...๐๐๐ วรรณะของชาวสวรรค์ ๐๐๐
...
ท้าวสักกะเทวราช(องค์อินทร์) :: ผู้ปกครองชาวสวรรค์ในชั้นดาวดึงส์ ชั้นจตุมหาราชิกาและดูแลโลกมนุษย์มีอำนาจสูงสุด
มหาเทพ :: ผู้ปกครองวิมานประจำทิศทั้ง8ที่ล้อมรอบเขตดาวดึงส์ มีอำนาจรองลงมาจากองค์อินทร์
เทวี :: คือมเหสีคู่กายของเหล่าเทพ และ สตรีผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมวิมานของตนเอง หากมีวิมานของตนเองจะถือว่าเป็นบริวารขององค์อินทร์ไม่ว่าวิมานจะตั้งหรือลอยอยู่ในเขตของผู้ใดก็ตาม มหาเทพหรือเทพจะไม่มีสิทธิ์เรียกใช้
เทพ :: คือผู้ที่เกิดมาพร้อมวิมานหากเกิดขึ้นในเขตของมหาเทพใดก็จะสังกัดเป็นบริวารของผู้นั้น
อัปสร :: คือหญิงที่เกิดขึ้นภายในวิมานของเหล่าเทพและเทวีทั้งหลาย หากเกิดขึ้นภายในวิมานหรือในอาณาเขตจะเป็นบริวาร หากเกิดข้างแท่นบรรทมจะเป็นข้ารองบาท หากเกิดขึ้นบนแท่นบรรทมจะเป็นบาทบริจาริกาหรือสนมนั่นเอง วรรณะนี้สามารถเลื่อนขึ้นมาเป็นเทวีได้หากแต่งงานกับเทพผู้ครองวิมาน
เทวดา :: คือชายที่เกิดขึ้นภายในวิมานหรือในอาณาเขตของเหล่าเทพ วรรณะนี้จะไม่เกิดขึ้นในวิมานของพระเทวีที่ครองโสด หากเกิดข้างแท่นบรรทมจะเป็นข้ารองบาทซึ่งในตำแหน่งนี้จะมีเพียงตนเดียว ตำแหน่งจะถูกสับเปลี่ยนเมื่อผู้ทำหน้าที่เลื่อนวรรณะ สามารถเลื่อนวรรณะเป็นเทพได้หากบำเพ็ญบุญบารมีถึงที่ก็จะมีวิมานของตนเองเกิดขึ้น
เทวบุตร,เทวธิดา :: คือผู้ที่เกิดจากเทพหรือเทวี หากเป็นชายก็จะมีสถานะเป็นเทพ หากเป็นหญิงจะมีสถานะเป็นอัปสร ส่วนใหญ่จะเกิดแบบโอปปาติกะ(เกิดและโตทันทีหากเป็นหญิงร่างกายจะอยู่ในช่วงวัย 16-18 ปี หากเป็นชายจะอยู่ในช่วงวัย 20 ปี) โดยจะเป็นดวงแก้วเกิดขึ้นที่ตักของเทพหรือเทวีในขณะที่นั่งบำเพ็ญภาวนา และเกิดแบบชลาพุชะ(เกิดขึ้นภายในครรภ์ร่างกายจะหยุดการเติบโตในช่วงวัยตามที่กล่าวมา ชาวสวรรค์จะแก่ลงก็ต่อเมื่อใกล้จะหมดบุญแล้วเท่านั้น)
เทพธิดา :: คือหญิงที่เกิดขึ้นในวิมานของเทวีและเกิดขึ้นในชั้นจตุมหาราชิกาหากไม่ได้เกิดในวิมานก็จะสถิตอยู่ตามต้นไม้หอมหรือต้นไม้มงคลในป่าหิมพานต์ วรรณะนี้ไม่สามารถเลื่อนเป็นเทวีได้แต่สามารถเป็นอัปสรได้หากบารมีถึงที่
คนธรรพ์ :: คือชายหญิงที่เกิดในชั้นจตุมหาราชิกามีวิมานอยู่ในต้นไม้ทั่วไปทั้งในหิมพานต์และบนพื้นพิภพของมนุษย์ วรรณะนี้ไม่สามารถเลื่อนขึ้นได้ ด้วยว่าบารมีไม่พอหากผู้ใดมีบารมีถึงที่ก็จะตายแล้วไปเกิดใหม่ในที่ที่ตนมีบุญถึง
อุบัติ :: เกิด
จุติ :: ตาย(หรือลงมาปฏิบัติหน้าที่ตามบัญชาของเทพหรือองค์อินทร์เมื่อเสร็จสิ้นก็จะกลับคืนสู่ที่เดิมหากไม่ได้หมดบุญ) หากหมดบุญไปแล้วก็ต้องเวียนว่ายไปตามกรรมที่เคยได้ก่อเอาไว้
...ทิศทั้ง ๘
...
