NovelToon NovelToon

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

ตอนที่ 1

“จับหน้าหล่อนขึ้นมา”

ผมที่สยายยาวไปกับพื้นของอาเรียถูกจับขึ้นมาตามคำสั่งของเคน เส้นผมที่มีเลือดเหนียวติดอยู่กำลังลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศตามแรงมือที่หยาบกระด้าง

ผมสีทองที่เคยเป็นเปล่งประกายงดงามตอนนี้กลับพันพัวกันจนไม่ต่างไปจากขนหมูแข็งๆ ที่เกลือกกลั้วอยู่ในโคลนตม

“เธอรู้ใช่ไหมว่าความผิดของเธอคืออะไร”

“…”

ถึงแม้เคนจะถามออกมา แต่อาเรียก็ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงพอที่จะตอบกลับไปด้วยซ้ำ และถึงแม้จะมีแรงมากพอลิ้นที่ถูกตัดออกไปแล้วก็ไม่สามารถทำให้เธอตอบกลับเขาไปได้อยู่ดี

ด้านบนของลิ้นบัดนี้กลับเต็มไปด้วยเกลือละเอียดสีขาว มันเจ็บปวดเกินจะต้านทานได้ เธอไม่เคยได้รับแม้กระทั่งโอกาสให้สำนึกผิดเสียด้วยซ้ำ

อาเรียพยายามจะปิดตาที่ปูดบวมและมีแต่รอยฟกช้ำลง ดวงตาที่กลมโตเป็นประกายสดใสราวกับมีสีเขียวขจีซึมซาบอยู่ในนั้น ครั้งหนึ่งเคยทำให้ใจของชายหนุ่มมากมายสั่นไหวแต่ตอนนี้กลับไม่ต่างจากดวงตาของปลาเน่าตัวหนึ่ง

เธอรู้จุดจบของตนเองดีตอนนี้จึงทำได้เพียงรอคอยเคียวของยมทูตอยู่เงียบๆ

“ท่านพี่ น้องมีบางอย่างอยากจะพูดกับพี่อาเรียเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”

คนใจบุญที่ถูกนางมารร้ายอย่างเธอรังแกสารพัดพาร่างบอบบางของเธอขึ้นมายืนอยู่ ณ แดนประหาร

เธอให้อภัยอาเรียที่โยนความผิดให้เธอกลายเป็นหัวขโมย และเธอเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไรนักจากการที่อาเรียผลักเธอตรงบันไดในและมองดูเธอด้วยรอยยิ้ม รวมถึงเรื่องที่เธอถูกวางยาพิษในครั้งนี้ด้วย และทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขกเองก็น่าคิดเช่นเดียวกัน

เคนส่ายหน้า

“ไม่ได้”

“น้องอยากพูดจริงๆ ค่ะ ได้โปรด…”

เธอจะไปจัดการกับนางตัวร้ายที่เคยใส่ร้ายและลอบสังหารเธอด้วยความเมตตาอย่างนั้นได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธคำขอร้องทั้งน้ำตาของเธอได้เลย

ในที่สุดมิเอลที่สะอื้นจนไหล่สั่นราวดอกไม้ป่าแสนเปราะบางก็ได้รับคำอนุญาตจากเคนพร้อมอาการถอนหายใจน้อยๆ จากเคน มิเอลพาร่างอันบอบบางราวกับจะแตกร้าวได้ทุกเมื่อของตัวเองเข้าไปหาอาเรีย

“น้องเก็บคำคำนี้ไว้ตลอดเพื่อพี่เลยนะคะ พอคิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย… เลยคิดว่าต้องพูดให้ได้เลยค่ะ…”

มิเอลใช้หลังมือปาดน้ำตาหยดใสออกไปจากขอบตาแล้วทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น

บรรดาคนที่คอยฟังอยู่ถึงกับพุ่งตัวมาข้างหน้าด้วยความตกใจในทันที มิเอลยิ้มให้พวกเขาเพื่อบอกว่าเธอไม่เป็นไร ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหูของอาเรีย

คล้ายจะส่งมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่จะช่วยชีวิตนางมารร้ายตนนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้

แต่กลับกัน

“นางโง่ ที่ผ่านมาแกต้องตะเกียกตะกายอยู่ในวังวนการละครของเหล่าข้ารับใช้ของฉันตลอดเลยนี่… สนุกดีไหมล่ะ”

ตาของอาเรียเบิกโพลงจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า เธอหันคอที่แข็งจนแทบขยับไม่ได้กลับมามองมิเอลที่ยังเผยยิ้มเมตตาปรานีมาให้ รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นช่างงดงามและบอบบางบริสุทธิ์ราวกับดอกไม้

อาเรียที่ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่นี้ได้แต่กะพริบตาถี่ๆ เพราะเธอไม่อาจถามความหมายของมันกลับไปได้เพราะลิ้นที่โดนตัดไปนั่นเอง

มิเอลผู้ใจดีและมีเมตตาต่อทุกคนอ่านสีหน้าของเธอออกจึงช่วยอธิบายอีกครั้งเพื่อให้เธอเข้าใจได้ง่ายขึ้น

“ก็พวกข้ารับใช้ที่เคยบอกให้แกทำนั่นทำนี่ ทำแต่เรื่องเลวๆ ทั้งหมดนั่นก็คือคนของฉัน เพื่อที่จะทำให้แกกลายเป็นหญิงเลวทรามจนต้องโดนไล่ออกไป เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้อย่างไรล่ะ”

“…!”

“ที่ฉันบอกแกก็เพราะเห็นว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายหรอกนะ ฉันอยากจะฆ่าแกกับแม่ต่ำๆ ของแกเสียตั้งแต่วันที่พวกแกปรากฏตัวออกมาแล้วล่ะ และถ้าเป็นไปได้แกก็ต้องตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุดด้วย เพราะฉันไม่อยากจะเห็นแม้แต่หน้าของพวกแกสองแม่ลูกที่เป็นความอับอายขายขี้หน้าให้แก่วงศ์ตระกูลของเรา”

หึๆ มิเอลหลุดหัวเราะออกมาเพราะไม่อาจทนเก็บไว้ได้

สาวน้อยที่รอคอยวันนี้มาตลอดกล่าวว่าเธออยากแปลงเป็นน้ำตาของอาเรียแล้วเต้นรำมันเสียตรงนี้ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างสดใส ความยินดีปรีดาของมิเอลที่ไม่มีใครได้เห็น สำหรับอาเรียแล้วมันกลับกลายเป็นคมมีดที่กรีดลึกลงมาในใจ

“ฉันคิดจะวางยาพิษแกเหมือนกับที่เคยทำกับแม่ของแก แต่ก็ยังหรอก มันไม่สนุกเลยใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนั้นฉันเลยส่งยาพิษที่ฉันมีไปให้สาวใช้แล้วใส่มันไปในชาของฉัน อ้อ แน่นอนว่าฉันไม่ได้ดื่มมันเข้าไปหรอกนะ”

“อื้อ…! อ้าา…!!”

