NovelToon NovelToon

กระต่ายน้อยของนายคลั่งรัก

01

ตอนที่หนึ่ง

ชีวิตของคนเราดีชั่วไม่เท่ากัน ประสบพบเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ มากน้อยต่างกัน 

แต่ในวันที่เลวร้ายที่สุด ขอให้จำไว้ว่า ท้องฟ้าอันสดใสมักเกิดขึ้นหลังพายุใหญ่สงบลง 

ซึ่งถ้าคุณยังคงยืนหยัดอยู่ไหว  คุณจะได้พบบชีวิตใหม่อย่างแน่นอน

เช่นเด็กชายตัวเล็ก ๆ ผมสีชมพูอ่อน ดวงตาของเขางดงามสว่างไสวเหมือนคืนจัทร์เต็มดวง เด็กชายที่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์บ้านแตกสาแหลกขาด  กระจัดกระจายกันไป คนละทิศ คนละทาง 

อกอุ่นของมารดา ก็เหลือเพียงเถ้ากระดูกให้เด็กชายได้โอบกอดแทนตัว รับขวัญในวัยสิบขวบ ไร้ญาติขาดมิตร เขาอยู่ได้ด้วยเงินออมของแม่ และข้าวปลาอาหารจากเพื่อนบ้านที่มีจิตใจดี แต่ก็ไม่วาย ที่เขาต้องถูกขู่บังคับ โดยนักเลงซึ่งได้ผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง ให้ทำงานให้กับพวกมัน ชาวบ้านแถบนั้นต่างรู้ดี แต่ไม่มีใครกล้าท้าทายลูกตะกั่วที่อาจลั่นใส่ตน ถ้าไปขัดแข้งขาพวกนั้นเข้า

สองปีที่เด็กชายเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดอย่างหมาจนตรอก เขารู้ว่าควรหาเงินให้ได้มากที่สุด แต่จะต้องไม่เด่นเกินไป   เขาเก็บหอมรอมริบเงินทุกบาท ที่พวกนักเลงจ่ายเป็นค่าแรงอันน้อยนิดทุกเดือน  หวังเพียงสักวันหนึ่ง เมื่อมีเงินมากพอ เขาจะสามารถไปจากนรกแห่งนี้ได้ 

แต่ดูเหมือนสวรรค์นั้นเมตตาเขาไวกว่าที่คิด เมื่อตำรวจบุกจับและวิสามัญนักเลงบางคนที่ขัดขืนการจับกุม

รับขวัญถูกช่วยเหลือเอาไว้ได้ แต่เขาไม่ได้สู่อิสระอย่างที่หวังไว้ เมื่อตกอยู่ในกระบวรการทางกฏหมาย เขาก็ถูกกาหัวให้เป็นเด็กกำพร้า และต้องเข้าไปอยู่ในรั้วของสถานพักพิง ที่มีชื่อว่า สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

ชีวิตในสถานสงเคราะห์ไม่ได้ต่างจากภายนอกมากนัก แถมยังมีพวกเจ้าถิ่นที่หวงของดี  ๆ อยู่อีก อย่างเช่น เวลาที่มีใครบริจาคสิ่งของ  พวกมันจะต้องได้เลือกก่อน และสิ่งที่รับขวัญทำเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายรังแกของพวกมัน ก็คือเขาจะไม่เลือกของ และรอเป็นคนสุดท้ายที่จะได้รับ ซึ่งบางครั้งเขาก็ไม่ได้อะไรเลย แต่รับขวัญยังคงเป็นเด็กดีตามคำสอนของมารดา เขาคอยอาสาช่วยเหลืองานของพี่เลี้ยงเสมอ และยอมเสียรางวัลเช่นขนม และเสื้อผ้า ที่พี่เลี้ยงให้กับพวกขี้อิจฉา มันจึงทำให้รับขวัญอยู่รอดได้ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ แม้จะต้องท่องจำคำว่า อดทน วันละหลายพันครั้งก็ตาม

สามเดือนที่เด็กชายผอมกะหล่องดูขี้โรค  เฝ้าภาวนาก่อนนอนให้เทวดานางฟ้าทั่วทั้งจักรวาลช่วยเขา กระทั่งช่วงสายของวันหนึ่งพี่เลี้ยงก็พาเขาเข้าไปในห้องธุรการ  เพื่อพบสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง  ทันทีที่คู่สมรสตระกูลคลาสก์เห็นรับขวัญ พวกเขาพุ่งตัวเข้ามากอดเด็กชายไว้

"หนู ลูกแม่ แม่ชื่อปริญนะครับ มันอาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่พวกเราอยากมีหนูเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว" ชายหน้าตาสวยเหมือนเทพีในภาพวาด เขามีผมยาวสีชมพูอ่อนเหมือนรับขวัญ กลิ่นหอมอ่อน ๆ  ลอยแตะจมูก และคำพูดอ่อนโยน ทำให้รับขวัญหายจากอาการตื่นตกใจ ไปได้มาก

ผู้ชายอีกคนส่งยิ้มเบา  ๆ  ให้เด็กชาย ผมสีขาวถูกจัดทรงด้วยมูสใส่ผม   กรอบแว่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนาเตอะ แต่ก็ยังเห็นแววหล่อเหลาทรงภูมิที่แว่นนั้นไม่อาจปิดบังได้หมด

"โผเข้ากอดรัดแบบนั้น รับขวัญเขาจะลำบากใจนะ ขอโทษด้วยนะ พวกเราน่ะดีใจมากที่มีสิทธิ์รับเลี้ยงหนู ถ้าตกลง เรื่องทำความรู้จัก ค่อยว่ากันหลังจากนี้ก็ได้จริงไหม" เขาเอื้อมอุ้งมือใหญ่ วางบนศีรษะของรับขวัญ โทนเสียงทุ้มใหญ่กังวาลที่ปกติเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจน่าเกรงขาม แต่เวลานี้เขาพยายามอ่อนโยนที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่าตอนพูดคำว่ารักให้ปริญฟังเสียอีก

รับขวัญยืนนิ่งอึ้ง ในใจเขากำลังถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เขาฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า ดวงตาเรียวสวยสีเหลืองอ่อนวูบไหว ก่อนจะมีน้ำใส  ๆ ไหลออกจจากหางตา ในไม่กี่อึดใจต่อมา

"ผะ..ผม..ผมหรอครับ..ผมจะมีบ้านแล้ว" เด็กชายทำได้เพียงโอบกอดตอบกลับอ้อมแขนอุ่นของปริญ เขาซุกหน้าปล่อยน้ำตาแห่งคำว่าอดทน 

จากเสียงสะอึกสะอื้นก็กลายเป็นเสียงร้องโฮดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ข้างกายนั้น ยังมีปริญและสามีคอยปลอบประโลมเขาอยู่ตลอด 

ท่ามกลางความยินดีของเหล่าพี่เลี้ยง ต่างก็ปลาบปลื้มและยินดีกับเด็กชายที่น่ารัก ขยัน และเฉลียวฉลาด ที่จะได้รับโอกาสมีชีวิตใหม่ แม้ว่าครอบครัวที่รับเขาไปดูแลนั้น จะเป็นตระกูลคลากส์ก็ตาม..

เพียงไม่กี่สัปดาห์เอกสารหลักฐานต่าง ๆ ก็เรียบร้อย พร้อม ๆ กับที่เด็กชายรับขวัญคุ้นชินกับบ้านใหม่ แบบทุกซอกทุกมุม เป็นเพราะคฤหาสน์ตระกูลคลากส์นั้น กว้างใหญ่มาก มีที่ให้เขาวิ่งเล่นและผจญภัยในสวนด้านนอก ถึงจะสงสัยว่าบางจุดบางห้องเป็นที่ ๆ เขาถูกขีดเส้นแดงไว้ ไม่ให้ก้าวล้ำเข้าไปอย่างเด็ดขาด แต่เด็กชายก็ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณพ่อคุณแม่อย่างเคร่งครัด

รับขวัญมีอิสระในเรือนที่ชื่อว่า 'ผลิบาน' มันเป็นเรือนไม้สไตล์ยุโรป ทั้งตัวอาคารและเครื่องเรือนกว่าเก้าสิบหกเปอร์เซ็นล้วนเป็นสีขาว ส่วนที่เหลือมักมีสีชมพูแต่งแต้มเป็นลวดลาย เรือนผลิบานมีขนาดหกสิบตารางวา มันถูกยกให้เป็นชื่อของรับขวัญทันที ที่เขาก้าวเข้ามาอยู่ในเรือนหลังนี้ ซึ่งห้องที่ยังว่าง จะถูกเปลี่ยนแปลงในอนาคต หากว่าเด็กชายต้องการ

"คุณหนูเล็กครับ เอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับตัวคุณทั้งหมด คุณจะต้องเก็บไว้ด้วยนะครับ ส่วนซองนี้เป็นเอกสารเข้าเรียน คุณหนูตรวจสอบอีกครั้งก่อน ผมจะส่งให้ท่านเลขา" ชายวัยกลางคนคนนี้มีชื่อว่า ชาลล์ เขามีหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและพ่อบ้านประจำเรือนผลิบาน

เด็กชายเงยหน้าขึ้นจากหนังสือกฏอันพึงปฏิบัติของตระกูลคลากส์ เขาพยักหน้าแล้วรับเอากองซองเอกสารจากชายวัยกลางคน มาเปิดดูรายละเอียดการเข้าเรียนเป็นอย่างแรก ตามคำบอกของชาลล์ 

พ่อบ้านยืนรออย่างสงบ ลำคอของเขาตั้งตรง คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ชายผู้นี้ยังดูหนุ่มกว่าอายุจริง แม้จะมีผมสีดอกเลาขึ้นแซมให้เห็นอยู่ประปราย ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองเด็กชายคนใหม่ ที่สองคู่รักรับอุปการะ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขารู้ประวัติโดยละเอียดของรับขวัญ แต่สภาพร่างกายของเด็กชายที่น่ารักนี้ ไม่เหมาะสมกับการทำงานให้ตระกูลคลากส์ในอนาคคต 

