มหาทวีปเทียนหยาง
ณ หุบเขากลืนดารา
“ฮ่าๆๆ!!”
มีชายคนหนึ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งภายในหุบเขากลืนดาราพร้อมบาดแผลฉกรรจ์นับไม่ถ้วนโลหิตไหลย้อมทั้วทั้งพื้นดินแถบนั่น
“หนี่เทียนยอมแพ้ซะลมปราณทั่วร่างแตกซ่านสู้ไปก็เปล่าประโยชน์”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสุดอำมหิตพร้อมกองทัพนับร้อยนับพันซึ่งอยู่ข้างหลังของชายวัยกลางคนในมือถือด้วยอาวุธเตรียมเข่นฆ่าสังหาร
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทรยศเช่นนี้ข้าเคยหลงคิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องเป็นสหายเป็นครอบครับของข้า! รู้ตัวรึป่าวว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานเองก็ยังรู้คุณคนมากกว่าเจ้าเสียอีกฟงหยาง!!”
ชายที่ถูกเรียกว่าฟงหยางคิ้วได้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนั้นแต่ก็คลายออกจากกันอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดด้วยนํ้าเสียงที่เย้ยหยันตอบกลับไป
“หึ! ครอบครัวอย่างงั้นรึ! ฝันอยู่ละสิไม่ว่า ข้อเห็นเจ้าเป็นเพียงแค่หินรองเท้าให้ข้าได้เหยียบย่ำขึ้นไปเพียงเท่านั้นและข้ากำลังจะเหยียบย่ำเจ้าให้จมดินเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบฟงหยางก็กำกระบี่ในมือจนแน่นเล็งไปที่คอของหนี่เทียนพร้อมกับฟันอย่างรวดเร็วเหมือนประกายแสงพุ่งผ่านออกไป
“ฟั่ฟ!!”
เสียงหอนจากกระบี่ดังขึ้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาจากแขนขวาไม่ใช่ที่ลำคออย่างที่คิดไว้เนื่องจากหนี่เทียนเอาแขนมากันไว้ได้และได้กล่าวออกไปอย่างเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คน
“คิดจะฆ่าข้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น! หากข้าจะตายข้าก็ขอลากพวกเจ้าลงมาพร้อมกับข้าด้วยอีกคน!!”
เมื่อกล่าวจบก็ได้มีแสงสว่างปานดวงอาทิตย์ออกมาจากร่างกายของหนี่เทียนเหมือนจะย้อมโลกใบนี้ให้มีแต่แสงสว่าง
หลังจากฟงหยางได้เห็นเช่นนั่นหน้าตาของเขากลายเป็นซีดเผือดและได้ตะโกนออกมาอย่างร้อนรน
“แย่แล้วนี้มันจะระเบิดพลังจากดันเถียนออกมาเกินขีดจำกัดทำให้กลายเป็นระเบิด!! ไอ้เวรเอ้ยขนาดโดนยาสลายลมปรานไปแล้วแถมยังจะตายอยู่แล้วแท้ๆยังจะมีแรงไปปะทุพลังออกมาอีก หนีเร็ว!!”
“สายไปแล้วไอ้พวกสวะ!!!”
พลั่นพูดจบร่างกายของหนี่เทียนก็ระเบิดออกมาดัง “ตูม!!!!!” อย่างรุนแรงเหมือนระเบิดปรมาณูถล่มลงมาใส่หุบเขากลืนดาราอย่างแรงทำให้หุบเขากลืนดารากลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของหนี่เทียนล่องลอยขึ้นไปบนนภา
..............
ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายในห้องหมายเลข123มีชายพิการนอนอยู่บนเตียงเป็นโรคร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดต้องนอนเป็นผู้ปวดติดเตียงอยู่ครึ่งค่อนชีวิตสุดท้าย มีงานอดิเรกของตัวเองเช่น อ่านนิยาย เล่นเกมส์ ถึงเขาจะ ฉลาดมากและความจำดีแต่ก็แลกมาด้วยความพิการของเขา ชายคนนั้นได้ถ่อนหายใจพร้อมพึมพำขึ้นมาว่า
“เฮ่อ... ทั้งที่วันนี้เป็นเกิดฉันแท้ๆแต่กลับไม่มีใครมาเยี่ยมสักคนเหมือนเดิม... ก็ใช่นิก็ฉันน่ะมันตัวคนเดียวนี่หว่า... เฮ่อ.... _วย เหอะครับไอ้ _ัส ไม่สนก็ได้วะ เล่นเกมต่อดีกว่า”
“นี่เจ้าน่ะ..”