ร่างกายของอาเรียซวนเซอย่างแรงแล้วล้มลงกับพื้น เธอพยายามบิดตัวด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่แต่ดูเหมือนจะเป็นได้เพียงการขยับตัวเล็กน้อยเท่านั้น

เส้นเลือดทุกเส้นในดวงตาพลันแตกกระเซ็นจนน้ำตาที่รินไหลออกมากลายเป็นสายเลือด มีเพียงเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจออกมาจากปากที่ลิ้นด้านในถูกตัดจนขาดแล้วเท่านั้น

มิเอลหยัดตัวลุกขึ้นเมื่อได้พูดสิ่งที่ต้องการครบหมดแล้ว เธอกลับไปยังที่ของตนที่อยู่ไกลออกไปจากแดนประหารพลางปรับสีหน้าให้กลับมาดูเศร้าสร้อยอีกครั้ง

“ที่ผ่านมาช่างสนุกเหลือเกินค่ะ… ตอนนี้พอมาคิดว่าจะไม่มีพี่อาเรียแล้วใจก็เหมือนจะขาดลงให้ได้…”

แม่พระผู้อภัยให้นางมารร้ายฝังใบหน้าลงกับมืออันสูงส่งของตนพลางสะอื้นไห้จนไหล่สั่น แต่นั่นก็เพื่อที่จะซ่อนเร้นดวงหน้าปีติยินดีที่แทบจะเก็บไว้ไม่อยู่ก็เท่านั้น

ขออย่าให้คนดีๆ ต้องมาเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจเพราะการตายของนางมารร้ายเลย อย่าได้รู้สึกผิด ทุกผู้ทุกคนที่รวมตัวกันในที่แห่งนี้ต่างเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของมิเอลกันเสียทั้งนั้น

เคนยกมือสูงขึ้นมาเมื่อไม่มีใครเหลือเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ต่ออาเรียอีกต่อไป

พร้อมกันนั้นเพชฌฆาตและดาบของเขาก็ถูกยกสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า คมมีดที่ถูกลับมาให้สามารถตัดเฉือนไปถึงกระดูกได้ในคราวเดียวส่องสะท้อนกับแสงแดด

และแสงนั่นก็สาดเข้าตาของอาเรียอย่างจัง แสงที่ดูคล้ายนาฬิกาทรายคงเหลือรูปทรงของมันไว้ในสายตาที่เต็มไปด้วยโลหิตแดงฉานของอาเรียเป็นเวลานาน

อาเรียยื่นสองมือออกไปเพื่อจับเจ้าสิ่งนั้นราวกับมันเป็นเชือกเส้นสุดท้ายของเธอ แต่เพชฌฆาตกลับใช้เท้าเหยียบไหล่ของหญิงสาวที่กำลังดิ้นรนตะเกียกตะกายด้วยแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดเหมือนปลาที่กระเด็นตกลงมาบนพื้น

จากนั้นไม่นานเคนก็ลดมือลง เป็นสัญญาณให้ผู้พิพากษาลงทัณฑ์นางมารร้ายผู้นี้ได้ ในวินาทีนั้นดาบของเพชฌฆาตก็ฟันลงมาจากสายลมลงสู่เบื้องล่าง คอและร่างกายบอบบางของหญิงสาวก็ถูกแยกออกจากกันในพริบตา หนึ่งชีวิตเป็นอันต้องดับสลายลงไปอย่างน่าเวทนา

“อ๊าก!”

คอของอาเรียที่ขาดสะบั้นลงกลิ้งไปตามพื้นพร้อมเสียงกรีดร้องของใครบางคน และภาพเลือนรางรูปนาฬิกาทรายที่ยังติดอยู่ในตาของเธอก็หมุนเคว้งไปตามกัน

ด้วยเหตุใดกัน อาเรียจึงไม่รู้สึกเจ็บปวด ทรมาน หรือแม้แต่ความเศร้าก็ไม่หลงเหลืออยู่ มิหนำซ้ำเธอยังตาฝาดเห็นเจ้าสิ่งนั้นหมุนไปมาหลายรอบและทรายในนาฬิกายังร่วงหล่นลงมาตลอดเหมือนไม่รู้ว่าทิศไหนคือทิศที่ถูกต้องอีกต่างหาก

‘ฉันอยากกลับไปอีกครั้ง กลับไป… ในวันที่ทุกอย่างยังแก้ไขได้อีกครั้ง… เหมือนนาฬิกาทรายอันนั้น’

ไม่นานแสงแวววาวก็เลือนหายไปจากสายตาของอาเรีย มีเพียงการหมุนของนาฬิกาทรายตลอดระยะเวลาหลายวินาทีกระทั่งสมองเธอตายจากไป

* * *

“…พี่! …พี่อาเรีย!”

เพล้ง-!

แก้วที่อาเรียถืออยู่ในมือร่วงตกลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สาวใช้ที่คอยประจำอยู่ด้านหลังเธอรีบกุลีกุจอเข้ามาเก็บเศษแก้วเหล่านั้นจนสะอาดทันที

เมื่ออาเรียที่เพิ่งได้สติขณะกำลังเหม่อมองเหตุการณ์ตรงหน้าหันไปยังจุดที่เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อ ณ อีกด้านของโต๊ะอาหารหินอ่อน เธอก็พบกับมิเอลที่กำลังหน้าเสียอย่างเป็นกังวล

ใบหน้าเคล้าน้ำตาราวกับจะหยดแหมะลงมาได้ทุกเมื่อหากเอามือไปแตะยังคงงดงามและบริสุทธิ์สดใสเหมือนกับ ‘ตอนนั้น’ ไม่มีผิด

‘…แล้วทำไมถึงได้ดูเด็กแบบนั้นกันล่ะ’

เธอจำได้ว่ามิเอลอายุ 23 ปี แต่ที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับเป็นภาพของเด็กสาวที่ดูแล้วอย่างมากก็เกิน 10 ปีขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น

ข้างๆ เธอคือเคนที่กำลังมองมาที่อาเรียทั้งใบหน้าขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เขาเองก็ดูเหมือนเด็กอายุประมาณ 16-17 ด้วยเช่นกัน

อาเรียได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่อาจหาทางมารับมือกับสถานการณ์ที่เธอไม่เข้าใจได้ แต่แล้วเธอก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาดังมาจากด้านข้างของเธอเอง

“อาเรีย เป็นอะไรไป แม่เรียกตั้งหลายหนแต่ก็ไม่ตอบ”

“…ท่านแม่”

คนคนนั้นก็คือแม่ที่เคยจากไปด้วยอาการหัวใจวายเพราะดื่มยาพิษเข้าไป สาวงามที่มัดใจท่านขุนนางด้วยริมฝีปากแดงระเรื่อยิ่งกว่าดอกกุหลาบและเรือนร่างเย้ายวนของเธอ

แม้แต่เธอเองก็ยังตำหนิอาเรียให้รักษามารยาทบนโต๊ะอาหารด้วยภาพที่ดูเด็กลงด้วยเช่นกัน แม่ที่ไม่เคยมีแม้แต่ความรักแห่งความเป็นแม่คนเลยสักนิดเดียวตั้งแต่มีลูก