คนใช้อย่างฉันมีสิทธิ์ไปคาดเดาความคิดของนายใหญ่หรือยังไง แต่เด็กคนนี้ก็โชคดีกว่าสามคนก่อนหน้า ที่จะต้องห่ำหั่นกันเพื่อขึ้นเป็นนายใหญ่ในอนาคต

ชาลล์รู้ได้ด้วยประสบการณ์ของเขา ว่ารับขวัญจะไม่ถูกพี่น้องคนอื่นมองว่าเป็นนคู่แข่งแน่ เพราะกฏระเบียบที่เด็กชายได้รับ เป็นคนละแบบกับของเหล่าพี่ชายที่มาอยู่ก่อน 

หนำซ้ำนายใหญ่ยังยกเรือนผลิบานที่เป็นเรือนหวงห้ามให้รับขวัญอีก ซึ่งตามกฏของตระกูลไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าของเรือนผลิบานได้ แม้แต่นายใหญ่ของตระกูล ที่บางครั้งต้องลงโทษสั่งสอนบุตรบ้างก็ยังทำได้แค่บอกกล่าวตักเตือนเท่านั้น เช่นนี้แล้วหากเขาไม่ภัคดีถวายชีวิตกับเด็กชาย เห็นทีชีวิตนี้ของเขาคงไม่ได้อยู่สงบ สบายอย่างที่เป็นอยู่แน่

"คุณลุงครับพรุ่งนี้ผมต้องเข้าพบคุณพ่อคุรแม่ที่บ้านใหญ่ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นครูสอนพิเศษของผมก็คงจะได้เจอในวันนั้นเหมือนกัน ?" เขาเงยหน้าขึ้นส่งซองเอกสารสมัครเรียนคืนให้พ่อบ้าน

"รายละเอียดไม่มีส่วนไหนต้องแก้ครับ"

"ใช่ครับ คุณหนูเล็ก แต่กระผมว่าครูสอนพิเศษของคุณหนูคงไม่พ้นพี่ชายหรอกครับ นายใหญ่จะต้องให้พวกเขามาสอนคุณหนูแน่" พี่เลี้ยงตอบคำถามด้วยเสียงอ่อนนุ่ม 

รับขวัญเอียงหน้างง ๆ เขาเคยอ่านประวัติพี่ชายที่พ่อบ้านเป็นคนนำมาให้ พร้อมหนังสือกฏ เขาจะไม่สงสัยเลย หากว่าพี่ชายคนโตจะไม่ได้มีอายุสิบห้าปี  พี่ชายคนรองก็อายุแค่สิบสี่ปี และอีกคนก็เกิดก่อนเขาแค่ห้าเดือน แถมเขายังได้เรียนรุ่นเดียวกับพี่ชายคนที่สามอีก 

"กับพวกพี่ ?"

"ครับ ท่านเลขาเกริ่นให้ผมฟังเมื่อวันก่อน  นายใหหญ่คงอยากให้ลูกทั้งสี่คน สนิทกันเร็วขึ้นน่ะครับ"

"เอ่อ..ผมเดาว่า พี่กลเนี่ย ต้องได้เรียนเสริมพร้อมกับผมใช่ไหมครับ" รับขวัญพูดถึงพี่ชายยคนที่สาม 

คุณพ่อบ้านส่ายศีรษะเล็กน้อย

"ผมไม่มั่นใจเรื่องนี้ครับ คุณหนูกลแม้จะอายุห่างจากคุณหนูเล็กไม่กี่เดือน แต่ก็ฉลาดและมีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กทั่วไปมาก"

"ได้พี่ชายช่วยสอน ผมจะตั้งใจให้มาก ๆ แน่นอนครับ" เด็กชายยิ้มกว้างแววตาสดใส เป็นประกายระยิบระยับ รอยยิ้มจริงใจใสซื่อเช่นนี้เอง ที่ซื้อใจพ่อบ้านและเหล่าคนงานในบ้านไปเต็ม ๆ ยิ่งกับผู้อุปการะ ก็คงถูกเสน่ห์ยิ้มหวานนี้เล่นงานด้วยเช่นกัน

"ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนเวลาอ่านหนังสือแล้วนะครับ ดึงเชือกตรงนั้นเรียกกระผมได้ทุกเมื่อ หากคุณหนูต้องการอะไรเพิ่มเติม" เขาค้อมตัวให้เด็กชายที่อ่อนกว่าถึงยี่สิบปี ก่อนจะถอยตัวออกจากห้องไปทำงานของตนที่ยังคั่งค้าง

รับขวัญหันมาสนใจหนังสือเล่มหนา ที่มีเนื้อหาของตระกูลคลากส์ ซึ่งเขาควรเรียนรู้ทั้งหมด แม้จะมีชื่อตรงปกว่า กฏอันพึงปฏิบัติในตระกูลคลากส์ แต่นอกจากกฏเข้มงวดที่จะฝ่าฝืนไม่ได้ และกฏที่พอจะอะลุ่มอะล่วยได้นั้น ยังมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษคนแรก  กิจการต่าง ๆ ที่ทำให้ตระกูลตั้งตัวเป็นเศรษฐี หลักปรัชญา และหลักปฏิบัติเพื่อการเป็นคลากส์ได้อย่างสมภาคภูมิ

ตระกูลคลากส์มีอำนาจมาก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อำนาจเหล่านั้นมาจากผู้คนสรรเสริญ และยำเกรง มีคนมากมายเข้ามาแล้วผ่านไป ทว่าคลากส์ยังคงอยู่ เพราะรู้จักปรับตัวไปตามกระแสของโลก..

"ประโยคพวกนี้กำกวมจัง ถึงจะอ่านออกแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี" เขาถอนหายใจ อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเด็กชายอายุสิบสองปี ก่อนจะปิดหนังสือนั้น แล้วเปลี่ยนใจไปพักผ่อนด้วยการพาเจ้ามาร์ตินออกไปเล่นข้างเรือนผลิบาน

ภายในสวนที่ถูกปลูกด้วยพืชพรรณดอกไม้สีขาว สลับกับสีเหลืองอ่อน การออกแบบและผสมผสานของนักจัดแต่งสวนมืออาชีพ ทำให้สวนข้างเรือนผลิบานแห่งนี้ มีดอกไม้ออกดอกผลิบานตลอดทั้งปี 

รับขวัญมักจะอุ้มมาร์ตินออกมากลางดึกทุกวัน ในช่วงแรก ๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในเรือน เพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ และยังคงตื่นกลัวกับเสียงนกกลางคืน   จิตใต้สำนึกของเด็กชายยังคงหวาดกลัวกับความมืดและที่แคบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเคยถูกพวกนักเลงทำโทษโดยการจับขังเอาไว้ให้อดอาหารทั้งวัน เพียงเพราะแอบกินลูกอมที่เป็นสินค้าเพื่อประทังความหิว แต่หากเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ แล้ว นับว่าเขานั้น โดนทำโทษเบาที่สุด ป่านนี้เพื่อน ๆ จะเป็นยังไงบ้างนะ   

ดวงตาสีเหลืองอ่อนเศร้าซึม ก้มมองสมมบัติชิ้นเดียวที่อยู่ในอ้อมกอดเล็ก ๆ ของตน มันคือตุ๊กตากระต่ายสีขาวที่ตอนนี้ มีสภาพเก่าเก็บตามกาลเวลา เด็กชายตั้งให้มันว่ามาร์ติน ของเล่นที่แม่แท้ ๆ ได้มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด เวลานี้มันคือตัวแทนความคิดถึง ระหว่างเขากับมารดาผู้ล่วงลับ

"แม่ครับ ผมจะไม่ร้องไห้ แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงขวัญแล้วนะ ครอบครัวคลากส์น่ะ ดูแลผมดีมาก" เขากระชับอ้อมแขนกอดกระต่ายน้อยมาร์ตินเอาไว้แน่น สำหรับเด็กชายอายุสิบสองปีเช่นรับขวัญ  ประสบการณ์ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต นับว่าไม่สูญเปล่า มันหล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่ง และมีกระบวนการความคิดที่ดี  บางทีจิตใจของเขาอาจจะเข้มแข็งกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก

บ้านใหญ่ของตระกูลคลากส์นั้น สมควรเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าบ้าน ที่ดินผืนนี้ตกทอดมาหลายรุ่น ผ่านการเปลี่ยนแปลงซ่อมแซมและต่อยอดมาโดยตลอด และหยุดลงในรุ่นของปริญ คลากส์  คุณแม่คนใหม่ของรับขวัญที่เหล่าคนงานต่างเรียกว่านายใหญ่ และสามีของนายใหญ่อย่างนักรบ พวกเขาให้เกียรติเรียกว่านายท่าน

อาคารและโกดังหลายหลังในที่ดินถูกถอนทำลายไปเกือบหมด ตามคำสั่งของนายใหญ่ บอกให้รู้ว่าเขานั้นวางมือจากธุรกิจหลายอย่างที่ตระกูลคลากส์เคยมีเอี่ยวมาตั้งแต่รุ่นทวด และตอนนี้นักรบก็กำลังเก็บกวาดพวกที่ยังตอแยเรื่องธุรกิจไม่เลิกลา

 ผลพวงจากการตัดสินใจของปรริญ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่ก็มีคนกลุ่มใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการชุบมือเติบของเขา แม้สามปีผ่านมา ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ไปพร้อมสถานการณ์เสี่ยงอันตราย แต่ก็มีพวกงูพิษ ที่คอยหาโอกาสทำลายคลากส์อยู่ดี 

ศัตรูตัวร้าย มันคอยจ้องจะล้างผลาญครอบครัวคลากส์มาไม่รู้กี่ทศวรรษ  และต่อให้แพ้มันก็จะกลับมาใหม่ ยิ่งเขารับอุปการะเด็กจากบ้านเด็กกำพร้า พวกมันก็ยิ่งจับจ้อง หาทางชักจูงจิตใจเด็ก ๆ ให้เชื่อฟังแล้วค่อย  ๆ ทำลายตระกูลคลากส์จากภายใน

นักรบและปริญต่างคำนึงถึงเรื่องนี้ดี เพราะแม้แต่สายเลือดเดียวกัน ก็มักหักหลังกันได้หน้าตาเฉย แต่ทว่าทั้งคู่ต่างเชื่อมั่นในสายตาของกันและกัน และหากว่าเด็กที่ตนชุบเลี้ยง หูเบาไปเข้าฝ่ายศัตรู  มันก็คงทำใจได้ไม่ยากนักที่จะจัดการกับพวกเขา 

