สมุนมารที่จอมมารฝึกไว้จำนวนหนึ่ง ได้รับคำสั่งจากเจ้าหญิงให้กระจายตัวกันไประดมพลมาเป็นทหารของเจ้าหญิง โดยพวกเขามีหน้าที่อ่านสาส์นจากเจ้าหญิง ในที่ประชุมชาวบ้าน โดยมีใจความดังนี้
"ข้าคือเจ้าหญิงรัตติรัตน์ ผู้เป็นพระธิดาแห่งเจ้าโลกคันธารา แห่งเมืองสหพันธ์พิทักษโลก ข้าต้องการทหารภายใต้การนำของข้า เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ตอบโต้ศัตรูและสร้างความอยู่ดีกินดีของประชากกรของข้า พวกเจ้าจงยินดีมาอยู่กับข้า ข้าขอกล่าวเพียงสั้นๆแค่นี้ พวกเจ้าต้องไปกับบริวารของข้า แล้วพวกเจ้าจะได้พบกับข้าในที่นัดหมาย"
สมุนจอมมารได้ช่วยเจ้าหญิงระดมคนในหมู่บ้าน จากหมู่บ้านรวมเป็นตำบล จากตำบลรวมเป็นอำเภอ เมื่อมาถึงอำเภอใดอำเภอหนึ่ง เหล่าชายชกรรจ์ที่ถูกทั้งบีบทั้งบังคับและทั้งสมัครใจ ก็จะได้พบกับเจ้าหญิง.....
สมุนมารทำได้แค่อ่านสาส์น ใช้กำลังและบีบบังคับในการระดมพล เพื่อระดมพลให้ได้มากที่สุด บางคนยังมีภาระทางบ้าน บางคนมีพ่อแม่แก่ๆ มีลูกเล็กเด็กแดงที่ต้องดูแลแต่สมุนมารไม่ฟังเสียงใคร พวกมันใช้พลังมารที่ได้รับการถ่ายทอดมาทำร้ายชาวบ้านที่ขัดขืน หากหมู่บ้านไหนที่มีคนขัดขืนจำนวนมาก**.........*นั่นก็คือจุดจบของพวกเขา..........***หลายคนและหลายหมู่บ้านที่ต้องพบกับความสูญเสีย เพราะการกระทำอันไร้ปรานีของสมุนมาร ชาวบ้านมีทั้งรักเจ้าหญิง มีทั้งหวาดกลัว และมีทั้งเกลียดชัง แต่ทุกคนที่ถูกเลือกก็จำต้องเดินทางไปพบเจ้าหญิง
------------------------------------------
ขุนคีรี เป็นชื่อของเจ้าสำนัก ชื่อจริงที่ผู้คนในสำนักรู้กันก็คือสำนักรวมพลังจิตพิชิตมาร คนภายนอกจะไม่รู้ตำแหน่งศูนย์กลางของสำนัก เมื่อมองขึ้นไปก็จะเห็นเป็นที่พักชั่วคราว กระจายกันอยู่ตามหุบเขา โดยรอบเขา และยอดเขา
ในยามปกติ คณะลูกศิษย์ผู้มีศรัทธาในตัวขุนคีรี ก็จะนำวิธีการที่ได้ศึกษาจากเขา มาฝึกปฏิบัติกันอยู่ยังที่พักของตน และทุกเดือนขุนคีรีก็จะนัดหมายให้ลูกศิษย์มาอยู่รวมกันที่อาคารรวมจิตเพื่อพบปะเสวนากันทักทายกัน เดือนละครั้ง
หลังจากนั้นก็จะพากันออกจากอาคารรวมจิต มาทำการทดสอบพลัง และฝึกผสานพลังกับพลังแห่งธรรมชาติ ณ ลานกำแพงแก้ว ภายใต้กำแพงแก้วจะมีอากาศที่บริสุทธิ์ และมีพลังจิตพิชิตมารหล่อเลี้ยงเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ภายใต้กำแพงแก้วนั้น
**"เราต้องช่วยกันสร้างลานกำแพงแก้วให้มันขยายกว้างใหญ่มากขึ้น เพราะข้าสัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคล ซึ่งไม่ชอบแนวทางของพวกเรา และพวกที่เราปฏิเสธไม่ให้ส่วยแก่พวกเขา เพราะพวกเราเป็นอิสระไม่ได้ขึ้นกับใคร " ** ขุนคีรีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ขุนคีรี ได้สร้างลูกศิษย์หลายคนให้เข้าถึงเคร็ดวิชารวมจิตพิชิตมาร