“หายนะ! โอ้!...ท่านจะเจอหายนะจากลูกสาวที่เกิดจากท่าน...คนแรก คนแรก ดวงดาวของนางแข็งแกร่งกว่าท่านนัก ดวงแข็งมากๆ นรกหวั่น สวรรค์เกรง เด่นดวงโจรแต่ถ้าได้เป็นใหญ่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่มีใครเทียบ นางจะเหยียบท่านขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างแน่นอน”
พ่อหมอเฒ่าบรรยายสิ่งที่เขาเห็นในนิมิตรให้กับชายหนุ่มวัยกลางคนที่กำลังนั่งขมวดคิ้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่
“พ่อหมอ เรื่องนี้พอจะมีทางแก้ไขหรือไม่”
ชายวัยกลางคนถามขึ้นด้วยท่าทางกระวนกระวายปนหงุดหงิดข้างในใจ
“พอมี...ก็คือทำให้นาง ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตั้งแต่อายุครบเก้าขวบ”
“เหลวไหลน่ะพ่อหมอ ท่านมาเดาสุ่มมั่วๆแบบนี้ไม่ได้ จะให้เด็กผู้หญิงขึ้นเป็นเจ้าเมืองเนี่ยนะ! หากข้าเชื่อท่าน...คงหายนะยิ่งกว่า”
โวยวายเสร็จชายวัยกลางคนก็เดินปึงปังออกจากร้านไป
“ก็ขึ้นอยู่ที่ท่านแล้วนะท่านเจ้าเมือง แต่ข้า...ไม่เคยพูดผิด นางจะกลับมาทวงสิ่งที่เป็นของนางไม่ว่าท่านจะดิ้นรนยังไง ขอให้ท่านโชคดี”
ชายแก่ยังคงพูดต่อแม้ว่าเขาจะเดินออกจากร้านไปแล้วก็ตาม
ณ ตรอกมืดๆข้างทาง ชายสวมชุดคลุมสีน้ำตาลเข้มท่าทีระแวดระวังบรรจงเคาะประตูไม้เก่าๆที่อยู่ลึกเข้าไปสุดทางเดิน ทันทีที่เสียงเคาะประตูจังหวะประหลาดจบลงประตูไม้เก่าก็ค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิดเผยให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นของหญิงชราที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันสดใสสวยงาม นางเอ่ยทักทายชายคนดังกล่าวก่อนจะถูกเขาดุด้วยกลัวโดนเปิดเผยตัวตน
“แล้วท่านมีอะไรให้หญิงแก่อย่างข้ารับใช้”
ตรอกที่ว่านี้ก็คือตรอกหญิงงามตามที่ชาวบ้านเรียกกัน เป็นสถานที่อันไม่พิศมัยสำหรับบรรดาเมียๆทั้งหลายเพราะมันเป็นที่ที่ผู้ชายเอาไว้ระบายความใคร่หรือใครจะเรียกว่าหอนางโรมก็ไม่ผิด
“ข้าต้องการหญิงงามที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอด เจ้ามีให้ข้าหรือไม่”
“มีสิ...มี ท่านต้องการกี่คนล่ะ...ท่านมือขวาเจ้าเมือง”
“หยุดเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว!”
ชายลึกลับขึ้นเสียงใส่หญิงชราด้วยความหัวเสียก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วเจรจาธุรกิจต่อ
“มีกี่คนเอาหมด”
“ได้เลยท่านเบรุส”
หญิงชรามีท่าทีท้าทายชายลึกลับด้วยนางต้องการแสดงให้เขาเห็นว่านางกำลังถือไพ่เหนือกว่าเพราะแค่เขามาเคาะประตูนางก็กุมความลับของเขาไว้หมดแล้ว
“ท่านต้องการให้ข้าส่งพวกนางไปที่คฤหาสน์หรือท่านจะมารับเอง?”
“ส่งไปคืนนี้เลยก่อนเช้ามืด แล้วก็อย่าปากมากด้วยล่ะ”
ชายลึกลับที่ชื่อว่าเบรุสส่งถุงผ้าหูรูดใบโตให้หญิงชราก่อนนางจะแหวกดูข้างในถุงที่อัดแน่นไปด้วยเหรียญทอง เมื่อเหรียญกระทบกับแสงไฟจากตะเกียงก็ส่องประกายแสงสีทองอร่ามออกมา
“ปากข้าจะสว่างหรือมืดก็อยู่ที่ทองของท่านว่าจะสว่างดับแสงจากปากข้าได้หรือไม่”
หญิงชราหยิบเหรียญทองขึ้นมาจากถุงและหมุนเล่นไปมาก่อนที่ชายลึกลับจะโยนถุงผ้าใบโตให้อีกหนึ่งใบ หญิงชรายิ้มเยาะอย่างพอใจก่อนจะโค้งให้ชายลึกลับหนึ่งที
“ยังมีอีกอย่าง...ข้าต้องการยักษ์แดง”
“ยักษ์แดง? แค่สองถุงยังไม่พอค่าเรียกเลยนะท่านเบรุส”
“ได้ๆ! ข้าให้ค่าเรียกสามถุง จบงานจ่ายอีกสามถุง”
หญิงชรายิ้มรับถุงผ้ามาเต็มอุ้งแขนก่อนจะเดินหายไปในความมืด ไม่นานนางก็กลับมาพร้อมชายร่างสูงใหญ่กำยำน่าขนลุก และอีกธุรกิจที่ดำมืดของตรอกหญิงงามแห่งนี้ก็คือการค้าและให้เช่ามนุษย์ ความหมายของยักษ์เขียวก็คือการเช่าคนไปทำงานสะอาดราคาไม่แพง อย่างเช่นการคุ้มกันเสบียง ส่วนยักษ์ดำคืองานสกปรกผิดกฎหมายและยักษ์แดงคืองานเปื้อนเลือด
“เชิญใช้งานได้ตามใจเลย...ท่านเบรุส”
ณ คฤหาสน์ไทกริส
“รายงานท่านเจ้าเมือง”
ชายลึกลับที่ตรอกหญิงงามกำลังคุกเข่าก้มหน้ารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มือกุมขมับ เขาโบกมือตอบกลับเป็นการบอกนัยๆว่าพูดมาได้เลย
“ได้ยักษ์แดงมาแล้ว ตอนนี้กำลังรอท่านออกคำสั่ง”
ชายวัยกลางคนมีท่าทีตื่นตัว เขาขึ้นนั่งตัวยืดตรงคิ้วขมวดหายใจถี่
“เชิญสั่ง”
“นางนอนหลับด้วยธูปกล่อมอยู่ในห้อง พาตัวนางไปที่ป่ารกร้างนอกเมือง...แล้วเอาหัวกลับมาให้ข้า”
“ท่านไม่ลองตัดสินใจใหม่ดูอีกทีเหรอครับ นี่โหดร้ายกับนายหญิงและคุณหนูน้อยมากเลยนะครับท่าน”
เบรุสมือขวาของเจ้าเมืองไทกริสพยายามเกลี่ยกล่อมเจ้านายของเขาให้กลับมาเดินทางให้ถูกต้องแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าเมืองไทกริสดูจะรักตำแหน่งและอำนาจของเขามากกว่าเมียและลูกแท้ๆในไส้
“ข้าตัดสินใจแล้ว...มันต้องดีที่สุด เจ้าไปเถอะเบรุส อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
“รับคำสั่งท่านเจ้าเมือง”
เบรุสพูดด้วยน้ำเสียงสุดเศร้า แววตาฉายความผิดหวังในตัวเจ้านายของเขาออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
“เบรุส...เดี๋ยว เรื่องหญิงงามที่ตั้งท้องล่ะ”
ชายวัยกลางคนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“มาถึงสักพักแล้วครับ จัดแจงที่พักชั่วคราวให้พวกนางเรียบร้อย รอรับคำสั่งจากท่านต่อไป”
“แม่เฒ่าเมลีส่งมากี่คน”
“เก้าคนครับท่าน”
“ยัยแก่นั่นกะจะให้ฉันเลี้ยงคนจนหมดตัวเลยรึไง ช่างเถอะ...พาหมอที่ไว้ใจได้มาตรวจครรภ์พวกนาง คนที่อายุน้อยที่สุดที่ท้องลูกชายและใกล้คลอดที่สุดให้สวมรอยเป็นนายหญิง ส่วนใครใกล้คลอดรองลงมาก็ให้ตำแหน่งเมียรองตามลำดับไป”
“รับคำสั่งท่านเจ้าเมือง”
เบรุสเดินคอตกออกมาหายักษ์แดงหรือคนที่เช่ามาจากตรอกหญิงงามและคุยรายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมายมา
“ข้าจะไม่ได้ไปกับเจ้าเพราะยังมีงานอีกอย่างที่ข้าต้องจัดการ เจ้าอย่าลืมว่าต้องนำหัวกลับมาเป็นหลักฐานให้ข้า ไม่งั้นทองอีกสามถุงเจ้าจะไม่ได้มัน”
ยักษ์แดงพยักหน้ารับรู้คำสั่งก่อนจะขึ้นรถม้าที่เบรุสจัดเตรียมไว้ให้ซึ่งข้างในมีร่างของหญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอดหรือก็คือนายหญิงแห่งเมืองไทกริสนอนอยู่ รถม้าเคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆจนลับหายไปจากสายตา ‘เบรุสผู้ทำบาปมหันต์’ เขาได้แต่คิดโทษตัวเองในใจที่ไม่สามารถช่วยทั้งสองชีวิตที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรได้เลย ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปข้างในคฤหาสน์และจัดการเรื่องที่เจ้าเมืองได้สั่งมาอีกเรื่องหนึ่ง เขาได้สั่งให้ทหารที่อยู่ใต้บังคับของเขาไปตามหมอมาแต่เวลานี้คงไม่มีที่ไหนเปิดอยู่ จู่ๆเขาก็ฉุดนึกขึ้นได้ว่าลูกสาวของตัวเองพอมีความรู้แพทย์อยู่บ้างอาจจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อยแต่นางไม่สามารถแสดงมันออกมาได้เพราะเมืองนี้ไม่มีใครเชื่อถือว่าผู้หญิงจะทำการใหญ่ได้ เขาจึงส่งคนไปตามลูกสาวของตัวเองมาซึ่งก็อยู่ภายในเขตคฤหาสน์นี้ ไม่นานนางก็มาถึงอย่างรีบร้อน
“พ่อตามข้าออกมากลางดึกแบบนี้มีเรื่องอะไรกันแน่ ข้าถามทหารตลอดทางเขาไม่ตอบอะไรข้าเลย”
นางมีท่าทางร้อนรนมากกว่าคนเป็นพ่อเสียอีก คนพ่อเลยอธิบายแค่เรื่องที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากนางและกำชับว่าอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง เมื่อนางรับปากเขาจึงพาไปเจอกับหญิงงามที่กำลังตั้งท้องทั้งเก้าคน
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
พอได้เห็นภาพตรงหน้าที่คนท้องแก่เก้าคนนั่งเรียงกัน นางก็ถึงกับยกสองมือขึ้นปิดปากพูดอะไรไม่ออกเพราะขนาดในโรงพยาบาลใหญ่ๆยังหาได้ยากที่จะมีคนท้องแก่พร้อมกันเยอะขนาดนี้
“เริ่มเลยเถอะ ทั้งหมดนี้ต้องจบลงก่อนเช้า”
ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นพรางแตะเบาๆที่ไหล่ลูกสาวเป็นการให้กำลังใจ
“ให้พ่อช่วยอะไรก็บอกนะ”
ยิ่งเขาเห็นสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองทำลงไปวันนี้เขายิ่งรู้สึกรักและอยากทำดีกับลูกให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พ่อคะ!!”
“ว่าไงลูก”
“มีสามคนกำลังจะคลอดแล้ว!”