แต่กับรับขวัญ เด็กชายที่ฉลาดมีไหวพริบในการเอาตัวรอด จากอิทธิพลเถื่อนในย่านสลัมนั้นต่างออกไป  สองสามีภรรยาไม่ได้คาดหวังว่าเด็กชายจะต้องทำงานให้ตระกูล หรือต้องพัฒนาคุณสมบัติให้มากพอที่จะรับช่วงต่อ แต่รับขวัญคือ ลูก ที่พวกเขาอยากมีมาทั้งชีวิตแต่งงาน ใครจะไปรู้ว่า จะมีเด็กที่เกิดมา มีทั้งผิว โครงหน้า  และสีผมเหมือนกับปริญ ส่วนดวงตานั้นเป็นสีเดียวกันกับนักรบ เมื่อทั้งสองคนเห็นรูปของรับขวัญ ผ่านทางเว็บไซต์ พวกเขาไม่รอช้าที่จะติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์ และเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมารับเด็กชายด้วยตัวเอง 

แน่นอนว่านักรบและปริญรักรับขวัญ เช่นดังลูกในไส้ และพวกเขาก็ไม่ละเลยที่จะให้ความรักกับพี่ชายอีกสามคนของรับขวัญอย่างเท่าเทียม

ในวันที่เซ็นมอบเรือนผลิบานให้รับขวัญ  พวกเขาก็ได้แบ่งสัดส่วนของคฤหาสน์ให้กับเด็กชายอีกสามคนด้วย  คฤหาสน์มีโดมเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นตึกส่วนตัวของพ่อแม่ ส่วนหน้าของคฤหาสน์คือพื้นที่ส่วนรวม ทางปีกขวาเป็นของจักรกฤษณ์ (กริช) ลูกคนโต ทางปีกซ้ายยกให้จักรวาล (วาฬ) ลูกชายคนรอง และตึกสามชั้นที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เป็นของลูกชายคนที่สาม ชื่อว่า จักรกล (กล) 

ซึ่งทันทีที่ปริญประกาศออกไปให้เหล่าผู้คนในบ้านได้รู้ สามพี่น้องก็ส่งรายงานขอปรับแต่งพื้นที่ที่เป็นของตนทันที เพราะเด็กทั้งสามคนมีความสนใจและความสามารถที่แตกต่างกัน พวกเขามีอดีตที่เลวร้ายมาเป็นแรงผลักดันให้ตนเองก้าวไปข้างหน้า พรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่าเด็กคนอื่น ๆ ก็เข้าตานักรบและปริญอย่างจัง ทั้งสองจึงทำเต็มที่เพื่อจะสนับสนุนเด็กเหล่านี้ ให้เป็นกำลังสำคัญในอนาคต

"ดูเหมือนเด็กสามคนนั้น จะเอ็นดูรับขวัญเป็นพิเศษนะครับพี่รบ" ปริญกรีดนิ้วเรียวงามไปตามแนวร่องอกของสามี ขณะพวกเขากำลังนอนพักผ่อนในห้องที่เต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์ 

ห้องสมุดส่วนกลาง ที่เจ้าลูกชายอ่านหนังสือกันอยู่ แต่วันนี้เด็กทั้งสามต่างพากันพูดคุยถึงน้องชายคนใหม่ที่นั่งอยู่กลางสวน

ปริญที่ไม่ยอมสวมอาภรณ์เลยสักชิ้น ทำให้นักรบไม่มีสมาธิดูปฏิกิริยาของเหล่าเสือน้อยสามตัวเท่าไหร่นัก นายท่านของบ้านรวบมือบางไว้ไม่ให้ซุกซน เขาฟัดเนื้อนุ่มสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนิ่มอย่างหมั่นเขี้ยว

"อีกสองเดือนก็จะไปยุโรปแล้ว ให้เวลาพี่เคียร์งานเต็มที่เถอะนะครับ" เขาจูมเม้มริมฝีปากล่างของนางพญาจ้าวเสน่ห์ที่อยู่เคียงข้าง

ปริญดันหน้าสามีออกห่างเผยยิ้มหวานยวนยั่วอย่างจงใจ แววตาสีชมพูเข้มเปล่งประกายเชิญชวน

"ปากเนี่ย ขอเวลาทำงาน แต่ทำไมมายุ่มย่ามกับผมละครับพี่รบ" 

"ถ้างั้น ขอสักยก เป็นกำลังให้สามีได้ไหมครับ" นักรบสูดลมหายใจลึก กดกลั้นอารมณ์ที่ถูกอีกฝ่ายปลุกปั่นเอาง่ายๆ ไม่ต่างจากวันแรกที่พบกัน เขารีบช้อนร่างที่มีส่วนเว้าโค้งขึ้นบนตัก ไม่คิดเปิดโอกาสให้ปริญ ปล่อยเขาค้างเติ่งอยู่แบบนี้แน่

"ไม่ได้ครับ อย่างพี่รบครั้งเดียวพอที่ไหน เอาไว้ปริญจะชดเชยให้ทีหลังนะ" ว่าแล้วคนยั่วยุก็พลิกตัวหลบอ้อมแขนสามีออกมาได้อย่ารู้จุด ก่อนจะเดินนวยนาดออกจากห้องนิรภัย ไปเตรียมตัวสำหรับลูกชายใหม่

ร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ คอยดูเถอะปริญ จะทำให้ร้องขอให้หยุดเลยคอยดู  คนเป็นสามีได้แต่มองตามแผ่นหลังเนียนและบั้นท้ายอวบอัด ยังมีเรียวขาที่เขาหลงหัวปักหัวปำนั่นค่อย ๆ เดินห่างออกไป ต่อเมื่อหันกลับมามองจอแสดงผลในห้องสมุดของส่วนกลาง ที่เจ้าสามเสืออยู่อีกครั้ง  แล้วเขาก็ได้เห็นบางอย่างที่จะทำให้นางพญาเช่นปริญ ต้องเต้นเร่านั่งไม่ติดแน่ เพราะขนาดเขาเองยังเกิดอาการหวงลูกขึ้นมาตะหงิด ๆ 

เฮ้ ๆ เจ้าเสือตัวนั้น ทำไมถึงมีสายตาเร่าร้อนแบบนั้นได้ เป็นแค่เสือน้อยเพิ่งหย่านมแท้ ๆ หึ

02

ตอนที่สอง

รับขวัญนั่งอยู่ในห้องโถงส่วนหน้า แม้โซฟาจะใหญ่ นุ่ม นั่งสบายแต่สายตาของพี่ชายที่จับจ้องเขานั้นกลับทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอึดอัด จนต้องห่อตัวลีบเล็กลง พาให้เขานั้นดูผอมแห้งแคะแกรนมากกว่าเก่า คนเป็นพ่อเห็นดังนั้นจึงกระแอมขึ้นเบา ๆ

"อย่ามัวแต่จ้อง แนะนำตัวสิ"

หน้าที่เป็นตัวอย่างที่ดี และผู้นำของน้อง ๆ ผลักดันให้จักรกฤษณ์ ที่มักมีสีหน้าเรียบเฉยและบึ้งตึง ขึงขังขึ้นมาทันที เขาขยับแว่นเล็กน้อย ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง ใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มที่สุด เพราะเขาตระหนักถึงความสำคัญของน้องเล็กคนนี้ดี

"พี่กริชครับ อายุสิบห้า ถึงจะยุ่ง ๆ เรื่องสอบเข้า แต่ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจมาถามพี่ๆได้ทุกเมื่อ แล้วสำหรับขวัญน่ะ พี่อนุญาตให้เข้าออกฝั่งปีกขวาได้อิสระ แต่อย่าซนนักละ" รับขวัญสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อตนและให้ความเป็นกันเอง ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นแววตาขัดเขินจากกริชด้วย 

คนตัวเล็กพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อย ๆ เขาค่อย ๆ ก้าวลงจากโซฟา เดินตรงไปหาจักรกฤษณ์ก่อนจะหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าที่ตนพกติดตัวมาด้วย

"ขวัญไม่รู้ว่าพี่กริชจะชอบหรือเปล่า แต่ขวัญทำเองเลยนะครับ ต่อไปถ้าขวัญดื้อห้ามตีขวัญนะครับ" เขายื่นพวงกุญแจกระต่ายน้อยในมือส่งให้พี่ชายคนโต รอยยิ้มใสซื่อจริงใจนั้น ทำให้คนเป็นพี่ต้องหยิบเอาพวงกุญแจอย่างเสียไม่ได้ ท่ามกลางสีหน้าดีอกดีใจของคนเป็นแม่ ที่ลูกคนเล็กรู้จักฉอเลาะเอาอกเอาใจผู้อื่น

"ขอบใจนะ พี่จะห้อยไว้กระเป๋าสตางค์ก็แล้วกัน" เขาตอบสั้น ๆ และคิดว่าการเอาไปปช้จริง คงไม่ทำให้คนให้เสียน้ำใจแน่ จะว่าไปเจ้าขวัญก็เลือกสีถูกใจเรานะ คงตั้งใจเลือกให้เหมาะกับจุดเด่นของแต่ละคน

จักรกฤษณ์เหลือบมองพวงกุญแจกระต่ายชิ้นที่สอง ที่อยู่ในมือของจักรวาล มันมีลำตัวสีขาวและตาสีแดงเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่ว่าสีหน้าของจักรวาลที่จักรกฤษณ์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้คนที่ไม่คิดสนใจเรื่องอื่น นอกจากการพัฒนาตนเองเช่นเขาเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

"ประวัติคร่าว ๆ ของพวกเราสี่พี่น้อง ทุกคนคงจะรู้กันอยูู่แล้ว สิ่งที่ขวัญอยากจะพูดในวันนี้ก็คือ.." เด็กชายถอยออกจากพี่ชายทั้งสามคน

