พรรคมารได้สร้างความโกลาหลมากมายแก่พรรคธรรมะ โดยเฉพาะพรรคธรรมะตระกูลลู่ ที่ถูกพรรคมารตระกูลเฉียงก่อกวนได้ทุกวี่ทุกวัน และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ พรรคมารตระกูลเฉียงจะใช้แก่นปราณธาตุน้ำแข็งเป็นหลัก ส่วนพรรคธรรมะตรกูลลู่จะใช้แก่นปราณธาตุลม
แต่แล้วความวุ่นวายที่พรรคมารตระกูลเฉียงเคยก่อก็ได้ยุติลงอย่างเงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพรรคมารตระกูลเฉียง รู้เพียงว่ามีประมุขพรรคมารคนใหม่ขึ้นปกครอง และไม่เคยมาสร้างความวุ่นวายแก่พรรคธรรมะอีกเลย ไม่มีใครเคยพบเห็น ว่าหน้าตาของประมุขพรรคคนใหม่หน้าตาเป็นเช่นไร
“ทะ...ท่านประมุข หากท่านไม่ลงมือ เกรงว่าพรรคมารเช่นพวกเราจะเสียองครักษ์ไม่น้อย ได้โปรดออกคำสั่งด้วยขอรับ” องครักษ์นายหนึ่งก้มคุกเข่าตรงหน้าประมุข มีนามว่า เฉียงต๋า
ผู้ที่ถูกเรียกว่าประมุขเมื่อครู่ ชำเลืองตามององครักษ์เล็กน้อย พร้อมเอ่ยว่า “มองจากลูกแก้ว ข้าเห็นว่าเป็นพวกเจ้าที่หาเรื่องเขาก่อน แค่เดินตรวจตราในเมืองของพรรคธรรมะ ไยต้องไปทำร้ายเขาก่อนด้วย เช่นนั้นก็หาศิลาดำไม่เจอเสียที”
“ฮ่าวเกอต้องลงโทษพวกเขา!” เสียงเด็กสาวในชุดวรยุทธ์สีครามดังขึ้น พร้อมชี้ประนามองครักษ์นายนั้น
ฮ่าวเกอ หรือเรียกอีกอย่างว่า เฉียงฮ่าวปิง ดำรงตำแหน่งประมุขพรรคมารคนปัจจุบัน และยังมีน้องสาวหน้าตาน่ารักนาม เฉียงอวี้หลัน
“เสี่ยวอวี้ มาหาพี่” เฉียงฮ่าวปิงกวักมือเรียกน้องสาว
ผู้เป็นน้องสาวก็ไม่รอช้า รีบวิ่งแจ้นมาหาเฉียงฮ่าวปิง เพราะด้วยความที่นางชอบสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ จึงทำให้นางอดคล้อยตามนิสัยของบุรุษไม่ได้
“ข้าจะฟ้องอาจารย์อาของเจ้า” เสียงเย็นยะเยือกของเฉียงฮ่าวปิงกระซิบข้างหูน้องสาว ทำให้เฉียงอวี้หลันก้าวถอยออกมา ใบหน้าแสดงความผวา ก่อนจะวิ่งออกจากจวนไป
“เดิมทีพรรคมารก็มีเรื่องบาดหมางกับพรรคธรรมะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มิใช่ว่าหากข้าส่งคนไปจัดการพรรคธรรมะ จะไม่เป็นการจุดไฟเผาตัวเองหรือ?” เฉียงฮ่าวปิงนั่งเท้าคางพลางหลับตาลงช้าๆ
“...” องครักษ์ได้แต่นิ่งเงียบ
“ข้าขี้เกียจที่ต้องมานั่งดูพวกเจ้าตีกันแล้ว มีเรื่องอะไรก็จัดการเองแล้วกัน” เฉียงฮ่าวปิงโบกมือ
“ขอรับ...” เฉียงต๋าตอบสั้นๆ เป็นการเอ่ยคำลา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วจากไป
เฉียงฮ่าวปิงได้แต่ถอนหายใจทิ้ง
“เห นี่ท่านไว้หน้าพรรคธรรมะเช่นข้าขนาดนี้เชียวหรือ” ชายหนุ่มโผล่มาหลังจากเก้าอี้ไม้ของเฉียงฮ่าวปิง เขาไล้เส้นผมของเฉียงฮ่าวปิงหนึ่งที ก่อนจะเดินออกมาประชันหน้า
“พรรคธรรมะเช่นเจ้า? เหตุถึงมาเกาะแกะข้านัก พรรคมารมิใช่ที่อย่างคนพรรคธรรมะจะมาเดินเล่น” เฉียงฮ่าวปิงส่ายหน้า