เพื่อให้เกิดพลังจิตพิชิตมาร จนบรรลุถึงขั้นสูงสุดซึ่งสามารถใช้พลังสร้างกำแพงแก้วได้ถึงเจ็ดชั้น และเป็นกำแพงแก้วที่แข็งแกร่งต่อการทำลายของลูกธนูหรือแม้แต่กระสุนปืนได้
"ในยามฉุกเฉิน หรือยามอันตราย ข้าจะให้ลูกศิษย์ทุกคนหลบอยู่ภายในอาคารรวมจิดภายใต้กำแพงแก้ว ที่เราช่วยกันสร้างมันขึ้นมาพวกเราเคยถูกบุกรุกจากพวกบ้าอำนาจมาถึงสี่ครั้งละ และตอนนี้มันจะมีครั้งที่ห้าในเวลาอันใกล้" ขุนคีรีกล่าวย้ำ และเป็นการย้ำทุกครั้งที่จะมีภัยเกิดขึ้น
"รับรองท่านขุน พวกเราจะตั้งใจฝึกฝน และสร้างพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนถึงขั้นสูงสุด เราจะรวมจิตให้เห็นถึงอันตรายต่างๆ และจะรีบนำลูกหลานเข้ามาอยู่รวมกันในอาคารรวมจิดอย่างรวดเร็ว" ลูกศิษย์ทุกคนยืนยันอย่างแน่วแน่
*"อย่าลืมดูแลลูกหลานของพวกเรา หากมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นต้องรีบพาพวกเขาเข้ามาพักยังอาคารรวมจิตอย่างรวดเร็ว พวกเราจะปลอดภัยกันทุกคน"*ขุนคีรีกล่าวย้ำอีกครั้ง
---------------------------------------------------------
ที่ตั้งของสำนักพลังจิดพิชิตมาร นี้อยู่ตรงกลางระหว่างทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ลึกลับ เป็นป่าดงดิบวังเวงที่ผู้คนไม่กล้าบุกรุกเข้าไป
หากว่ามีชาวบ้านทางตะวันออกบางคนหลงหลุดเข้ามาถึงใจกลางสำนักแห่งนี้ได้ คนในสำนักจะถือว่ามีวาสนาต่อกัน
เพราะมิใช่ใครต่อใคนจะหลุดเข้ามาได้ง่ายๆ หากใครมาร้ายประตูมิติก็จะปิด หากมีอาวุธก็จะเกิดกำแพงแก้วกั้นพวกกระสุนเอาไว้ ทั้งหมดนี้เกิดได้จากพลังของการรวมพลังจิดพิชิตมารของบรรดาลูกศิษย์ของขุนคีรี
แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านทิศตะวันออกต้องขวัญผวา เพราะมักจะมีคนร้ายบีบบังคับให้หญิงสาวชาวบ้านเดินทางหายไปทางขุนเขาสลับซับซ้อนแห่งนี้ ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า มันเป็นฝีมือของคนในสำนักขุนคีรีนี้แน่นอน
"พวกผู้หญิง**อย่าเข้าไปใกล้อาณาเขตของสำนักนี้ เป็นอันขาดนะ ไม่งั้นหมดสิทธิ์ออกมาเลยนะ หญิงสาวถูกคนร้ายฉุดหายเข้าไปในป่าเขาแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว"
และนี่คือคำเตือนของคนพื้นล่าง และนี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดความระแวงและหวาดกล้วสำนักบนภูเขาสลับซับซ้อนแห่งนี้ จึงพากันไปขอให้กองทัพสหพันธ์พิทักษ์โลกมาบุกไปเสาะหาลูกหลานที่ถูกฉุดหายไปในสำนักแห่งนี้
"พวกมันเป็นภัยต่อปวงประชา สมาชิกพิทักษ์โลก เราต้องกำจัดให้สิ้น"
กองทับแห่งอาณาจักรสหพันธ์พิทักษ์โลก ได้ทีที่จะบุกสำนักขุนคีรี เพราะสำนักแห่งนี้ไม่ยอมขึ้นกับพวกเขา เจ้าโลกคันธาราจึงใช้ทหารจำนวนหนึ่ง บุกเข้ามายังพื้นที่เขตของสำนักนี้ หวังจะถล่มสำนักขุนคีรีให้ราบคาบ...