ในตอนนั้นเองที่อาเรียได้รู้ว่าเธอกำลังอยู่ในห้องอาหาร ในจานของเธอมีเนื้อสีอมเลือดน้อยๆ ที่ถูกหั่นอย่างแรง ส่วนสลัดก็เหลือเพียงจานว่างเปล่าขณะที่สิ่งที่ควรจะอยู่ในจานกลับถูกโปรยไปจนทั่วโต๊ะ

‘ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยจนหลังจากที่ฉันได้ถูกทำให้อับอายในงานเลี้ยงครบรอบ 16 ปี…’

อาเรียก้มมองมือของตน

จึงได้เห็นมือของเด็กที่ยังเล็กและอ่อนนุ่ม ไม่มีแม้กระทั่งรอยแผลเป็นที่หลังมือจากตอนที่เธอขว้างขวดแก้วใส่มิเอลด้วยซ้ำ

นั่นคือพฤติกรรมเลวทรามอย่างแรกที่เธอทำกับมิเอลแต่มันก็เป็นการกระทำของเด็กอายุ 15 คนหนึ่ง

ขวดแก้วที่มีน้ำอยู่เต็มทั้งขวดหนักเกินไปสำหรับเด็กสาวผู้บอบบางในตอนนั้น จนสุดท้ายจุดหมายปลายทางของมันก็ไม่ใช่มิเอลแต่เป็นหลังเท้าของอาเรียเอง

อาเรียที่ได้แผลบนหลังมือและหลังเท้าจากเศษขวดแก้วที่แหลมคมกรีดร้องลั่นคฤหาสน์ไล่ทุกคนให้ออกไปจนหมด นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้แผลเพราะตนเองจากการที่บรรดาสาวใช้ของเธอ ไม่สิ ของมิเอลมารายงานว่าตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือมิเอล

‘ตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกหล่อนเป็นลูกสมุนของมิเอล…’

สาวใช้ที่เป็นคนบอกลู่ทางที่จะทำร้ายมิเอลให้กับเธอนั้น สุดท้ายแล้วหล่อนก็ปล่อยมือเธอไปทั้งยังโบ้ยว่าทุกอย่างเป็นการกระทำของนางมารร้ายคนนี้และยังแจกแจงความผิดของอาเรียในอดีตเสียละเอียดยิบ

ลูกสาวผู้โง่เขลาของโสเภณีอย่างเธอในตอนนั้นเปิดเผยทุกสิ่งอย่างกับสาวใช้ที่กำลังนึกขำขันตนจนต้องมาประสบกับบั้นปลายอันน่าเวทนาในที่สุด

‘หรือว่า…’

อาเรียเบิกตาโตกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นก่อนเงยหน้ามองไปรอบตัว ท่ามกลางผู้คนที่ดูเด็กและเยาว์วัยเหล่านั้น แม้แต่ตัวเธอเองก็เล็กและบอบบางลงกว่าเดิมเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น

‘ฉันยังมีชีวิต…!’

มันไม่ใช่ทั้งความฝันและภาพลวงตา ไม่อย่างนั้นขาที่ได้แผลจากเศษแก้วที่หลุดมือคงไม่เจ็บแบบนี้

เมื่อลดมือลงไปแตะดูที่ขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความชื้นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม เธอยืนยันมันด้วยตาตัวเองอีกครั้งและได้เห็นว่ามันคือเลือดสีแดงฉานจริงๆ เมื่อสาวใช้ที่ทำความสะอาดพื้นอยู่สังเกตเห็นเธอก็ก้มหัวลงหน้าตาซีดเผือด

“อาเรีย!”

แม่ที่นั่งอยู่ข้างเธอเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน

อาเรียมือสั่นระริก ริมฝีปากแห้งผาก สีเลือดฝาดบนใบหน้าพลันหายไป

สายตาแฝงความไม่สบอารมณ์ถูกส่งมาหาอาเรียที่เอาแต่ก้มมองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ยายเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าควรจะแผดเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาแล้ว

ซึ่งนั่นเป็นอนาคตที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีสัมผัสแห่งความสงสารหรือเห็นอกเห็นใจสำหรับอาเรียผู้สูญเสียศรัทธาอีกแล้ว

อาเรียทำเพียงหลับตาลงเฉยๆ เธอนิ่งคิดไปครู่หนึ่งว่าเธอควรเลือกข้อใดในบรรดาตัวเลือกมากมายที่เธอได้รับ ไม่นานเปลือกตาของเธอก็เปิดขึ้นราวกับเธอได้ตัดสินใจแล้ว สีหน้าของเธอเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

“เจสซี่ ขอผ้าเช็ดให้ฉันหน่อย เหมือนขาฉันจะมีแผลวานเธอช่วยทำแผลให้ทีนะ ต้องขอโทษด้วยทุกคนด้วยนะคะ แต่ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

อาเรียเลือกที่จะโต้กลับด้วยการนิ่งเฉยแทนที่จะหวีดร้อง ซึ่งผิดไปจากความคาดหมายของทุกคน

เธอรับผ้าเช็ดหน้ามาจากสาวใช้ของตน เช็ดมือ ขอโทษที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายระหว่างมื้ออาหาร และลุกออกจากที่ไป

ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารต่างนั่งนิ่งเป็นน้ำแข็งพูดไม่ออกกับปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงของอาเรีย

………………………………………………….....

ตอนที่ 2

อาเรียที่ได้เจสซี่ช่วยประคองพามาทำแผลที่ห้องของตนก็รู้สึกว่าตนเองนั้นก็ดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมเช่นเดียวกัน

ในตอนที่เธออายุมากขึ้นเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในห้องก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสิ่งของหรูหราคุณภาพดีทั้งสิ้น กระทั่งเพชรพลอยต่างๆ ที่เธอซื้อมาก็ยังถูกวางไว้ทั่วห้องราวกับจะโอ้อวด

แต่ห้องของเธอในตอนนี้กลับดูน่ารักน่าชังเหมาะกับการเป็นเด็กน้อยของครอบครัวที่สูงศักดิ์ เป็นห้องในแบบที่เด็กวัย 10 ขวบต้นๆ น่าจะชอบและไม่ได้ฟุ่มเฟือยจนเกินความจำเป็น แต่ของที่ใช้ก็ยังเป็นของคุณภาพสูงอยู่

หญิงสาวลดสายตาลงมองเจสซี่ที่กำลังพันผ้าพันแผลที่ขาให้เธอ

ถึงเจสซี่จะเป็นสาวใช้ฝั่งมิเอลแต่ก็ยังคอยห้ามปรามเธอไม่ให้แสดงพฤติกรรมต่ำทรามอยู่หลายครั้ง เธอจำได้ว่านั่นทำให้เธอไม่พอใจมากถึงขนาดจับหั่นผมของเจสซี่ เอาน้ำร้อนลวกมือขวาของหล่อนจนเป็นแผล หรือแม้กระทั่งไล่ให้หล่อนไปทำความสะอาดขี้ม้าในคอก