“ห๊ะ!! อ้าว...แล้ว ต้องทำยังไงล่ะเนี่ย”
“ไปตามสาวใช้มา ยิ่งเยอะยิ่งดี แล้วให้ใครก็ได้ไปต้มน้ำกับเตรียมน้ำมะพร้าว”
หมอหญิงจำเป็นที่กำลังนั่งตัวสั่นด้วยไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังดีและต้องทำคลอดทีเดียวสามคนโดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำคลอดมาก่อน
“พ่อฟังให้ดีนะ หนูต้องการเชือกหรือด้ายดิบ เปลือกหอยกาบ ยอดพลับพลาหรือหญ้าใต้ใบก็ได้ ของใช้ทุกอย่างเอาไปต้มน้ำร้อนก่อนเอามาให้ด้วยนะ ส่วนสมุนไพรล้างน้ำธรรมดาก็พอ”
หญิงสาวออกคำสั่งอย่างคล่องแคล่วจนคนพ่อแอบตกใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ทันได้ครุ่นคิดอะไรมากมายเพราะเวลาไม่เคยคอยท่า ตอนนี้มีสามชีวิตน้อยๆกำลังฝากความหวังในการลืมตาดูโลกกับพวกเขาอยู่ คิดได้ดังนั้นก็รีบออกคำสั่งกับทหารใต้บังคับทันควัน ไม่นานสาวใช้กลุ่มหนึ่งก็กุลีกุจอกันเข้ามาช่วยหมอสาวจำเป็นในภารกิจทำคลอดครั้งนี้ เธอลูบๆคลำๆที่ท้องของหญิงงามคนหนึ่งที่คาดว่าจะได้คลอดคนแรกแน่ๆ หญิงงามคนนี้มีชื่อว่า 'เรอชารี่' เธอหน้าตาสะสวยผิวขาวนวลละเอียดที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเธอขบงับริมฝีปากเพื่อกลบกลืนความเจ็บปวด
"ไม่ไหวแล้ว...ช่วยฉันด้วยยย"
เธอร้องครวญครางอย่างน่าสงสารน้ำตารินอาบใบหน้าไหลเรอะลงมาถึงคอแต่เจ้าตัวไม่มีกะใจจะปาดเช็ดออกแต่อย่างใด สองมือกำผ้าที่มัดข้างเตียงไว้แน่น สองขาสองเท้าหงิกเกร็งจนสาวใช้ต้องมาช่วยจับให้เป็นปกติ
"น้ำมะพร้าว ขอน้ำมะพร้าวหน่อยยังไม่ได้อีกเหรอ!"
หมอหญิงส่งเสียงตะโกนเรียกหาของที่ตนขอไปเมื่อครู่ใหญ่ ไม่นานทหารก็หอบทลายมะพร้าวมาพวงใหญ่ก่อนจะเฉาะน้ำออกใส่ขันให้หมอหญิงสดๆตรงหน้าและเธอก็ได้ให้ทหารออกไปรอข้างนอกส่วนหน้าที่นี้ก็ให้สาวใช้ทำแทน ไม่รอช้าหมอหญิงใช้ผ้าชุบน้ำมะพร้าวโปะไปที่ท้องของเรอชารี่ให้น้ำมะพร้าวชุ่มไปทั่วและบรรจงนวดอย่างเบามือกระตุ้นให้ถุงน้ำคร่ำแตกเพื่อเร่งการคลอดให้เร็วขึ้นลดความเจ็บปวดให้แม่ท้องจะได้ไม่ต้องนอนเจ็บท้องเป็นเวลานาน สักพักก็มีเสียงดังโพละพร้อมกับน้ำที่ไหลออกมาจากช่องคลอดอย่างกับเขื่อนแตกก็ไม่ปาน หมอหญิงจึงตรวจดูที่ปากมดลูกปรากฎว่ามันเปิดกว้างมากพอสำหรับเด็กน้อยที่จะได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว เธอหันไปขอความช่วยเหลือจากสาวใช้ทั้ง4คนให้ช่วยจับแม่ท้องให้อยู่ในท่าที่สามารถคลอดได้สะดวกและปลอดภัย
"อย่าเพิ่งเบ่งนะ รอให้ถึงจังหวะที่รู้สึกว่าอยากเบ่งก่อน"
หมอหญิงจำเป็นคัดท้องเรอชารี่อยู่สองสามทีจนแน่ใจแล้วว่าเด็กเอาหัวลง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เรอชารี่พร้อมจะเบ่งแล้ว
"สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วฮึบไว้ ปิดปากให้สนิทห้ามร้องแล้วเบ่งเหมือนถ่ายหนัก เบ่งออกมาให้สุดลม แต่ถ้าเหมือนจะหมดลมให้เริ่มหายใจก่อนอย่าฝืน รอลมเบ่งรอบใหม่"
"โอเค"
หญิงงามเรอชารี่สูดหายใจเข้าตามที่หมอหญิงบอกและปิดปากเบ่งตามที่เธอกำชับไว้แบบเปะๆ เบ่งอยู่พักใหญ่เรอชารี่ก็เปิดปากหายใจ แล้วก็เบ่งคลอดใหม่อีกรอบ ทำซ้ำวนอยู่หลายรอบเด็กก็ไม่หลุดสักทีจนหมอหญิงต้องร้องหาตัวช่วย
"แอนาไปเอาใบมะนาวแช่ในน้ำอุ่นมาให้ที ด่วนๆเลยนะ"
สาวใช้พยักหน้ารับคำก่อนจะพุ่งตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆหญิงงามที่ใกล้คลอดอีกสองคนก็ร้องโอดครวญขึ้นมาพร้อมกัน หมอหญิงจำเป็นจึงต้องผละออกจากเรอชารี่ไปดูอาการของทั้งสองคน ตอนนี้บรรยากาศในห้องค่อนข้างจะตึงเครียดเสียงร้องครวญครางดังระงมไปทั่วบริเวณ ท่านเจ้าเมืองที่ได้รับรายงานจากเบรุสก็รีบเร่งมายังห้องพักดังกล่าวแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยังบริเวณด้านในได้เนื่องจากหมอหญิงได้ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนช่วยเหลือเข้าไปวุ่นวายด้านในนอกจากจะเกะกะแล้วยังจะทำให้สถานที่สกปรกเป็นอันตรายต่อทารกแรกเกิดที่สามารถรับเชื้อโรคได้ง่าย
“เด็กขวางท้องอยู่เสี่ยงมดลูดแตกต้องผ่าอย่างเดียวไม่งั้นไม่รอดทั้งแม่ทั้งลูก ดาน่าไปเอาเหล้าแรงๆกับมีดที่ห้องฉันมาให้หน่อย เออแล้วก็ธูปกล่อมด้วยนะ”
“เอ่อ...คือว่า”
“ว่าอะไร เร็วสิไม่มีเวลาแล้วนะ”
“ธูปกล่อมหมดค่ะท่านเบรามี่”
“หมดเหรอ?! ช่างเถอะงั้นเอาเหล้ามาเยอะๆหน่อยแล้วกัน เร็วๆด้วยนะ”
เมื่อสาวใช้ออกไปจากห้องได้สักพักหมอหญิงก็หวนกลับมาคิดว่าธูปกล่อมดอกนึงก็หลับได้ทั้งคืน แล้วคลังเจ้าเมืองมีเหรอจะเก็บไว้แค่ดอกสองดอก แต่ไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นเสียงร้องของหญิงท้องแก่ก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่เบรุสนำของที่หมอหญิงได้ร้องขอไปก่อนหน้านี้เข้ามาให้
“พ่อ ข้ามีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย”
“ว่ามาเลยลูก”
“พ่อถามท่านเจ้าเมืองให้ข้าทีสิ ว่าเขาจะเอาใครไว้”
“หมายความว่ายังไง”
“การคลอดครั้งนี้ไม่ปกติ เด็กไม่ยอมกลับหัว อาจจะต้องเลือกว่าจะให้แม่หรือลูกรอด”
“ท่านเจ้าเมืองเลือกเด็กแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ ลูกไม่ต้องกังวลหรอกนะแค่ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว ที่เหลือให้พ่อจัดการเอง”
จบบทสนทนาพ่อลูกหมอหญิงก็ไปตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ส่วนเบรุสก็ไปคุยกับท่านเจ้าเมืองเรื่องหญิงงามที่อาจจะตายตอนคลอดลูกให้กับเจ้าเมือง
“ว่ายังไงบ้างเบรุส มีใครคลอดลูกชายให้ข้าแล้วรึยัง”
เจ้าเมืองรุดเข้าถามมือขวาของเขาอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นว่าเบรุสเดินออกมาจากห้องแล้ว
“ยังครับท่าน แต่ข้ามีเรื่องอยากเสนอให้ท่านลองคิดดูสักหน่อย”
“ว่ามาสิเบรุส มีอะไรหรือ”
“หญิงงามเก้าคน ข้าน้อยคิดว่าเยอะเกินไปสำหรับเงินเดือนที่ท่านต้องจ่ายในแต่ละเดือนแต่ละปี ไม่สู้จ่ายเงินให้ก้อนหนึ่งและให้พวกนางทำสัญญายกลูกให้ท่านแล้วก็ปล่อยให้พวกนางเป็นอิสระ ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากได้ฟังดังนั้นเจ้าเมืองก็ถึงกับครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“สมแล้วที่ข้าไว้ใจเลือกให้เจ้าเป็นมือขวา...ไม่เสียแรง ความคิดดีทีเดียวนะเบรุสข้าเห็นด้วยมาก งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เลือกหญิงงามคนที่ให้กำเนิดลูกชายไว้เพียงคนเดียวและแจ้งเกิดเด็กทั้งหมดให้เป็นลูกของข้ากับนาง ส่วนหญิงงามที่เหลือเมื่อไรที่คลอดลูกแล้วก็ให้เงินไปก้อนหนึ่งแลกกับให้พวกนางทำสัญญายกลูกให้ข้า จัดการให้เรียบร้อยล่ะ แล้วก็...ถ้าลูกชายของข้าคลอดแล้วรีบบอกข้าเลยนะ ข้าขอไปพักผ่อนก่อน...วันนี้เหนื่อยจริงๆ”
ว่าจบก็เดินมือไขว้หลังจากไป เบรุสที่โค้งรับคำสั่งเมื่อครู่ก็รีบดึงสติกลับมาอยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบัน ไม่นานเกินอึดใจเสียงเด็กร้องก็ดังขึ้นเป็นสัญญานบอกว่าชีวิตน้อยๆได้ออกลืมตาดูโลกแล้วประตูห้องก็ยังไม่ถูกเปิดออกแต่อย่างใด ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างนอกทั้งลุ้นและตื่นเต้นปนสงสัยไปตามๆกัน ครู่ใหญ่ก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้นอีกครั้งทำเอากลุ่มคนที่รออยู่ด้านนอกส่งเสียงฮือฮากันอีกระลอก ทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกทุกคนลุ้นในใจว่าจะมีอะไรออกมาปรากฎเป็นสาวใช้แอนาที่ออกมาส่งข้าวให้กับเบรุสว่าหญิงงามทั้งหมดตอนนี้ปวดท้องใกล้คลอดพร้อมกันหมดเลย
“เป็นไปได้ยัง?! เกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่”
“ท่านเบรามี่สอบถามแม่นางทั้งหมดแล้วได้ความว่า...ก่อนออกมาแม่เฒ่าเมลีด้าให้พวกนางดื่มน้ำคนละแก้วอ้างว่าเป็นการอวยพรให้พวกนางโชคดี คาดว่าน้ำที่พวกนางกินจะเป็นยาเร่งคลอดค่ะ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ เบรามี่คนเดียวไม่ไหวแน่ๆ”
“ท่านเบรามี่ได้สอนสาวใช้อาวุโสทำคลอดบ้างแล้วพวกนางพอแบ่งเบาได้อยู่ค่ะ แล้วก็ให้ฉันออกมาบอกท่านเบรุสว่าขอน้ำมะพร้าวและสมุนไพรที่เคยขอไปตอนแรกอีกรอบเพิ่มเถาสะบ้าแห้งรมควันใส่เตายกมาให้ทั้งเตาเลยด้วยค่ะ”
“เข้าใจแล้วๆ เอ้าพวกเจ้าได้ยินแล้วไปจัดการหามาให้ได้โดยเร็วที่สุดเลยนะ ว่าแต่เด็กเป็นยังไงบ้างปลอดภัยหรือไม่ที่ร้องนั่นชายหรือหญิงล่ะ”
“เรื่องที่ข้ากำลังจะบอกก็คือ เด็กที่คลอดออกมาเพศชายหมดเลยค่ะ”
“โอ้พระเจ้า”
“ทั้งหมดสี่คนค่ะ”
“อะไรนะ?!”