... ---------------------------------------------------------...
เป็นที่น่าแปลกที่ว่าแม้จะเห็นผู้คนและบ้านพักเล็กๆกระจายกันอยู่เต็มพื้นที่บนภูเขา แต่เวลาใช้อาวุธปีนระดมยิงเข้าไป มันก็เหมือนกับยิงอากาศเปล่า มันไม่โดนที่พักของพวกเขาแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าผู้คนในสำนักนี้มันสูญหายไปกันทั้งหมด
ทหารพยายามที่จะบุกเข้าไปให้คลุมพื้นที่ จนกระทั่งถึงยังใจกลางแห่งสำนัก พวกเขาจะเห็นเหมือนผลึกแก้วแวววาวครอบคลุม อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่เมื่อพยายามมองเข้าไปก็มองไม่เห็นอะไร แต่กลับเห็นเงาสะท้อนของพวกเขาเองเท่านั้น
ครั้นระดมยิงธนูหรือกระสุนปืนเข้าไป มันเหมือนกระสุนปีนและลูกธนูกระเด้งกลับออกมา ทำให้พวกทหารได้รับบาดเจ็บกันไปหลายนาย เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยุดการโจมดี
นี่แค่สำนักเถื่อนแค่สำนักเดียว ความจริงมันยังมีสำนักอื่นๆอีกหลายสำนักที่ประกาศตนเป็นอิสระจากอาณาจักรสหพันธ์พิทักษ์โลก ซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไปทางตอนเหนือและทางตอนใต้...
... --------------------------------------------------------...
สองยอดขุนพล ผู้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ นัดเจอกัน ณ safe house แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เขาทั้งสองใช้ปรึกษาหารือกันในเรื่องนอกเหนือจากงานในกองทัพ
ขุนพลยอดบัญญนา ซึ่งเป็นผู้มีความเชียวชาญด้านการต่อสู้ทุกรูปแบบ ได้กล่าวกับเพื่อน***"นายรู้สึกอย่างไรบ้างกับกองทัพของเรา"***
ขุนพลหิเนรุ ผู้มีพละกำลังมากมาย ร่างกายมีความแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า***"เราจะคุยกันที่นี่ไม่ได้ เราจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เราไปที่ เซฟเฮ้าส์ของเราดีกว่า"***
เมื่อทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียนร้อย จึงพากันเดินทางไปยังที่นัดหมาย...