‘…มีเพียงเจสซี่เท่านั้นสินะ ที่หล่อนแปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งมิเอล ก็เพราะตัวฉันเองทั้งนั้น’

เมื่อแรกเข้ามาที่ปราสาทท่านเคานต์ สาวใช้ทุกคนที่ท่านเคานต์มอบให้เธอต่างพากันเปรียบเทียบเธอกับมิเอล ทั้งยังคอยยุยงให้เธออิจฉามิเอลอีกด้วย เว้นก็แต่เจสซี่

‘เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเลดี้อาเรียทำได้ดีกว่าเยอะเลยค่ะ! เลดี้มิเอลต้องใช้เล่ห์ร้ายบางอย่างเป็นแน่เจ้าค่ะ’

อาเรียผู้ต่ำต้อยไม่มีหัวนอนปลายเท้าทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญานั้นไม่เคยรู้เลยว่าผู้ที่ส่งสาวใช้เหล่านั้นมาให้เธอคือมิเอล มิหนำซ้ำเธอยังพ่ายแพ้ให้กับไฟริษยาและตกหลุมพรางเหล่านั้นจนต้องเผชิญกับจุดจบอันน่าเวทนาในที่สุด

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเธอรู้แล้วว่ามันคือกับดักและเธอจะไม่กลับไปติดกับนั้นอีก กลับกันเธอจะตามหาผู้ที่เป็นคนวางกับดักนั้นแล้วจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างสาสม

และคนผู้นั้นก็คือหนึ่งในนางมารร้ายที่สวมหน้ากากว่าตนเป็นแม่พระ

คือมิเอล โรสเซนต์ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเธอนั่นเอง

‘ฉันจะไม่มีวันอภัยให้แกเด็ดขาด’

เธอขอตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันให้อภัยแม่นั่นเด็ดขาด แม้ว่าร่างของเธอจะต้องโดนไฟเผาจนมอดไหม้ไปก็ตาม

ความเหนื่อยอ่อนถาโถมเข้ามาเพราะการเดินทางย้อนเวลามาจากอดีต เธออยากนอนพักมันเสียเดี๋ยวนี้

แม้จะคิดว่าพรประเสริฐทุกข้อจะเลือนหายไปแล้ว แต่ความเป็นจริงก็เปรียบเสมือนฝันร้ายที่จะรอคอยอยู่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา และเธอก็ไม่อาจเอาชนะความอ่อนเพลียที่ประเดประดังเข้ามาได้

หรือหากนี่คือนิทราครั้งสุดท้าย ก็ขออย่าให้เธอได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ขอให้มันเป็นความสุขครั้งสุดท้ายของเธอที่มีชีวิตอยู่อย่างเดียวดายในวังวนแห่งความริษยา

“เจสซี่ ฉันอยากไปนอนบนเตียง”

“ได้ค่ะ เลดี้”

เจสซี่ช่วยอาเรียเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะประคองเธอไปนอนลงบนเตียง สิ่งที่เธอแสดงออกที่ห้องอาหารเมื่อครู่นี้ช่างดูอ่อนแอจนน่าอับอาย

‘…นี่มันอะไรกัน!’

อาเรียพับผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน แต่แล้วปลายเท้าของเธอกลับไปต้องแตะถูกสัมผัสหยาบกระด้างบางอย่างเข้าจนต้องรีบเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ้าห่มอันอ่อนนุ่มของเธอมีความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้ได้อย่างไรกัน

เมื่อสั่งให้เจสซี่มาตรวจดูในผ้าห่มแล้วจึงพบว่ามันมีแต่เศษเม็ดทรายเล็กๆ ถูกโปรยอยู่ทั่วไปหมด และใต้เตียงก็ยังมีเศษแก้วตกอยู่ด้วย สิ่งนั้นคือนาฬิกาทรายประหลาดที่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของมันมีลักษณะเป็นตัวกากบาท

เมื่อเจสซี่เห็นดังนั้นก็รีบก้มหน้ายอมรับความผิดทันที

“คือดิฉันเห็นมันอยู่บนเตียงก่อนที่เลดี้จะรับประทานอาหารจึงทำความสะอาดไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่ามันตกลงมาแตกได้อย่างไรค่ะ…! เลดี้ ดิฉันขอประทานโทษอย่างสูงนะคะ!’

หล่อนหมอบลงกับพื้นเนื้อตัวสั่นเทา น้ำเสียงที่ร่ายความผิดของตนออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งยังเอาแต่พร่ำขอโทษเพราะกลัวว่าจะต้องเป็นที่รองรับอารมณ์จากเธอช่างน่าสงสารยิ่งนัก

แววตาสั่นไหวของอาเรียเหลือบมองเจสซี่สักพักก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาทรายอีกครั้ง อาเรียกำนาฬิกาทรายแตกนั่นไว้ในมือที่สั่นน้อยๆ ของเธอ

แม้จะเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกในชีวิตแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกว่ามันช่างล้ำค่าแม้จะดูน่ากลัวมากก็ตาม

หรือบางที บางทีนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ ลางสังหรณ์ของเธอบอกเช่นนั้น

‘ใช่แล้ว! ทั้งหมดนี้คืออภินิหารแห่งพระเจ้าไม่ผิดแน่ อภินิหารแห่งพระเจ้าเพื่อให้ฉันได้สำนึกผิดกับวันที่โง่เขลาในอดีตและเพื่อช่วยเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่ถูกหลอกจนติดกับเหมือนคนเบาปัญญาผู้นี้!’

เพื่อให้เธอหลุดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจที่ไล่ต้อนเธอจนตกลงไปในหลุมพราง! และให้ความทรงจำทุกอย่างยังอยู่ดังเดิมเพื่อให้เธอสามารถแก้แค้นได้!

อาเรียเผยยิ้มสดใสพร้อมกับกำเศษชิ้นส่วนของนาฬิกาทรายเอาไว้แน่น และเพราะแบบนั้นบรรดาชิ้นส่วนอันแหลมคมจึงได้ทิ้งบาดแผลนับไม่ถ้วนไว้บนฝ่ามือเล็กและบอบบางของอาเรีย แต่มันกลับไม่ใช่ความเจ็บปวดหากแต่เป็นความปีติที่ทำให้เธอได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สองได้อย่างเบิกบานใจ

หยดเลือดสีแดงเข้มบนฝ่ามือค่อยๆ หยดลงมาจนเจิ่งนอง มันเป็นทั้งความเสียใจสำหรับอดีตที่โง่เขลา และขณะเดียวกันมันก็คือความโหดร้ายของนางมารอย่างเธอที่จะกลับมาแก้แค้นด้วยเช่นกัน

‘ฉันไม่มีวันอภัยให้แกเป็นอันขาด’

อาเรียผ่อนแรงที่มือออก ริมฝีปากยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม

รอยยิ้มนั้นช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับรอยยิ้มของแม่พระมากเสียจนแม้แต่อาการสั่นกลัวของเจสซี่ยังต้องหยุด

* * *

“อาเรียดูจะตั้งอกตั้งใจเรียนน่าดูเลยนะ”

เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เธอย้อนเวลากลับมายังอดีต บทกลอนที่ถูกท่องโดยน้ำเสียงสดใสก้องกังวานของอาเรียดังไปทั้งห้องอาหาร

ด้วยเหตุนี้ท่านเคานต์โรสเซนต์จึงได้เอ่ยชมเธอเป็นครั้งแรก เช่นนั้นภริยาท่านเคานต์ที่กำลังปิดปากพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนก็รีบเสริมคำโป้ปดตบท้ายให้ความฉลาดหลักแหลมของอาเรียทันที

“เธอได้อ่านหนังสือหลายเล่มเพราะไม่มีงานมีการอะไรต้องทำค่ะ คงจะดีใจที่มีโอกาสได้เรียนรู้มากขึ้นนะคะ”

โกหกทั้งเพ อย่าว่าแต่ท่องกาพย์กลอนเลย อาเรียไม่รู้กระทั่งวิธีรับประทานอาหารให้สะอาดสะอ้านโดยไม่มีผู้ช่วยจนอายุสิบหกเสียด้วยซ้ำไป

ก่อนเข้ามาที่ปราสาทท่านเคานต์เธอไม่เคยแม้แต่จะได้แตะต้องปกหนังสือเสียด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งหลังจากเข้ามาที่นี่แล้วก็ยังคงเป็นดังเดิม

เธอชอบเล่นมากกว่าอ่านหนังสือ ความสุขของเธอคือการได้เสริมสวยและทำตัวฟุ่มเฟือย นั่นเพราะเธอทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างนอกจากเรื่องที่ว่ามานี้

เมื่อยังเล็กไม่รู้ประสีประสาเธอเคยเบื่อหน่ายการต้องมานั่งท่องจำบรรดาบทกลอนที่ท่านเคานต์โปรดปรานต่อหน้าท่าน แต่ผู้ที่มักจะได้รับเกียรตินั้นเสมอคือมิเอล

มิเอลที่ท่องบทกลอนออกมาเป็นทำนองเพลงราวกับมีอารมณ์ร่วมไปกับกลอนนั้นย่อมได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากกว่าอาเรียที่สักแต่พูดกลอนที่ท่องมาไม่ต่างจากการอ่านให้ฟัง

เหมือนกับตอนนี้ยังไงล่ะ

“กลอนนี้เป็นกลอนที่มีชื่อเสียงซึ่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในปราสาทโรสเซนต์เจ้าค่ะ ท่านเคานต์คนแรกเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นและยังเป็นกลอนแรกที่หนูได้เรียนตอนอายุได้ 4 ปี แม้กลอนของหญิงสาวที่แต่งตอบวรรค ‘หญิงผู้เป็นที่รักของข้า’ ซึ่งเป็นวรรคสุดท้ายของกลอนนี้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่กลอนทั้งสองก็ได้กลายเป็นหนึ่งจนเติมเต็มกันได้ครบสมบูรณ์จนได้ค่ะ”

มิเอลท่องกลอนด้วยน้ำเสียงสดใสและเรียบเรื่อยโดยวางมือขวาไว้บนหน้าอก

สายตาของผู้คนที่กำลังจับจ้องเธอมีแต่ความพึงพอใจ แม้แต่ภริยาท่านเคานต์หรือเคาน์ติสผู้เป็นมารดาของอาเรียก็ยังมองเจ้าหล่อนอย่างชื่นชม และนี่คือการปรากฏตัวของนางเอกที่มารับช่วงต่อจากตัวประกอบผู้ทำหน้าที่ชูโรงความสนุก

“…ข้าจะรวบรวมความศรัทธาทั้งมวลแล้วโปรยปรายให้แก่เจ้าในอนาคต…!’

เสียงปรบมือโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องอาหารเมื่อมิเอลอ่านกลอนจบลง และอาเรียก็ร่วมปรบมือไปกับพวกเขาด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดไปจากอดีตที่ผ่านมา มิเอลที่เผยยิ้มเขินอายจนแก้มทั้งสองแดงระเรื่อควรจะต้องเป็นนางเอกตัวจริงของวันนี้

เกียรติยศที่ได้รับหลังจากแย่งชิงมาจากอาเรียอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ เกียรติยศที่หวนกลับไปหาคนที่เป็นผู้สูงศักดิ์มาแต่แรกเริ่มต่างจากเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า

บางทีอาเรียอาจจะถูกยกย่องสรรเสริญได้มากกว่าเพราะเธอเองก็อยู่ตรงนี้ด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงตั้งใจที่จะทวงเกียรติศักดิ์ศรีของเธอที่ถูกแย่งชิงไปกลับคืนมา

เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นของมิเอลมาตั้งแต่แรก

“เป็นกลอนที่ไพเราะจริงๆ เชียว มิเอล แต่น้องรู้อะไรไหม”

เสียงปรบมือแผ่วเบาลง อาเรียที่เป็นตัวประกอบเอ่ยถามขึ้นโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไป มิเอลเบิกตาโตเพราะคำถามที่น่าตกใจ อาเรียช่วยตอบออกไปอย่างใจดีเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวคงจะไม่รู้แน่นอน

“ก็ความจริงที่ว่ากลอนนี้คือกลอนโต้ตอบที่น้องชายที่เป็นผู้คิดลอบสังหารท่านเคานต์คนแรกที่ประพันธ์ขึ้นยังไงล่ะ เพราะอย่างนั้นมันถึงไม่ได้รับความนิยม ด้วยท่านเคานต์คนแรกไม่ต้องการให้มีการเผยแพร่เกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่”

ฉันถึงตั้งใจไม่ท่องมันไงล่ะ เมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอเสริมไป ท่านเคานต์ก็พึมพำว่าคิดดูแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง จึงได้เอ่ยขึ้น

“มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่รุ่นก่อนหน้านี้ เพราะมีการใส่คำสาปแช่งวงศ์ตระกูลเข้าไปในเชิงอุปมาด้วย”

ใบหน้าสวยหวานของมิเอลเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเหมือนน้ำแข็งในชั่วพริบตา เพราะเธอเพิ่งจะท่องคำกลอนที่แฝงคำสาปแช่งวงศ์ตระกูลออกไปอย่างภาคภูมิใจเมื่อครู่นี้เอง อาเรียต้องอดทนเป็นอย่างมากที่จะไม่ลงไปหัวเราะกับพื้น

นี่คือสถานการณ์ที่ต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง

มิเอลอยากได้รับการยอมรับจึงว่าจ้างอาจารย์ประจำตระกูลเพื่อเรียนรู้คำกลอน จากนั้นจึงได้อ่านคำกลอนออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายเมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าท่านเคานต์ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานที่ต่างประเทศเป็นเวลานาน

แต่คำว่ากล่าวอันเฉียบคมที่ตามมาในทันทีนั้นทำให้ความมีชีวิตชีวาหายไปจากนัยน์ตาสีเขียวของเธอในพริบตาเดียว และมันก็ถูกแทนที่ด้วยความอับอาย