“ท่านประมุขเฉียง นี่ท่านจำข้าไม่ได้เลยหรือ?” ชายหนุ่มคนนั้นยังคงม้วนเส้นผมดำขลับของเฉียงฮ่าวปิงเล่น
คนตรงหน้าเป็นลูกศิษย์ของพรรคธรรมะตระกูลลู่ ลู่เยว่ชิง หนึ่งในบรรดาศิษย์เอกของพรรค สวมใส่ชุดวรยุทธ์สีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวถูกมัดรวบเป็นหางม้า ข้างกายเหน็บกระบี่สีเงินแวววาว
เฉียงฮ่าวปิงถูกลู่เยว่ชิงตามติดมาหลายเดือนแล้ว ด้วยความที่ตนเคยสูญเสียความทรงจำมาก่อน หลังจากที่ฟื้นเขาก็พบลู่เยว่ชิง โดนถามตลอดว่า ‘จำข้าได้หรือไม่’ แต่เขาไม่ได้ตอบไป
เฉียงฮ่าวปิงมองนิ่ง ลู่เยว่ชิงสบตากับอีกฝ่ายพอดี
“ฮ่าๆ ชิงเอ๋อร์ล่วงเกินท่านแล้ว ขออภัยๆ” ลู่เยว่ชิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่เรียวมือยังไม่ดึงกลับที่ ยังคงลูบไล้เส้นผมของเฉียงฮ่าวปิงอยู่เช่นนั้น
“เจ้ามาที่นี่เพราะมีของใช่หรือไม่” เฉียงฮ่าวปิงเบนหน้าไปทางอื่นให้พ้นมือของลู่เยว่ชิง
“เย็นชาเกินไปแล้ว หรือเพราะท่านมีแก่นปราณน้ำแข็งกันนะ” ลู่เยว่ชิงหัวเราะเบาๆ
“ไหนของ” เฉียงฮ่าวปิงเปลี่ยนเรื่อง หันหน้ากลับมา
“ฮ่าวเก้อเกออย่ารีบร้อน” ลู่เยว่ชิงล้วงหยิบของข้างในเสื้อ หยิบเอาห่อผ้าสีเขียวออกมายื่นให้
“มีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ฮ่าวเก้อเกอโปรดอย่าถือสา” ลู่เยว่ชิงแกะห่อผ้าออกมา ข้างในปรากฎเป็นเศษผงละอองสีดำแวววาวประกายระยิบระยับ
“ไม่เป็นไร หลอมเอาก็ได้” เฉียงฮ่าวปิงทำท่าจะคว้าห่อผ้านั้นมา
“อ๊ะๆ อย่าหาว่าข้าทวงเลย ท่านสัญญากับข้าแล้วว่าจะมีสิ่งแลกเปลี่ยน” ลู่เยว่ชิงยิ้มหวาน เขาห่อผ้าเก็บดังเดิม
เฉียงฮ่าวปิงหดมือกลับ ตีหน้าทะมึนใส่
“เจ้าต้องการอะไร” เฉียงฮ่าวปิงถามเสียงเรียบ
“ผงศิลาดำที่ข้าเสี่ยงตายไปหามาให้ท่าน ข้าเกรงว่าได้ของชิ้นเดียวคงจะไม่คุ้มเท่าไหร่” ลู่เยว่ชิงเหลือบ
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการของจากเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจ และลอบสบถในใจ คนของพรรคธรรมมะจะเหลี่ยมเกินไปแล้ว ได้คืบจะเอาศอก
“โถ ฮ่าวเกอ...” ลู่เยว่ชิงหดหู่
“ใครเป็นพี่ของเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงขมวดคิ้ว
“ท่านประมุขสิ ข้าลืมตัว” ลู่เยว่ชิงเกาหัว
“จะว่าไปท่านเอาศิลาดำไปทำอะไรหรือ ข้าได้ยินมาว่าสามารถฟื้นคืนชีพให้กับผู้ล่วงลับไป ได้ตื่นขึ้นมา” ลู่เยว่ชิงเอียงคอถาม
“ไม่ต้องถามให้มากความ” เฉียงฮ่าวปิงแบมือ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“มอบริมฝีปากลงบนแก้มของข้าก็เพียงพอแล้วขอรับ” ลู่เยว่ชิงเอ่ยอย่างร่าเริง
“...” เฉียงฮ่าวปิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าทะมึน เขาหดมือกลับ ไม่กล้ายื่นออกไปอีก อีกฝ่ายเป็นถึงคนของพรรคธรรมะ ผดุงความยุติธรรม แต่บางคนกลับมีความคิดต่ำช้าเช่นนี้?