“ฝาแฝดสองคนค่ะ”
“โอ้ ยังมีเรื่องให้ฉันตกใจมากกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย”
“แม่ของเด็กแฝดเสียชีวิตค่ะ”
“?!!”
“นางทนความเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปตั้งแต่ท่านเบรามี่ยังไม่ได้ทำคลอดให้นาง โชคดีที่ท่านเบรามี่ผ่าท้องเอาเด็กออกมาได้ทันเวลาไม่งั้นคงขาดอากาศตายตามแม่ไปแล้วค่ะ”
“พระเจ้าอวยพรเด็กน้อย แล้วตอนนี้เด็กล่ะ อยู่ไหน?”
“เด็กที่คลอดออกมาแม่นมเอาไปดูแลแล้วค่ะ”
“โอเค เรื่องนี้ห้ามเอาไปพูดกับใครที่ไหนนะ ข้าจะไปรายงานท่านเจ้าเมือง ส่วนเรื่องเด็กคนไหนเกิดก่อนเกิดหลังข้าจะเป็นคนบอกท่านเจ้าเมืองเอง”
“รับทราบท่านมือขวาเจ้าเมือง”
ตกปากรับคำเสร็จ สาวใช้แอนาก็กลับเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ทิ้งคนข้างนอกให้หน้านิ่วคิ้วขมวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพรางคิดในใจ ‘วันนี้จะมีเรื่องดีๆให้พักสมองบ้างไม่ได้เลยรึไงกันนะ’ ถ้าเด็กน้อยทั้งสี่คนนั้นโตมาไม่มีความทะเยอทยานอยากครองตำแหน่งเจ้าเมืองมันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดมันตรงกันข้ามหายนะนองเลือดก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“ท่านเจ้าเมือง! เด็กคลอดแล้วครับท่าน!”
เบรุสเคาะประตูก่อนจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านเจ้าเมืองฟัง แล้วประตูก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองรีบร้อนออกมาเปิดประตูรับข่าวดีด้วยตัวเองอย่างหน้าตาตื่น
“ลูกชายข้าอยู่ไหน?!”
“แม่นมดูแลอยู่ครับท่าน”
“ไปเร็ว พาข้าไปดูหน้าลูกชายข้าเร็ว”
เจ้าเมืองเดินไปหัวเราะไปอย่างคนอารมณ์ดี ยิ่งได้เห็นเด็กชายที่นอนเรียงกันอยู่ทั้งหมดสี่คนก็ยิ่งหัวเราะและยิ้มกว้างมากกว่าเดิมหลายเท่า
“เด็กทั้งสี่คนนี้คลอดออกมาในเวลาเดียวกันแถมยังมีฝาแฝดอีกสองคน เรื่องแต่งตั้งผู้สืบทอดท่านคิดไว้ยังไงบ้างท่านเจ้าเมือง”
“อื้มมม...นั่นน่ะสินะ ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ แล้วเจ้ามีความคิดอะไรดีๆบ้างมั้ยล่ะเบรุส”
เจ้าเมืองยืนกอดอกมองเด็กทั้งสี่คนสลับกันไปมา
“ด้วยตัวท่านตอนนี้ก็ยังหนุ่มยังแน่น ข้าคิดว่ารอให้ทายาททั้งหมดเติบโตจนได้รับพลังธาตุกันทุกคนก่อน ถึงเวลานั้นทายาทคนไหนความสามารถโดดเด่นมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งท่านค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
“ดี! ดีจริงๆที่เจ้ามาเป็นคนสนิทของข้า ไม่อยากจะคิดเลยถ้าเจ้ากลายไปเป็นศัตรูจะน่ากลัวแค่ไหน
พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปบอกคนข่าวนะว่าให้ปล่อยข่าวเรื่องลูกชายของข้า บอกหนังสือพิมพ์ให้ตีข่าวทุกเมืองกระจายออกไปให้เยอะๆ ไกลถึงเมืองหลวงได้ยิ่งดี!”
พูดจบเขาก็หัวเราะอย่างพอใจพรางลูบสันจมูกของตัวเองไปมา
“ข้าน้อยอยากรบกวนท่านเจ้าเมือง มอบชื่อให้เด็กน้อยทั้งสิบคนด้วยครับท่าน”
เบรุสก้มโค้งรอรับคำสั่งท่านเจ้าเมือง
“ห๊ะ?! อะไรนะ...สิบคนเหรอ?”
“ครับท่าน หญิงงามทั้งเก้าคนปวดท้องคลอดพร้อมกัน สาเหตุจากแม่เฒ่าเมลีเอายาเร่งคลอดให้พวกนางกินก่อนมาที่นี่ครับ”
“ให้ตายเถอะยัยแม่มดเฒ่านั่น! ร้ายกาจนัก”
“แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ท่านจะได้เสียเงินกระจายข่าวทีเดียวและคาดว่าข่าวนี้จะเป็นที่กล่าวขานกันไปอีกนาน”
“ก็ได้”
ชายวัยกลางคนรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“คนแรกจากขวามือ ลูกชายของหญิงงามนามว่าเรอชารี่ นางคลอดคนแรกข้าเลยเลือกให้นางเป็นนายหญิงครับท่าน”
“งั้นให้ชื่อว่าริมเมล”
แม่นมที่ยืนอยู่ด้วยกันไม่ไกลก้มหน้าก้มตาจดชื่อที่เจ้าเมืองตั้งให้เด็กน้อยทั้งสี่อย่างใจจดใจจ่อ
“คนต่อมาลูกชายของหญิงงามนามว่าเดราจี้ ข้าได้แอบไปยื่นข้อเสนอให้นางอย่างลับๆแล้วแต่นางไม่ตกลงครับท่าน”
“ช่างเถอะ...ไม่ก็ไม่ คนเดียวไม่ใช่ปัญหา คนนี้ให้ชื่อว่าเดราจ”
“เด็กแฝดสองคนนี้นายหญิงเรอชารี่ออกปากจะรับเลี้ยงไว้เองครับท่าน”
“ก็ดี จะได้เบาภาระแม่นมด้วยเหมือนกัน ชื่อว่าอะไรดีนะ”
“อารอนกับอีรอน ดีมั้ยคะนายท่าน”
แม่นมที่ยืนเงียบอยู่นานเสนอความคิด
“เบรุส เจ้าว่าดีหรือไม่”
“เป็นชื่อที่ดีที่เดียวนายท่าน”
“เอาตามเจ้าว่า ไหนพาข้าไปดูอีกหกคนหน่อยสิ”
“ตอนนี้เบรามี่กำลังทำคลอดให้อยู่ครับท่าน”
“ทำไมเป็นลูกสาวของเจ้าล่ะ หมอทำคลอดเก่งๆไปไหนหมด”
“เนื่องจากตอนนี้เมืองหลวงมีการคัดเลือกหมอเพื่อเข้าประจำที่วัง หมอเก่งๆที่พอจะเรียกออกมากลางดึกได้จึงไม่มีเหลืออยู่เลยครับท่าน”
“ให้ตายสิน่า ถ้าเรื่องคืนนี้ผ่านไปด้วยดี ข้าจะตัดเงินทุนหมอทุกคนที่ไปคัดเลือกที่เมืองหลวงแล้วใช้ตั้งโรงพยาบาลให้ลูกสาวของเจ้าดูแลเปิดให้ชาวบ้านมาคลอดลูกแบบไม่คิดเงิน”
“งั้นก็แปลว่าท่านจะให้ตำแหน่งกับเบรามี่ด้วยหรือครับท่าน”
“ใช่แล้ว! ข้าจะให้ตำแหน่งกับผู้หญิงที่มีความดีความชอบ”
“ช่างใจกว้างยิ่งนักท่านเจ้าเมืองไทกริส”
หลังจากรออยู่พักใหญ่สาวใช้ก็ออกมาแจ้งข่าวกับชายมือขวาเจ้าเมืองว่าการทำคลอดจบลงด้วยดีไม่มีปัญหาพร้อมกับแจ้งอีกว่าหญิงงามทั้งหกคนยอมรับข้อเสนอแล้ว
“ท่านเบรามี่บอกว่าให้พวกนางพักฟื้นอีกสักสองสามวันก็ออกเดินทางได้”
“ขอบใจมากเจ้าไปเถอะ”
เบรุสพูดกับสาวใช้จบก็หันมารายงานสถานการณ์กับเจ้าเมืองอย่างละเอียด ไม่นานแม่นมก็มาตามให้ไปดูเด็กทารกทั้งหกก่อนจะขอให้เจ้าเมืองตั้งชื่อให้กับพวกเขาจนมาถึงทารกน้อยคนสุดท้าย
“คือว่าท่านเจ้าเมือง”
“มีอะไร...อย่าอ้ำอึ้งพูดมา”
“เด็กน้อยคนสุดท้าย เป็นเด็กผู้หญฺิงครับท่าน”
“ถ้านางไม่ได้เกิดคนแรกข้าก็ไม่มีปัญหา”
“จะให้ชื่อว่าอะไรครับท่าน”
“เคเคอา”
“ข้าน้อยขออนุญาตทวนชื่อทายาททั้งหกคนอีกครั้ง ลูกชายคนแรกริมเมล คนที่สองเดราจ คนที่สามกับสี่อารอนกับอีรอน คนที่ห้าโรมิโอ คนที่หกเนชาบี คนที่เจ็ดเลมาส คนที่แปดแกอัส คนที่เก้ายูนอส และลูกสาวคนสุดท้ายเคเคอา”
“ใช่แล้ว อย่าลืมจัดการเรื่องที่ข้าสั่งไปทั้งหมดให้เรียบร้อยล่ะ ถ้าไม่มีอะไรฉุกเฉินห้ามใครรบกวน”
“รับคำสั่งท่านเจ้าเมือง”
ในเวลาเดียวกัน ณ ป่ารกร้างนอกเมือง ยักษ์แดงที่ถูกว่าจ้างโดยเจ้าเมืองไทกริสได้จัดการนำร่างหญิงสาวที่นอนนิ่งสนิทด้วยธูปหลับออกมาจากรถม้าแล้วบรรจงวางลงบนพื้นดินอย่างเบามือ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ...ยกโทษให้ข้าด้วยนะแม่นาง ถ้าจะโทษก็โทษท่านเจ้าเมืองเถอะ”
พูดจบก็ง้างขวานด้ามโตขึ้นก่อนจะลงขวานอย่างฉับไว หัวของหญิงสาวหลุดกระเด็นออกจากบ่ากลิ้งไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวเลือดกระจายคละคลุ้ง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณทั้งไหลซึมลงพื้นดินจนเปียกชุ่ม ชายร่างใหญ่หรือยักษ์แดงเดินไปเก็บส่วนหัวขึ้นมาใส่ถุงผ้าสีดำแล้วผูกปากโยนไปไว้ข้างในรถก่อนจะขึ้นควบม้าออกจากบริเวณไปอย่างรีบร้อนจนลืมไปว่าต้องขุดหลุมฝังทำลายหลักฐานด้วยกลัวว่ากลิ่นเลือดสดๆที่โชยอยู่อาจจะกำลังเรียกปีศาจหรือสัตว์ร้ายมาได้เนื่องจากป่านี้อยู่นอกเมืองและยังเป็นเขตรกร้างที่ไม่มีใครอยากมาสำรวจเพราะมีข่าวลือแปลกๆกับป่านี้เยอะนักทั้งยังอยู่ใกล้กับหุบเขาเทพจึงมีสัตว์ในตำนานที่น่ากลัวและดุร้ายอยู่มากมาย
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจนลับตาจู่ๆก็มีกลุ่มคนลึกลับวิ่งกรูกันเข้ามาที่ศพของหญิงสาว ชายคนหนึ่งหยิบมีดสั้นออกมาจากเอวแล้วกรีดผ่าท้องศพที่เพิ่งเสียชีวิตไม่นานก่อนจะให้อีกคนช่วยแหวกเอาร่างทารกน้อยออกมาและอีกคนที่กำลังล้างมีดด้วยเหล้าต่อด้วยเผาไฟเสร็จแล้วก็ตัดรกให้ขาด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองและลงมืออย่างชำนาญ ชายคนหนึ่งที่ยืนควบคุมเหตุการณ์อยู่ได้เดินเข้ามารับตัวเด็กแล้วนำใส่ถุงย่ามมัดปากแล้วร่ายเวทย์มนต์ใส่ถุงย่าม ไม่นานลมก็ก่อตัวขึ้นเป็นพายุขนาดย่อมพัดเอาถุงย่ามลอยหายไป
“เราได้ของดีมาแล้วคืนนี้หยุดการล่าไว้เพียงเท่านี้ก่อน รีบกลับหมู่บ้านไปหาแม่หมอให้ทันภายในห้านาที รับคำสั่ง!”
