแขนมันหักพับไปแล้ววนมาอยู่ด้านหลัง อีกคนไม่รอข้าเข้าจู่โจมด้วยแรงอย่างรวดเร็ว ข้าปล่อยมือจากคนแรกแล้วกระโดดสูงขึ้นพุ่งลงถีบทันที แล้วหันกลับอย่างไวจับสันดาบทุบเข้าไปใส่คนที่โดนหักพับแขน ทั้งสามคนล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า พวกมันคงเห็นว่าสู้ข้าไม่ได้เสียแล้ว จึงพากันวิ่งหนีออกไป ข้าจะตามจับเอาไปให้ท่านพ่อ ถึงจะเป็นเพียงแค่นักเลงธรรมดาแต่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลังได้

ทันใดนั้นที่ด้านหลังมันรั้งตึง เหมือนมีคนมาดึงเสื้อข้าเอาไว้ ข้าหันไปดูกะจะทุบให้เต็มแรง แต่สิ่งที่เห็น กลายเป็นมือใหญ่แต่ทำไมเหมือนมันบอบบาง ดูนุ่มนวลได้รูปทรง ผิวขาวหมดจด สิ่งนั้นที่มารั้งขึงชายเสื้อข้าไว้นั่นเอง

บัณฑิต “ ท่าน…ท่านอย่าเพิ่งไป ข้ากลัวเหลือเกิน”

ท่าทางหวาดกลัวตัวสั่นจนตัวม้วน ดูแล้วช่างอ่อนหวาน มันช่างดูพิกล…วิกลผิดปกติของวิสัยแห่งบุรุษไป ทำตาวิงวอน อ้อนวอนด้วยตาใสๆ จนทำข้าลำบากใจ แต่…มันช่างน่าเอ็นดู

บัณฑิต “ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยข้า เออ…”

บัณฑิตน้อยปล่อยเสื้อข้า ข้าหันกลับไปมองอย่างจริงจัง ด้วยสนใจในท่าทีอ่อนหวานของเค้า อยากรู้จะทำท่าทางอย่างไรต่อไป

บัณฑิต “เออ…อาจจะดูมากไป แต่…ข้ากลัวจริงๆ เออ…ท่านช่วยไปส่งข้าที่บ้านได้ไหม”

นี่คือสิ่งที่เค้าอยากจะพูด ด้วยการทำท่าทีอึกอักๆอยู่เมื่อครู่รึ ข้าพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่เพลิดเพลินในท่าทีอันชะมดชะม้อยของเค้าอยู่ จนรู้สึกตัว ตอนที่เค้าทำทางดีใจ จนข้าเผลอยิ้มในใจกับเค้าไปด้วย ข้าเลยจำเป็นต้องเดินตามเค้าไป

บัณฑิต “ท่านชื่ออะไร อ้อ…ข้าลืมไป ท่านคงไม่อยากให้ใครรู้ถึงปิดหน้าปิดตาแบบนี้ ไม่เป็นไรข้าไม่อยากรู้ก็ได้”

ปากสีชมพูเรียวงาม เปิดปากพูดได้อย่างไม่หยุด คำพูดเค้าลื่นไหลอย่างกับสายน้ำ แต่ข้ากลับไม่รำคาญสักนิดเดียว กลับรู้สึกสบายเย็นใจอย่างกับสายน้ำด้วยเช่นเดียวกัน

บัณฑิต “ข้าชื่อ ชงเหลิง…เอี้ยว ชงเหลิง ท่านอย่าลืมชื่อข้า หากวันไหนที่ข้าต้องพเนจรไปไกล ก็อยากมีสักหนึ่งคนที่จำชื่อข้าได้บ้าง…555”

เค้าหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าที่สดใส จนทำให้คนฟังอย่างข้าอารมณ์ดีไปด้วย แต่…ข้าก็ไม่เข้าใจ ต้องพเนจรด้วยเหตุใดกัน

ชงเหลิง “ข้าอยากเป็นจิตรกร อยากเดินทางพเนจรไปทั่วทุกแห่งหน และวาดรูปเก็บสถานที่ วาดรูปผู้คน ในทุกๆที่ที่ข้าเดินทางผ่านไป มันช่างมีอิสระเหลือเกินท่านว่าไหม แค่ข้าคิดข้าก็สุขขึ้นมาในหัวใจ”

ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่เพราะมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากเค้า มันเลยดูสวยงาม มีความรู้สึกอย่างที่เค้าพูดจริงๆ