"ขวัญดีใจที่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับทุกคน ต่อจากนี้ขวัญจะเป็นเด็กดีของทุกคน ขอให้เอ็นดูขวัญกันเยอะ ๆ นะครับ"  ในวงแขนของรับขวัญนั้น มีเจ้ามาร์ตินคอยให้กำลังใจเต็มเปี่ยม เขาจึงยิ้มแย้มได้กว้างกว่าที่เคย 

คนห้องนั้นราวกับว่าได้พบเจอโลกใบใหม่ ที่งดงามสดใส โลกที่ช่วยลบล้างอดีตอันมืดมนไปจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ปริญและนักรบที่ต่างกุมมือทอดมองกันและกัน มาถึงตอนนี้ลูก ๆ ที่พวกเขาเลือกมาอยู่ในบ้าน คงไม่ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งตอนนี้และในอนาคต

"หึ เข้าใจพูดนะเรา แบบนี้พี่จะกล้าดุเราได้ยังไง"

"นั่นสินะพี่ชายใหญ่ น้องเล็กน่ารักขนาดนี้ พี่คนนี้จะเอ็นดูขวัญมาก ๆ เอง" จักรกลพยักหน้าถี่รัวเห็นด้วยกับจักรกฤษณ์ เขาชูพวงกุญแจกระต่ายสีเหลืองขึ้นแกว่งไปมา

พี่ชายคนโตและคนที่สาม ต่างเปิดใจพูดคุยทำความรู้จักกับน้องน้อยเป็นอย่างดี ส่วนคนรองที่เอาแต่นั่งเงียบ และจ้องมองรับขวัญนั้นก็เล่นเอาเด็กชายทำตัวไม่ถูก รับขวัญจึงไม่กล้าเข้าใกล้จักรวาลเลยแม้แต่นิด ทว่าในสายตาของนักรบนั้นเข้าใจความคิดความรู้สึกของลูกคนรองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนเลือกจักรวาลมาเป็นสมาชิกในครอบครัว 

จักรวาลคนนี้ไม่ต่างจากนักรบทั้งลักษณะภายนอก นิสัย และกระบวนการความคิด ความสุขุมเยือกเย็นในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาจากโจทย์ที่นักรบให้ หลายต่อหลายครั้ง ทำให้จักรวาลเป็นลูกที่นักรบไว้วางใจมากที่สุด และหากคนเป็นพ่อเช่นเขาเดาไม่ผิด เจ้้าเสือน้อยตัวนี้ คงกำลังจ้องตะครุบกระต่ายน้อยอยู่เป็นแน่

เด็กนั้นคงคิดว่าไม่อยากมีขวัญเป็นน้อง  ปริญจะสังเกตเห็นไหมนะ นักรบนึกเป็นห่วงขณะเหลือบมองภรรยา

"เดี๋ยวเถอะวาฬ ทำหน้าแบบนั้น คิดจะขู่ให้ขวัญกลัวหรือไง" และแล้วคนเป็นแม่ก็ไม่อาจทนเฉยอยู่ได้ ปริญลุกขึ้นยืนจังก้ามือเท้าเอว ใบหน้าสวยดุดันบอกถึงความไม่พอใจ และจักรวาลจะต้องโดนอบรมส่วนตัวแน่ ถ้ายังปั้นหน้าบึ้งตึง ปล่อยออร่าไม่น่าคบหาอยู่แบบนั้น

จักรวาลเหลือบมองมารดา ต่อด้วยบิดาที่กำลังยกยิ้มมุมปากให้เขาอย่างรู้ทัน ตาแก่นั้น พาเด็กคนนี้มาทดสอบฉันงั้นหรอ เขาหันหน้ากลับมามองเด็กชายที่ให้พวงกุญแจแก่เขา

"เปล่าครับท่านแม่ ผมแค่กำลังคิดว่าจะเอาพวงกุญแจกระต่ายขาวติดตัวตลอดเวลาได้ยังไง" คำโกหกถูกใช้เเป็นคำอธิบาย และมีเพียงคนเดียวในห้องนั้นที่เชื่อสนิทใจ นั่นก็คือน้องเล็กคนใหม่

"ถะ..ถ้าพี่วาฬอยากพกติดตัวตลอดเวลา ขวัญจะทำเป็นเข็มกลัดเล็ก ๆ ให้แทนดีไหมครับ" บรรยากาศตึงเครียดระหว่างรับขวัญและจักรวาลค่อย ๆ หายไป เมื่อผู้เป็นพี่เผยยิ้มบางเบา พยักหน้ารับข้อเสนอ

รับขวัญยิ้มยินดี อยากจะกระโดดโลดเต้น เมื่อในที่สุดพี่ชายคนรองก็ยอมเปิดใจให้เขาแล้ว

แม่ครับ จากนี้ขวัญต้องมีแต่ความสุข แน่เลยครับ

นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน แต่ตอนนี้สิ เหล่าพี่ชายที่แสนดีของเรา ค่อย ๆ เผยธาตุแท้ออกมา พร้อม ๆ กับที่เรารู้ว่าตระกูลคลากส์นั้นมีศัตรูอยู่มากมายแค่ไหน ถึงคุณพ่อกับคุณแม่จะไม่ให้เราเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจก็เถอะ แต่เราก็ไม่สามารถไปไหนมาได้ตามใจ เหมือนเพื่อน ๆ อยู่ดี

เด็กหนุ่มครุ่นคิด แก้มนุ่มโป่งพองขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ ถึงจะเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวเองก็ตาม รับขวัญไม่กล้าดื้อดึงเอาแต่ใจ เพราะพวกที่รับเคราะห์จากความเอาแต่ใจของเขา คงไม่พ้นบอดิการ์ดและพ่อบ้านชาลล์ แต่บางครั้งสิ่งที่แม่บุญธรรมอยากให้เขาทำนั้น มันดูจะเกินเหตุมากไปหน่อย  

เริ่มจากเขาที่โตขึ้น แม่ปริญก็เริ่มเลี้ยงเขาเหมือนเด็กผู้หญิง ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ซื้อชุดเจ้าหญิงให้เขา ใส่เป่าเค้กวันเกิด ยิ่งกว่านั้น ยังบอกว่าจะดูตัวหนุ่ม ๆ มาให้เขาอีกต่างหาก

ถ้าไม่กลัวว่าพี่กลกับพี่วาฬจะเดือดร้อนละก็ เราคงไปกินไอติมกับเพื่อนภพแล้ว หึ!

ขณะที่รับขวัญกำลังตัดใจจากการได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นปกติอยู่นั้น เสียงของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้น

"อยากกินไอศครีมขนาดนั้นเลยหรอ น้าพงษ์ครับ เลี้ยวรถแวะคาเฟ่กระต่ายตรงตึกหัวมุมนั่นที" จักรวาลเอ่ยเสียงเรียบสั่งให้ขับรถออกนอกเส้นทาง

"พี่วาฬครับ ถ้ากลับช้า คุณแม่ต้องคอลสายทางไกลมาดุแน่"

"กิน ๆ ไปเถอะครับ เนื้อหนังจะได้เยอะกว่านี้หน่อย แล้วถ้าพี่พาไป ท่านแม่ไม่ว่าหรอก" คนเป็นพี่ตัดบท เขายกมือปัดผมที่ตกลงมาปิดดวงตาสีเหลืองอ่อนออกอย่างเบามือ

"ไม่ว่าผม แต่ว่าพี่ คราวที่แล้ว..ก็ได้ครับ ขวัญจะกินเยอะ ๆ " สุดท้ายคนตัวเล็กต้องยอมจำนนให้สายตาดุดัน ที่แฝงบางอย่างไว้ภายใน ซึ่งส่วนลึกที่เก็บซ่อนไว้ของจักรวาล ก็เป็นสิ่งที่ทำให้กลางอกของรับขวัญบีบรัด จนหายใจไม่ออกทุกครั้งไป

"เด็กดี" จักรวาลววางมือลงบนเรือนผมสีชมพูอ่อน ที่ทั้งหอม นุ่ม สัมผัสไม่ต่างจากครั้งแรกที่เขาได้แตะต้อง ปลายนิ้วและพวงกุญแจกระต่ายตัวนั้น 

แม้ว่ากลิ่นหวานละมุนละไมจะอยู่แค่เอื้อม แต่จักรวาลต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่มี เพื่อหยุดความคิดบ้า ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ

รับขวัญได้แต่ยอมเป็นเด็กดี ดังคำที่เคยบอกเอาไว้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน แม้บางครั้งอยากถามจักรวาลให้รู้เรื่อง ว่าทำไมคนฉลาด สุขุม และใจเย็นอย่างเขานั้น ถึงได้ไปอาละวาดต่อยตี จนต้องซ้ำชั้น ทำให้ตอนนี้ รับขวัญ จักรวาล และจักรกล เรียนอยู่รุ่นเดียวกัน

ไม่เคยเห็นพี่วาฬโกรธขนาดนั้นเลย มันเรื่องอะไรกันนะ อยากรู้จัง มือเล็กเผลอบีบมาร์ตินเสียแน่น ริมฝีปากจิ้มลิ้มโค้งลงเช่นเดียวกับเรียวคิ้วและแววตาสดใส เริ่มหดหู่ลงเรื่อย ๆ

จักรวาลมองเห็นทุกอากัปกิริยาของน้องเล็ก เขาข่มตาหลับลงเอนตัวพิงเบาะรถ

"ไว้คราวหน้าชวนเอกภพมาด้วย.." ไม่ทันพูดจบเสียงคนที่นั่งเงียบมานานก็โพล่งขึ้น ด้วยอารมณ์หงุดหงิด

"พี่วาฬจะชวนไอ้ภพมาด้วยทำไม เสียบรรยากาศหมด ! " จักรกลตบเบาะที่นั่งข้างตัวน้ำเสียงห้วนจัด เพียงแค่ได้ยินชื่อ เอกภพ เพื่อนสนิทของรับขวัญ ผมสีบรนด์ของเขาขยับไปมา ตามที่อีกฝ่ายกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง

"พี่กลยังโกรธภพอยู่หรอครับ อย่าโกรธภพเลยนะครับ" รับขวัญรีบปรี่ไปนั่งข้าง ๆ เบาะของจักรกลในทันที เขาทั้งกุมมือทั้งเอียงแก้มนิ่มไปกับไหล่ของพี่ชายคนที่สาม ดวงตาสสีเหลืองอ่อนทอประกายออดอ้อนเว้าวอน เสียจนจักรวาลทนดูไม่ได้ จนคนพี่ชายรองต้องสะบัดหน้าหนี ออกไปมองนอกตัวรถ