เรื่องราวที่ทั้งสองปรึกษากันนั่นคือ "ข้าเบื่อหน่ายกองทัพสหพันธ์เพื่อพิทักษ์โลกเต็มที มันเหมือนตกเป็นเครื่องมือของ พลังมืดบางอย่างที่คอยกดดันให้ใช้กองทัพและอาวุธ ไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผล" ขุนพลบัญญนา เริ่มประเด็นของเรื่อง
"ข้าก็เหมือนกันเพื่อน ตัวอย่างที่ไปทำการถล่มสำนักขุนคีรี ซึ่งไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใครเลย เป็นเพียงแค่ตำบลลึกลับตำบลหนึ่งที่ไม่ติดต่อกับโลกภายนอก และเห็น มีแค่บ้านพักเล็กๆ กระจัด กระจายอยู่ตามป่าตามเขา หามีแม้แต่ฐานทัพที่มีนักรบไม่ได้เลยสักคน แต่กองทัพอันยิ่งใหญ่มานานของเรากลับไปถล่มเขา มันน่าอายวะ" ขุนพลหิเนรุพูดเสริมด้วยความคิดที่เห็นเหมือนกัน
ขุนพลบัญญนาหาเหตุผลสนับสนุนอีกครั้ง****"นั่นนะสิก็แค่ข่าวลือว่าสำนักนี้ บีบบังคับผู้คนให้เข้ามาฝึกพลังอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่เห็นว่าจะน่ากลัวตรงไหน ซึ่งดูแล้วหาอันตรายก็ไม่ได้ แต่ก็มีคำสั่งให้ไปถล่มถึงห้าครั้ง และก็ยังไม่สามารถจับใครมาได้แม้แต่คนเดียว"****
"ข้าว่าข้าจะขออำลากองทัพ ที่เป็นมือเป็นเท้าให้กับ พลังมืดนี้เสียที แต่ว่าการออกจากกองทัพมันเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะพวกมันจะติดตามกำจัดผู้ทรยศ และผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างไม่ลดละ" ขุนพลบัญญนากล่าวถึงเหตุผลที่สำคัญ
ส่วนขุนพลสิเนรุจะเห็นด้วยกับแผนของขุนพลปัญญนา หรือไม่ หรือว่าขุนพลหิเนรุอาจจะหลอกให้เพื่อนถูกจับก็คงต้องติดตามกันต่อไป
... --------------------------------------------------------...
***"มันถึงเวลาละ พวกเราต้องไป ไม่งั้นทั้งครอบครัวโดยเฉพาะลูกๆของเราจะต้องตกเป็นเครื่องมือให้กับพลังมืดนั้นอย่างไม่สิ้นสุดแน่นอน"***ขุนพลบัญญนากล่าวต่อ
"เอาเป็นว่าข้าเห็นด้วยกับเพื่อน แต่เราต้องวางแผนให้ดีว่าจะออกไปอย่างไร" ขุนพลหิเนรุกล่าว
***"ข้าพอมีแผน"***ขุนพลบัญญนาเริ่มเปิดถึงแผนการณ์ที่สำคัญ
***"แผนเป็นอย่างไร"***ขุนพลหิเนรุถามด้วยความตั้งใจ
***"เราจะแกล้งอาสา ออกไปสืบความเคลื่อนไหวของสำนักขุนคีรีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็พากันหนีไปให้ไกล"***ขุนพลบัญญนากล่าวถึงแผนทั้งหมด
ทั้งสองตกลงกันอย่างแน่นหนาเพราะทั้งสองโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันนับไม่ถ้วน ที่พวกเขาเป็นทุกข์ก็เพราะกองทัพของพวกเขาตอนนี้มันถูกแทรกแซงเสียแล้ว และพวกเขาทั้งสองก็ไม่สามารถทัดทานได้
...--------------------------------------------------...