ชายที่ร่ายเวทย์มนต์ใส่ถุงย่ามดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มที่คอยควบคุมสั่งการทุกอย่าง
“รับคำสั่ง!!”
เมื่อสมาชิกทุกคนได้รับคำสั่งแล้วก็แยกย่ายกันไปอย่างรวดเร็วในพริบตา
ณ ชายขอบหมู่บ้านเล็กๆตระกูลสาขาของไวทูล่า เป็นตระกูลใหญ่ที่รวยอันดับหนึ่งของประเทศและมีตระกูลสาขาเยอะที่สุด แม่หมอที่หัวหน้ากลุ่มพูดถึงนั้นก็ได้รับถุงย่ามที่ถูกเวทย์พายุลมพัดมาเรียบร้อยแล้ว เหมือนแม่หมอจะรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป นางล้วงเอาร่างทารกน้อยออกมาทำความสะอาดและเตรียมของประกอบพิธีก่อนจะเดินออกไปที่ลานพิธีกรรมที่ตอนนี้มีชาวบ้านที่รู้ข่าวมารออยู่บ้างแล้ว
“ข่าวการทำเครื่องรางนี่ลามไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีกนะ”
นางพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพาร่างทารกเดินตรงไปที่บ่อน้ำ
“เดี๋ยวข้าทำอะไรสนุกๆให้ดู จับตาดูให้ดีๆก็แล้วกันนะมนุษย์ทั้งหลาย”
กลางลานพิธีกรรมจะมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งและกลางบ่อน้ำจะมีบัวอยู่กอหนึ่งปกติมันจะตูมอยู่ตลอดเวลาซึ่งเมื่อไหร่ที่มันบานออกหมายถึงจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแต่ตรงข้าม เมื่อไรที่ดอกบัวเฉาตายหมายถึงเรื่องร้ายจะเกิดขึ้น ชาวบ้านเรียกกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่ว่าจะฤดูไหนน้ำในบ่อก็ไม่เคยเหือดแห้งหายไปและใครที่เจ็บป่วยเมื่อนำรากบัวกลับไปทำซุปกินแทนยาเช้าเย็นไม่นานก็หายดีหรือนำน้ำในบ่อไปอาบชำระร่างกายก็ช่วยให้หายปวดเมื้อยได้
ทันใดนั้นเมื่อแม่หมอนำร่างทารกน้อยลงแช่ล้างทำความสะอาดตัวในบ่อน้ำเสียงฮือฮาของชาวบ้านที่เฝ้ามองอยู่ก็ดังขึ้น
“หัวหน้า! เด็กคนนั้น เด็ก...เด็ก”
สมาชิกทีมนักล่าคนหนึ่งสะกิดชายวัยกลางคนที่กำลังยืนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับลูกทีมและชาวบ้านคนอื่นๆ
“เด็กคนนั้น...ยังไม่ตายหรอกเหรอคับหัวหน้า”
“แต่ตอนที่ข้าผ่าเอาออกมาข้าแน่ใจว่าไม่รอดแล้วนะ แต่ตอนนี้กลับ...”
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาประชา เด็กทารกที่ถูกผ่าออกมาจากศพ ที่ถูกส่งมาทำเครื่องรางนำโชคให้หมู่บ้านเพราะถูกคิดว่าตายแล้ว ตอนนี้กลับมีชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง ชวนให้ชาวบ้านตื่นตาตื่นใจ บ้างก็ว่าเป็นพรจากเทพประทานให้เด็กน้อย บ้างก็ว่าเด็กคนนี้กล้าหารสู้ชีวิตเพื่อจะรอดตาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรมีเพียงแม่หมอเท่านั้นที่รู้ นางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจพรางชูร่างทารกน้อยขึ้นกลางอากาศ
“สรรเสริญเทพพระเจ้าที่ประทานชีวิตใหม่ให้เด็กน้อยคนนี้ จากนี้ไปแม่หนูนี่จะเติบใหญ่เป็นเด็กหนุ่มนามว่า ‘เชมารี่ มาคลินซ์ ไวทูล่า’ ขอเหล่าเทพอวยพรบุตรของท่านด้วย”
สิ้นเสียงแม่หมอร่างทารกน้อยก็เปล่งประกายแสงสว่างเจิดจ้าท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มามุงดูก่อนจะพากันส่งเสียงแซ่ซองอวยพรดังระงมไปทั่วบริเวณ
“เป็นบุญของข้าจริงๆที่ได้เห็นการกำเนิดของบุตรแห่งหุบเขาเทพ”
“เด็กผู้หญิงเหรอ?”
“นั่นสิ เคยได้ยินว่าลูกเทพมีแต่ผู้ชาย ว่าแต่ใครจะดูแลเด็กคนนี้ล่ะหัวหน้า”
“...”
“อยากเอามาเลี้ยงเองจังเลย”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไซเลน”
“อะไรเล่าหัวหน้า ก็พวกเราเป็นคนช่วยเด็กนั่นไว้นะ”
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าส่งข่าวให้กลุ่มอื่นๆหยุดออกล่าก่อนสักพัก แล้วกลับมาเฝ้าระวังหมู่บ้าน”
“ข้ามีคำถาม ทำไมต้องเฝ้าระวังหมู่บ้านด้วยล่ะ”
“ข้ามีลางสังหร ว่าจะต้องเกิดการลักพาตัวเด็กนั่นหรืออาจจะแย่กว่า”
สมาชิกทีมนักล่าต่างพากันสงสัยแต่ชายวัยกลางคนมีท่าทีอึกอักเหมือนสิ่งที่จะพูดมันไม่ควรถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ
“กลับที่ตั้งกันก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง รับคำสั่ง!”
“รับคำสั่ง!”
ทีมนักล่านี้เป็นทีมที่ผู้ใหญ่บ้านของตระกูลสาขาไวทูล่าจ้างมาพิเศษให้ประจำที่หมู่บ้านเพื่อคอยสอดส่องดูแลความสงบสุขภายในหมู่บ้านเนื่องจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้อยู่ติดกับเขตพื้นที่รกร้างซึ่งเป็นพื้นที่ไร้กฎหมายจึงมักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นประจำ กลุ่มนักล่ามีศูนย์ใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงและศูนย์หลักกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ จะแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยไปประจำอยู่ที่ศูนย์หลักและใช้ชื่อหน่วยตามชื่อเมืองที่ประจำอยู่ จากหน่วยจะแบ่งออกมาเป็นทีมเล็กๆอีกทีต่อเมื่อมีภารกิจหรือการว่าจ้าง ส่วนฐานที่อยู่ของทีมจะเรียกว่าที่ตั้งซึ่งหัวหน้าทีมจะเป็นคนกำหนด
ณ ที่ตั้งของทีมนักล่า
“ไซเลนรายงาน มากันครบแล้วครับหัวหน้า”
รองหัวหน้าทีมนักล่าที่ชื่อว่าไซเลนเข้ามารายงานสถานการณ์กับหัวหน้าทีมที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอย่างเคร่งเครียดก่อนจะเดินออกมาพบกับสมาชิกทีมคนอื่นๆที่หน้าแถว
“เผื่อใครเพิ่งเข้ามาใหม่แล้วยังไม่รู้จัก ข้าคือหัวหน้าทีมนักล่าคนปัจจุบันชื่อว่าอาเนออส เป็นคนจากตระกูลไวทูล่า ใช้พลังธาตุลม เจ้านี่เป็นรองหัวหน้าชื่อว่าไซเลนจากตระกูลรัททา ใช้พลังธาตุน้ำ ถึงจะดูไม่เอาไหนแต่ว่าก็เอางานเอาการดีอยู่ อยู่ร่วมกันหมู่มากขอให้เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ที่สำคัญต้องไว้ใจกันพวกเจ้าถึงจะอยู่รอด รับทราบ!”
“ทราบ!”
“ข้าจะส่งรายงานประจำวันและแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เอง ห้ามใครเอาไปพูดกับคนนอกเด็ดขาด คนนอกในที่นี้คือคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน...ไม่ได้อยู่ในทีม...ไม่มีข้อยกเว้น หากคนมีสีมีตำแหน่งมาถามให้บอกให้ตรงกันว่า คืนนั้นโดนข้าสั่งยกเลิกการล่าและไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น บอกให้คนที่สงสัยมาหาข้า แค่ข้าคนเดียวเท่านั้น รับทราบ!”
“ทราบ!”
“ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ช้าจะให้ไซเลนแบ่งเวรยามให้พวกเจ้า คอยเฝ้าตรวจตราทั้งภายในและโดยรอบหมู่บ้าน หลังศูนย์นาฬิกาคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า เห็นใครออกจากที่พักตรวจป้ายและตราให้หมดทุกคน ที่สำคัญที่สุดถ้ามีคนจากตระกูลใหญ่ทั้งสิบสองตระกูลต้องการเข้าหมู่บ้านให้พวกเขารอก่อนและส่งคนมาตามข้า รับคำสั่ง!”
“รับคำสั่ง!”
“แยกย้ายได้ ส่วนทีมที่ไปกับข้าวันนี้มาพบข้าที่ห้องทำงานหน่อย”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทีมนักล่าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนด้วยเวลาเพียงน้อยนิดก่อนจะรับคำสั่งต่อไป ส่วนทีมที่โดนหัวหน้าเรียกตัวไปเมื่อครู่ต่างมองหน้ากันไปมาเป็นการถามกันนัยๆว่ามีเรื่องอะไรรึป่าว แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรือโต้แย้ง ทุกคนยอมเดินตามไปโดยดี
“รู้มั้ยที่เรียกมาเนี่ยจะคุยอะไร?”
พอทุกคนเดินเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อยและหัวหน้าตรวจดูแล้วว่าประตูปิดสนิท เขาก็เริ่มบทสนทนาทันที
“พอเดาได้ครับหัวหน้า”
“ไหนลองเดามาซิ”
"เรื่องตระกูลไทกริสใช่มั้ยครับหัวหน้า"
"ใช่แล้วล่ะ แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นตระกูลไทกริส?"