อุดร \= เหนือ
อิสาน \= ตะวันออกเฉียงเหนือ
บูรพา \= ตะวันออก
อาคเนย์ \= ตะวันออกเฉียงใต้
ทักษิณ \= ใต้
หรดี \= ตะวันตกเฉียงใต้
ประจิม \= ตะวันตก
พายัพ \= ตะวันตกเฉียงเหนือ
...๐๐๐๐๐
...
ปล.. นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นด้วยหัวสมองกลวงๆที่มีขี้เลื่อยอยู่เกือบครึ่งของผู้แต่งเอง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมใดๆที่มีอยู่ มีเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆเท่านั้นที่อ้างอิงถึง หากผิดพลาดประการใดผู้แต่งก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
***** โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพ *****
...๐๐...
ในอดีตกาลที่เนิ่นนานมาแล้ว ณ สวรรค์ชั้นฟ้าที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นวัฏจักร
...๐๐...
ณ กลางสวน 'มหาวัน' อันร่มรื่นไปด้วยดอกไม้ทิพย์นานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมยามต้องลม ละลานตาไปด้วยวิมานแก้วอันวิจิตรงดงามที่รายล้อมสวนแห่งนี้ไว้กว่าหนึ่งพันวิมาน
ปรากฏร่างของพระเทวีองค์หนึ่งบนแท่นศิลาริมขอบสระสุนันทา กำลังนั่งบำเพ็ญภาวนาสมาธิด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้าขาวคมสันรับกันเป็นอย่างดีกับจมูกโด่งเชิดให้ความน่าเกรงขามดุจเทพบุตรมากกว่าจะเป็นเทวีท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เพราะที่แห่งนี้เป็นสวนที่มีไว้เพื่อให้เจ้าผู้ครองเวชยันต์มหาปราสาทได้พักผ่อนจึงไม่มีเหล่าชาวสวรรค์เข้ามายุ่งย่ามหากไม่มีรับสั่งหา
“ลักษณารี” น้ำเสียงทรงพลังเอ่ยเรียกผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“เพคะ เสด็จพ่อ” เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นขานรับอย่างนอบน้อม พร้อมลงจากศิลาอาสน์เพื่อให้ผู้เป็นบิดานั่งที่สูงกว่าตนเอง
“เสด็จกลับมานานแล้วหรือเพคะ” พระเทวีร่างสูงถามบิดา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันนิดๆด้วยความสงสัย
“ก็สักพักแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนวิมาน” องค์อินทร์เอ่ยกับบุตรสาวด้วยแววตาเอ็นดู
“ทำไมครานี้ถึงได้กลับเร็วกว่ากำหนดล่ะเพคะ หรือมีเหตุอันใด??” เพราะปกติแล้วบิดาจะใช้เวลาออกบำเพ็ญภาวนาเจ็ดวัน หากแต่ครานี้ไปเพียงห้าวันเท่านั้นจึงอดแปลกใจไม่ได้
“มีเหตุเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็หาใช่เรื่องใหญ่อะไรว่าแต่เจ้าเถอะวันนี้ไม่ไปไหนหรือจึงมาบำเพ็ญอยู่ที่สวนของพ่อได้”
“ไม่เพคะ พระเสาร์เพิ่งจะก่อเรื่องไปเมื่อตอนเช้าลูกเลยไม่มีอารมณ์จะไปไหนเลยเพคะ” พระลักษะหน้ามุ่ยตอบบิดาเมื่อนึกถึงเทพผู้เป็นบริวารของตนที่ชอบก่อเรื่องให้ปวดหัวอยู่เป็นประจำ