“ผงศิลาดำ สงสัยข้าต้องเอาไปทิ้งแล้ว” ลู่เยว่ชิงเอ่ยลอยๆ
“แค่ประทับก็พอใช่หรือไม่” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจแรงๆ เขายกมือเช็ดปากเช็ดจมูก
“ท่านประมุขช่างปราดเปรื่อง ท่านคิดถูกแล้ว!” ลู่เยว่ชิงปรบมือสามที เขาเดินก้าวเท้าไปหาอีกฝ่าย แล้วโก้งโค้งไปหา
เฉียงฮ่าวปิงลอบโมโหโกรธเกรี้ยวในใจ มือกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นผุดเต้นตุบๆ หากเขามีแก่นปราณธาตุลมคงไม่ต้องมาทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้
ศิลาดำ ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยมือเปล่า
“เอ...ข้ารออยู่นานแล้วนะประมุขเฉียง” ลู่เยว่ชิงลืมตาขึ้นมา
“หนวกหู” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยจบ ก็เงยหน้ามอบริมฝีปากนุ่มประทับลงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เพียงเสี้ยววิเขาก็ผละออก
“นี่ของ” ลู่เยว่ชิงดึงสติกลับมา ก่อนจะวางห่อผ้าสีเขียวลงบนฝ่ามือของเฉียงฮ่าวปิงแล้วกุมมืออีกฝ่ายไว้
“ปล่อย” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยเสียงเย็น
“ข้าปล่อยก็ได้ ไว้ข้าจะมาใหม่” พูดจบลู่เยว่ชิงก็กระโจนออกจากหน้าต่างไป
เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจยาว พลางกุมขมับ เขาเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาอีกแล้ว
13 ปีก่อน ณ ลานหน้าวัง
ในวันที่หิมะสีขาวโปรยปราย บรรยากาศรอบข้างพลันหนาวเหน็บยะเยือก
“อาฮ่าว ข้าขอโทษ...” น้ำเสียงของชายชราเอ่ยด้วยความหมดแรงตรงหน้าเด็กน้อย ในยามนั้นฮ่าวปิงมีอายุเพียง 10 ขวบ
เด็กน้อยไร้เดียงสามองชายชราด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาเอื้อมอุ้งมือน้อยๆ ไปกุมมือที่เหี่ยวแห้งราวกับกิ่งไม้ของชายชราไว้
“ปู่จะไปไหนหรือ” เด็กก็ยังคือเด็ก เขายังไม่สามารถรับรู้หรือแยกแยะสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง
ปู่มีผู้คนล้อมไว้มากมาย ทว่าไม่เคยเอ่ยวาจาดีๆ กับปู่เขาเลย
“ข้ามีงานที่ต้องสะสาง เจ้าต้องทำตัวดีๆ ยามเมื่ออยู่กับ ‘พวกเขา’ เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป แค่นั้นปู่ก็ดีใจแล้ว” รอยยิ้มของชายชราคลี่ออกช้าๆ
ฮ่าวปิงสัมผัสได้ว่า จะไม่ได้เจอปู่อีกแล้ว
“อาลัยอาวรณ์อยู่ได้! รีบไป!” ชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหาร กระชากโซ่ตรวนชายชราไป เพราะชายชราไม่มีเรี่ยวแรงจึงไม่สามารถขัดขืนได้
“เจ้าเองก็ไปกับข้าเถอะ จากนี้ไปจงใช้แซ่เฉียงซะ” เฉียงเทียนเหิง ประมุขพรรคมารคนปัจจุบัน ชายหนุ่มผมขาวดุจหิมะเอ่ยอย่างเด็ดขาด เขาเดินไป ไม่รอฮ่าวปิงเลยสักก้าว
“ทำไม? ยังผูกพันกับตาเฒ่านั้นรึ” เฉียงเทียนเหิงเอ่ย
“ปู่จะกลับมาไหม” เด็กน้อยฮ่าวก้มหน้า รีบสาวเท้าเดินให้ทันประมุขเฉียง
“...” เฉียงเทียนเหิงมองเด็กน้อยนิ่งงัน เขามองออกมาว่า เด็กคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าปู่ของเขาจะกลับมาไหม