"ตราบนรถม้าครับ"
"เก่งมากไซเลน อย่างที่ทุกคนรู้ บนรถม้าของสิบสองตระกูลใหญ่จะมีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลติดอยู่ แล้วแต่ว่าจะติดตรงไหนแต่ตระกูลไทกริสติดอยู่ที่ดุมล้อรถ และอีกอย่างนักฆ่ารับจ้างที่ตัวใหญ่ราวกับยักษ์แบบนั้นมีอยู่ไม่มาก"
"เพราะคนเมืองนี้ส่วนใหญ่จะรูปร่างสูงโปร่งกำยำสินะครับ"
"ใช่ เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ จากทิศทางลมที่พัดตอนนั้นข้าได้ยินนักฆ่านั่นพูดพอจับใจความได้ว่าเจ้าเมืองเป็นคนจ้างให้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น ถ้าเจ้าเมืองไม่ต้องการเธอคงจะฆ่าทิ้งไปนานแล้วไม่ปล่อยมาจนใกล้คลอดขนาดนี้"
"นั่นแปลว่าเจ้าเมืองไม่ต้องการเด็กงั้นเหรอ"
"ต้องใช่แน่ๆ เพราะเมืองไทกริสไม่ยอมรับผู้หญิงแล้วเจ้าเมืองยังไม่มีผู้สืบทอดแต่ดันมีลูกคนแรกเป็นผู้หญิงเลยกำจัดทิ้ง"
สมาชิกทั้งหลายผลัดกันออกความคิด ช่วยกันแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ตนรู้มา รวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้
"จากที่ข้าเคยได้ยินมา เจ้าเมืองเป็นพวกงมงาย เชื่อคำทำนายทายทักจากหมอดูอย่างไม่ลืมหูลืมตา"
"พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องดำมืดของเจ้าเมืองมั้ย?"
"ไม่คับหัวหน้า"
"เรื่องดำมืดของตระกูลเสือใหญ่ไทกริสคือพ่อมันชอบฆ่าลูกของตัวเอง และตระกูลไทกริสสืบทอดกันมาด้วยการโค่นหัวหน้าตระกูล เป็นตัวอย่างให้เห็นกันรุ่นสู่รุ่น ต่อมาเพราะความกลัวของพ่อเสือ ลูกเสือตัวไหนที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกฆ่าทิ้ง ตัวไหนอยู่ในโอวาทก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นทายาทโดยชอบธรรมและได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเมื่อพ่อเสือถึงวัยที่สมควร...จบ"
"นิทานก่อนนอนหรือไงคับหัวหน้า"
"มันคือเรื่องจริง เพราะท่านผู้เฒ่าไฟแห่งสี่ผู้เฒ่าก็มาจากตระกูลไทกริส ท่านรอดจากการฆ่าล้างตระกูลครั้งใหญ่และไม่เคยคิดจะกลับเข้าตระกูลตัวเองอีกเลย"
"โหดร้ายเกินไปแล้ว"
"เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหุบปากให้เงียย ใครถามให้แกล้งโง่เข้าไว้ แต่ให้คอยเฝ้าระวังตระกูลนี้ให้ดี ถ้าข่าวการกำเนิดของลูกเทพแพร่ออกไปจะต้องมีมือดีโผล่มาที่หมู่บ้านแน่นอน"
"ไม่เพียงแค่ตระกูลไทกริสหรอกนะ ทุกคนต้องระวังพวกตระกูลใหญ่ๆไว้ให้ดี"
"ไซเลนพูดถูก ไม่มียกเว้นแม้แต่ตระกูลไวทูล่าของข้า"
"ทำไมหรือท่านอาเนออส ลูกเทพนั่นมีดีอะไรกันถึงจะต้องวุ่นวายขนาดนี้ ลูกเทพจริงหรือไม่จะรู้ได้อย่างไร ใช่ว่ายายแก่นั่นหลอกเรานะ"
"อยากตายรึไง พูดถึงแม่หมอดีๆหน่อย นางรับรู้ทุกความเป็นไปในหมู่บ้านนี้นะ อีกอย่างนางอยู่มานานมากก่อนจะมีหมู่บ้านนี้ซะด้วยซ้ำ และนางก็เป็นคนพบลูกเทพคนแรกที่ทำให้แผ่นดินสงบสุขมาจนทุกวันนี้"
"ข้าน้อยความรู้ตื้นเขินโปรดอภัย แต่ข้าก็ยังมีคำถาม...เหตุใดตระกูลใหญ่อื่นๆถึงต้องการตัวเด็กด้วยเล่า?"
"ลูกเทพก็เหมือนเทพเอาลูกมาฝากเราเลี้ยง เลี้ยงดีพ่อแม่ก็จะตบรางวัลให้ พรจากเทพใครไม่อยากได้ล่ะ"
"ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณหัวหน้าที่สั่งสอน"
"เจ้าเป็นคนที่ไหนเนี่ยทำไมข้ารู้สึกคุ้นกับสำเนียงการพูดของเจ้า"
"ข้ามาจากตระกูลที่ล่มสลายไปแล้ว แต่โดนขายเป็นทาสรับใช้ตั้งแต่เด็กเลยติดสำเนียงแบบนี้มาขอรับ..เอ้ย ครับ"
"พูดเพราะมันก็ดี แต่พูดแบบเป็นกันเองที่เจ้าสบายใจจะดีกว่า"
"ครับท่าน"
"เอาเถอะ ค่อยเป็นค่อยไป"
“คืนนี้ให้จัดเวรยามเลยมั้ยคับหัวหน้า”
“คืนนี้ข่าวน่าจะยังกระจายไปไม่เท่าไร จัดยามเฝ้าแค่ทางเข้าออกหมู่บ้านกับจุดสำคัญๆต่างๆก็พอ”
“ยังไม่ต้องเดินตรวจใช่มั้ยคับ”
“ยังก่อน คืนนี้พักผ่อนกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้ของจริง”
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ณ เมืองกอลลิน่า
“ท่านเจ้าเมือง ท่านแม่ทัพคลอดแล้วครับท่าน”
“ไม่ต้องรายงานเจ้านครนะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
หลังจากได้ฟังรายงานจากทหาร ชายวัยกลางคนก็ออกจากห้องทำงานไปอย่างรีบร้อนจนลืมบางสิ่งไปสนิทใจ ทำเอาผู้น้อยที่กำลังเดินตามหลังมาติดๆหยุดชะงักไปด้วยอีกคน
“ท่านเจ้าเมือง...หยุดทำไมครับ”
“ข้าลืมว่าท่านแม่ทัพคลอดที่ไหนน่ะ นำทางหน่อยสิ”
ชายวัยกลางคนยกมือลูบหัวแก้เก้อพรางเดินตามไปอย่างสงบเสงียม ระหว่างทางภายในคฤหาสน์เงียบเชียบจนเหมือนร้าง แสงไฟในห้องน้อยใหญ่ดับมืดสนิทมีเพียงแสงไฟส่องสว่างที่โถงทางเดินเพียงเท่านั้น
“พวกพ่อบ้านกับสาวใช้หายไปไหนกันหมด ทำไมคฤหาสน์เงียบเหงาอย่างนี้”
“เมื่อเย็นเจ้านครอาการกำเริบอยากเห็นแสงจันทร์ในคืนเงียบสงบ เลยสั่งให้สาวใช้กับพ่อบ้านปิดไฟหมดทุกห้องแล้วห้ามใครออกมาเพ่นพ่านครับท่าน”
เมื่อคนถามได้ฟังคำตอบก็ได้แต่ส่ายหัวพรางถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอาการซึมเศร้าของเจ้านครที่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆอย่างหาทางรักษาให้หายขาดไม่ได้
เหตุเกิดเมื่อนานมาแล้วตอนนางยังสาวเพิ่งขึ้นครองตำแหน่งเจ้านครไม่นาน ได้ติดตามมารดาไปศึกษาการปกครองบ้านเมืองเกิดปะทะกับกลุ่มไนท์ไลท์ขึ้น นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายต้องพักรักษาตัวอยู่นานกว่าอาการจะดีขึ้นต่อมาหมอหลวงที่คอยดูแลติดตามอาการได้แจ้งข่าวร้ายว่าจะไม่สามารถมีลูกหรือให้กำเนิดบุตรธิดาได้อีก ส่งผลให้นางจิตตกกินไม่ได้นอนไม่หลับจนเป็นซึมเศร้าอารมณ์ขึ้นๆลงๆควบคุมตัวเองไม่ได้ โชคดีที่นางได้คู่ครองที่ซื่อสัตย์และรักนางจากใจจริงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
“เรามาถึงห้องพักของท่านแม่ทัพแล้ว เชิญท่านเจ้าเมือง”
ทหารที่นำทางมาผายมือไปที่ประตูห้องบานใหญ่สีดำสนิทพรางก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนไม่รอช้ารีบเคาะประตูเป็นจังหวะคล้ายรหัสลับ ไม่นานประตูก็ถูกแง้มออกให้ชายวัยกลางคนค่อยๆแทรกตัวเข้าไป
“เป็นยังไงบ้างแม่นม”
“ปลอดภัยทั้งคู่ค่ะ แม่ทัพกำลังพักผ่อนอยู่ทางด้านนั้น ส่วนคุณหนูน้อย...อยู่ทางนี้ค่ะ”
เจ้าเมืองกอลลิน่าเดินตามแม่นมมาติดๆ เหงื่อไหล่หยดตามคาง สีหน้าเหมือนกำลังคาดหวังบางสิ่งอย่างใจจดจ่อ ก่อนจะชะโงกหน้าดูเด็กทารกแรกเกิดที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปลที่มีสาวใช้นั่งไกวอยู่ข้างๆ
“ผู้ชายค่ะท่าน”
แม่นมพูดขึ้นตัดกำลังใจของชายวัยกลางคนที่กำลังคาดหวังให้เด็กทารกเป็นเพศหญิงอย่างที่ตั้งใจไว้
“เฮ้อ...ผู้ชายจริงๆสินะ ไม่เป็นไร ทำตามแผนเดิมของเราต่อไป”
“ค่ะท่านเจ้าเมือง”
“ท่านแม่ทัพนี่น้า น่าไปอยู่เมืองไทกริสจริงๆ”
“ท่านเจ้าเมืองล่ะก็ อย่าพูดเล่นให้ท่านแม่ทัพได้ยินเชียว”
“ใช่แล้ว เธอคงไม่ตลกแถมข้าจะโดนด่าอีกด้วย”
“แต่ก็จริงของท่านนะคะ ท่านแม่ทัพมีแต่ลูกชาย รวมคุณหนูน้อยทั้งหมดก็สี่คน ว่าแต่จะให้คุณหนูชื่อว่าอะไรดีคะท่าน”
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันพรางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“บัลมาเคีย...ชื่อว่าบัลมาเคีย ส่วนอีกชื่อก็ให้แม่ทัพตั้งให้แล้วกัน”
“เป็นชื่อที่ทั้งสวยและแข็งแกร่ง คุณหนูน้อยต้องเติบโตเป็นผู้ปกครองนครอย่างดีแน่นอนค่ะ”
“พรุ่งนี้ลงข่าวเรื่องหนูน้อยบัลมาเคียดีๆล่ะ”
“ฉันจะแจ้งสำนักข่าวของเมืองหลวงตามที่ท่านกำชับไว้อย่างดีด้วยตัวเองค่ะ”
“ดีมากเลย อย่าให้ใครแทรกแซงได้นะ มันสำคัญมาก”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านเจ้าเมืองไปพักผ่อนเถอะค่ะ ที่เหลือให้ฉันดูแลต่อเอง”
“รบกวนแม่นมด้วยนะ”
เช้าวันต่อมา ณ วังหลวง
“ท่านแม่! ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้รึยัง”
เด็กน้อยถือหนังสือพิมพ์ในมือหนึ่งฉบับวิ่งร่าเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงาน
“อย่าวิ่งเร็วแบบนั้นสิคะองค์ชาย ล้มขึ้นมาจะเป็นอันตรายนะคะ”
สาวใช้หลายคนที่วิ่งตามหลังมาเป็นขบวนถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าของเด็กชาย
“ถวายความเคารพเพคะราชินีวีน่า!”