หลังจากจะเล่นเกมต่อเขาพลั่นได้ยินเสียงกระซิบราวกับเสียงของปีศาจดังขึ้นมาข้างหูของเขา
“ใครอะ!!”
เขาได้หันซ้ายหันขวาแต่ไม่เจอกับใครซักคนเลยพูดขึ้นมาว่า “คงหูฝาดไปเองมั่ง?”
“นี่เจ้าน่ะอยากแข็งแกร่งขึ้นรึหรือไม่? แลกกับความพิการของเจ้าไม่ว่าจะเป็น ร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น เส้นเสียง สายเลือด เส้นลมปราณ กระดูก เส้นเอ็น ประสาทสัมผัส ปัญญา จิตใจ อารมณ์ความรู้สึก โชค และ แม้แต่ วิญญาณ เป็นเวลานับสิบปี แต่ความรู้สึกของเจ้าจะเหมือนกับตกนรกนับร้อยนับพันปี เพื่อแลกกับโอกาส ถ้าเจ้าไม่รู้สึกอยากตายสะก่อนละก็นะ หึหึ......”
เสียงกระซิบยังคงดังออกมาจนจบเขาจึงถ่ามไปต่างๆนาๆทั้งตะโกนทั้งด่าแต่ก็ไม่มีใครตอบกับมาสักทีเขาจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า
“ฮ่าๆๆ ถ้ามันทำให้ฉันลุกขึ้นจากเตียงบ้าๆนี้ได้ละก็ไม่ว่าขอเสนออะไรจะให้พิการมาเกือบชีวิตแล้วจะให้รอสักหน่อยจะเป็นไรไปต่อให้เป็นยังก็ยอมละวะ”
“ย่อมได้....”
เสียงนั้นได้ดังขึ้นอีกครั้งและเงียบไป
“สงสัยฉันจะหลอนแล้วละม้างง--”
“ตึกตัก! ตึกตัก!”
เสียงหัวใจของเขาได้เต้นอย่างรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมา
“ตี๊ดดดดดด.........”
ทันใดนั้นเสียงของที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ส่งเสียงร้องออกมาหมายความว่าหัวใจของเขาไม่เต้นอีกต้อไปแล้วชั่วนิรันด์
หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็ลอยออกมาจากร่างและได้พุ่งขึ้นไปทะลุเพดานห้องลอยขึ้นไปบนท้องนภาอีกครั้ง
............
มหาทวีปเมฆาฟ้า
จิตวิญญาณทั้งสองดวงนั้นได้ล่องลอยไปยังมหาทวีปเมฆาฟ้าลอยเข้าไปในบ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนติดเตียงอยู่ ภายในห้องไม่มีของตกแต่อะไรทั้งนั้นมีแต่ของจำเป็นจำพวกเตียง โต๊ะ เก้าอี้ โต๊ะวางของที่อยู่ข้างเตียง พร้อมกับเทียนที่ดับอยู่ มีช่องหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง
ทันใดนั้นก็มีวิญญาณสองดวงลอยเข้ามาภายในแล้วพุ่งเข้าไปในร่างของของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเป็นหรือตายกันแน่ร่างกายของเด็กหนุ่มพลั่นกระตุกขึ้นมาอย่างแรงจากนั้นก็แน่นิ่งไป
ภายในร่างกายของเด็กหนุ่ม “นายเป็นใคร!? เจ้าเป็นใคร!? เจ้าเป็นใคร!?”