“เหตุใดปู่ถึงร้องไห้” ฮ่าวปิงเริ่มมีน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
อะไรกันเด็กนี่ก็เสียใจเป็น
“เขา...ไม่กลับมาหาเจ้าอีกต่อไปแล้ว” เฉียงเทียนเหิงหันกลับมามองเด็กน้อย กลับพบว่า เด็กน้อยฮ่าวร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเด็กทั่วไป
เฉียงเทียนเหิงรังเกียจน้ำตาของเด็กที่สุด โดยเฉพาะน้ำตาของเด็กที่ตนเพิ่งรับมาเป็นลูกบุญธรรม
เขาไม่คิดจะปลอบโยนเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “เช็ดน้ำตาซะ อย่าให้ข้าเห็นว่ามันไหลออกมาอีก” เฉียงเทียนเหิงเดินทอดน่องจากไป
ฮ่าวปิงรีบเช็ดน้ำตาของตน แล้วรีบวิ่งตามเฉียงเทียนเหิงไปให้ทัน ทั้งที่เขายังหยุดร้องไห้ไม่ได้
ณ เรือนใหญ่ของพรรคมารตระกูลเฉียง
“เฉียงฮ่าวปิง! นับแต่นี้ไปเจ้าคือคนสกุลเฉียง พรรคมารแห่งนี้” เฉียงเทียนเหิงหันมากล่าวกับฮ่าวปิง
“ท่านพ่อ! มั่วเกอแกล้งข้าอีกแล้ว!” สาวน้อยหน้าตาแป้นแล้นวิ่งหน้าตั้งมาเกาะขาเฉียงเทียนเหิงอย่างเอาเป็นเอาตาย นางคือบุตรีแท้ๆ ของเฉียงเทียนเหิง นาม เฉียงอวี้หลัน
“ข้าเปล่านะ ศิษย์น้องรังแกข้าก่อน!” ทันใดนั้นเด็กน้อยมีผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ อีกคนเดินถ่างขาเข้ามา คล้ายกับว่าจะหาเรื่อง เป็นเพียงลูกศิษย์นอกสกุล นาม มั่วส่าวเต๋อ เพราะประมุขเฉียงผู้นี้เป็นน้องชายของทางฝั่งบิดาของมั่วส่าวเต๋อ บิดาของมั่วส่าวเต๋อจึงจำเป็นที่ต้องฝากไว้กับประมุขเฉียง
“ส่าวเอ๋อร์ เจ้ายอมน้องสักครั้งไม่ได้รึ” เฉียงเทียนเหิงนั่งยองๆ เทียบเท่าเด็กทั้งสองคน ทั้งเฉียงอวี้หลันกับมั่วส่าวเต๋อ
“มะ..ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมแต่..แต่ว่า...” มั่วส่าวเต๋อบิดซ้ายบิดขวา
ท่าทางอย่างกับสตรีขี้อายนี่มันอะไรกัน เขาจำได้ว่าเขาสอนเด็กผู้ชายให้เป็นบุรุษ
“เอาล่ะ เจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร อาฮ่าว” เฉียงเทียนเหิงหันไปกล่าวกับฮ่าวปิง ที่ยืนนิ่งอยู่นาน
“นั่งคุยทำความเข้าใจกัน ใครผิดคนนั้นก็ต้องขอโทษ” ฮ่าวปิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“นั่นใครหรือท่านพ่อ” เฉียงอวี้หลันหันไปมองด้วยความเขินอาย
“ข้าชื่อ มั่วส่าวเต๋อ ยินดีที่ได้รู้จักล่ะ!” มั่วส่าวเต๋อยื่นมือไปทักทาย
นั่นทำให้ฮ่าวปิงถอยไปหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ
“มือข้าสะอาดนะ...” มั่วส่าวเต๋อเริ่มไม่ค่อยแน่ใจ เขาหดแขนกลับมาสำรวจมือตนเอง
“ฮ่าวปิง...เฉียงฮ่าวปิง” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยเสียงค่อย
“เขาโตกว่าพวกเจ้า” เฉียงเทียนเหิงกล่าว
“ข้าจะมีพี่ชาย!” เฉียงอวี้หลันกับมั่วส่าวเต๋อดีใจร้องลั่น
“เดี๋ยว! มั่วเกอจะดีใจตามข้าทำไม?” เฉียงอวี้หลันหันมาเบะปากใส่
“ข้าก็อยากมีพี่ชายนะ!” มั่วส่าวเต๋อแลบลิ้นใส่
“ท่าน...” เฉียงฮ่าวปิงหันไปหาเฉียงเทียนเหิง
“เรียกท่านพ่อ” เฉียงเทียนเหิงขัดขึ้น
เฉียงฮ่าวปิงสะอึก เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ท่านพ่อ...”