“ตอนนี้เทพนพเคราะห์ทั้งเก้าต่างก็เหิมเกริมกันใหญ่ แผ่อำนาจอวดอิทธิฤทธิ์กันจนทำให้โลกเบื้องล่างนั้นปั่นป่วนวุ่นวายกันไปหมด” องค์อินทร์เอ่ยกับบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เพคะ เทพผู้ดูแลทั้งเก้าก็สุดจะห้ามปราม เผลอเมื่อไหร่ก็ก่อเรื่องกันเมื่อนั้นเพคะ” เสียงนุ่มหูตอบบิดาด้วยท่าทีหน่ายๆเมื่อพูดถึงเหล่าเทพประจำดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า
“พ่อจะนำพลังบางส่วนของเทพนพเคราะห์ลงไปถ่วงสมดุลยังโลกเบื้องล่าง เพื่อบรรเทาความวุ่นวาย”
“เสด็จพ่อจะนำลงไปเช่นไรเพคะ เทพแต่ละองค์ทรงอิทธิฤทธิ์กันทั้งนั้น”
“พ่อจะนำลงไปในรูปของดวงแก้วที่บรรจุ ‘อัญมณีรัตนชาติ’ ที่มีพลังของเทพนพเคราะห์ทั้งหมดรวมกัน”
“เช่นนั้นแก้วมณีดวงนี้ก็จะเป็นที่หมายปองของอสูรและมนุษย์ อาจรวมถึงเทวดาด้วยนะเพคะ”
“ถึงรู้เราก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นโลกมนุษย์เบื้องล่างจะพินาศเอาหากเหล่าเทพนพเคราะห์ยังก่อเรื่องและอวดอำนาจกันอย่างนี้ต่อไป” องค์อินทร์พูดพลางมองดูความลำบากของโลกมนุษย์ ผ่านแก้วทิพยเนตรที่ลอยอยู่ตรงหน้าสะท้อนภาพต่างๆตามที่ผู้เป็นเจ้าของอยากจะเห็น
“แล้วเสด็จพ่อจะทำพิธีวันไหนหรือเพคะ”
“สุริยคราสที่จะถึงนี้ โดยพ่อจะให้เทพผู้ดูแลเป็นผู้ที่ดึงพลังเข้าสู่อัญมณีด้วยตัวเอง” องค์อินทร์ตอบบุตรีด้วยท่าทีเอ็นดูในใบหน้าคมที่ทำหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ฟัง
“อีกเจ็ดราตรี” พระลักษะเอ่ยเมื่อคำนวณได้
“แต่พ่อมีบางอย่างให้เจ้าทำก่อนจะถึงพิธี”
“อะไรหรือเพคะ” ดวงเนตรกลมโตสีนิลเป็นประกายมองผู้เป็นบิดาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่
“คืนเพ็ญที่จะถึงนี้ เจ้าจงนำแก้วมณีดวงนี้ไปบรรจุน้ำจากสระอมฤตธาราที่เขาสุทัศน์แล้วเอากลับมาให้พ่อ” พระลักษะเอื้อมมือไปรับแก้วมณีจากบิดาด้วยนัยน์ตาซุกซนจนผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อดที่จะปรามไม่ได้
“อย่าซนนะลักษณารี รีบไปรีบกลับ” องค์อินทร์ดุบุตรสาวเบาๆด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวมีนิสัยซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ก็มีไหวพริบและพลังไม่ต่างไปจากจอมเทพเช่นพระองค์ ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นสตรีแต่ความองอาจและเด็ดเดี่ยวพระลักษะผู้นี้มีเหนือกว่าบุรุษมากนักจึงไม่เคยกลัวเกรงต่อสิ่งใด แม้พระองค์จะทรงรู้ดีแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นความซุกซนในแววตาคมคู่นั้น
“โธ่!! เสด็จพ่อรู้ทันลูกอีกแล้ว” พระลักษะบ่นด้วยสีหน้าไม่จริงจังนักก่อนจะเสกให้มณีที่อยู่ในมือหายไป
“ฮ่าๆ ก็เจ้าชอบทำให้พ่อเป็นห่วงอยู่เรื่อยนี่นะ” องค์อินทร์ตอบบุตรสาวอย่างอารมณ์ดีถึงแม้ว่าพระลักษะจะชอบซุกซน หงุดหงิดง่ายไม่ค่อยเหมือนสตรีเท่าใดนัก แต่ฝีมือและความฉลาดก็ไม่เคยทำให้พระองค์ผิดหวังเลยสักครั้ง
“เช่นนั้นลูกทูลลาเพคะ สัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับไม่เที่ยวเถลไถลไปที่อื่นแน่นอนเพคะ” พระลักษะตอบบิดาด้วยรอยยิ้มซุกซนที่ไม่ค่อยมีผู้ใดได้เห็นบ่อยนักก่อนจะเหาะกลับไปยังวิมานตน