“คึกครื้นกันแต่เช้าเชียวนะ เชื่อฟังพวกพี่สาวหน่อยสิจ้ะ ถ้าดื้อมากๆพวกพี่สาวจะไม่เล่นด้วยนะรู้มั้ย”
เธอนั่งย่องลงคุยกับเด็กชายอย่างอ่อนโยนพรางลูบหัวของเขาอย่างเบามือ
“ว่าแต่มีอะไรเหรอจ้ะคุณชายน้อย”
“นี่ครับท่านแม่”
เด็กชายยื่นหนังสือพิมพ์ในมือให้กับหญิงสาว เธอมองดูมันอย่างประหลาดใจก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นอยู่ในอ้อมแขน
“เอามาจากไหนจ้ะเนี่ย อย่าบอกว่าขโมยท่านพ่อมานะจ้ะ”
“ผมยืมมาครับ ท่านแม่รู้ข่าวแล้วรึยังครับ”
“รู้แล้วจ้ะ แม่เพิ่งคุยกับผู้ช่วยเมื่อกี้เองว่าให้ส่งของขวัญไปให้แทน ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยอยากออกงานสังคมสักเท่าไร”
“ผมอยากไปครับ ลูกสาวของเจ้านครกอลลิน่าเชียวนะครับไม่ไปด้วยตัวเองได้ยังไง ให้ผมไปแทนนะครับ”
“ลูกเพิ่งจะห้าขวบเองนะทำไมรู้ดีอะไรแบบนี้ แต่ที่แม่บอกไปเมื่อกี้แม่หมายถึงเมืองไทกริสจ้ะ”
“งั้นหมายความว่าท่านแม่จะไปเมืองกอลลิน่าใช่มั้ยครับ”
“แม่จะไปเมืองไวทูล่าจ้ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“องค์ชายเวลนอล ทำไมกวนท่านแม่แต่เช้าแบบนี้ล่ะ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับเดินเข้ามารับตัวเด็กชายไปอยู่ในอ้อมแขนแทนหญิงสาว
“ถวายความเคารพราชาเวลม่า”
“ท่านพ่อ มาได้ยังไงครับ”
“พ่อทำงานเสร็จแล้ว จะไปไหนก็ได้นี่นา”
“แล้วทำไมท่านพ่อไม่ไปเมืองไวทูล่าแทนท่านแม่ล่ะ”
“พ่อต้องเฝ้าบ้าน เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นจะได้แก้ไขทันไง”
เด็กชายดูไม่ค่อยพอใจก่อนจะขอให้ชายหนุ่มปล่อยเขาลงและเดินจากไปเงียบๆพร้อมกับกลุ่มสาวใช้พี่เลี้ยงมากมายที่ติดตามไป
“เมืองไวทูล่ามีอะไรกันทำไมท่านแม่ถึงสนใจมากขนาดต้องไปด้วยตัวเอง”
“หม่อมฉันได้ยินข่าวลือมาว่า...มีลูกเทพถือกำเนิดขึ้นที่หมู่บ้านสาขาของเมืองไวทูล่าเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเอามือป้องปากก่อนจะกระซิบสิ่งที่ตนได้ยินมาให้เด็กชายได้ฟังอีกต่อนึง
“นางคนนี้นี่! องค์ชายมีนิสัยเกินเด็กแบบนี้ก็เพราะเธอนะรู้ตัวบ้างมั้ย วันๆพูดกรอกหูองค์ชายแต่เรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้หามูลเหตุความเป็นมาเป็นไปไม่ได้สักนิด”
“แม่นมล่ะก็ ดุข้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ มาช่วยกันคิดหาความจริงดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆเมืองกอลลิน่าและไทกริสที่ไม่ถูกกันก็เกิดมีทายาทขึ้นมาในคืนเดียวกันแถมยังมีข่าวลือเกี่ยวกับลูกเทพอะไรนั่นอีก”
“เป็นสาวใช้ในวังสิ่งที่ต้องทำคือทำเป็นหูหนวกตาบอด หากยังทำตัวแบบนี้สักวันจะหัวหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
“หรือว่าพวกเขาจะซื้อเด็กจากตรอกสาวงาม!”
“ตรอกสาวงามอะไรของเจ้า หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!”
“ท่านไม่รู้จักเหรอที่นั่นน่ะ...อื้ออออ”
สาวใช้คนดังกล่าวถูกหญิงวัยกลางคนหรือแม่นมเอื้อมมืออุดปากไว้ก่อนจะได้พูดอะไรออกมาอีก
“แม่นมปล่อยนาง ถ้าในอนาคตข้าต้องขึ้นครองราชแทนท่านพ่อ ข้าก็จำเป็นจะต้องรู้ทุกเรื่อง”
“เพคะองค์ชาย”
“คืออย่างนี้เพคะองค์ชาย ตรอกสาวงามเนี่ยมันค่อนข้างจะหยาบคาย มันเป็นที่ที่พวกทหารชอบไปซื้อผู้หญิงมาสำเร็จความต้องการทางอารมณ์ แล้วเวลาพวกผู้หญิงที่นั่นตั้งท้องและคลอดลูกชาย แม่มดที่คุมตรอกนั้นก็จะประกาศขาย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเลี้ยงไว้ให้ทำงานที่ตรอกนั้นต่อไป ที่นั่นถือเป็นแหล่งทำเงินอันดับต้นๆของเมืองไทกริสเลยก็ว่าได้”
“เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่ามันคือเรื่องจริง?!”
“จริงแท้แน่นอนแม่นม ท่านอยู่แต่ในวังจะไปรู้อะไร เรื่องนี้คนเขารู้กันทั่วทุกหัวมุมถนน”
“เจ้าเมืองไทกริสก็ปล่อยไว้แบบนั้นไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”
“องค์ชายอย่าว่าหม่อมฉันรู้มากเลยเพคะ เจ้าเมืองเองก็เป็นลูกค้าของที่นั่นแต่เป็นบริการรับจ้างฆ่าเพคะ”
“ว่าไงนะ?!”
“ฉู่...แม่นมอย่าเสียงดังสิ เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเรานะ”
“ไม่แค่พวกเราแล้ว สาวใช้กับองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายก็ยืนอยู่นี่เป็นสิบคน”
สาวใช้ผู้มากความลับเกาหัวพรางยิ้มแห้งๆส่งให้กับทุกคน
“แล้วเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”
“ด้วยความสัจจริง หม่อมฉันมาจากตระกูลรัททา”
“ตระกูลสายข่าวอันดับหนึ่งของแอสทรัม นี่เจ้ากล้าเข้ามาสืบข่าวถึงในวังหลวงเลยงั้นเหรอ”
“องค์ชายอย่าทรงเข้าใจนางผิดเพคะ นางโดนตระกูลทอดทิ้งราชินีจึงรับสั่งให้หม่อมฉันดูแลนางเพคะ”
“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไวทูล่าบ้าง เรื่องที่ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง”
“...”
“เจ้ารู้อะไรบ้าง”
“ที่ันั่นมีแม่มดเพคะ”
“คนคุมตรอกหญิงงามเจ้าก็ว่าเป็นแม่มด”
“แม่เฒ่าเมลีด้าแค่ถูกชาวบ้านที่ไม่ชอบเรียกว่าแม่มดเท่านั้น แต่ที่นั่น...หมู่บ้านชายขอบที่เป็นตระกูลสาขาของตระกูลไวทูล่า หมู่บ้านนั้นมีชื่อว่า ‘เซเรส’ เรียกตามชื่อเทพประจำตระกูลเพื่อเป็นการให้เกียรติ มีเรื่องเล่าอยู่ว่าตระกูลใหญ่ได้สร้างวิหารไว้ที่นั่นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเมื่อนานมาแล้วซึ่งสร้างความรุ่งเรื่องให้กับไวทูล่าเป็นอย่างมาก พืชผลงอกงามราคาดีจนกลายเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในแอสทรัม ต่อมาตระกูลคาปราที่เป็นศัตรูทางธุรกิจส่งสายลับเข้าไปหวังทำลายวิหารทิ้งแต่หัวหน้าตระกูลรู้ทันจ้างผู้ใช้พลังพิเศษจากประเทศบริทาเนียมาทำให้วิหารหายไปจากสายตาและทำลายหลักฐานการมีอยู่ของวิหารทิ้งทั้งหมด”
“หายไปจากสายตา? งั้นก็แปลว่ามันยังอยู่”
“สมแล้วที่เป็นองค์ชายของประเทศเรา ทรงเข้าใจถูกแล้วเพคะ ผู้ใช้พลังพิเศษได้ทำให้มันล่องหนอยู่ที่ไหนสักแห่งในหมู่บ้านนั้น”
“ข้าชักอยากจะไปเห็นหมู่บ้านนั้นด้วยตาตัวเองซะแล้ว ลึกลับแบบนี้ข้าชอบ”
“ไม่เพียงเท่านี้เพคะองค์ชาย”
“พอได้แล้ว!”
“แม่นม”
“เพคะองค์ชาย”
แม่นมที่พยายามปรามให้สาวใช้คนดังกล่าวหยุดป้อนเรื่องไม่เป็นเรื่องใส่หัวเด็กชายแต่กลับถูกเด็กชายที่เป็นเจ้าชายน้อยดุซะเอง
“ต่อเลย ข้าอยากฟัง”
“ก่อนอื่น...ข้าขอให้ท่านสั่งทุกคนให้ออกห่างไปนิด พอที่จะไม่ได้ยินสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด”
“ได้”
เจ้าชายน้อยโบกมือเป็นการให้สัญญานกับสาวใช้และองครักษ์ให้ถอยห่างออกไป เมื่อสาวใช้คนดังกล่าวเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องราวความลับทันทีด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ
“แม่มดที่หม่อมฉันพูดถึงในตอนแรก นางสวมชุดสีดำและคลุมหน้าตลอดเวลาไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของนาง เดิมนางเป็นแม่แท้ๆของหัวหน้าตระกูลที่สร้างวิหาร ร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งนางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานจนทุกคนเลิกตามหาเพราะคิดว่าตายไปแล้ว จู่ๆนางก็กลับมาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งและได้นำเด็กคนที่ว่ามาให้สามัญชนคนหนึ่งเลี้ยง ต่อมาไม่นานสามัญชนคนนั้นก็ได้ขึ้นครองราชเป็นแอสทรัมที่หนึ่งหรือก็คือบรรพบุรุษขององค์ชายเพคะ”
“เรื่องจริงเหรอ?!”
“เพคะ”
“แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นล่ะ?”
“หลังจากพ่อบุญธรรมขึ้นครองราชแม่มดก็มาพาตัวกลับไปและไม่ได้ข่าวอะไรต่อจากนั้นอีกเลย”
“ไปไหน?”