"ขวัญ พี่เตือนขวัญด้วยความหวังดีนะ ไอ้ภพน่ะมันคนสองหน้า ไว้ใจไม่ได้ เลิกเป็นเพื่อนกับมันเถอะขวัญ" จักรกลคว้าไหล่น้องน้อยเอาไว้ จ้องลึกลงในดวงตาสีนวลชวนฝันนั้น แม้จะถูกฤทธาดวงตาสีอำพัน ทำให้เขาต้องหวั่นไหว จนไม่กล้าหักหาญน้ำใจคนเป็นน้อง แต่เรื่องของเอกภพเรื่องเดียวเท่านั้น ที่เขายอมไม่ได้

รับขวัญชะงักไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าพี่ชายจะเกลียดเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาแบบนี้ ทั้งที่กว่าจะอ้อนแม่บุญธรรมให้ยอมคบเพื่อนคนนี้ได้ เขาต้องยอมทำตามกฏใหม่ไปหลายอย่าง ความน้อยเนื้อต่ำใจ บีบคั้นน้ำตาให้รื้นเอ่อดวงตาของน้องเล็ก

"แต่เขา เขาเป็นคนเดียวที่ยอมเป็นเพื่อนขวัญ ฮึก"

"ขะ ขวัญ ขวัญอย่าร้องไห้นะ พี่ไม่ได้จงเกลียดจงชังหมอนั่นหรอกนะ พี่อาจจะยังรู้จักหมอนั่นไม่ดีพอ.." จักรกลสะดุ้งเมื่อตนเป็นต้นเหตุให้น้องเสียใจ แต่ที่เขาผวาคือรังษีอำมหิตจากพี่ชายคนรองที่เมื่อเหลือบสายตาไปมอง ก็ราวกับถูกดวงตาสีทับทิมนั่นเชือดคอขาดกระเด็น

"เอางี้ไหม พี่จะลองทำความรู้จักกับหมอนั่นให้มากขึ้นดีไหมล่ะ" เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ขมับของเด็กหนุ่มผมบรอนด์ ทั้งที่สันหลังของเขากำลังรู้สึกหนาวเยือก เหมือนยืนหันหลังให้ตู้แช่แข็ง

คนที่กำลังเสียใจ ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างสดใสออกมาทันควัน 

"จริงนะครับ พี่กลกับภพ ต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่"

"พะ พี่ก็คิดอย่างนั้น" จักรกลได้แต่ยิ้มแหย รับคำน้องน้อยทั้งที่ในหัวนั้นมีแต่คำว่าไม่มีทาง ฉันกับหมอนั่นไม่มีทางญาติดีกันแน่

จักรวาลลอบถอนหายใจที่ครั้งนี้จักรกลรู้จักผ่อนปรณ เพราะไม่ใช่แค่เขาที่จะลงโทษคนที่ทำร้ายรับขวัญ แต่ท่านแม่ก็ต้องสำเร็จโทษมันคนนั้นอย่างเลือดเย็นแน่ แม้คน ๆ นั้นจะเป็นลูกก็ตาม 

แต่คนที่ซื่อบื้อ ไม่ได้มีแค่ขวัญสินะ เอกภพคนนั้น ที่เรายอมให้เป็นเพื่อนขวัญได้ก็เพราะ เป้าหมายของมันคือกล ถ้าเจ้านั่นคอยดึงกลที่ชอบติดหนึบกับขวัญไปได้ล่ะก็ ฉันคงมีโอกาสได้อยู่กับขวัญ โดยไม่ต้องแอบปีนระเบียงไปหาเขา จะว่าไป ถ้าฉันปล่อยให้เอกภพเขมือบกลละก็ พี่กริชจะเล่นงานฉันหรือเปล่านะ

"ถึงแล้วครับคุณหนู เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมง ผมจะมารับครับ" พงษ์พัฒน์หรือน้าพงษ์ มองคุณหนูทั้งสามผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นจักรวาลเปิดประตูให้น้อง ๆ ลงรถตามไป เมื่อกวาดสายตาดูโดยรอบ ก็เห็นการ์ดคอยอารักขาอยู่ในจุดที่ช่วยเหลือได้ทัน จึงใส่เกียร์รถขับออกไป

รับขวัญก้าวเท้าเข้าไปในร้านคาเฟ่กระต่ายเป็นคนแรก เขาตื่นเต้นที่จะได้เจอเจ้าปุกปุยตัวเป็น ๆ เพราะพยายามขอคุณแม่เท่าไหร่ ท่านก็ไม่ใจอ่อนให้เขาเลี้ยงสัตว์ ขนาดเขาใช้สิทธิ์เจ้าของเรือนผลิบาน เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะนางพญาน้ำผึ้ง  อย่างปริญ คลากส์ได้

"โอ้ น่ารักจังเลย พี่วาฬดูสิครับ เจ้าตัวนี้เหมือนพี่เลย" ร่างเล็กปรี่เข้าไปนั่งยอง ๆ  มองดูกระต่ายสีขาวตัวใหญ่ทั่วทั้งตัวของมัน โดดเด่นด้วยดวงตาสีแดง และเพราะมันเป็นการะต่ายในร้ายคาเฟ่ มันจึงคุ้นชินกับคนมากหน้าหลายตา   เจ้าสี่ขาขยับเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างรู้งาน คนและสัตว์สบตากันครู่หนึ่ง รับบขวัญก็สามารถอุ้มมันนั่งตักได้แล้ว

"ร้านนี้สำหรับขวัญคงเป็นสวรรค์บนดินเลยสินะเนี่ย เข้าใจเลือกร้านจังนะครับ คุณพี่ชาย" จักรกลผุดยิ้มมุมปาก ปราดมองจักรวาลอย่างรู้ทัน แต่คนเป็นพี่นั้นเนียนมากกว่าที่คิด สีหน้าของจักรวาลยังเรียบเฉย แม้แต่ขนคิ้วยังไม่กระตุกสักเส้น

"จะสั่งอะไรก็รีบสั่ง มีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว"

"จริงด้วยครับพี่กลสั่งเลย สั่งให้ขวัญด้วยนะ ขวัญกินได้ทุกอย่าง" รับขวัญว่าพลางลุกขึ้น บนแขนของเขายังมีเจ้าขนปุยนั่งอยู่

"แล้วขวัญจะไปไหนครับ" จักรวาลยังไม่ทันได้คำตอบ รับขวัญก็วิ่งหายไปอีก

มุมหนึ่งของร้าน

ดวงตาสีทับทิมจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่รับขวัญเดินไป บริเวณนั้นมีภาพแขวนของกระต่าย ผู้นำทางอลิซเข้าไปสู่ดินแดนอันมหัศจรรย์ 

จักรวาลสูดลมหาายใจลึก ๆ พลางสังเกตสิ่งผิดปกติรอบ ๆ ร้าน ที่แม้จะมีคนของตระกูลคลากส์อยู่ปะปนกับคนทั่วไป แต่เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ตอนนี้ไม่เพียงแค่รับขวัญเท่านั้น ที่เขาต้องรับผิดชอบความปลอดภัย ยังมีจักรกลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขากำลังคิดจะปั้นคนหน่วยก้านดีอย่างเอกภพมาฝึก และทำหน้าที่ติดตามจักรกล ถ้าเขาทำได้ละก็ เขาจะได้รับโบนัสจากพ่อแม่ และยังเป็นการกำจัดก้างขวางคอไปด้วย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เอกภพ แต่เป็นพี่กริชต่างหาก คนฉลาดเจ้าเล่ห์แบบนั้นต้องรู้ทันฉันแน่ น่าหงุดหงิดชะมัด

ในจำนวนสามพี่น้องที่ถูกมารดาบิดาบุญธรรมปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็เหลือเพียงกริชและวาฬเท่านั้น ที่ตอบสนองบททดสอบได้ทุกรูปแบบ ส่วนกลที่มีผลการเรียนดีนั้น พอจะฝากฝังกิจการค้าขายได้ แต่น้องคนที่สามนี้ ไม่มีไหวพริบพอสำหรับงานเบื้องหลัง  ทั้งนักรบและปริญ จึงเปลี่ยนแบบแผนให้กล ได้ทำในสิ่งที่ถนัด เพื่อดึงศักยภาพและพรสวรรค์ออกมาได้สูงสุด

"พี่วาฬมีเรื่องกลุ้มใจหรอครับ หน้าเครียดเชียว" กลิ่นหอมหวานลอยมาพร้อมน้ำเสียงห่วงใย รับขวัญยังยืนอยู่ใกล้กับเก้าอี้ของตน ที่เป็นตัวริมทางเดินในร้าน  เขาก้มตัวเข้ามาใกล้กับจักรวาลที่กำลังหลับตาขมวดคิ้วอยู่ ก่อนมือบางจะวางทาบหน้าผากของพี่ชาย ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบาย แต่มือของเขาถูกหยุดไว้ด้วยมือร้อนผ่าวของจักรวาล ที่คว้ามือของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างรวดเร็ว

"พี่คิดเรื่องงานที่ท่านแม่เพิ่งสั่งมาน่ะครับ  ไม่มีอะไรหรอก อ่าวภพ นั่งลงสิ สั่งอะไรหรือยัง" เขากระตุกมือรับขวัญเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายวางกระต่าย แล้วนั่งรอออเดอร์ที่จักรกลเป็นนคนสั่งให้

ภาพลักษณ์ และนิสัย ของเอกภพนั้น ไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่น่าจะมาสนิทกับรับขวัญได้ หากแต่เขาเป็นคนเดียวที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลคลากส์พูดถึงด้วยสีหน้าปลาบปลื้มทุกครั้งว่า 

วันนี้ที่โรงเรียนล้อผม ภพเขาก็เข้าไปปะทะแบบนี้ ๆ เท่มากเลยครับ 

จักรวาลปราดมองเพื่อนสนิทของรับขวัญตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบหนึ่ง เขารู้ว่ารับขวัญเคยพาเอกภพไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ หลังจากนั้นไม่กี่วันเอกภพก็ถูกทดสอบว่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายได้มากน้อยขาดไหน และมันน่าทึ่งมากที่เด็กจากครอบครัวธรรมดา จะผ่านการทดสอบแบบไร้รอยขีดข่วน