ภายในร่างกายของเด็กหนุ่มได้เกิดเสียงพร้อมกันทั้งสามเสียง เสียงทั้งสามคล้ายกันมากจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครแต่เสียงสุดท้ายนั้นจะเสียงเด็กลงไปหน่อยจึงพอจะแยกออกได้
“ฉันถามว่--- ข้าถามว่--- ข้าถามว่---”
แต่ว่าก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรจบก็ได้มีความทรงจำ ประสบการณ์ ความรู้สึก หลั่งไหลเข้ามาราวกับนํ้าที่ไหลเชี่ยวกรากถาโถมเข้ามาภายในจิตวิญญาณของพวกเขาทั้งสามคนพร้อมกันและได้พูดออกมาพร้อมกันว่า
“ข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า! จิตวิญญาณนี้เราจะหล่อหลอมมันเข้าด้วยกันให้กลานเป็นเนื้อเดียวกันเป็นทั้ง เพื่อน ทั้ง พี่ ทั้ง น้อง และครอบครัวคนเดียวที่มี”
พวกเขาพูดออกมาราวกับว่ามีโปรแกรมตั้งไว้ว่าให้พูดอะไรเหมือนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ข้าไม่ได้จะพูดเช่นนั้นนะมันน่าอายจะตายชัก*x3” (*x3 คูณสาม สามคนพูดพร้อมกัน)
เมื่อพวกเขามีความทรงจำเดียวกันคำพูดบางคำจึงเปลี่ยนไปด้วย
“ดูเหมือนพวกเราจะต้องหล่อหลอมจิตวิญญาณเขาด้วยกันก่อนเนื่องจากร่างหนึ่งร่างมีวิญญาณได้แค่ดวงเดียว”x3
พวกเขาได้มองจิตวิญญาณของกันและกันอยู่อย่างนั้นและเดินเข้ามาที่จุดศูนย์กลางเหมือนจะหล่อหลอมวิญญาณเข้าด้วยกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน!
พวกเขามองหน้ากันสักพักจึงมีร่างหนึ่งถามออกไปว่า
“เดี๋ยวก่อนๆก่อนจะหลอมรวมกันพวกเรามานั่งจับเขาคุยกันก่อนเป็นไง?”
จิตวิญญาณทั้งสองเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงมองหน้ากันแล้วตอบกลับไป
“ดีเลยข้าเองก็ไม่อยากใช้จิตวิญญาณของตัวเองหลอมรวมกับใครนักหรอก”
“อืม..”
ทั้งสอง‘คน’พยักหน้าส่วนร่างที่เล็กกว่า‘คน’อื่นหนึ่งส่วนเพียงพูดคำว่า‘อืม’เพียงคำเดียวฟังเสียงแล้วดูเป็นคนมืดมนสุดๆ
“งั้นฉั-ไม่สิข้าจะเรียกตัวเองว่าบี1ส่วนพวกเจ้าบี2แล้ว3ก็แล้วกันนะ?”
ทั้งสองพยักหน้าเนื่องจากพวกเขาไม่มีปัญหาอะไร
“เอาละงั้นข้าขอถามหน่อยว่าพวกเราตายกันแล้วหรอ?”
เนื่องจากวิญญาณยังไม่ได้รวมกันอย่างสมบูรณ์จึงมีเพียงความทรงจำของคนอื่นเล็กน้อยพวกเขารู้จักกันว่ามาจากไหนชื่ออะไรเพียงเท่านั้นไม่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรขนาดนั้น
“ใช่แล้วจิตวิญญาณคือแกนหลักของร่างกายหากไม่มีวิญญาณก็เท่ากับตายก็คล้ายๆวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีร่างกายยิ่งนานวันวิญญาณก็จะสลายหายไปหรือไม่ก็กลายเป็นวิญญาณร้าย”
บี2อธิบายออกมาอย่างใจเย็น
“แล้วหลอมรวมวิญญาณละคืออะไร?”