“ภาคียะ!! ” เสียงทรงอำนาจเรียกหาบริวารคนสนิททันทีหลังจากพระลักษะออกไป
“พะยะค่ะ” เทวดาที่มีรูปร่างปราดเปรียวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าองค์อินทร์ทันทีที่สิ้นเสียง
“ไปตามวสุเทพมาพบเราหน่อย”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” หลังจากเทวดานามภาคียะออกไปเพียงครู่ ก็ปรากฏร่างของเทพบุตรที่มีรัศมีสีส้มอ่อนผู้สง่างามเดินเข้ามาในสวนที่ประทับอย่างนอบน้อม
...*...
“ถวายบังคมพะยะค่ะ องค์ท้าวสักกะเทวราช” เทพบุตรผู้มาใหม่ถวายบังคมอย่างนอบน้อมแต่ก็มีความสง่าอยู่ในที
“เรามีเรื่องจะให้เจ้าทำหน่อย วสุเทพ” องค์อินทร์เอ่ยกับเทพบุตรหนุ่มด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“มีอสูรหลุดออกมาจากยมโลก ซึ่งตอนนี้อาละวาดอยู่ในป่าหิมพานต์เจ้าจงจัดการส่งลงไปรับโทษยังนรกที”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ!!! ” เทพบุตรหนุ่มเอ่ยรับคำพระผู้เป็นใหญ่ พลางสายตาก็เหลือบมองหาเทวธิดาร่างสูงที่มักจะเดินเล่นอยู่แถวริมขอบสระแห่งนี้
“พระลักษะไม่อยู่หรอก” องค์อินทร์บอกอย่างรู้ทันทำให้วสุเทพทำหน้าไม่ถูก
“เอ่อ....คือ...”
“เจ้าอยากจะได้นางใดไว้เชยชิดเราให้ได้ยกเว้นพระลักษะ เพราะนางเป็นธิดาแห่งเรา เราจะมอบนางให้แก่ผู้ที่นางพึงใจเท่านั้น” องค์อินทร์เอ่ยดักทางวสุเทพเพราะรู้ดีว่าเขาจะขออะไร ทำให้เทพบุตรรูปงามเดินคอตกออกไป
“ดูท่าแล้วท่านวสุเทพคงจะเสียใจไม่น้อยเลยนะพะยะค่ะ” ภาคียะเอ่ยกับพระผู้เป็นใหญ่เมื่อเห็นท่าทีเหงาหงอยของเทพบุตรหนุ่มรูปงาม
“ลักษณารีเป็นผู้ที่เข้าถึงยาก เหตุด้วยเป็นผู้ที่ค่อนข้างหงุดหงิดง่ายหากไม่ชอบผู้ใดก็จะพูดและแสดงออกมาตรงๆ อีกทั้งยังเป็นเทวีผู้ครองวิมานด้านทิศทักษิณทั้งหมด เมื่อเทียบกับวสุเทพแล้วลักษณารีนั้นมีบริวารมากกว่าถึงห้าเท่าพลังและบารมีของนางนั้นมีมากกว่าเทพบุตรในชั้นเดียวกันมากนัก นางไม่เหมาะจะเดินตามผู้ใดได้ดอกหนา อีกประการที่สำคัญคือนางเกิดขึ้นในเพศสถานะที่ไม่ควร การที่นางจะรักจะพึงใจผู้ใดคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก” องค์อินทร์อธิบายแก่บริวารคนสนิท เพราะพระลักษะต่างก็เป็นที่ยอมรับในหมู่เทพและเทวดาทั้งหลายการที่นางจักรักผู้ใด ผู้นั้นต้องถูกจับตามองจากเหล่าชาวสวรรค์ทั้งหลายเป็นแน่แท้
“หากวันนึงมีผู้เหมาะสมอุบัติขึ้นแล้วมาขอพระลักษะจากพระองค์ พระองค์จะประทานให้หรือไม่พะยะค่ะ” ภาคียะยังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย
“หากเจ้าถามเราถึงเรื่องความเหมาะสมเราก็จะบอกเจ้าว่า ในดาวดึงส์แห่งนี้หามีเทพบุตรใดเหมาะสมกับนางอีกแล้ว เพราะเทียบบารมีแล้วลักษณารีเป็นรองเพียงเราผู้เดียวเท่านั้น ประการสำคัญนางเป็นลูกของเราหาใช่บริวารทั่วไป ฉะนั้นเราจะยกให้ใครตามความเหมาะสมไม่ได้เราจะไม่บังคับให้ลูกเราแต่งงานกับผู้ที่นางไม่ได้รักเด็ดขาด”
“เกล้ากระหม่อมเข้าใจแล้วพะยะค่ะ” ภาคียะพยักหน้าเข้าใจทันทีที่ได้สายตาดุๆจากจอมเทพผู้เป็นองค์เหนือหัว
...๐๐๐...