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเข้ามาในปราสาทไม่นาน และคนที่เป็นฝ่ายตำหนิอาเรียในตอนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือเคนผู้เป็นพี่ชายนั่นเอง

เขาอายุมากกว่าอาเรีย 4 ปีจึงได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วและรู้สิ่งต่างๆ มากมาย เขามักจะใช้ความรู้เหล่านั้นมาจับผิดทุกสิ่งที่อาเรียโอ้อวดออกมาเสมอ

‘เขาต้องรู้ความจริงเรื่องนี้แน่’

แต่เขาคงไม่อยากตำหนิน้องสาวของตนจึงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ไม่สิ บางทีเขาอาจจะต้องการทำให้อาเรียเจ็บปวดอยู่คนเดียวก็ได้

อาเรียเพียงแค่เหลือบตามองเคนเพื่อดูสีหน้าของเขาให้แน่ใจ เขาเม้มปากแน่นขณะกำลังจ้องอาเรียอย่างไม่วางตา เขาดูจะไม่ชอบสถานการณ์ในตอนนี้น่าดูเลยทีเดียว

อาเรียฝืนยิ้มแล้วทำเป็นเข้าข้างมิเอลเพราะไม่อยากเปิดเผยตัวและได้รับความเกลียดชังจากเขา

“มิเอลอายุแค่สิบสามเท่านั้นเองแต่ท่องกลอนได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วล่ะนะ”

แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็ไม่ได้อึดอัดน้อยลงเลย เพราะมิเอลยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ตอนนี้มากนักและการท่องกลอนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ช่างโง่เขลาสิ้นดี

‘มันจะน่าอายแค่ไหนกันนะที่เอาแต่โอ้อวดในสิ่งที่แม้แต่ลูกสาวของโสเภณีที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างต่ำต้อยและเติบโตมาในที่ที่ต่ำที่สุดยังรู้แต่ตนเองกลับไม่รู้’

ท่านเคานต์แสร้งกระแอมไอเพื่อตักเตือนลูกสาวของตนที่กำลังแสดงท่าทางไม่เหมาะสมออกมาเป็นครั้งแรกก่อนจะถือส้อมขึ้นมาพลางชักชวนให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหารกันต่อ

อาเรียเผยยิ้มร่าเริงสดใสสมกับเป็นเด็กให้พ่อใหม่ของเธอแล้วจิ้มเนื้อที่ถูกหั่นอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าปาก

มื้ออาหารในวันนี้นับว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียว

…………………………………………………

ตอนที่ 3

สิ่งแรกที่อาเรียทำหลังจากได้ย้อนเวลากลับมาในอดีตคือการว่าจ้างอาจารย์ประจำตระกูล

เพราะเธอมาจากชนชั้นรากหญ้าจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้มารยาทชั้นสูงได้ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนเธอจะตายแล้ว เธอเป็นแบบนั้นมาเป็นสิบๆ ปี มันจึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง แม้เธอจะใช้ความพยายามเพียงนิดก็จะสามารถทำแบบนั้นได้อย่างสง่างามแต่เธอก็ไม่ได้ทำ

หรือถ้าจะให้ตรงประเด็นคือเธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเสียด้วยซ้ำ มีผู้คนมากหน้าหลายตานับไม่ถ้วนเข้าหาเธอเพราะรูปกายภายนอกที่ถอดแบบมาจากมารดาผู้ซึ่งขโมยหัวใจของท่านเคานต์มาได้ด้วยเพราะรูปลักษณ์ที่งดงามเช่นกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เพราะความงามที่ทำให้ทุกคนหลงมัวเมาได้เพียงแค่แรกเห็น นั่นคือปัจจัยที่จำเป็นที่จะทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานขึ้นมาได้

แม้ลับหลังเธอจะถูกติฉินนินทาเรื่องพฤติกรรมต่ำทรามที่นับวันมีแต่จะมากขึ้นทุกชั่วขณะก็ตาม

และถึงแม้จะมีคนคอยครหาก่นด่าว่าเธอชั้นต่ำ แต่เหล่าคนที่รักในรูปโฉมภายนอกก็ยังมีมากมายเสียจนเธอไม่คิดจะเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น เธอไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเป็นด้วยซ้ำ

บางครั้งเธอเองก็เคยถูกทำให้อับอายขายหน้าในงานเลี้ยง แต่ทุกครั้งก็จะมีบรรดาชายหนุ่มที่เข้าข้างเธอเสมอ

พอกลับมาคิดดูในตอนนี้ เธอกลับพบว่าพวกผู้ชายกลุ่มนี้ไม่เห็นช่วยอะไรเธอได้เลยสักนิด เพราะจุดประสงค์ของคนพวกนั้นมีเพียงแค่ให้ตนได้เชยชมอาเรียสักครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้รักหรือเอ็นดูเธอแม้แต่น้อย เพียงแค่หลงใหลรูปโฉมภายนอกของเธอ เสมือนผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าหาแสงไฟเท่านั้น

และเมื่อเวลาผ่านไป เหล่าชายหนุ่มที่เคยวิ่งตามอาเรียก็กลับไปหมั้นหมายกับบรรดาบุตรสาวจากวงศ์ตระกูลที่ทั้งสูงส่งและปราดเปรื่องมากกว่าอาเรียกว่าเท่าตัว จนข้างตัวของอาเรียไม่มีใครเหลืออยู่เลยแม้สักคน

เธอนึกถึงชายหนุ่มหลายคนในจำนวนนั้นที่เคยบอกว่ารักเธอจริง แม้จะไม่รู้ว่ามันออกมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม

‘เอาล่ะ ไว้ลองใจเจ้าพวกงั่งนั่นทีหลังก็คงจะรู้เองแหละนะ’

ในตอนนั้นเธอไม่เคยยอมรับความจริงว่าตนถูกทิ้งและเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการประทินโฉมตนเองเพียงเท่านั้น แต่ ณ เวลานี้ที่เธอได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอรู้ซึ้งแล้วว่าเธอจะกลับไปทำแบบเดิมอีกไม่ได้

เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะโง่งมเกินไปกว่าการนำรูปโฉมภายนอกที่มีแต่จะเสื่อมโทรมลงมาเป็นทรัพย์สมบัติที่ยั่งยืนอีกแล้ว

“ยินดีที่ได้พบค่ะ เลดี้อาเรีย ดิฉันคือซาร่าแห่งนักประพันธ์ลอเรนค่ะ”

อาจารย์ประจำตระกูลที่เพิ่งเข้ามาใหม่อายุประมาณสิบเจ็ดปี ทักทายเธอโดยการคุกเข่าลงถอนสายบัวพร้อมกับจับชายกระโปรงขึ้น

เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีอะไรพิเศษแม้จะหน้าตาน่ารักก็ตาม เหตุผลที่ทำให้เธอปฏิเสธคนเก่งๆ และยังเป็นถึงแนวหน้า แต่เลือกหญิงสาวที่ไม่เคยสอนใครมาก่อนคนนี้มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหญิงสาวผู้นี้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนักประพันธ์แสนต่ำต้อย และจะได้เป็นที่ถูกตาต้องใจมาร์ควิสวินเซนต์และกลายเป็นมาร์เชอเนสในภายหลัง