บี1ขมวดคิ้วและถามกลับมาอีกครั้งบี3ก็มองไปที่บี2เช่นกันเนื่องจากเขาก็อยากรู้เพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน
“หลอมรวมวิญญาณคือวิธีการพิเศษที่จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งในล้านแต่เป็นเพียงวิญญาณแค่สองดวงเท่านั้นแต่ตอนนี่มีถึงสามดวงคงไม่ต้องถามถึงโอกาสที่ตะเกิดขึ้นเพียงน้อยนิดจนไม่ต้องคิดด้วยซํ้าเอาจริงๆมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยเพียงแต่การหลอมรวมวิญญาณก็คือการต่อสู้ขนาดย่อมๆกันก็ว่าได้เนื่องจากจะมีวิญญาณเพียงดวงเดียวที่จะได้ครองร่างกายนี้คนที่ได้ครองคือคนที่จะได้ประสบการณ์ความทรงจําพรสวรรค์และอื่นๆ”
พูดจบบี1และบี3ร่างกายพลั่นสั่นสะท้านอย่างรุนแรงไม่คิดว่าการหลอมรวมวิญญาณจะเป็นการแย่งชิงกันเช้นนี้พวกเขาคิดว่าคงจะเป็นการแบ่งร่างกายกันใช้อะไรทำนองนั้น
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกังวนไปจิตวิญญาณของข้าได้รับบาดเจ็บหนักไม่สามารถช่วงชิงร่างกายของใครได้หรอก จะเหลือก็แต่พวกเจ้าสองคนจะเอากันยังไงข้าต้องการเพียงคนเอาเคล็ดวิชาที่ข้าสร้างไปใช้เพียงเท่านั้นเองให้มันได้ผงาดบนโลกใบนี้สักครั้งหนึ่ง!!”
เมื่อได้ให้ทั้งสองคนมีสีหน้าซีดๆจึงได้หัวเราะออกมาพร้อมทั้งอธิบายให้ทั้งคู่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของเขาว่าต้องการหาคนที่จะทำให้เคล็ดวิชาของเขาผงาดขึ้นสักครั้งหนึ่งเพราะเขาทุ่มแทไปกับมันนับร้อยนับพันปีเพื่อจะสร้างเคล็ดวิชานี้ออกมาเนื่องจากโดนสังหารก่อนจะได้ใช่เคล็ดวิชาของตัวเองด้วยซํ่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าวิชาของตัวเองทำอะไรได้เหมือนกันเขาเพียงรู้ว่ามันทำอะไรได้คร่าวๆไม่ได้รู้ไปซะทั้งหมด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมเพราะรู้สึกว่าบี2แข็งแกร่งมากเนื่องจากเขารู้เรื่องหลายๆเรื่องเลยทีเดียว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องต่อสู้กันอยู่ดีมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ไปต่อ บี1และบี3ได้มองหน้ากันเป็นเวลานานหลังนั้นบี3ก็ทำหน้าหมือนคิดอะไรออกและเขาก็ได้พูดออกมาด้วยนํ้าเสียงของเด็กหนุ่มแต่ฟังดูแล้วยังไงก็มืดมนสุดๆอยู่ดี
“เจ้าเองร่างกายนี้ไปเถอะร่างนี้เป็นของข้าเอง”
“ร่างนี้เป็นของเจ้า?”
บี1ถามออกไปอย่างไม่น่าเชื่อนี้เขาคิดว่าบี3ก็เป็นเหมือนพวกเขาที่จิตวิญญานออกจากร่างมาที่นี้
“ถูกต้อง ร่างนี่เป็นของข้าเอง”
“ทำไม?”
บี1ถามด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องให้ร่างเขา
“ข้า...ตายแล้ว!”
“ตายแล้วแต่วิญญาณยังอยู่ในร่าง!?”
บี3พยักหน้าให้บี1เพื่อเป็นการให้ตอบกับเขา
“อืมม...แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องให้ร่างกายแก่ข้า”
บี1คิ้วขวมดเข้าด้วยกันเป็นปมเพราะเขาก็ไม่เขาใจอยู่ดีว่าทำไม
“นี่เจ้าคนทวีปอะไรเนี่ย?ไปหลบอยู่หลังเขาที่ไหนมาไม่เข้าใจเรื่องพื้นๆแบบนี้ได้ไง?”