“ไม่อาจรู้แน่ชัดเพคะ แต่ว่ากันว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรแห่งหุบเขาเทพ พวกเทพจะส่งเด็กมาที่โลกภายนอกพร้อมภารกิจบางอย่างและเมื่อเด็กคนนั้นทำภารกิจสำเร็จก็จะได้เป็นเทพ”
“เดี๋ยวก่อนนะ นางอยู่มาตั้งแต่สมัยแอสทรัมที่หนึ่ง ตอนนี้...สิบสมัย นางอายุเท่าไรกันเนี่ย”
“หม่อมฉันถึงบอกว่านางเป็นแม่มดไงเพคะ”
“แล้วทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงเพิ่งจะมาสนใจเรื่องนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่า”
“มีข่าวลือว่าลูกเทพถือกำเนิดเพคะองค์ชาย”
“ลูกเทพกำเนิดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ เจ้าก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าลูกเทพทำภารกิจของตัวเองเสร็จก็กลับไปเป็นเทพ”
“ภารกิจของลูกเทพคนก่อนคือการหยุดสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างประเทศ การที่บรรพบุรุษของท่านได้สถาปนาเป็นราชวงศ์คือผลพลอยได้จากการเลี้ยงดูลูกเทพเพคะ”
“ถ้างั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ ภารกิจของลูกเทพครั้งนี้คืออะไรกัน”
“ไม่อาจทราบได้เลยเพคะ”
“บอกแม่นมให้ส่งคนไปบอกท่านแม่ว่าข้าจะเดินทางไปกับท่านด้วย ส่วนคนที่เหลือมาช่วยข้าเตรียมตัว”
“เพคะองค์ชาย”
เวลาโพลเพล่ ณ เซเรส หมู่บ้านชายขอบตระกูลสาขาของไวทูล่า
“ได้ยินมาว่าคืนนี้จะเริ่มการตรวจตราแบบเข้มงวดแล้ว”
“นั่นสิ เป็นการตรวจตราแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วย”
หนุ่มสาวน้อยใหญ่ล้อมวงจิบสุราเล่าข่าวบ้านเมืองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน บ้างก็อุ้มกระเตงลูกมาร่วมด้วย เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของวัน เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ติดกับเขตรกร้างไร้กฎหมาย การออกมานั่งร่ำสุราในเวลากลางคืนไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยนัก ทุกคนจึงเลือกช่วงเวลาที่ยังพอมีแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่
“ที่จริงหมู่บ้านของเราก็มีการตรวจตราภายในอยู่เป็นประจำแต่ครั้งนี้แตกต่างมาก”
“ใช่แล้ว ปกติจะมีแค่ทหารของตระกูลใหญ่ที่คอยรักษาความปลอดภัยให้พวกเราในตอนกลางคืน แต่ครั้งนี้ได้ยินว่าทีมนักล่าจะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด”
“เรื่องจริงเหรอท่านผู้ใหญ่”
“นั่นสิท่านผู้ใหญ่ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะถ้าทีมนักล่าเข้ามาจัดการ”
“เป็นอย่างที่ทุกคนได้ยินมานั่นแหละ”
“ว่าแต่ลูกเทพล่ะท่านผู้ใหญ่ ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”
“ไหนๆท่านผู้ใหญ่ก็ไม่มีลูก ท่านเลี้ยงเขาไว้เถอะอย่าให้คนจากวังหลวงมาเอาตัวไปเลย”
“ฉู่!!”
ทุกคนพากันตกใจและเอื้อมมือมาหวังจะปิดปากคนที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่แต่เขากลับไม่กลัวฟ้าดินปัดมือของทุกคนออกและพยายามพูดต่อให้จบ
“เรื่องนี้ใครๆก็รู้ทำไมต้องปิดบังด้วยเล่า”
“เจ้าอยากหัวขาดรึไง”
“ถ้าพูดความจริงแล้วหัวขาด ข้ายอม”
“ใจเย็นๆนะ”
“ถ้าเมื่ออดีตมีคนธรรมดาเลี้ยงลูกเทพแล้วได้สถาปนาเป็นราชวงศ์ เด็กคนนี้ก็กำลังกลายเป็นที่ต้องการของทุกคน ในวังปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดแล้ว”
“ไม่ต้องเถียงกัน เด็กคนนี้จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“แม่หมอ”
สิ้นเสียงหญิงในชุดคลุมสีดำทุกคนก็รีบนั่งลงและก้มหัวคำนับเป็นการทำความเคารพ
“นับถือแม่หมอมากกว่าข้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านอีกนะพวกเจ้า”
“ข้าเป็นแม่ใหญ่เจ้านะ ก็ต้องใหญ่กว่าเจ้าอยู่แล้ว”
“ท่านแค่ยืมร่างแม่ใหญ่ข้า แต่ท่านไม่ใช่ซะหน่อย”
“ข้ายืมแล้วยังไงล่ะ ข้าก็ตอบแทนโดยให้เจ้าได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วนี่ไง”
“พวกท่านเถียงกันตั้งแต่ลูกข้ายังไม่คลอดจนลูกข้าโตไปทำงานที่ตระกูลใหญ่แล้วพวกท่านก็ยังไม่เลิกเถียงกันเรื่องนี้อีก”
ชาวบ้านแซวติดตลก พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“สิ่งที่ข้าจะบอกให้พวกเจ้าจำให้ขึ้นใจและพูดให้เหมือนกัน เด็กคนนี้เป็นลูกของผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งคลอดเมื่อคืนนี้ ส่วนเรื่องลูกเทพเป็นข่าวลือที่ตระกูลใหญ่จงใจปลอยเพื่อสร้างกระแส”
“เข้าใจแล้วแม่หมอ”
“ท่านสะกดจิตพวกเขาเหรอ”
“ก็นิดหน่อย”
หญิงในชุดคลุมสีดำพูดเรื่องน่ากลัวอย่างการสะกดจิตได้หน้าตาเฉย
“นี่ท่าน ถ้าพวกเขาไม่ทำตามที่ท่านพูดเขาจะความจำเสื่อมเลยนะ”
“ไม่รุนแรงขนาดนั้นหรอกน่า ข้าแค่ฝังความคิดให้พวกเขาแค่นิดเดียวเอง อย่าตื่นตูมไปหน่อยเลย”
พูดจบแม่หมอก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แม่!”
“ข้าไม่ใช่แม่เจ้า!”
“ตอนนี้เด็กอยู่ไหน!”
“อยู่กับเมียแกไง!”
“แล้วทำไมพวกท่านต้องตะโกนคุยกันด้วยล่ะ”
ชายวัยกลางคนส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกให้ลูกบ้านทุกคนแยกย้ายเข้าบ้านกันรวมถึงตัวเขาด้วย เนื่องจากตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว และทีมนักล่าก็เริ่มออกประจำจุดตรวจ
ณ บ้านผู้ใหญ่
“ที่รัก! เด็กอยู่ที่นี่เหรอ?!”
“อย่าเสียงดังสิลูกหลับอยู่นะ”
“ลูกเหรอ?”
“เจ้าลืมว่าเรามีลูกด้วยกันได้ยังไง ข้าเพิ่งคลอดเมื่อคืนนี้เองนะ”
“ยัยแก่แม่มดนั่นสะกดจิตเมียข้าด้วยเหรอเนี่ย!”
“บอกว่าอย่าเสียงดังไง วันนี้แยกห้องนอนเลยนะถ้ายังพูดไม่รู้เรื่อง”
“จ้าเมียจ๋า ไม่เสียงดังแล้วจ้า”
กลางดึก ณ ประตูทางเข้าหมู่บ้านด้านหน้า มีรถม้าลึกลับเคลื่อนตัวมาจอดสนิทอยู่ที่ด่านตรวจก่อนเข้าหมู่บ้าน ทีมนักล่าที่ได้รับมอบหมายเห็นดังนั้นจึงเข้าไปสอบถามตามที่หัวหน้าอาเนออสกำชับ
“จากตระกูลไหนครับ รถม้าไม่เห็นมีตราเลย”
หลังจากสมาชิกทีมนักล่าเฝ้าถามอยู่นานสองนานก็ไม่ได้คำตอบจากทั้งคนขับรถม้าและคนข้างในรถม้า เขาจึงล้มเลิกความพยายามและกลับไปเฝ้าประตูตามเดิมพร้อมกับรายงานสถานการณ์ให้ไซเลนที่เป็นรองหัวหน้าทีมรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นานหัวหน้าทีมอาเนออสก็มาถึงที่ประตูด้านหน้า ขณะกำลังสอบถามสถานการณ์จู่ๆร่างคนขับรถม้าก็ร่วงลงพื้นอย่างแรงทำให้ทหารและทีมนักล่าที่ประจำอยู่บริเวณนั้นเข้าล้อมรถม้าทันที พร้อมหัวหน้าอาเนออสที่เข้าไปตรวจสอบร่างที่ร่วงลงมาปรากฏว่าร่างนั้นกลายเป็นศพไปซะแล้ว และสถานการณ์ก็ตรึงเครียดขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อหัวหน้าอาเนออสบุกตรวจข้างในรถม้าพบว่ามีศพอัดแน่นอยู่เต็มคัน
“ส่งคนไปบอกให้ไซเลนดำเนินการตามแผนได้เลย”
“ครับท่านอาเนออส”
เวลาล่วงเลยผ่านไปพักใหญ่และแล้วไซเลนก็ส่งข่าวกลับมาว่าจับกลุ่มคนลึกลับได้กลุ่มหนึ่งกำลังเค้นความจริงอยู่ หัวหน้าอาเนออสจึงออกคำสั่งให้ส่งศพไปให้กลุ่มนักล่าที่เมืองหลวงตรวจสอบและกระจายกำลังคุมทุกจุดที่สามารถแทรกซึมเข้าหมู่บ้านมาได้พร้อมกับให้กำลังบางส่วนไปตรวจสอบตามบ้านว่ามีบ้านไหนผิดปกติหรือไม่ก่อนจะกลับไปหาไซเลนเพื่อเค้นเอาความจริงด้วยตัวเอง
“พวกเจ้ารู้ใช่มั้ยว่าที่หมู่บ้านนี้มีแม่มด ถ้าไม่อยากพูดกับพวกเรา เรียกแม่มดมาคุยดีมั้ย”
“. . .”
“ไม่จำเป็นหรอกไซเลน แค่เอาเลือดสัตว์ทาตัวพวกนี้แล้วมัดใส่รถให้ม้าลากเข้าป่าไป ก็ได้คำตอบแล้ว”
“ยังไงท่านอาเนออส ทำแบบนั้นพวกนี้ก็กลายเป็นอาหารสัตว์ป่าน่ะสิ”
“ใช่ อาหารสัตว์ป่าน่ะเป็นประโยชน์ที่สุดที่พวกมันจะทำได้แล้ว”
“เรายังไม่รู้เลยนะท่านว่าใครส่งพวกนี้มา”
“ข้ารู้นานแล้ว พวกมันเป็นคนของตระกูลเอคูอัสที่เป็นพันธมิตรกับคาปราและไทกริส”
“แกรู้ได้ยังไง!”
“นักฆ่ารับจ้างที่พอมีฝีมือในประเทศนี้ก็มีไพธอนกับเอคูอัส แต่ถ้าเป็นไพธอนคงไม่โดนจับได้ไวขนาดนี้หรอก อีกอย่างไพธอนน่ะเป็นพันธมิตรกับพวกเรา ไซเลนไปเอาเลือดมา”
สามวันต่อมา
"เมื่อวานนี้พ่อค้าร้านเนื้อเล่าให้ฟังว่าตอนไปล่าสัตว์ในป่าเขาเจอกองซากเศษเนื้อเศษกระดูกเต็มเลยและที่สำคัญมันเป็นกระดูกของคน!"
"ทีมนักล่าคงจะให้อาหารสัตว์กันอีกล่ะมั้ง ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้"
"แต่คราวนี้ไม่ปกติ พ่อค้าร้านเนื้อบอกว่าแม้แต่กระดูกยังแตกละเอียด ถ้าไม่ใช่คนที่เห็นกระดูกสัตว์ทุกวันคงแยกไม่ออก"
"ขนาดนั้นเลยเหรอ ตัวอะไรกันนะ"
"นี่พวกเจ้า! ข้ามีข่าวใหญ่มาบอก!"
แม่บ้านวัยเกือบเกษียรคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาด้วยความรีบร้อนจะแจ้งข่าวที่ตัวเองไปรู้มา แต่ก็ต้องหยุดพักหอบหายใจก่อนที่จะได้พูดอะไร
"เอ้าใจเย็นก่อน มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจา เออว่าแต่วันนี้ผู้ใหญ่บ้านไม่มาร่วมวงกับพวกเราหรือไง"
"นั่นแหละๆ เรื่องที่ข้าจะมาบอก โอ้ยเหนื่อย!"