และหากจะมองว่ามาร์ควิสวินเซนต์ที่เป็นหนึ่งในวงศ์ตระกูลที่เป็นเลือดบริสุทธิ์นั้นอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจโดยไม่นับดยุกเฟรดเดอริกที่สืบเชื้อสายมาจากพระบรมวงศานุวงศ์ก็คงไม่ผิดนัก การผูกสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาตั้งแต่แรก ฉะนั้นมันคงจะดีหากเธอเริ่มตีสนิทกับผู้ที่จะได้ครองอำนาจในภายภาคหน้าไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อาเรียตั้งเป้าหมายไว้หลายคนแต่เธอตัดสินใจจะเริ่มจากการดึงซาร่าผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาเป็นพวกก่อน เด็กสาวใสซื่อที่ไม่ถามอะไรซอกแซกดูจะง่ายเหลือเกินที่จะปฏิบัติกับหล่อนเยี่ยงลูกแกะถูกบูชายัญบนแท่นบูชาโชกเลือด

อาเรียวิ่งไปกอดเอวซาร่าเอาไว้โดยไม่นึกสนเรื่องมารยาทใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ซาร่าก็เพียงแค่เบิกตาโตขึ้นมาเท่านั้น เธอไม่ได้แสดงท่าทีตกใจจนเกินงามออกมาเลย เธอเงยหน้าขึ้นมองซาร่าทั้งที่ยังกอดเอวหญิงสาวไว้อยู่อย่างนั้น อาเรียเผยรอยยิ้มสดใสสมกับเป็นเด็กน้อยน่ารักพร้อมกับกล่าวว่ายินดีที่ได้พบและยินดีต้อนรับออกไป

ซาร่ายิ้มตามเมื่อได้เห็นภาพที่แสนไร้เดียงสานั้น มันคือเรื่องที่พึงกระทำเพราะอาเรียยังเด็กนัก แม้ภายในจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม

เคาน์ติสที่คอยมองอยู่ก็เข้ามาดึงอาเรียออกก่อนจะเอ่ยขอโทษ

“เธอยังไม่ค่อยรู้เรื่องมารยาทจึงได้แสดงกิริยาแบบนั้นออกไป ช่วยเข้าใจด้วยนะคะ คุณซาร่า”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ อย่าห่วงเลย”

“ดิฉันจะดูแลเลดี้อาเรียอย่างดีนะคะ”

ซาร่าเป็นคนชอบเด็ก ชอบมากถึงขนาดที่ยินดีจะให้กำเนิดได้ทุกปีต่างจากหญิงสาวในตระกูลอื่นๆ ที่มักจะไม่ต้องการอุ้มท้องอีกหลังจากให้กำเนิดบุตรชายแล้ว

ซาร่าคิดว่าการให้กำเนิดคือหน้าที่และความรับผิดชอบของวงศ์ตระกูลและเธอยังมีชื่อเสียงในเรื่องการเลี้ยงดูลูกๆ ของเธอทุกคนมาด้วยความรักอีกด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่แม้แต่จะตำหนิอาเรียที่ทำตัวเสียมารยาททั้งยังมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากเคานต์ติสออกไปแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งมองหน้ากันโดยมีโต๊ะตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับคาบเรียนในอนาคต

“เป็นเกียรติของดิฉันที่ได้มาสอนเลดี้อาเรียนะคะ เลดี้อยากเรียนเรื่องอะไรมากที่สุดคะ”

อาเรียกะพริบแพขนตายาวพร้อมกับเอียงหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำถามของซาร่า เธอทำอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนจะลูบนิ้วของตนเอง แก้มทั้งสองหรือก็แดงระเรื่อราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้

และภาพที่ดูนุ่มนวลเหมือนลูกพีชนั้นก็พาลทำให้พวงแก้มของซาร่าแดงระเรื่อตามไปด้วย

“มารยาทการเดิน การนั่ง การทานอาหาร… ทุกอย่างเลยค่ะ! เพราะหนูอยากเป็นคนที่ดูสง่างามมากๆ เช่นมิเอลน้องสาวของหนูค่ะ”

คนที่จิตใจข้างในเน่าเฟะจนมืดดำแม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นหน้าซื่อตาใสไร้เดียงสาและงามสง่าแบบนั้น หากจะต่อกรกับนางร้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นนางร้ายเช่นกัน

‘ไม่สิ ฉันต้องร้ายให้มากกว่านางนั่น ต้องเป็นนางร้ายที่ซ่อนธาตุแท้เอาไว้ให้มิดด้วยหน้ากากที่หนายิ่งกว่า’

นี่คือหนทางที่เธอตัดสินใจเลือกเดินในชีวิตใหม่ของเธอ

เมื่อได้ยินที่อาเรียพูด ซาร่าก็นึกภาพน้องสาวของเด็กน้อยออกทันที แม้จะอายุยังน้อยแต่เด็กคนนั้นก็เป็นที่เลื่องลือเรื่องการกระทำที่อ่อนช้อยสง่างาม

เธอได้รับการอบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นแบบอย่างของบุตรสาวในวงศ์ตระกูลตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน เพราะท่านเคานต์มักเชิญตระกูลชนชั้นสูงศักดิ์ต่างๆ จากต่างชาติมายังคฤหาสน์เพื่อเรื่องธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ซาร่าจึงเข้าใจความรู้สึกของอาเรียดี ในเมื่อเธอมีแบบอย่างของเลดี้อยู่ใกล้ตัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธออยากจะเป็นเหมือนมิเอล

หากมองผิวเผินเพียงรูปโฉมภายนอก อาเรียผู้มีดวงตาน่าหลงใหลย่อมเหนือกว่าอย่างแน่นอน แต่ระหว่างวงศ์ตระกูลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสำหรับโลกนี้คำร่ำลือมักจะเปลี่ยนไปตามการโอ้อวดของตนเองว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด

‘ได้ยินว่าเธอเพิ่งอายุแค่สิบสี่เองนี่นะ ทั้งที่ผมและนัยน์ตาต่างก็มีสีเดียวกันกับมิเอลผู้น้องแต่ทำไมจึงให้ความรู้สึกต่างกันได้ขนาดนี้กัน’

แม้จะอายุเพียงสิบสี่แต่กลับมีเสน่ห์น่าดึงดูดจนเป็นที่สะดุดตาอย่างไม่น่าเชื่อ นี่สิคุณสมบัติที่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจหามาเป็นของตัวเองได้

หากมิเอลและอาเรียมายืนอยู่เคียงข้างกัน ก็มั่นใจได้ว่าผู้คนจะต้องมองไปที่อาเรียเป็นตาเดียวอย่างแน่นอน

เธออายุยังน้อย ดังนั้นหากได้สะสมความสง่างามและคุณสมบัติที่เพียบพร้อมอย่างสม่ำเสมอก่อนได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในแวดวงสังคม เธอจะมัดใจคนในสังคมได้อยู่หมัดแน่นอน