บี2อดจะพูดออกมาไม่ได้เขาเริ่มจะรู้สึกปวดหัวแล้วตอนนี้แม้จะไม่มีร่างกายก็เถอะไม่รู้จักเรื่องการหลอมรวมไม่ว่าเพราะเรื่องหลอมรวมน้อยคนนักที่จะรู้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยสะอีกแต่นี่เรื่องคนตายยังไม่รู้เรื่องเลยเขาไม่รู้จะพูดอะไรดี
บี1เลยพูดออกมาอย่างเขินๆว่า“ก็..ก็..ข..ข้าไม่รู้นิหน่าข้าไม่ใช่คนของโลกนี้ด้วยซ้ำข้ามาจากทวีปเอเชียประเทศไทยพอใจไหม!??”
เขาแสร้งทำเป็นโกรธเพื่อกลบเกลื่อนความเขินของเขาเอาไว้
“ไม่ใช่คนของโลกนี้??”
บี2และบี3พูดออกไปพร้อมกันด้วยความตกตะลึงไม่คิดว่าบี1ไม่ใช่คนของโลกนี้
“ใช่! แล้วจะทำไม?!”
บี1พูดออกไปด้วยความโกรธมีหน้ามาด่าเขาว่าเด็กหลังเขาไม่รู้เรื่องทางโลก ‘เจ้าน่ะสิพวกหลังเขา!! รู้จักมือถือรึป่าวก็ไม่รู้ หึ!’ เขาได้แต่พูดขึ้นมาในใจตัวเขาเองก็ไม่กล้าพูดออกมาโดยตรงเพราะกลัวโดนลากไปซ้อมแม้จะไม่มีร่างกายก็เถอะ
เมื่อเห็นบี1ถลึงตาใส่เขาแล้วพูดด้วยนํ้าเสียงโกรธๆจึงได้พูดขอโทษออกไปและอธิบายให้เขาฟัง
“ก็ได้ๆ ข้าขอโทษด้วยที่ไปว่าเจ้าเช่นนั้น ความจริงแล้วคือคนที่ตายแล้วนั้นจะไม่มีสิทธิ์ใช้ร่างของตัวเองอีกต่อไปถ้าตายแล้วใช้ร่างตัวเองได้แล้วตายไปทำไมจะไปเกิดใหม่ทำไม?”
พอบี1ได้ฟังแล้วเขาก็เข้าใจได้ในทันที นั้นสิถ้าตายแล้วใช้ร่างเดิมได้จะตายไปทำไมจะมีวัฎจักรของชีวิตได้ยังไง พอฟังแล้วมันก็สมเหตุสมผลดี
“ถ้าข้าหลอมรวมวิญญาณแล้วพวกเจ้าจะได้ไปเกิดใหม่หรือไม่?”
บี1พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนๆพร้อมครุ่นคิดอย่างหนักว่าถ้าเขาหลอมรวมจิตวิญญาณแล้วพวกเขาจะได้ไปเกิดใหม่ไหมเพราะเขาก็เป็นห่วงหากรวมกันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พวกเขาก็แย่น่ะสิ
เมื่อได้ฟังบี1พูดเช่นนั้นบี2และบี3พลั่นยิ้มออกมาจางๆยากจะสังเกตุเห็นได้ บี2จึงกล่าวออกไปว่า
“ไม่ต้องเป็นห้วงไปเจ้าแค่ได้หลอมรวมจิตวิญญาณของพวกเราเฉยๆไม่ได้รวมวิญญาณจิตวิญญาณกับวิญญาณมันต่างกันนะหากเจ้ารวมวิญญาณของเราจริงๆละก็ข้อจะสาปแช่งเจ้าให้ตายๆไปซะเลยดีกว่า”
“ฟู่ว! ได้ยินอย่างงั้นก็ดีข้าคิดว่าจะได้ทำบาปซะแล้ว!”
บี1ได้หายใจออกมาอย่างแรงพร้อมแสดงสีหน้ายินดีออกมาเต็มใบหน้าของเขายิ้มแฉ่งจนจะถึงหูอยู่แล้ว
“ก็เป็นเช่นนี้แหละงั้นมาเริ่มกันเถอะ”
“แหะๆ แล้ว....ต้องทำยังไงบ้างละ?”