ชงเหลิง “แต่ที่บ้านข้า กลับอยากให้เป็นทหารเหมือนอย่างท่านปู่ แต่ข้าไม่เก่งเลยเรื่องออกแรงออกกำลัง ท่านพ่อก็เลยอยากให้รับราชการอะไรก็ได้ ข้าก็เลยต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบในอีกไม่ช้า”

เค้าผลอยทำหน้าเศร้าขึ้นมาแว๊บหนึ่ง แต่มันก็เพียงพอ ที่จะทำให้ข้ารู้สึกไหวๆในใจ

ชงเหลิง “จริงๆข้าไม่ได้ชอบเลย แต่ข้าก็คิดในทางกลับกัน การออกเดินทาง ข้าเองก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นหางานทำเก็บเงินไว้ก่อน ก็ไม่เลว”

หึ…จากเรื่องที่ไม่ได้ชอบ กลับเปลี่ยนมาเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้ ช่างเป็นคนที่น่าชื่นชมนัก ชงเหลิงหยุดลงตรงบ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไม่ใหม่ไม่เก่าๆ แสดงถึงครอบครัวที่ฐานะปานกลาง คงเป็นครอบครัวอดีตทหารจริงๆ ในบ้านมีคนงานอยู่หลายคน

ชงเหลิง “ถึงบ้านข้าแล้ว ขอบคุณท่านมาก ถ้าวันหน้าท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร ก็มาหาข้าได้”

ชงเหลิงหันหน้ากำลังจะเข้าบ้าน แต่เค้าก็หันกลับมาใหม่

ชงเหลิง “ข้า…ไม่รู้จักท่านนี่ หากท่านกลับมาวันหน้า ข้าคงจำท่านไม่ได้ งั้นเอาอย่างนี้ ให้ท่านพูดว่า จิตรกรพเนจร เป็นคำลับของพวกเรา ข้าไปนะ ท่านก็กลับดีๆ”

เค้าวิ่งไปเคาะประตูบ้าน ข้ารีบกระโดดหลบผู้คนที่อาจจะเห็นข้า และข้าแอบดูเค้าจนปิดประตูบ้านลง ข้ายังไม่อยากกลับ ข้าเลยกระโดดเข้าไปในบ้านของเค้า ท่ามกลางความมืดและระวังฝีเท้าให้เงียบสงบ บ้านเค้าจัดไว้อย่างเรียบง่ายแต่เป็นระเบียบ ข้าวของล้วนแต่เป็นของเก่าที่ล้ำค่าจนข้าแอบตกใจเล็กๆ ข้าแอบตามชงเหลิงไป จนได้เห็นว่าเค้าเข้าห้องพักไป ข้ากระโดดขึ้นไปบนหลังคาบริเวณห้องพักเค้า แล้วเลื่อนแผ่นกระเบื้องแอบดู เค้าอยู่ลำพังเพียงคนเดียวในห้องพัก เค้ายังไม่ได้สมรสเป็นแน่ ภายในห้องมีแต่รูปวาดเต็มไปหมด จนข้าเองอยากได้รูปเค้าสักรูป ข้าวางแผ่นกระเบื้องกลับเข้าไปเช่นเดิม และกระโจนตัวลอยออกไปจากหลังคาบ้านเค้า มันแปลกที่ตัวข้ามันเบากว่าปกติ ข้ามานั่งหยุดพักที่หลังคาหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ผู้คนที่ชอบยามวิกาล ต่างเดินเข้าออกกันอย่างคับคั่งจอแจ สายลมผ่านมาทำให้ใจข้าเย็นสบายขึ้นมาเบาๆ ข้าเงยหน้าขึ้นไปมองจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า ทำไมวันนี้…มันสวยงามเหลือเกิน…