ซาร่าคิดว่าเป็นเกียรติของเธออย่างยิ่งที่ได้มาสอนสาวน้อยผู้นี้ ถึงกับรู้สึกซาบซึ้งที่ตนเป็นผู้ถูกเลือก ซึ่งทั้งอาเรียและซาร่าต่างก็คิดเช่นเดียวกัน

“อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ดิฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นต่อไปเราก็จะได้เจอกันอีกนานๆ เลยสินะคะ หนูดีใจเหลือเกินค่ะ”

ช่างดีเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่เราจะได้เจอกันไปอีกแสนนาน ท่านว่าที่มาร์เชอเนส

อาเรียยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ เธอรู้ได้จากรอยยิ้มของซาร่าว่าตนกลายเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของหญิงสาวตรงหน้าไปแล้ว

เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยนะ

* * *

อาเรียเก็บเกี่ยวความรู้จากซาร่าได้อย่างรวดเร็ว เธอเคยเห็นมันจากผู้คนมากมายเป็นหลายร้อยหลายพันครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากเธอจะเรียนรู้มัน

ครั้งหนึ่งเธอเคยแอบเลียนแบบท่าทางของมิเอลอยู่คนเดียว และมันคงจะแปลกยิ่งกว่าหากเธอไม่สามารถเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เธอเคยเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มามากมาย

แต่นี่คือความจริงที่มีเพียงอาเรียเท่านั้นที่รู้ เพราะสำหรับคนอื่นแล้วพวกเขาต่างเห็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่มารยาทแต่กลับเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ซาร่าคอยปรบมือให้อาเรียที่ได้แต่นึกละเหี่ยใจกับการต้องมาลุกนั่งให้ดูสง่างามราวผีเสื้อ ใบหน้าของเธอแทบจะกลายเป็นนางฟ้าถ้าหากทำได้

“ถ้าทำได้เท่านี้ ดิฉันคิดว่าเลดี้จะเรียนรู้มารยาทพื้นฐานทั้งหมดได้ภายในปีนี้แน่ค่ะ”

“อาจารย์ชมเกินไปแล้วค่ะ”

อาเรียเรียกซาร่าว่าอาจารย์ เธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นกับซาร่าที่ยังมีประสบการณ์การสอนไม่มากพอทั้งยังมีฐานะทางสังคมที่ต่ำกว่า แต่อาเรียที่ปิดบังความจริงไว้กลับบอกเพียงว่าอาจารย์คือคำที่เหมาะสมแล้วเพราะซาร่าคือผู้ที่สั่งสอนเธอมา

อาเรียมัดใจซาร่าได้ในทันทีด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและความจริงใจของเธอ

ซึ่งความจริงเธอก็ไม่ได้มีความจริงใจอะไรมากนัก เพียงแต่เพราะร่างกายของเธอคุ้นเคยกับมารยาทที่ซาร่าสอนเธอไปในหลายๆ คาบเรียนที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยทำให้เธอดูจริงใจขึ้นมาได้

‘เลดี้อาเรียผู้น่าสงสาร’

ความจริงแล้วข่าวลือของอาเรียในที่สาธารณะไม่สู้ดีเท่าใดนัก

ก่อนได้มาเจอกับอาเรีย ซาร่าเคยได้ยินแต่ข่าวลือหนาหูและเคยแอบคิดไปว่ามันเป็นความจริง แต่ตอนนี้เธอกลับได้แต่นึกละอายใจที่เคยคิดแบบนั้นไป

ข่าวลือทุกอย่างเกี่ยวกับอาเรียมักจะเป็นข่าวเสียหายจากคนที่ไม่เคยรู้จักกุขึ้นมาลอยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า แม่ของเธอมีพื้นเพเป็นโสเภณีเท่านั้น

เธอจึงคิดอยากจะช่วยให้อาเรียหลุดพ้นจากคำครหาเหล่านั้นด้วยตัวของเธอเอง

แม้อาเรียจะยังขาดทักษะในการเข้าสังคมหากเทียบกับบรรดาบุตรสาวตระกูลอื่นและยังไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาออกมา แต่เธอก็อยากจะช่วยไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

เพราะข่าวลือที่แสนน่ากลัวนั้นมันมากมายเกินกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะเผชิญหน้าได้นั่นเอง

“เลดี้คะ ถ้าเรียนรู้มารยาทขั้นพื้นฐานหมดแล้ว อยากลองไปงานเลี้ยงน้ำชาดูไหมคะ”

“งานเลี้ยงน้ำชาเหรอคะ”

“ใช่ค่ะ เพราะงานเลี้ยงน้ำชาคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และช่วยทำให้สังคมกว้างขึ้นด้วยนะคะ”

“แต่ว่าหนูแทบจะไม่มีคนรู้จักใครเลยนะคะ แล้วก็ยังเด็กอยู่ด้วย…”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยค่ะ คนรู้จักของดิฉันทุกคนจะต้องชอบเลดี้ และจะคอยช่วยเหลือเลดี้แน่นอนค่ะ”

“อาจารย์…”

อาเรียพูดเสียงเบาหวิวแล้วโผเข้ากอดเอวซาร่าไว้ทันที

เมื่อเด็กน้อยฝังใบหน้าลงกับหน้าท้องพร้อมกับมีเสียงสูดจมูกฟึดฟัดออกมา ซาร่าก็คอยลูบหลังให้อาเรีย นั่นเพราะความสงสาร เด็กตัวน้อยที่ยังไม่ทันได้ผลิบานคนนี้ทำผิดอะไรกัน

แม้จะเริ่มเรียนไปได้ไม่นาน แต่พอนึกถึงภาพของเด็กน้อยที่มักจะแสดงท่าทีเป็นกังวลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังกดตัวเองโดยการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมิเอล เธอก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้

อาเรียไม่ได้อยากเกิดมาในต้นตระกูลอันต่ำต้อยเสียหน่อย สิ่งนี้เปรียบเสมือนเป็นตราบาปติดตัวและทำให้เธอเจ็บปวดจนน่าเวทนา มันคงเป็นความเจ็บปวดจนเกินจะทนสำหรับเด็กหญิงที่จิตใจดีและบอบบางอย่างเธอ

ซาร่าเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้อาเรียเปลี่ยนอารมณ์ได้

“แล้วระหว่างมื้ออาหารช่วงนี้เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ ได้ทำตามที่ดิฉันสอนหรือไม่คะ”

“แน่อยู่แล้วค่ะ! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาจารย์ซาร่าเลยนะคะ!”

อาเรียเงยหน้าขึ้นมาตอบอย่างสดใสราวกับว่าเธอไม่เคยร้องไห้มาก่อน ใบหน้าของซาร่าที่ก้มมองอาเรียตัวน้อยที่กำลังรายงานว่าช่วงนี้เธอแทบจะรอให้ถึงมื้ออาหารที่มีแต่รอยยิ้มนั่นเร็วๆ

อาเรียยิ้มออกมาจนตาปิดอย่างน่ารักน่าชังทันทีที่คิดถึงมื้อเย็นเมื่อคืนนี้

………………………………………………….....

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!