แน่นอนว่าจักรวาล ไม่ต้องการให้หน้าไหนได้ใกล้ชิดรับขวัญ แต่เพราะเขาไม่อาจอยู่ดูแลรับขวัญได้ตลอดเวลา เลยจำใจต้องยอมให้น้องชายมีเพื่อนสนิท  ครั้งแรกที่เห็นเอกภพจับมือรับขวัญ เขานั้นหึงจนแทบคลั่ง แต่เมื่อจักรกลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเอกภพ เขาก็ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง 

ทำให้ช่วงเวลานั้นเขาต้องต่อสู้กับตัวเองว่าจะเลือกหึงน้องเล็กหรือหวงน้องชายคนที่สามดี แต่ปัญหาก็จบลง เมื่อเขาเอาเรื่องของเอกภพไปเป่าหูจักรกฤษณ์ได้สำเร็จ ในตอนที่เขาซ้ำชั้น เพื่อจะได้ดูแลน้องทั้งสองนั้น ก็ได้จักรกฤษณ์ช่วยสนับสนุนให้มันผ่านไปได้ด้วยดี

บางที ท่านแม่อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ส่วนตาแก่ถึงคัดค้านก็ต้องยอมตามท่านแม่อยู่ดี จักรวาลไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงพ่อบุญธรรม เขาเคยคิดว่า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ตนนั้นมีผมสีเหมือนกับนักรบ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น ได้เรียนรู้และผ่านประสบการณ์หลากหลาย   ที่ตาแก่คนนั้นประเคนใส่เขา แบบไม่คำนึงว่า ชีวิตของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องเจออะไรมากมายขนาดนี้ เขาก็ได้รู้ว่า นักรบและเขาเหมือนกันเกินไป 

เสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันได้ยังไง เหอะ !

ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มแสร้งยิ้มไปตามเรื่องตามราว ซึ่งเหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่ผิดจากที่คิดนัก หากว่าจักรกลและเอกภพได้นั่งทานไอศครีมบนโต๊ะเดียวกัน  บรรยากาศถึงได้อึมครึมสุด ๆ และถ้าไม่มีเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คงลุกขึ้นมาต่อยกันร้านแตกแน่

03

ตอนที่สาม 

รับขวัญเล่าเรื่องต่าง ๆ ในพิธีปฐมนิเทศน์ที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ ว่ามีอะไรที่ตัวเขาตื่นเต้นบ้าง ยาวไปถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันทั้งหมดสี่คน 

แต่พอเขาพูดว่าได้อยู่ห้องเดียวกัน จักรกลก็ยิ่งทำหน้ามู่ทู่หนักกว่าเก่า เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจตักไอศครีมทานอีกคำหนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือพิมพ์ข้อความถึงพี่ชายคนที่สาม ใจความว่า

ไหนพี่กลจะทำความรู้จักกับภพไงครับ ทำไมยังทำตัวไม่น่ารักแบบนั้นล่ะ

ตริ๊ง

เสียงข้อความแอฟพลิเคชั่นแจ้งเตือนเครื่องของจักรกลดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนจะรีบคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะ ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองรับขวัญที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ ส่วนจักรวาลก็นั่งยืดคอกอดอก ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

ฮึ ทำเป็นนิ่งหรอพี่วาฬ อย่าให้ถึงทีผมบ้าง จะเป็นก้างทิ่มคอให้ทะลุเลย !

จักรกลกลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนจะเริ่มทำความรู้จักกับเอกภพด้วยการเปลี่ยนถ้วยไอศครีมของตัวเองกับของผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ทันที

"กูอยากชิมไอติมของมึงบ้าง สลับแบบนี้คงได้ใช่ไหม" พูดจบจักรกลก็กินไอศครีมต่อหน้าตาเฉย โดยไม่สนว่าเอกภพจะได้กินไอศครีมถ้วยของตนหรือไม่ เพราะเขานั้นกินมันจนหมดแล้ว !

เอกภพเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองสลับสามคนบนโต๊ะไปมา สีหน้าลุ้นระทึกของรับขวัญทำให้เขาพอจะเข้าใจถึงการกระทำผิดปกติของจักรกลได้ เขาจึงยอมเล่นไปตามน้ำ เพื่อให้เพื่อนสนิทสบายใจ

"ไอติมของผมอร่อยทุกรส ถ้าเป็นจักรกลละก็ ผมยอมให้กินทั้งวันทั้งคืน .."

แกร๊ง

"แฮ่ม"

เสียงช้อนหล่นจากมือ พร้อมกับเสียงกระแอมของจักรวาลดังขึ้นพร้อมกัน ประโยคกำกวมแบบนี้ คงมีแต่รับขวัญเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ เพราะยังตักไอศครีมกินอย่างเอร็ดอร่อยหน้าตาเฉย ผิดกับจักรกลที่แทบจะอ้วกออกมาอยู่รอมร่อ 

"อุ่ก แค่กแค่ก" จักรกลอ้าปากจะตวาดคนนั่งข้าง ๆ อย่างเหลืออด แต่เขาลืมกลืนคำที่เพิ่งกินเข้าไปจึงสำลักเสียเอง

รับขวัญรีบหาน้ำมาให้ เพราะนั่งอยู่ริมทางเดิน ใกล้น้ำมาที่สุด

"เห็นไหมครับรีบไปแย่งภพกิน สำลักเลยเนี่ย" คนเป็นน้องกระซิบบ่นพี่ชายเบา ๆ 

ฝ่ายจักรกลได้แต่ก่นด่าพี่ชายและเอกภพในใจเท่านั้น

ทั้งที่ได้ตระกูลร่ำรวยเลี้ยงดูแท้ ๆ แต่ทำไม๊ไอ้กลถึงยังลำบากลำบนขนาดนี้ !

ตกดึกของวันนั้น รับขวัญยังคงขมักเขม้นกับการทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ เขานั้นเข้าใจอะไร ๆ ได้ช้ากว่าคนอื่น ๆ และด้วยความที่มีวิธีเรียนรู้ไม่เหมือนใคร ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเก็บมาทบทวนเองที่บ้าน เพื่อทำความให้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ในแบบฉบับของตัวเอง 

เสียงก้อกแก๊ก ดังขึ้นที่ระเบียงห้องนอน คนตัวเล็กหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่ที่เขาบอกว่ากลัวเสียงนกกลางคืน พี่ชายรองก็มักปีนเข้ามาหาเขาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนแทบจะทุกคืน

"พี่วาฬ เอาอีกแล้วนะครับ ประตูก็มี เข้ามาทางประตูก็ได้" รับขวัญว่าพลางกดเปิดกลอนประตูให้จักรวาลเข้ามาในห้อง

คนตัวใหญ่รีบคว้าร่างหอมนุ่มมากอดไว้ ด้วยความเคยชิน เขาแอบก้มหน้าลงซุกลำคอขาวนวล ที่มักล่อตาล่อใจอยู่เสมอ สูดกลิ่นหอมหวานให้หายคิดถึง

"ไม่เอาครับ ตาแก่ชาลล์เคร่งกฏอย่างกับอะไรดี ถ้าเอาไปรายงานท่านแม่ พี่คงได้งานเพิ่ม แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว" เขาแสร้งพูดเสียงบู้บี้ปน ๆ เหนื่อยล้า เรียกคะแนนสงสารจากน้องน้อย ที่มักตกหลุมพรางเอาง่าย ๆ

"แล้วแบบนี้จะติวให้ขวัญได้หรอครับ อะ กอดแน่นไปแล้ว" คนในอ้อนแขนดิ้นรนเพราะเริ่มอึดอัด อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนอยู่แล้วของจักรวาล เมื่อร่างอ่อนยิ่งถูกรัดมันก็ยิ่งร้อนจนหายใจลำบาก

"ขอกอดให้หายเหนื่อยได้ไหม เด็กดีของพี่" เขาพารับขวัญมาที่เตียง และกดให้ร่างนั้นนั่งลงบนตักเขา ก่อนจะกระซิบอ้อนคนตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

พี่วาฬอ้อนอีกแล้วหรอ เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งขึ้นหรือเปล่านะ เราเองก็แปลก แค่พี่เขากอดทำไมต้องใจเต้นด้วย

"สิบนาทีนะครับ ขวัญยังทบทวนวิชาวันนี้ไม่เสร็จเลย" ที่สุดคนเป็นน้องก็ยอมใจอ่อน ยอมนั่งนิ่ง ๆ เป็นพื้นที่พักผ่อนให้กับพี่ชาย ที่ใจดีมาก  ๆ สำหรับเขา ต่อให้ชื่อเสียงในวงการของจักรวาลนั้น เป็นที่กล่าวขวัญว่าไม่ควรทำให้เขาโกรธ

ฝ่ายจักรวาลนึกครึ้มใจขึ้นมาทันที  เขาเอนร่างตัวเองและน้องน้อย นอนราบไปกับเตียงโดยให้รับขวัญนอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา  เป็นสิบนาทีที่ทั้งสองคน ได้เข้าสู่ภวังค์ที่อบอุ่น และได้รับความรู้สึกในใจของกันและกัน

คฤหาสน์ตระกูลคลากส์อยู่ในย่านชายเมือง ห่างไกลจากแหล่งชุมชนไปอีกเกือบสองกิโลเมตร ในสมัยแรกของการก่อสร้างคฤหาสน์ชาวบ้านบางคนก็บอกว่าที่แห่งนี้ เหมือนไม่ได้สร้างให้มนุษย์อยู่

ยิ่งในยามค่ำคืน มักจะมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากเขตที่ดินของตระกูล ทุก ๆ สัปดาห์ จนผู้คนแถบนั้น ไม่กล้าออกมายามค่ำคืนและขนานนาม คฤหาสน์นี้ว่า บ้านขังวิญญาณ สิบปีหลังสร้างคฤหาสน์เสียงกรีดร้องเหล่านั้นก็หายไป กลายเป็นบ้านที่ผู้คนรู้จักในฐานะเศรษฐีใจบุญ 