#3

แอ๊ด…เสียงเปิดประตูเพียงเบาๆดังขึ้นมา เพียงแค่นั้นก็สามารถปลุกข้าให้ตื่นขึ้น เปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นมาตอนสายโด่งของวันใหม่ ข้าอยากจะไปหานายกองเซียว ที่คงกำลังตรวจตราอยู่แถวตลาดกลางเมือง วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศอบอุ่น ตามทางที่ข้าผ่านเดิน ตามสุมทุมพุ่มไม้ ที่มีแสงแดดลอดผ่านใบไม้บางๆลงมา ข้าแหงนมองท้องฟ้าที่มันเป็นสีฟ้ามากกว่าทุกวัน ข้าเดินมาเรื่อยๆจนหยุดชะงักที่บึงบัวกำลังออกดอกชูช่ออย่างสวยงาม ซึ่งมันอยู่ตรงกันข้ามกับหน้าบ้าน…หลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไม่เก่าไม่ใหม่ และมันเป็นที่ที่ข้าต้องเดินผ่านไปอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจมองบ้านหลังนั้นเลย แต่เพราะข้าได้หยุดชมดอกบัวที่ล่อตาล่อใจ จึงทำให้ต้องมองเห็นอย่างช่วยไม่ได้ ข้าชมดอกบัวสวยงามเหล่านั้นอยู่สักครู่ แต่กลับเผลอไผลหันไปมองประตูหน้าบ้านเข้าจนได้ ข้าจึงตัดสินใจ…ว่าได้เวลาต้องเดินทางต่อไปได้แล้ว แต่ไม่ทันที่ข้าจะเดินออกไปได้ไกลจากริมบึง เสียงดังลักษณะของการเปิดอ้าประตูออก มันดังขึ้นจากด้านหลังข้า

คนงาน “เดินดีๆนะขอรับ คุณชาย”

ชงเหลิง “ขอบใจ ข้าไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ”

คนงาน “ขอรับ คุณชาย”

ข้าไม่ได้หันกลับไปมองแม้แต่น้อย เพียงแต่ก้าวเท้าเดินสั้นๆและเดินช้าลง จนชงเหลิงสามารถเดินทันข้าได้ และเดินเลยผ่านหน้าข้าไป ข้าเดินตามหลังเค้าอย่างเงียบๆนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใดๆออกมา สังเกตเพียงท่าทางที่เดินอย่างเรียบร้อย ระมัดระวังทุกท่วงท่าในการเยื้องย่างก้าว รูปร่างสูงโปร่งแต่อ้อนแอ่นสะโอดสะอง ข้าไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน มันทำให้ข้าละสายตาจากแผ่นหลังกว้างแต่บอบบางของเค้าไม่ได้จริงๆ สายลมพัดผ่านมาเย็นสบาย เส้นผมยาวสีดำมันของข้า มันพลิ้วปลิวตามสายลม ข้าต้องใช้มือมาสางออกไปให้พบสายตา ข้าเดินช้าลงอย่างผิดปกติด้วยรู้ตัว แต่เพราะชงเหลิงเป็นผู้ชายที่เดินช้ามากกว่าบุรุษอื่นโดยทั่วไป อาการเดินเหลี่ยวหน้าแลหลัง แต่ละท่าทีแปลเปลี่ยนท่าทาง ให้เป็นกริยาในทีท่าต่างๆ ดูเค้าต้องใช้เวลาเข้ามาช่วยเหลือสักหน่อย ราวกับผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งที่น่าจะมีอายุน้อยกว่าข้า

ชุนฮวา “โอ้ย…”

หญิงในตลาด “ข้าขอโทษที่ชนคุณหนูเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ชุนฮวา “ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”

หญิงในตลาด “ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณ”

ข้าโดนหญิงวัยกลางคนเดินชนกลางตลาด แต่ในแววตาของข้าก็ไม่ได้แลไปที่นางเลย เพราะข้ากำลังเพ่งมอง ท่าเงอะงะ ทำหน้าตาสงสัย ในเรื่องที่คนปกติทั่วไปเข้าใจมันได้โดยง่าย แต่สำหรับชงเหลิงต้องใช้เวลาพูดจาพาที อธิบายอยู่เป็นพักๆกว่าเค้าจะพยักหน้ารับรู้ว่าเข้าใจ หึๆ…หึๆ… ชงเหลิงเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องเขียนร้านหนึ่ง ข้าเองมองเห็นหน้าร้านที่ตกแต่งสวยงาม ข้าจึงเกิดสนใจเครื่องเขียนขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทันทีที่ข้าก้าวเข้าไปในร้าน เพียงหางตาที่พอแลเห็นได้ เค้ากำลังเลือกดูแผ่นกระดาษอยู่อย่างขมักเขม้น ข้ายืนนิ่งๆมองตรงไปเพียงด้านหน้าเท่านั้น คนขายก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับข้า เพื่อเปิดการเจรจาซื้อขายสินค้าอย่างไม่รอช้า

คนขาย “สวัสดีครับคุณหนู ต้องการกระดาษแบบไหนหรือขอรับ”