“ว่าอย่างไร?” เฉียงเทียนเหิงยิ้มอ่อนให้
“ข้าอยากเข้าไปข้างในแล้ว” เฉียงฮ่าวปิงก้มหัว
“ข้า ข้าเอง!” มั่วส่าวเต๋อรีบออกตัว แล้วถลาตัวมาประคองเฉียงฮ่าวปิงอย่างเนียนๆ “ท่านอา ข้าพาฮ่าวเก้อเกอไปเปลี่ยนชุดที่ห้องของข้านะ!”
“ตามใจ” เฉียงเทียนเหิงตอบสั้นๆ เขาอุ้มเฉียงอวี้หลันไปแล้วเดินเข้าจวน
“เจ้าชื่ออะไรนะ” เฉียงฮ่าวปิงยังหวาดระแวงเด็กคนนี้
“มั่ว-ส่าว-เต๋อ” มั่วส่าวเต๋อเน้นทีละคำ
เฉียงฮ่าวปิงพยักหน้าเบาๆ
“พี่ฮ่าวไปเปลี่ยนชุดกัน!” มั่วส่าวเต๋อดันแผ่นหลังของเฉียงฮ่าวปิงไป
ห้องส่วนตัวของมั่วส่าวเต๋อ
ตั้งแต่เฉียงฮ่าวปิงก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขาก็สัมผัสได้ถึงคำว่า ‘รก’ เป็นครั้งแรก
“รกไปหน่อย แต่ข้าไม่ถือสาหรอกนะ!” มั่วส่าวเต๋อตาเปล่งประกาย
เฉียงฮ่าวปิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เด็กน้อยคิดว่ามิใช่ว่าคำพูดนั้นเขาต้องเป็นคนกล่าวหรอกหรือ
“น้องมั่ว เก็บห้องของเจ้าก่อนเถิด” เฉียงฮ่าวปิงถอดผ้าคลุมออก แขวนไว้ที่ราว ก่อนจะลงมือเก็บของที่เรี่ยราดที่พื้น
“ฮะ...ฮ่าวเก้อเกอ ลำบากท่านแล้ว” มั่วส่าวเต๋อยิ้มแห้ง ก่อนจะก้มลงเก็บของเช่นกัน
“ไม้กวาด” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยขึ้น
“เอาทำอะไรหรือ” มั่วส่าวเต๋อมองตาปริบๆ
“อย่าโง่” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจ
“อ๊ะ! ท่านจะกวาดสินะ!”
“เจ้ากวาดเองต่างหาก” เฉียงฮ่าวปิงตอบทันที เด็กน้อยเดินไปคว้าเสื้อคลุมก่อนจะเดินออกไป
“อา...ท่านอารับเขามาเป็นลูกบุญธรรมได้อย่างไรกัน เขาไม่เหมาะแก่การอยู่ที่นี่เลย” มั่วส่าวเต๋อนั่งแหมะกอดหนังสือ
“ทำไมเจ้าถึงออกมา?” เฉียงเทียนเหิงเดินมาพอดี
เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยสีหน้าราบเรียบ “เขาเป็นใคร”
“ลูกชายของพี่ชายข้าเอง” เฉียงเทียนเหิงหัวเราะในลำคอ
“ห้องของเขารกมาก” เฉียงฮ่าวปิงลอบกำหมัด
“ส่าวเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้” เฉียงเทียนเหิงแสร้งยิ้ม “ยังไงคืนนี้เจ้าก็ต้องนอนกับเขา”