...๐๐...
...๐...
“นั่งใจลอยไปถึงผู้ใดกันน้องพี่” เสียงเอ่ยทักทำให้พระเทวีแห่งเหมันตฤดูหลุดจากภวังค์ ใบหน้าขาวสะอาดรับกับดวงตากลมโตสีเทาหันไปตามเสียงทันที
“พี่หญิงมานานแล้วหรือเพคะ” เสียงหวานถามผู้เป็นพี่ทันทีที่พระเทวีร่างสูงเดินเข้ามาในศาลาริมสวนหย่อมที่อยู่ท้ายปุณฑริกะอุทยาน
“เพิ่งมาถึง..เจ้ายังไม่ได้ตอบพี่เลยนะว่านั่งใจลอยด้วยเหตุใด” พระลักษะถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพคะ”
“แน่ใจนะจินดาเมขลา...” พระลักษะหรี่ตาถามพระเทวีร่างบางผู้เป็นน้องทีเล่นทีจริง
“แน่สิเพคะ น้องจะคิดถึงผู้ใดได้เล่ามีเชษฐาจอมหวงถึงสามองค์” จินดาเมขลาตอบพี่สาวด้วยรอยยิ้มหยอกเมื่อเห็นพระลักษะยักไหล่ทำหน้านิ่งที่ถูกเหมารวมว่าเป็นพี่ชาย เพราะนางเป็นน้องคนเล็กจึงถูกพี่ทั้งสามหวงเป็นพิเศษจนทำให้ไม่มีเทพบุตรองค์ใดกล้าเข้ามาเกี้ยวพาราศี
“แล้วพี่ศรุตกับพี่วสนุต*ล่ะเพคะ”
“พี่ก็ยังไม่เห็นเหมือนกัน เป็นผู้เรียกให้มาแท้ๆแต่กลับให้น้องๆต้องมารอ” พระลักษะว่าพร้อมกับนั่งลงข้างๆน้องสาว
“นินทาพี่อยู่หรือลักษณารี” เทพบุตรรูปร่างกำยำคิ้วเข้มรับกับใบหน้าคมสันอย่างลงตัวเอ่ยกับผู้เป็นน้องด้วยรอยยิ้ม
“ก็พี่ศรุตมาช้านี่เพคะ น้องก็ต้องบ่นเป็นธรรมดา” พระลักษะยักไหล่บอกกับพี่ชายคนโตอย่างกวนๆ
“พี่ว่าเจ้าก็เพิ่งมาถึงนะลักษณารีไม่น่าจะว่าได้หรอก จินดาเมขลามาตั้งนานยังมิเห็นบ่นเช่นเจ้าเลย” เทพบุตรรูปร่างปราดเปรียวผิวขาวเนียนท่าทางสำอางว่ากวนน้องสาวทันทีที่มาถึง
“แต่น้องก็มาถึงก่อนนะเพคะ” พระลักษะค้อนขวับให้พี่ชายคนรองทันทีที่ถูกหยอก
“เอาล่ะๆพอเท่านี้ก่อนนะน้องพี่ ที่พี่เรียกพวกเรามาในวันนี้เพราะพี่จะแนะนำพระเทวีของพี่ให้พวกเจ้ารู้จัก” พระศรุตรีบห้ามทัพทันทีเมื่อเห็นว่าพระวสนุตกำลังจะต่อปากต่อคำกับน้องสาวที่ตั้งท่ารอพร้อมรบ
“ไหนล่ะเพคะพระเทวีของพี่ศรุต น้องอยากเห็นเสียแล้วสิ” จินดาเมขลามองหาพระชายาของพี่ชายด้วยความตื่นเต้น ที่จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว
พระศรุตเดินออกจากศาลาริมสวนไปครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับนางอัปสรรูปร่างอรชร ดวงหน้าขาวสะอาดผิวขาวเนียนซึ่งบัดนี้แดงน้อยๆด้วยความขัดเขิน