ข้าที่แยกความต่างของกระดาษไม่ออกเลย เพียงแค่รู้ว่ามันแข็งหรือนิ่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ชุนฮวา “ กระดาษสำหรับวาดภาพ”

คนขาย “ต้องนี่เลยขอรับ เป็นม้วนที่ดีที่สุดในร้านข้าเลยขอรับ ท่านลองจับเนื้อสัมผัสมันดูได้”

ชุนฮวา “ถ้าอย่างนั้น ก็เอาม้วนนี้แล้วกัน”

คนขาย “คุณหนูต้องการพูกันด้วยไหมขอรับ พู่กันขนเสือดาวอันนี้ คืนตัวได้ดีจึงควบคุมน้ำหนักได้ง่าย แต่มันค่อนข้างมีราคาสักหน่อยขอครับ”

ชุนฮวา “อืม…ก็ดี เอามาด้วยแล้วกัน”

ข้าคุยกันคนขายเครื่องเขียนอยู่ แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังชงเหลิงอยู่ตลอดเวลา ทั้งเสียงฝีเท้า เสียงเปิดกระดาษ เสียงก้าวท้าวเดินไปเดินมาตลอดเวลา

ชุนฮวา “ข้าขอกระดาษและพู่กัน ที่พอจะเขียนได้ในตอนนี้ ได้หรือไม่”

คนขายเครื่องเขียน “ได้…ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับคุณหนู”

ขณะที่คนขายเครื่องเขียน เข้าไปเอากระดาษกับพูกันตามที่ข้าขอ ข้ายังนิ่งทอดสายตาไปด้านหน้าเสมอ ไม่ได้มองชงเหลิงในระยะประชิดเลย ข้าตั้งใจฟังเสียงอากับกริยาของเค้ามากกว่า เมื่อคนขายเครื่องเขียน เอากระดาษมาให้ข้าแล้ว ข้าก็เขียนบางอย่างลงในกระดาษ แล้วส่งให้คนขาย คนขายพยักหน้าอย่างเข้าใจ ข้าจ่ายเงินและเพิ่มให้เค้านิดหน่อย แล้วจึงก้าวออกนอกประตูร้านมา ที่บริเวณใกล้ๆร้านขายเครื่องเขียนนั้น มีร้านขายเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมอยู่มากมาย ข้าก็เป็นหญิง ไม่แปลกที่ข้าจะวนเวียน เลือกซื้อข้าวของอยู่บริเวณใกล้ๆนั้น

ชงเหลิง “ข้าเอากระดาษม้วนนี้”

คนขาย “คือว่า…ตอนนี้ทางร้านข้าได้กระดาษมาใหม่ขอรับ พร้อมกับพู่กันที่เข้าชุดกัน แต่ข้ายังไม่อยากขาย กลัวว่าจะใช้ไม่ดีจริง ร้านข้าจะเสียชื่อเสียงเอาได้ คุณชายช่วยเอามันไปทดลองใช้ดูได้หรือไม่ขอรับ ถือว่าช่วยข้าน้อยหน่อยนะขอรับ”

ชงเหลิง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยเจอเลย แต่ให้ข้าเอาไปใช้ได้จริงๆหรือ”

คนขาย “หากว่าท่านไม่ค่อยสบายใจ ครั้งหน้าที่ท่านมา ช่วยชื้อของข้าให้มากกว่าเดิมก็ได้นี่นะขอรับ”

ชงเหลิง “งั้นหรือ…ก็ไม่เสียหายอะไร งั้นครั้งหน้าข้าจะซื้อเป็นสองเท่า ครั้งนี้ข้าขอรับมันเอาไว้แล้วกัน”

คนขาย “ขอบคุณมากครับคุณชาย”

ชงเหลิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาจากร้านแล้ว หึ…หึ และท่าทางเค้ากำลังจะกลับบ้าน ปล่อยเค้าเดินกลับไปคนเดียวแล้วกัน ข้าต้องแวะไปหานายกองเซียวหน่อยจึงจะกลับ ข้ามองตามหลังร่างนั้น ช่างสดใสไร้เดียงสา ไม่มีอะไรให้ผู้พบเห็นต้องไม่สบายใจ จนร่างเค้าเลือนหายไปท่ามกลางฝูงชนในที่สุด ข้าจึงลัดเลาะหลบหลีกผู้คนอย่างว่องไว…มุ่งหน้าไปหานายกองเซียวในทันที

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!