บี1ได้ยิ้มแห้ยๆออกมาพร้อมกับถ้ามด้วยถ้าทีกระอักกระอวนเนื่องจากเขาไม่รู้อะไรเลย
เมื่อบี2ได้เห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของบี1ก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ ง่ายมาก! เพียงแค่ดูดซับจิตวิญญาณของพวกข้าเข้าไปเท่านั้นเอง”
บี2ได้อธิบายออกมาอย่างเรียบง่าย
“แล้ว?”
บี1ได้ถามกลับไปอีกครั้ง
“แล้วอะไร?”
บี2ได้ถามกลับไปยังบี1ด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วจะให้ข้าทำยังไงต่อละ? อธิบายให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยได้มั้ย?โลกที่ข้าอยู่ไม่มีอะไรแบบนี้หรอกนะจะบอกให้”
บี1เมื่อเห็นท่าทีมึนงงของบี2เขาจึงพูดออกไปอย่างใจเย็น
“ไม่มี? งั้นพลังปราณก็ไม่รึ!? โลกของเจ้ามันเป็นสถานที่กันดารแบบไหนกันแน่เนี่ย มันต้องเป็นที่ที่ล้าหลังมากแน่ๆข้าว่านะ” บี2ได้หลุดปากพูดด้วยความตื่นตะลึงไม่คิดว่าแม้แต่พลังปราณก็ไม่มี บี3ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของบี2
“เจ้า....พวกเจ้าสิล้าหลัง!!!” บี1ถลึงตาใส่พวกเขาแล้วตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
เขาปรื๊ดแตกขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำพูดทำนองนี้เป็นครั้งที่สองความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนมีมนุษย์ยุคหินชี้หน้าด่าเขาว่าล้าหลังอยู่ก็มิปาน
บี2บี3 “.......”
“อะแฮ่ม! ง่ายมากๆเพียงแค่ตั้งสมาธิแค่นั้นเอง” บี2รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีถ้าปล่อยต่อไปเกรงว่าจะไปกันใหญ่
“แค่นั้น?” บี1ขมวดคิ้วและถามออกไปอีกทีนึง
“ใช่ แค่นั้นแหละ” บี2พยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง
“......ก็ได้ๆงั้นมาเริ่มกัน” บี1พูดด้วยความเหนื่อยหน่ายเขาเริ่มหมดความอดทนแล้วคิดว่าค่อยไปตายเอาดาบหน้า
บี2ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินไปหาบี1 เมื่อบี3เห็นบี2เดินไปจึงได้เดินตามไปด้วย บี1เห็นพวกเขาจริงจังขนาดนี้จึงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“จับมือพวกข้าไว้” บี2กล่าวและยื่นมือไปหาบี1
บี3ก็ได้ทำการเลียนแบบบี2 เขาไม่พูดอะไรสักอย่างจนดูจืดจางลงไปเลย
บี1จึงได้ยื่นมือไปจับมือของบี2และบี3ไว้จนแน่น
“ทำใจให้สงบ...แล้วก็อย่าร้องละ..” บี2พูดจบเขาก็ได้ยิ้มออกมาอย่างคลุมเครือ
“หมายความว่าไง?” บี1ถามด้วยความมึนงง
“ความจริงแล้วไม่ต้องจับมือกันก็ได้ข้าแค่อยากจับมือเจ้าเฉยๆเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ”
บี2ไม่ได้ตอบคำถามของบี1แต่กลับพูดเรื่องจับมือพร้อมกับหัวเราะออกมาเฉยเลย
“แกรก!”