“นี่สุชาวดีอัปสร..ไม่ใช่สิต้องเป็นสุชาวดีเทวี” พระศรุตเอ่ยแนะนำชายาแก่น้องทั้งสามให้รู้จัก
“สุชาวดี นี่พระวสนุตเทพ พระลักษะเทวี และ จินดาเมขลาเทวี ทั้งสามเป็นพี่น้องร่วมสาบานของพี่”
“ยินดีต้อนรับนะเพคะ พระพี่นาง” จินดาเมขลาเอ่ยกับพระเทวีของพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใส ตามด้วยรอยยิ้มของพระลักษะที่ไม่ค่อยมีใครจะได้เห็นมากนักโดยเฉพาะนางอัปสรเช่นพวกนาง
“เอ่อ...ขอฝากตัวด้วยเพคะ” สุชาวดีเอ่ยอย่างไม่คุ้นชินเมื่ออยู่ท่ามกลางเหล่ามหาเทพและเทวีที่เป็นที่รู้กันดีถึงฤทธิ์เดชและความเก่งกาจ ยิ่งอยู่ต่อหน้าพระลักษะผู้เป็นเทวธิดาขององค์สักกะเทวราชแล้วยิ่งทำให้นางประหม่า
ใบหน้าคมสันที่หวานหน่อยๆเข้ากันกับคิ้วโก่งที่เข้มกว่าสตรีทั่วไป ดวงตากลมโตสีดำสนิทที่มีประกายเล็กๆนั้นช่างดูเหมาะกับโครงหน้าและริมฝีปากหยักสีแดงจางๆ จมูกโด่งรั้นที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพระเทวีผู้เป็นเจ้าของนั้นเอาแต่ใจและไม่ยอมใคร อีกทั้งรัศมีสีทองที่สว่างจ้านั้นก็ช่วยขับให้ผิวขาวละเอียดดูน่ามองจนนางเองยังอิจฉารู้สึกอยากมองอยากที่จะสัมผัส จึงไม่แปลกที่เหล่าเทพบุตรและนางอัปสรทั้งหลายต่างพากันหมายปองแต่ก็ไม่มีผู้ใดอาจหาญเข้ามาเกี้ยวพา
เพราะถึงพระลักษะจะเป็นสตรีแต่ความน่าเกรงขามนั้นถอดแบบมาจากพระบิดาไม่มีผิด ขนาดนางพบพระลักษะอยู่บ่อยครั้งก็ยังคงประหม่าเช่นนี้อยู่เสมอ
ไหนจะพระเทวีจินดาเมขลาที่มีใบหน้าเรียวคมดวงตากลมโตสีเทา ผิวขาวละเอียดที่ดูเหมือนจะละเอียดกว่านางอัปสรทั่วทั้งดาวดึงส์อยู่มากทีเดียว หรือไม่ก็เป็นเพราะรัศมีสีเงินวาวที่ทอประกายนั้น จึงทำให้นางช่างดูบอบบางและน่าทะนุถนอมราวกับดวงแก้วที่สวยงามและพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อหากร่วงลงกระทบพื้น ไม่แปลกใจเลยที่พระศรุตเหมือนจะคอยดูแลนางเป็นพิเศษกว่าพระลักษะ
ส่วนพระวสนุตเทพไม่ต้องพูดถึง รูปร่างสูงโปร่งผิวขาวอมชมพู ใบหน้าคมสันหล่อเหลาคิ้วเข้มที่พาดเฉียงรับกับตาคมสีน้ำตาลอ่อนทรงเสน่ห์ที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นเป็นต้องจ้องมองเหมือนถูกมนต์สะกด ยิ่งมีรัศมีสีกุหลาบที่ช่วยเพิ่มความน่ามองของมหาเทพองค์นี้ที่ได้ชื่อว่าทรงเสน่ห์ที่สุดในดาวดึงส์