แต่ถึงกระนั้นในยามฟ้ามืด ก็ยังไม่มีคนกล้าผ่านไปบริเวณคฤหาสน์ตระกูลคลากศ์อยู่ดี เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำแพงสูงของคฤหาสน์ว่า มีคนเคยพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่คนยืนอยู่บนนั้น และแม้จะเป็นเพียงเงาสีดำในทางเปลี่ยว ก็เขย่าขวัญผู้คนไม่ให้มาท้าทายลองดี

รับขวัญเคยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับบ้านของเขาหลายครั้ง โดยคนที่คอยตอบคำถามแทนก็คือจักรกล ที่มักจะได้เรียนห้องเดียวกันกับรับขวัญมาตั้งแต่ม.ต้น แต่คำที่ออกจากปากของจักรกลนั้น ดูจะเป็นคำด่าสวนกลับเสียมากกว่า 

วันนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่พักเที่ยงรับขวัญก็ถูกล้อมด้วยเพื่อนใหม่ และถามถึงบ้านขังวิญญาณ แต่แทนที่จักรกลจะปรี่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ ด้วยนิสัยห้าวเป้งอย่างที่เคยทำ เขากลับนั่งกัดฟันพึมพัมอยู่เฉย ๆ เป็นเพราะสายตาสะกดสั่งของจักรวาลว่าอย่าก่อเรื่อง และควรปล่อยให้รับขวัญรู้จักแก้สถานการณ์ด้วยตนเองบ้าง

รับขวัญที่ถูกลุมล้อมค่อย ๆ ตอบทีละคำถาม เขาคุ้นเคยกับการที่ใครต่อใครเข้าหาแบบนี้ อาจเป็นเพราะเขานั้นคือคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่อัธยาศัยดีที่สุดก็เป็นได้ 

แต่ในสายตาของคนทั้งห้อง เห็นพ้องต้องกันว่าพี่น้องคลากส์ เป็นกลุ่มคนที่เพอร์เฟ็ค  และความน่ารักติดตาตรึงใจ ทั้งยังนุ่มนิ่มน่ากอดของรับขวัญต่างหาก  ที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้พวกเขาเข้าหาเด็กหนุ่ม 

ดวงตาสีเหลืองนวลเห็นว่าพี่ชายคนที่สาม ไม่เข้ามาว้ากอย่างทุกที ก็เข้าใจได้ ว่าคงเป็นทั้งวุฒิภาวะที่โตขึ้น และคงถูกใบหน้าบึ้งตึงของจักรวาลเพ่งมองอยู่ด้วย ใบหน้าน่ารักเอียงเล็กน้อยครุ่นคิดหาคำตอบเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง บ้านอันแสนสุข อบอุ่น อาหารอร่อย แม้จะมีกฏมากมายก็ตามที

อ่ะ คิดออกแล้ว

"เอาอย่างนี้ไหม วันศุกร์กับวันเสาร์ พวกเธอไปตั้งแคมป์ที่บ้านขวัญไหมล่ะ จะได้หายสงสัย แต่ว่าบ้านขวัญมีกฏเยอะ พวกเธอต้องไม่ทำผิดกฏนะ" รับขวัญเสนอกิจกรรมสนุก ๆ ที่อยากทำ มาตั้งแต่ตอนเรียนม.ต้น เพราะพ่อแม่เคยห้ามไม่ให้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ หรือนอนค้างบ้านใครเลย  คราวนี้ถ้าให้เพื่อนไปค้างที่บ้าน พี่ ๆ ต้องอนุญาตแน่

"ได้ไหมครับพี่วาฬ" ยังไม่ทันได้คำตอบจากเพื่อนหญิงชายที่ยืมล้อมอยู่ รับขวัญก็หันไปขออนุญาตพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างหลัง  พาให้คนที่ยืนอยู่ทั้งหมดมองตามคนตัวเล็กไป

จักรวาลถูกสายตาหลายคู่จ้องมอง  ความรู้สึกหลากหลายส่งผ่านดวงตาเหล่านั้นออกมาอย่างชัดเจน แต่เขาไม่ได้สนใจใครอื่นนอกจาก ใบหน้ารูปไข่และริมฝีปากจิ้มลิ้ม ที่กำลังอ้อนเขา คนเป็นพี่ขมวดคิ้วเข้มขึ้น เมื่อคนตัวเล็กขยับมาจับแขนเขาแล้วบีบเบา ๆ อย่างเร่งเร้า

จักรวาลตวัดสายตาออกจากดวงตาสีเหลืองเว้าวอน ซึ่งสำหรับเขาแล้วดวงตานั่นกำลังยั่วให้เขาจับกดชัด ๆ ให้เจ้าพวกนี้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าข่าวลือไร้สาระจะซาลงบ้าง อีกอย่าง แค่ตั้งแคมป์รอบกองไฟ คงไม่สนุก

เขาแสร้งถอนหายใจยาวอย่างจำยอม ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ รับขวัญเห็นดังนั้นก็รีบเด้งตัวลุกจากที่นั่งไปกอดขอบคุณพี่ชายคนรองทันที

"อย่าเพิ่งดีใจไป คนที่จะไปตั้งแคมป์จะต้องพร้อมเข้าร่วมเกมส์ทดสอบกำลังใจด้วย แน่นอนว่ากิจกรรมและของรางวัลทางฉันจะจัดการให้ทั้งหมด คิดให้ดีก่อนจะลงชื่อเข้าร่วมล่ะ ถ้าเกิดจะไปกันทั้งห้องก็ควรรีบจดรายชื่อซะตั้งแต่ตอนนี้" หัวใจของจักรวาลเต้นถี่รัว เมื่อกลิ่นหอมหวานอยู่แนบชิด พร้อมกับอ้อมอกเล็ก ๆ ที่สวมกอดตนอย่างไม่คาดฝัน ยิ่งเขาพยายามกดกลั้นแรงปรารถนาในกาย ที่ถูกปลุกเร้าจากความไม่ตั้งใจ ทำให้เสียงโทนต่ำสั่นเครือจนเหมือน กำลังข่มขู่เหล่านักเรียนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้น

เอกภพแหวกกลุ่มนักเรียนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของรับขวัญ ส่วนสูงแบบลูกครึ่งของเขาโดดเด่นกว่าใคร และด้วยความอัธยาศัยดี เอกภพจึงมีเพื่อนเยอะ บุคลิกที่เป็นผู้นำทำให้ไม่ว่าเขาจะขอร้องอะไรเพื่อน ๆ ต่างให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

"งั้นผมจะเป็นคนรวบรวมชื่อให้เองครับ  ทุกคน ใครอยากไปค้างที่คฤหาสน์ของคลากส์มาลงชื่อที่ผมได้เลย" เขาเสนอตัวเพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น และด้วยความดีความชอบในครั้งนี้ จักรวาลจะต้องเปิดทางให้เขาไม่มากก็น้อย

จักรวาลจดจ้องดวงตาสีเขียวมรกตของเอกภพเพียงชั่วแวบเดียวก็รู้ได้ ถึงความตั้งใจที่แอบแฝง เอาเถอะ ยังไงเขาก็ไม่ได้เป็นภัยกับบ้านเรา แต่แกอย่านึกว่าผ่านด่านฉันไปแล้ว จะได้ตามที่หวังง่าย ๆ เพราะแม้แต่ฉันเองก็ยังไม่พร้อมสำหรับบททดสอบของท่านแม่เลย

"งั้นพรุ่งนี้ก่อนโรงเรียนเลิก แกค่อยเอารายชื่อทั้งหมดมาให้พี่ก็แล้วกัน" 

"จัดให้ครับพี่ชาย"

บทสนทนาที่เรียกแทนตัวกันว่าพี่ของจักรวาลและเอกภพ ทำเอาจักรกลถลึงตามองชายทั้งสองสลับไปมา ก่อนที่ชายผมบรอนด์ หน้าตาสวยหวานจะมีความรู้สึกว่าตัวเขานั้น กำลังจะกลายเป็นหมาหัวเน่า ส่วนรับขวัญนั้นกำลังเดินไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ เพื่อชักชวนคนอื่น ๆ ทันทีที่ได้ยินพี่ชายพูดว่า จะไปกันทั้งห้องก็ได้

"พี่กริชจะเห็นด้วยหรือเปล่าครับ เอาคนไปมากขนาดนี้" ผิดกับจักรกลที่ค้านขึ้นเกือบจะทันที เพราะดูท่าทีของพี่ชายรองกับผู้ชายที่เขาเหม็นหน้านั้น จะต้องมีแผนอะไรแอบแฝงอยู่แน่

ในสายตาของจักรวาลเขามองเห็นรับขวัญเป็นกระต่ายตัวนิ่ม ที่ทำให้โลกสดใส ส่วนจักรกลนั้นคือเจ้าหนูแฮมเตอร์จอมซน และถ้าหากเผลอไปแหย่ปากมันเข้า เขาจะโดนมันกัดอย่างแน่นอน แต่ถ้าแมวป่าอย่างเอกภพสามารถกำราบแฮมเตอร์จอมซนได้ มีหรือที่พญาเหยี่ยวอย่างจักรกฤษ์จะไม่เอาด้วย

"คุณหนูกลกำลังจะบอกว่า ใจไม่กล้าพอจะเล่นเกมส์สินะครับ" 

"ไอ้ภพ ! มึงสบประมาทคุณหนูอย่างกูมากไปแล้วนะ กูจะเล่นและเข้าเส้นชัยคนแรกให้มึงดูไว้ประดับชีวิตเอง !" คนโดนเย้าฉุนขาด ตกหลุมพลางที่เอกภพขุดไว้เต็ม ๆ 

จักรกลเดินออกจากโต๊ะเรียน เพื่อจะไปหาอาหารกลางวันทานเสียที และเขาไม่ลืมที่จะลากรับขวัญติดไปกับเขาด้วย น้องชายหน้าสวยหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่จักรวาลอย่างมีชัย ก่อนจะออกจากห้องเรียนไป

ไม่กี่อึดใจที่รับขวัญและจักรกลออกไปจากห้อง เหล่านักเรียนคนอื่น ๆ  ก็สลายตัวกันไปตามอัธยาศัย เหลือเพียงเอกภพที่ยืนอยู่ที่เดิม