“...” เฉียงฮ่าวปิงเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์ เขาที่เป็นเด็กรักสะอาด จะให้มานอนกับเด็กที่รักสกปรก ท่านยังมีสติอยู่หรือไม่
“ประมุขเฉียง ท่านประมุข\~ ฮ่าวเก้อเกอ ท่านได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างใบหูของเฉียงฮ่าวปิง
เขาเรียกตัวเองออกมาจากภวังค์ เมื่อครู่เขาพลันหวนคิดถึงอดีต ไม่นึกว่านิสัยเย็นชาจะติดมาจนโตเช่นนี้
“เหตุใดท่านถึงไม่เรียกองครักษ์มาเลยสักคน?” ลู่เยว่ชิงเลิกคิ้ว
ทั้งเฉียงฮ่าวปิงกับลู่เยว่ชิงกำลังเดินเข้าสู่หลังหุบเขามาร
“เจ้าพวกนั้นไม่ค่อยพอใจข้า ข้าขี้เกียจเรียกให้พวกเขามานั่งฟังข้า” เฉียงฮ่าวปิงวนนิ้วหนึ่งรอบ ก่อนจะเกิดผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กสีฟ้าใสแวววาวขึ้นหนึ่งแผ่น เขาผลักเกล็ดน้ำแข็งนั้นไปหาลู่เยว่ชิง
“ท่านทำอะไรน่ะ” ลู่เยว่ชิงหลบไม่พ้นโดนเกล็ดน้ำแข็งแผ่นนั้นซึมเข้าไปในร่างกาย ร่างของลู่เยว่ชิงเลือนรางเล็กน้อย
“ที่นี่เป็นเขตต้องห้าม หลังหุบเขาของมาร หากมีคนของพรรคธรรมะสักหนึ่งคนหลุดเข้าไป เกรงว่าสัตว์มารบางตัวจะตื่น” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย
“...” ลู่เยว่ชิงอึ้ง เหตุใดอีกฝ่ายต้องพูดอ้อมค้อมด้วย บอกว่าเป็นห่วงก็บอกว่าเป็นห่วงสิ
“ท่านจะไม่เป็นอะไรหรือ?” ลู่เยว่ชิงกอบกุมด้ามกระบี่
“สัตว์มารคงไม่ทำร้ายพวกเดียวกันหรอก” เฉียงฮ่าวปิงยกมือไพล่หลังแล้วเดินต่อไป
ลู่เยว่ชิงรีบสาวเท้า เดินตามให้ทัน
เฉียงฮ่าวปิงและลู่เยว่ชิงเข้ามายังหุบเขามาร เมื่อไม่นานมานี้ลู่เยว่ชิงลักลอบเข้ามาเฉียงฮ่าวปิงอีกครั้ง บอกว่ามีเรื่องสนุกที่หุบเขามารแห่งนี้
แต่ลู่เยว่ชิงกลับหมดสนุกเพียงฝ่ายเดียว เพราะตอนนี้เขาถูกเฉียงฮ่าวปิงกักขังลมปราณ อย่างกับถูกแช่แข็งเสียอย่างนั้น เฉียงฮ่าวปิงบอกเขาว่า เพราะคนของพรรคธรรมะมีจิตใจที่สะอาดจนน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพวกมารทั้งหลาย หากพวกสัตว์มารได้กลิ่นแม้แต่เสี้ยวเดียว พวกมันก็จะรีบพุ่งมาจัดการ
แสดงว่าเฉียงฮ่าวปิงมีจิตใจสกปรก จึงทำให้สัตว์มารชื่นชอบ?