หลังจากพาทหารบางส่วนออกมาได้ สองขุนพลได้ช่วยกันบุกสำนักต่างๆทางตอนเหนือและทางตอนใต้สำเร็จ และได้ตั้งตนเป็นราชาแห่งแดนเหนือและราชาแห่งแดนใต้สองแดนเป็นพันธมิตรอันดีต่อกัน
ราชาแดนเหนือตั้งชื่ออาณาจักรตามชื่อของตนว่า ราชวงศ์ บัญญนา ส่วนราชาแดนใต้ตั้งชื่ออาณาจักรตามชื่อของตนว่าราชวงหิเนรุ
ทั้งสองราชาได้ให้กำเนิดทายาทนับร้อยทายาทแต่ละคนได้รวบรวมเพื่อนสนิทมิตรสหาย เข้ามาร่วมอุดมการณ์ จนในที่สุดจึงเกิดกองทับอันเกรียงไกร
ทั้งราชาแดนเหนือและราชันแดนใต้ ทั้งสองฝึกฝนอบรมทายาทบุตรสาว และบุตรชายให้เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง ด้วยวิทยายุทธทั้งเชิงการต่อสู้และเชิงการวางแผน
ราชวงศ์บัญญนา มีบุตรสาวที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอยู่คนหนึ่งนามว่าเจ้าหญิงบุญญณี มีความเป็นเลิศในทางสร้างสรรค์พลิกแพลงดัดแปลงศิลปะการต่อสู้ด้วยอาวุธนาๆประการ ให้เหมาะต่อเพศสตรี และการมีพรสวรรค์ในการใช้กลยุทธได้อย่างแยบยล
ส่วนราชาแดนใต้มีบุตรชายที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอยูคนหนึ่งนามว่าเจ้าชาย หินุราชหรือเหนุราช ซึ่งมีความเข้มแข็งว่องไว มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคนิคของการต่อสู้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใดก็ตาม เขาจึงเป็นที่เกรงขามของเหล่าบรรดาทหารทั้งหลาย
เจ้าชายและเจ้าหญิง มีอายุห่างกันเพียงสองปี และสองคนนี้เป็นกำลังหลักของการสร้างบ้านสร้างเมือง ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง มีประชากรผู้อยู่ภายใต้การปกครองดูแล ให้ความปลอดภัย และความร่มเย็นเป็นสุขมาเป็นระยะเวลานับห้าสิบปี
ด้วยพันธมิตรทั้งแดนเหนือและแดนใต้ มันทำให้ไม่มีใครกล้ารุกราน แม้แต่โจรผู้ร้ายต่างก็ยอมสยบให้กับสองราชันผู้ยิ่งใหญ่
ส่วนกองทัพแห่งอาณาจักรสหพันธ์พิทักษ์โลก ก็ยังคงยืนหยัดและยิ่งใหญ่ขึ้นทุกปี โดยมีจอมมารอยู่เบื่องหลัง กองทัพจึงเป็นเพียงผู้รับใช้จอมมารเท่านั้น
อาณาจักรทั้งเหนือและใต้ หารู้ไม่ว่าในอาณาจักรของเขาตอนนี้ยังมีทหารแห่งกองทัพพิทักษ์โลกได้มาสอดแนม และหวังปลิดชีพ ราชันแห่งอาณาจักรทั้งสอง
ทหารแห่งกองทัพพิทักษ์โลก ที่มาสอดแนมเป็นใส้ศึกคอยหาโอกาสทุกๆขณะที่จะลอบสังหารดีองค์ราชันทั้งสองดินแดนแต่ยังไม่สำเร็จ
เพราะความรอบคอบประกอบกับฝีมือของขุนพลทั้งสอง จึงทำให้พวกที่หวังร้าย ไม่สามารถทำการได้สำเร็จ แต่พวกมันก็พยายามทำการลอบสังหารอยู่อย่างไม่รู้จบแม้ถูกจับได้ทุกครั้งก็ตาม
แต่ตอนนี้บุตรสาวและบุตรชายของสองขุนพลจะได้มาพบปะกันเหมือนทุกๆปี เพื่อแลกเปลี่ยนวิทยาการและความรู้แก่กัน ตลอดจนเป็นการทดสอบความรู้แก่กัน จึงเป็นโอกาสที่ทหารเสือแห่งกองทัพสหพันธ์พิทักษ์โลกจะทำการได้สำเร็จ...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!