"แบบนี้จะไม่อันตรายหรอครับ" คำถามของเอกภพ เปลี่ยนแววตาที่แสดงออกของจักรวาลไปอย่างสิ้นเชิง และแม้ดวงตาสีแดงนั้นจะเยียบเย็นราวกับกระจกน้ำแข็ง แต่มันก็ไม่ได้สั่นไหว  จิตใจของเอกภพเลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับแรงกดดันได้ดีมาก แกเป็นใครกันแน่นะเอกภพ

จักรวาลสงสัยความเป็นมาของเอกภพก็จริงอยู่ แต่ความรู้สึกที่ว่าเขาไว้ใจเพื่อนสนิทของรับขวัญคนนี้ได้ก็ยังไม่เปลี่ยนไป

"ที่ดินของคลากส์ไม่ได้มีแค่ส่วนของคฤหาสน์ ฉันจะจัดที่โกดัง ถ้าแกห่วงความปลอดภัย ฉันจะเพิ่มเวรยามรอบ ๆ โกดังก็แล้วกัน" เขาเห็นด้วยกับการเสริมกำลังด้านความปลอดภัย ศัตรูเริ่มเคลื่อนไหว ตั้งแต่ที่พ่อแม่บุญธรรมไม่ค่อยจะอยู่บ้านเป็นเวลานาน 

ทั้งเขาและจักรกฤษณ์แม้จะยังเป็นแค่เด็กมอปลาย พวกเขาต่างเต็มใจทำงาน หนักมากขึ้น เพื่อรับผิดชอบต่อความหวังของผู้มีพระคุณ และมันคงง่ายขึ้นสำหรับอนาคต ในวันที่เขาขอรับขวัญมาดูแล ในฐานะคู่ชีวิต

เอกภพยิ้มน้อย ๆ ผ่อนลมหายใจเบา ๆ 

"เข้าใจแล้วครับ งั้นผมขอไปรวบรวมรายชื่อก่อน" 

"แกน่ะ รู้ใช่ไหมว่าไม่ได้มีแต่ฉันที่ดูแลเจ้ากล" จักรวาลกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน

"อย่างน้อย ๆ คุณก็เปิดทางให้ผมได้พิสูจน์ตัวเอง" ผิดกับเจ้าตัวที่เกลียดหน้าเราแบบไม่มีเหตุผล

ด่านที่ยากที่สุดสำหรับแก คงจะเป็นเจ้ากลสินะ.. จักรวาลก้าวเท้า เดินผ่านเอกภพ ขณะที่เขากล่าวอะไรบางอย่าง

"ถ้าแกสยบเจ้าแฮมเตอร์จอมดื้อไม่ได้  ฉันคงผิดหวังน่าดู" เขาตบบ่าเอกภพเบา ๆ  เป็นเชิงให้กำลังใจในแบบฉบับของตัวเอง  ก่อนจะนึกถึงเมนูอาหารกลางวัน ว่าวันนี้ที่โรงอาหารจะทำอะไรให้ทานบ้าง ถ้าเป็นของที่เผ็ดมาก  ๆ  คงต้องซื้อนมไว้ให้ขวัญซะแล้ว

"ขวัญจะให้พวกที่ห้องไปบ้านจริง ๆ  หรอ ถึงจะไม่มีกฏห้ามพาเพื่อนไปก็เถอะ แต่ถ้ามีบางคนเข้าไปในเขตที่ไม่ควรไปล่ะ ถึงพี่กริชจะช่วย แต่พวกเราต้องโดนตีแน่" เมื่ออยู่กันสองคน จักรกลก็พยายามทำให้รับขวัญเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อสิ่งที่เขาพูดไปนั้นไม่ได้เข้าหูเจ้าน้องน้อยเลย

รับขวัญกระโดดโหยง ๆ  อย่างไม่เคยเป็น ในหัวนึกจินตนาการแต่เรื่องสนุกที่เคยเห็นเพียงในจอสี่เหลี่ยม ที่ทั้งพ่อและแม่ มักจะห้ามด้วยเหตุผลเดียวว่าเขายังเด็กอยู่ ถึงแม้การได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ครั้งแรก จะทำในที่ดินของตัวเอง แต่มันก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ดี เพราะนอกจากสวนขาวกับบ้านใหญ่แล้ว เขาก็ยังไม่เคยไปในจุดอื่น ๆ ภายในที่ดินเลย  

"พี่วาฬเนี่ยสุดยอดเลยนะครับ แถมยังใจดีสุด ๆ ด้วย" น้ำเสียงแจ่มใสแฝงไปด้วยชีวิตชีวาของรับขวัญ ทำให้จักรกลยอมปล่อยเลยตามเลย หากเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับหน้าย่อมเป็นจักรวาลอยู่แล้ว

สุดยอดน่ะใช่ แต่ใจดีน่ะ ขวัญจะรู้ไหมว่าพี่วาฬเขาเป็นแค่กับขวัญคนเดียว ในมุมมองของจักรกลที่มีต่อพี่น้องทั้งสามคนนั้น เขารักและห่วงใยน้องเล็กมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะรับขวัญไร้เดียงสา แต่ยังมองโลกในแง่ดีสุดขั้วอีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่รับขวัญเคยเจอมาตอนเด็ก

ส่วนพี่ใหญ่และพี่รองที่ทั้งอัจฉริยะและมากความสามารถคงไม่ต้องพูดถึง พวกเขาทำหน้าของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าถามว่า เขากลัวใครมากกว่ากัน จักรกลสามารถตอบโดยไม่คิดเลยก็คือ จักรวาล เพราะจักรกฤษณ์นั้นเย็นชา สุขุม รอบคอบ แต่กับจักรวาลนั้น จักรกลต้องเติมคำว่าโหดเหี้ยมต่อท้ายให้ด้วย 

เด็กหนุ่มหน้าสวยไม่เคยลืมสภาพเละเป็นโจ๊กของผู้ชายที่เคยล่อลวง อุ้มรับขวัญได้เลย ถึงพวกนั้นจะไม่ตาย แต่สำหรับเขาขอเลือกตาย จะดีซะกว่า  เพราะไม่ใช่แค่โดนยำจนเละ แต่จักรวาลจะตามราวีไม่ให้คน ๆ นั้นได้ลืมตาอ้าปาก ทำอะไรในชีวิตอีกเลย แล้วการจัดการกับคนที่มาเกาะแกะรับขวัญนั้น ยังได้รับแรงสนับสนุนจากคนเป็นแม่อีกด้วย เรียกว่าต่อให้โดนฟ้องร้อง ก็ต้องจำนนด้วยหลักฐานว่าอีกฝ่ายทำผิดจริง

" ใครที่มาทำร้ายพี่น้องย่อมเป็นศัตรู จงจำไว้อย่าได้ปราณีต่อศัตรูเป็นอันขาด"

บ้าจริง แค่นึกถึงสภาพพวกนั้นก็กลืนข้าวไม่ลง แล้วสิ่งท่านแม่พูดนั่นนะ มันคือคำพูดของมาเฟียชัด ๆ 

"พี่กลวันนี้กลับบ้านพร้อมกันไหมครับ"  เสียงเล็ก ๆ มาพร้อมการสะกิดดังขึ้นใกล้ตัว

"เอะ ก็..ขอโทษนะขวัญ ต้องเริ่มซ้อมจริงจัง ตั้งแต่วันนี้น่ะ"

"งั้นหรือครับ พอโตขึ้นเวลาส่วนตัวของแต่ละคน ก็เหลือน้อยลงด้วยสินะ แบบนี้ขวัญต้องเหงาแน่เลย" คำตอบจากพี่ชายเล่นเอารับขวัญ ลืมอาการตื่นเต้นเมื่อครู่ไปจนหมด

"อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เวลาส่วนใหญ่พี่ก็ให้ขวัญเป็นที่หนึ่งเหมือนเดิมนะ" เขาเล่นผมสีชมพูอ่อนจนฟูฟ่อง

"แหม ไม่ต้องเอาใจขวัญหรอกครับ ขวัญน่ะโตแล้วน้า ถึงจะเหงาไปบ้างแต่ขวัญก็ไปดูพี่กลซ้อมได้นี่นา"

"จริงด้วย แต่คนข้างหลังจะอนุญาตไหม"  ว่าแล้วจักรกลก็ทำหน้าพยักเพยิดไปด้านหลังของรับขวัญ

"ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยหรอ จะหมดเวลาพักแล้วนะ" น้ำเสียงติดดุดังขึ้น เมื่อรับขวัญหันกลับมาสบสายตากับเขาพอดี  การที่เขาไม่พูดถึงเรื่องไปดูจักรกลซ้อม ก็เป็นการบอกได้ว่าเขาไม่อนุญาต และรับขวัญคงจะเข้าใจ

 แต่ถ้าขวัญอ้อน คงต้องว่ากันอีกที

"ไม่เห็นต้องดุเลยนี่ครับ ขวัญกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ" คนถูกดุทำปากยื่นไม่พอใจ  ที่เอะอะอะไรจักรวาลก็ห้ามเสมอ แล้วยังต้องขออนุญาตอีก มือน้อยคว้าเอานมในมือของพี่ชายแล้วรีบจ้ำเท้า เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

"ขวัญ อย่าเดินหนีพี่แบบนี้  ขวัญ!"  จักรวาลหัวใจหล่นวูบ เขาลนลานอย่างไม่เคยเป็น แม้สมองจะบอกว่าให้รีบตามไป  แต่ขาของเขากลับแข็งทื่อก้าวไม่ออก  ราวกับถูกโซ่ตรวน ถ่วงลูกตุ้มหนักอึ้งทั้งข้อเท้าและข้อมือ

จักรกลได้แต่ยืนมองถึงจะแอบสะใจเล็ก ๆ แต่ก็สงสารจักรวาลเสียมากกว่า ในโลกนี้ จะหาคนที่ทุ่มเทเพราะความรักแบบจักรวาลคงไม่มีอีกแล้ว

ทุ่มเทงั้นหรอ อย่างพี่วาฬ ต้องเรียกว่าคลั่งรักเสียมากกว่า

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!