“หากยังรักชีวิต ก็ทำตามที่ข้าบอก” เฉียงฮ่าวปิงเอามือไพล่หลัง พลางเดินไป
“ข้าต้องเดินนำท่านสิถึงจะถูก” ลู่เยว่ชิงเดินนำขึ้นมา
เฉียงฮ่าวปิงหลีกทางให้อีกฝ่าย พลางเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม
เขาไม่นึกว่าตนจะต้องมาอาศัยพึ่งพากับคนพรรคธรรมะเช่นลู่เยว่ชิง เหตุใดอีกฝ่ายต้องเป็นคนเดินมาหาเขาเองเช่นนี้ด้วย แต่เฉียงฮ่าวปิงก็ไม่มีทางเลือก เขาตามหาศิลาดำมา 5 ปีแล้ว ยังได้เพียง 2 ก้อน เขาต้องใช้มันถึง 10 ก้อน
“ประมุขเฉียง ข้าเกรงว่าจะเจอคนของพรรคธรรมะโดยบังเอิญ” ลู่เยว่ชิงลูบคางครุ่นคิด “เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะบอกกับพวกเขาว่าอย่างไรหรือ”
“ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ย่อมต้องปล่อยเจ้าไปหาพวกเขาอยู่แล้ว” เฉียงฮ่าวปิงโบกมือปัดๆ
“ข้าไม่ไปหาพวกเขานะ” ลู่เยว่ชิงมองอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ
“...” เฉียงฮ่าวปิงเงียบ เป็นเด็กแท้ๆ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกอยู่ได้
คนของพรรคธรรมะกับคนของพรรคมารไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มักเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้ง เขาตั้งใจว่าหลังจากที่ตนขึ้นเป็นประมุข จะทำตัวเงียบๆ พยายามไม่ก่อเรื่อง แต่องครักษ์ก็ชอบทำตัวน่ารำคาญแก่พรรคธรรมะอยู่เรื่อย
จนกระทั่งเขาบังเอิญได้ช่วยเด็กหนุ่ม คนของพรรคธรรมะไว้หนึ่งคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคือคนในตอนนี้ ลู่เยว่ชิง เขารู้ว่าอีกฝ่ายจิตใจสะอาดปราศจากมลทิน รู้จักตอบแทนบุญคุณ แต่เขาไม่นึกว่าลู่เยว่ชิงจะมาหาเขาตลอด นี่ก็ครึ่งปีแล้วที่ลู่เยว่ชิงมาหาเขา เขาไม่เคยเอ่ยปากว่าจะให้อีกฝ่ายช่วยหาศิลาดำ เป็นอีกฝ่ายที่เอามาให้เขาเอง
เขาจำได้แค่ว่าช่วยลู่เยว่ชิงด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้ว่าลู่เยว่ชิงเป็นใครมาก่อนหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายเหมือนต้องการย้อนความนานกว่านั้น ซึ่งเขาก็จำไม่ได้
“ท่านประมุขเฉียง ข้าได้ยินเสียงเคลื่อนไหว” ลู่เยว่ชิงยกแขนขวางเฉียงฮ่าวปิงไม่ให้เดินต่อ
“ถอยไป” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย พลางปัดแขนลู่เยว่ชิงออก
“ทะ...ท่าน”
“มีคนมารับเจ้าแล้ว” เฉียงฮ่าวปิงเงยหน้าเอ่ย เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาทางนี้
“เจ้ามารชั่ว! เจ้าลักพาตัวชิงเอ๋อร์รึ!” ผู้นำที่ยกพวกมาชี้หน้าเฉียงฮ่าวปิงอย่างเกรี้ยวกราด
“...” เฉียงฮ่าวปิงมองนิ่งไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเกลียดนิสัยพูดเองเออเองของพวกพรรคธรรมะที่สุด
“เขาช่วยข้าไว้ต่างหาก\~” ลู่เยว่ชิงตะโกนกลับ
“นี่เจ้าโดนพรรคมารบีบคั้นให้ต้องกล่าวเช่นนี้หรือ! บังอาจเกินไปแล้ว!” คนกล่าวเริ่มดึงกระบี่ออกจากฝัก
“ดูสิ่งที่เจ้าทำกับข้าสิ ผู้แซ่ลู่” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจหันไปกล่าวกับลู่เยว่ชิง
“ก็ท่านช่วยข้าไว้จริงๆ มิได้เท็จแต่ประการใด” ลู่เยว่ชิงกุมมือตัวเอง
“สัตว์มารตื่นแน่” เฉียงฮ่าวปิงลูบคางตน
“คนของพวกเจ้าก็น่ารำคาญ ปล่อยให้พวกมันจัดการกับสัตว์มารเองแล้วกัน” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยต่อ เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปหาลู่เยว่ชิง คว้าแขนอีกฝ่ายแล้วพากระโดดหายไปท่ามกลางหมอกหนา
“เห็นไหม มันลักพาตัวชิงเอ๋อร์ไปจริงๆ...”
“กรร...กรร!” มีเสียงบางอย่างกำลังใกล้เข้ามายังกลุ่มของคนพรรคธรรมะ
“อ๊าก! นั่นมันตัวอะไร!!”
“แต่กลิ่นมันเหมือนซาลาเปาเพิ่งนึ่งมาใหม่ๆ เลย! ปลาเค็มรึ?!”