พรั่นบี2พูดจบก็ได้มีเสียงแตกหักดังขึ้นหากมองดูดีๆจะพบว่าร่างของบี2เกิดรอยร้าวขึ้นมาตามร่างกายของเขาและเริ่มแตกกระจายออกไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยกลับกันแล้วยังเร็วขึ้นไปเรื่อยๆเสียอีก
ครู่ต่อมาก็ได้มีเสียงดัง ‘เพล้ง’ เหมือนมีเสียงแก้วแตกดังออกมาจากร่างกายของบี2และร่างของเขาก็ได้แตกกระจายออกมากลายเป็นละอองแสงที่ดูราวกับแสงของหิ่งห้อยก็ได้ลอยเข้าไปในร่างกายของบี1อย่างรวดเร็ว
เมื่อบี3เห็นบี2ได้กลายเป็นละอองแสงเขาก็เขาใจได้ทันทีว่าไม่จำเป็นต้องจับมือด้วยซ้ำพวกเขาเพียงแค่ต้องสลายจิตวิญญาณของเขาเท่านั้นหรือก็คือเต็มใจที่จะสลายจิตวิญญาณหากว่าไม่ ก็มีเพียงทางเดียวนั้นก็คือการต่อสู้จนกว่าจิตวิญญาณของใครสักคนนึงแตกสลายไปและดูดซับจิตวิญญาณเข้าไปในร่างกายของตนมีเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ชนะไม่ยอมจำนนก็โดนสยบ
แม้บี3ไม่ได้เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดแต่เขาก็พอเดาได้ลางๆว่ามันเป็นยังไง บี3จึงได้กล่าวกับบี3ก่อนที่เขาจะสลายจิตวิญญาณของตนเองไป
“เอาละถ้างั้นลาก่อนและดูแลร่างกายของข้าด้วยละแม้ร่างกายของข้าจะอ่อนแอก็เถอะไม่สิเข้าขั้นไร้ค้าแถมยังโดนกลั่นแกล้งอย่างหนักดูแลตัวเองด้วยละสหาย...” บี3กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
พูดจบร่างของเขาก็เกิดรอยร้าวขึ้นและแตกกระจายกลายเป็นละอองแสงไป
ก่อนที่บี1จะได้พูดอะไรละอองแสงเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นประกายแสงพุ่งเข้าใส่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว พวกมันถ่าโถมเข้าไปในร่างกายของเขาราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกรากพร้อมที่จะชีกกระชากร่างกายของเขาให้กลายเป็นชิ้นๆ
“อึก! อ๊ากกก!!!!!!”
บี1กรีดร้องออกมาด้วยความทรมานร่างกายของเขาราวกับจะถูกชีกออกจากกันและเชื่อมต่อเข้าด้วยกันใหม่ซํ้าไปซํ้ามาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดความรู้สึกของเขาตอนนี้อย่างกับตกนรกทั้งเป็นมันเป็นความรู้สึกที่ตายดีกว่าอยู่จะตายก็ตายไม่ได้ ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วกับคำว่า ‘อย่าร้องละ’ ของบี2หมายความว่ายังไง
“ไอ้เวรเอ้ย..! โคตรทรมานเลย! ไอ้คำว่า ‘อย่าร้องละ’ ของแกเนี่ยหมายความว่าไง! ใคร...ใครมันจะไปทนได้วะ!?? อึก!! ”
บี1ได้พูดออกมาด้วยความยากลำบากหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยนํ้าหูนํ้าตาพร้อมทั้งหยาดเหงื่อเต็มร่างกายและใบหน้า ตัวเขาดูเหมือนคนเพิ่งตกนํ้ามาหมาดๆ บี1ได้นอนขดตัวเหมือนกุ้งและดิ้นออกมาอย่างทุรนทุรายพร้อมทั้งด่าออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวดแม้จะไม่ได้ช่วยให้มันเจ็บน้อยลงก็ตามที
...............
หนึ่งชั่วยามผ่านไปเขาก็ยังร้องออกมาไม่หยุดพร้อมทั้งเสียงสบถ(สะ-บด)ด่าอย่างหยาบคายตามเสียงร้องของเขา
สองชั่วยาม...
สามชั่วยาม.....
.................
ห้าชั่วยาม
แม้จะผ่านมาแล้วห้าชั่วยามเขาก็ยังนอนขดตัวอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หากเป็นจิตวิญญาณดวงเดียวเขาคงจะเจ็บปวดน้อยกว่านี้แต่เขาดูดซับสองดวงวิญญาณจึงเจ็บปวดมากว่าเดิมสองเท่าตัวและคงเสร็จตั้งแต่ครึ่งวันไปแล้วแต่เขาก็ต้องทนต่อไป
“เชี่ยเอ้ย!!! โคตรเจ็บ!!! เมื่อไหร่จะเสร็จวะเนี่ย!!”
บี1ยังคงด่าออกไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!