"เรื่องอะไรล่ะแม่เอ้ย ค่อยๆพูดเดี๋ยวไม่ได้เรื่องได้ราว"
"ท่านผู้ใหญ่ๆ"
"ท่านผู้ใหญ่ทำไมรึ"
"ศาลา...ศาลากลางน้ำ"
"ศาลากลางน้ำมีอะไร ข้าฟังเจ้าไม่รู้เรื่อง"
"ข้าเห็นท่านผู้ใหญ่กับหัวหน้าอาเนออส กำลังรับเสด็จราชินีและองค์ชาย อยู่ที่ศาลากลางน้ำ!"
"ว่ายังไงนะ! ราชินีเสด็จ!"
ณ ศาลากลางน้ำ
"อะ...เอ่อ ราชินีพะยะค่ะ"
"ถ้าท่านผู้ใหญ่บ้านไม่สะดวกข้าก็ไม่ถือสา เชิญตามสบายเถอะคิดซะว่าข้าเป็นคนในครอบครัว"
"เชิญเสวยผลไม้ตามฤดูกาลของหมู่บ้านเราพะยะค่ะราชินีวีน่า"
"ท่านอาเนออส เจ้าไม่เข้าวังนานข้าเข้าใจดี ตามสบายเถอะ"
"ครับราชินี"
หญิงสาวยกมือขึ้นบังปากพรางหัวเราะเบาๆ
"ว่าแต่ชาวบ้านหายไปไหนกันหมดเหรอ เห็นแต่ทหารกับทีมของหัวหน้าอาเนออส"
"เวลานี้คงจะกำลังประชุมกันอยู่น่ะขอรับ"
"ท่านผู้นี้คือใครกัน"
"ข้าพามาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นคนใช้ได้คนนึงขอรับ"
"เจ้าอย่าล้อข้าเล่นสิหัวหน้าอาเนออส ท่านยังสั่งสอนสมาชิกโหดเหี้ยมเหมือนเดิมอยู่มั้ย"
"โหดเหี้ยมสุดๆ...อะ อะ โอ้ยยย!"
พูดยังไม่ทันจบประโยค สมาชิกนักล่าคนดังกล่าวก็โดนหัวหน้าทีมบิดหูแล้วลากออกไปจากวงสนทนา
"อย่าใช้ความรุนแรงต่อหน้าราชินีสิครับหัวหน้าอาเนออส"
ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนดูเหตุการณ์มาพักหนึ่งพูดปรามขึ้นก่อนที่จะมีคนเลือดตกยางออกไปมากกว่านี้ สิ้นคำพูดของชายวัยกลางคนหัวหน้าอาเนออสก็หยุดลงมือก่อนจะหันไปสั่งให้สมาชิกคนอื่นมาพาตัวสมาชิกผู้โชคร้ายกลับไปที่ตั้ง
"ข้าขอเสียมารยาทพูดตรงๆเลยนะราชินีวีน่า"
"ได้สิ"
ผู้ใหญ่บ้านวางมือบนไหล่ของหัวหน้าอาเนออส เป็นการส่งสัญญานถามนัยๆว่าคิดดีแล้วใช่มั้ย ก่อนจะตบเบาๆสองสามทีเพื่อบอกว่าไม่ว่าจะตัดสินใจยังไงทุกคนจะอยู่ข้างท่าน
"ท่านมีธุระอะไรกับหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้หรือขอรับราชินีวีน่า"
"ท่านก็เป็นทางการเกินไปหัวหน้าอาเนออส แม่นมพาองค์ชายไปเดินเล่นดูหมู่บ้านก่อนสิจ้ะ อยู่แต่ที่นี่เดี๋ยวจะเบื่อเอา"
"เพคะราชินี"
"แต่ข้าชอบตรงนี้"
"เป็นเด็กดีนะจ้ะ"
"ครับท่านแม่"
พูดจบองค์ชายน้อยก็เดินคอตกออกจากศาลาไปโดยมีแม่นมและสาวใช้พี่เลี้ยงเดินตามออกไปด้วย
"ถามมาซะตรงขนาดนั้น งั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมละนะ ข้ามาที่นี่เพราะข่าวการกำเนิดของลูกเทพ"
"ลูกเทพ?"
"ท่านไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกหัวหน้าอาเนออส เด็กอยู่ที่นี่จะไม่ปลอดภัย ข่าวนี่แพร่ไปทั่วประเทศแล้ว อยู่กับข้าเด็กจะปลอดภัยที่สุด"
"ท่านหมายความว่ายังไง ลูกเทพอะไรกัน"
"เมื่อคืนนี้มีลูกเทพถือกำเนิดขึ้นที่นี่"
"ลูกเทพน่ะไม่มีหรอก ที่คลอดเมื่อคืนมีแต่ลูกผู้ใหญ่บ้าน จะไปเยี่ยมหน่อยมั้ยล่ะขอรับ"
"ข้าไป!"
"ข้าตั้งตารอของรับขวัญจากราชินีเลยนะเนี่ย"
หัวหน้าอาเนออสพยักหน้าให้ผู้ใหญ่บ้านสายตาบอกว่าไม่เป็นไรข้ารับมือได้วางใจเถอะก่อนจะพากันเดินนำราชินีวีน่าไปที่บ้านผู้ใหญ่โดยราชินีได้ขึ้นนั่งบนรถม้าตามหลังไปไม่ห่างพร้อมด้วยทหารรักษาพระองค์อีกหลายนาย ระหว่างทางพบว่าไม่มีชาวบ้านออกมาต้อนรับเลยสักคนทำให้ราชินีและคณะทหารแปลกใจเป็นอย่างมาก
"ท่านผู้ใหญ่บ้าน ลูกบ้านท่านหายไปไหนกันหมดเหรอ ทำไมหมู่บ้านเงียบแบบนี้ล่ะ"
"ชาวบ้าน…"
พูดไม่ทันจบผู้ใหญ่บ้านก็โดนหัวหน้าอาเนออสพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
"ชาวบ้านทำงานมาเหนื่อยๆทั้งวัน เวลานี้ก็คงเตรียมตัวเข้านอนกันแล้วล่ะมั้ง"
"เวลานี้น่ะเหรอ?"
"เวลานี้แหละ ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าพวกเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆชายขอบประเทศ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ชาวบ้านก็หาเช้ากินค่ำ ต้องนอนเร็วๆจะได้มีแรงตื่นเช้าๆไปทำงานหาเงินไง"
"ตระกูลที่รวยอันดับหนึ่งพูดแบบนี้ได้เหรอ"
"นั่นตระกูลใหญ่ พวกเราก็แค่ตระกูลสาขา"
"ไม่จริงสักนิด"
ราชินีพึมพำกับตัวเอง ไม่นานรถม้าก็หยุด
"ถึงแล้วพะยะค่ะราชินี"
"ผู้ใหญ่บ้านนำทางราชินีดีๆนะ"
"แล้วท่านจะไปไหนหัวหน้าอาเนออส"
"พอดีสมาชิกทีมส่งข่าวมา มีอะไรต้องไปตรวจสอบนิดหน่อย ขอตัวนะท่านผู้ใหญ่"
พูดจบก็เดินจากไปโดยไม่ร่ำลาราชินี ปล่อยให้เธอยืนอึ้งค้างอยู่ครู่ใหญ่ที่มีคนกล้าไร้มารยาทกับราชวงศ์ได้ถึงขนาดนี้
"เชิญพะยะค่ะราชินี"
"พูดเป็นกันเองเถอะท่านผู้ใหญ่ ดูอย่างหัวหน้าอาเนออสสิ เป็นกันเองจนไม่เห็นหัวข้าแล้ว"
"ขออภัยแทนเขาด้วย ข้าน้อยจะตักเตือนให้"
"ไม่โทษเขาหรอกข้าอนุญาตเอง ไปเถอะ ข้าอยากเห็นหน้าลูกเจ้าแล้ว"
"ท่านผู้ใหญ่ เจ้าพาใครมาน่ะเสียงดังเชียว ถ้าหลานข้าตื่นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ"
"แม่หมอ"
"ท่านนั่นเอง แม่มดที่ทุกคนพูดถึง ชื่อเสียงเรียงนามขจรไกลยิ่ง เด็กน้อยบางคนรู้จักท่านก่อนข้าซะอีก"
"แน่นอนสิ เจ้าควรส่องกระจกดูตัวเองด้วยนะก่อนจะยกตัวเทียบข้า"
"แม่!"
"ใครแม่เจ้า ข้าบอกแล้วใช่มั้ยอย่าเสียงดัง"
"ข้าผิดไปแล้ว"
"ข้าแค่มาเยี่ยมคุณชายน้อยพร้อมนำของรับขวัญมาให้เท่านั้น แม่เฒ่าโปรดอนุญาตด้วย"
"ข้ายังไม่แก่ อีกอย่างข้ารู้เจตนาที่แท้จริงของเจ้าตั้งแต่รถม้าเข้ามาในเขตหมู่บ้านแล้ว"
"ถ้างั้นก็คุยกันง่ายหน่อย"
"ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เด็กคนนี้เป็นลูกหลานข้าข้าดูแลเองได้ไม่ลำบากให้เจ้ามาห่วงหรอก"
"ข้าหวังดีกับเขาจริงๆนะ"
"หวังดีก็ส่วนหวังดี แต่นี่ไม่ใช่ธุระของเจ้า"
"เขาจะปลอดภัยและมีชีวิตที่ดีกว่าถ้าอยู่ในวัง"
"งั้นทำไมข้าไม่ไปหาเจ้าตั้งแต่แรกล่ะ คิดออกมั้ยเจ้าหญิง"
"นางเป็นราชินีนะ"
"ราชินีน้อยเอ่ย เจ้าจงอยู่ให้สบายใจเถิด ที่ผ่านมาทำยังไงกับหมู่บ้านแห่งนี้ก็ทำแบบนั้นต่อไปเถอะ"
พูดจบแม่หมอก็เดินกลับเข้าไปในห้องที่คาดว่ามีเด็กทารกน้อยกำลังนอนหลับอยู่ โดยทิ้งให้ราชินีผู้มีตำแหน่งสูงที่สุดในประเทศรองจากพระราชายืนหน้าชาจากการโดนพูดถากถาง
"นางไม่น่าใช่แม่ของท่านนะท่านผู้ใหญ่ ข้าว่าน่าจะเป็นแม่ของหัวหน้าอาเนออสมากกว่า"
ชายวัยกลางคนถึงกับหัวเราะแห้งกับคำพูดของหญิงสาวและสิ่งที่เกิดขึ้น
"ข้าฝากสิ่งนี้ไว้ให้ทารกน้อยเป็นของรับขวัญเล็กๆน้อยๆ เมื่อใดที่พวกเจ้าเปลี่ยนใจต้องการให้เขาเข้าวังหรือต้องการความช่วยเหลือ นำสิ่งนี้ไปแสดงที่วังเจ้าจะได้ตามต้องการทุกอย่าง วันนี้ข้าสนุกมาก ขอตัวก่อน หวังว่าจะได้เจอกันอีก...ในเร็วๆนี้"
ณ ประเทศบริทาเนีย ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศแอสทรัมที่มีผู้ใช้พลังพิเศษอาศัยอยู่ ปกครองโดยราชวงศ์บริเทียน่าที่เก่าแก่ และบริหารจัดการบ้านเมืองโดยนายกรัฐมนตรี ราชวงศ์ได้ประกาศวางมือเลิกยุ่งเกี่ยวกับการบริหารประเทศแต่จะยังคงจัดการคัดเลือกและแต่งตั้งคณะบริหารด้วยตนเอง เป็นประเทศที่เทคโนโลยีทันสมัยกว่าแอสทรัมเป็นอย่างมาก ก้าวไกลถึงขั้นสร้างประตูมิติและเดินทางผ่านอวกาศไปสู่ดาวดวงอื่นได้
"โปรเจกส์ใหญ่ไปถึงไหนแล้ว?"
"ใกล้แล้วครับท่าน เหลือการทดสอบขั้นตอนสุดท้ายก็จะเปิดประตูได้อย่างสมบูรณ์แล้วครับ"
"ดีมาก ทีนี้แหละ 'โร้ดทูไลท์' ก็จะเป็นจริงสักที"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!