“ถึงกับพาออกมาจากหุบเขาเลยหรือ” ลู่เยว่ชิงนั่งหนาวเหน็บ เฉียงฮ่าวปิงยังไม่คลายผลึกน้ำแข็งในตัวเขา อุณหภูมิร่างกายพลางต่ำลงเรื่อยๆ พลังปราณก็ใช้ไม่ได้ดั่งใจ
“เป็นอะไร เจ้าทนความหนาวเย็นไม่ได้รึ ช่างอ่อนหัด” เฉียงฮ่าวปิงปลดผ้าคลุมของตนโยนให้ลู่เยว่ชิง
“คลาย...ผนึก..ดะ..ได้แล้ว” ลู่เยว่ชิงเอ่ยเสียงสั่น ริมฝีปากซีดแห้งสั่นระริกๆ เสียงฟันกระทบกึกๆ ไม่ขาดสาย เขาเอื้อมมือหยิบผ้าคลุมมาห่อตัวเองอย่างเชื่องช้า
“ไม่ได้ ถึงจะพาเจ้าออกมาแล้ว จมูกของพวกมันก็ยังรับรู้กลิ่นได้ อีกอย่างแก่นปราณน้ำแข็งของข้าก็ใช่ว่าจะสังหารผู้คนได้ เช่นนั้นวางใจเถอะ” เฉียงฮ่าวปิงนั่งลงที่ก้อนหินตรงข้ามลู่เยว่ชิง
“...” ลู่เยว่ชิงใจห่อเหี่ยว แค่นี้ก็หนาวจะตายแล้ว เขากำชับผ้าคลุมแน่นขึ้น
“ไม่ต้องหวังให้ข้าจุดไฟ ก่อไฟ ให้เจ้า” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยขึ้น เขาจะไปจุดไฟได้อย่างไร ในเมื่อตนมีแก่นปราณน้ำแข็งในมือ ย่อมจุดไฟไม่ติดอยู่แล้ว
ลู่เยว่ชิงนั่งตัวสั่นเทา ไม่นึกว่าเกาะติดประมุขเฉียงแล้วจะทำให้เขาพบเจอแต่เรื่องแย่ๆ กว่าเดิม
“ไว้ถึงจวนที่พรรคมาร ข้าจะปลดผนึก” เฉียงฮ่าวปิงลุกขึ้น เดินไปคว้าแขนลู่เยว่ชิงขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยืน
“...” เฉียงฮ่าวปิงมองอีกฝ่าย
ลู่เยว่ชิงผล็อยหลับไปแล้ว ฝ่ามือยังสั่นระริกไม่หาย จิกผ้าคลุมเขาเกือบขาดแล้ว
ที่เขายังไม่ปลดผนึก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินลมปราณทันที นั่นทำให้สัตว์มารรู้ตัวได้ง่าย ตอนนี้สัตว์มารคงไม่อาละวาดในหุบเขาแล้วกระมัง เช่นนั้นเขายอมปลดผนึกก็ได้
เฉียงฮ่าวปิงจับอีกฝ่ายลากเข้ามาในอ้อมอกตน แล้วทาบนิ้วโป้งลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ปลายนิ้วส่องแสงฟ้าประกายเล็กๆ ขึ้นมา มีหยดน้ำใสผุดขึ้นมา เขาจึงบีบมันทิ้ง ทว่ายังไม่จบเท่านั้น เขาเห็นตราสีแดงบางอย่างกะพริบที่หน้าผากของลู่เยว่ชิง หลังจากนั้นก็หายไป ไม่ปรากฏขึ้นอีก
ตรามารที่คล้ายคลึงกับตรามารที่หน้าผากของเขา เขาอาจจะตาฝาดไปเอง คนพรรคธรรมะจะไปมีตรามารได้อย่างไร
“ตื่นได้แล้ว กลับไปยังที่ของเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย ก่อนจะวางอีกฝ่ายลงนอนกับพื้น
ร่างกายของลู่เยว่ชิงขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันที ทันทีที่เขาปลดผนึกลมปราณ ริมฝีปากไม่แห้งกรังแล้ว ตัวก็ไม่สั่นระริก
เป็นคนพรรคธรรมะแท้ๆ กลับเข้ามาหยุ่มหย่ามไม่เข้าเรื่อง คนที่ลำบากทุกครั้งก็มักจะเป็นเขา เช่นนี้เขาไม่เสียเปรียบไปหน่อยหรือ ทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่นี่ พรรคพวกก็คงออกมาตามหาจนเจออยู่ดี เขาไม่ต้องกังวล
แค่ศิลาดำ เหตุใดถึงต้องลำบากเช่นนี้ด้วย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!