“ไม่ต้องกลัวว่าพระลักษะจะกัดหรอกพระเจ้าค่ะพระพี่นาง ถึงนางจะดูน่ากลัวแต่ความจริงนางใจดีนะพระเจ้าค่ะ” พระวสนุตเอ่ยแกมหยอกเมื่อเห็นว่าคนตัวบางออกอาการเกร็งและประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มิวายแขวะพระเทวีร่างสูงผู้เป็นน้อง
“เพคะ หากหม่อมชั้นกัดล่ะก็พี่วสนุตก็คงไม่ได้มายืนปากเสียอยู่ตรงนี้หรอก เพราะหม่อมฉันจะกัดพระองค์เป็นองค์แรกเลยเชียวล่ะ” พระลักษะส่งสายตาคาดโทษไปให้พี่ชายคนรองทันทีที่ถูกแขวะ
“เอาน่า..พี่ทั้งสองอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยเพคะ วันนี้วันดีที่เราจะต้อนรับสมาชิกใหม่กันนะเพคะ” จินดาเมขลารีบห้ามเมื่อเริ่มเห็นท่าไม่ดี
“จะว่าไปวันนี้เจ้าหงุดหงิดอะไรมาหรือลักษณารี พี่เห็นเจ้าดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่มาถึงแล้ว” พระศรุตถามน้องสาวคนโตที่ปกติก็หงุดหงิดง่ายอยู่แล้วแต่วันนี้เขารู้สึกว่าน้องสาวเขาดูหงุดหงิดง่ายกว่าทุกวัน
“ก็เรื่องเดิมๆเพคะพระเสาร์เพิ่งจะก่อเรื่องกับพระอังคารเมื่อเช้าดีที่น้องไปทันเรื่องเลยไม่ใหญ่โต พอมาเจอพี่วสนุตกวนก็เลยหงุดหงิดง่ายไปหน่อยเพคะ” พระลักษะตอบพี่คนโตเป็นเชิงขอโทษ แต่ตาคมก็มิวายตวัดไปคาดโทษพี่คนรองที่ยืนอยู่อีกฝั่งของศาลา
“โอ๋ๆเอาเป็นว่าพี่ขอโทษก็แล้วกัน....เราดีกันนะน้องพี่ หากหายโกรธพี่จะยกอัปสรที่ตำหนักให้สองนางอยากได้นางใดไปเลือกเอาเลย” พระวสนุตรีบง้อน้องสาวทันทีที่ได้สายตาดุๆจากนาง
“ไม่เอาหรอก น้องมิใช่ผู้ที่ชื่นชอบในรูปสตรีเช่นพี่วสนุตนะ” พระลักษะส่ายหน้ากับของง้อของพี่ชาย ใครจะไปชอบกันเล่ามีเยอะก็ปัญหาเยอะ
ถึงพระวสนุตกับพระลักษะจะทะเลาะกันเป็นประจำแต่ในบรรดาพี่น้องรู้กันดีว่าทั้งสองรักและห่วงใยกันมากเพียงใด
“น้องเกือบลืมบอก อีกเจ็ดวันเสด็จพ่อจะทำพิธีดึงพลังของเทพนพเคราะห์ที่ลานหน้าพระจุฑามณีเจดีย์นะเพคะ” พระลักษะพูดพลางเอาคางเกยไหล่ของน้องสาวคนเล็กซึ่งถือเป็นสัญญาณบอกได้ว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“แล้วพี่หญิงเข้าร่วมด้วยหรือไม่เพคะ” จินดาเมขลาถามคนตัวสูงที่เกยคางอยู่บนไหล่ตน ถึงพระลักษะจะเป็นสตรีแต่ก็มีรูปร่างสูงกว่าสตรีทั่วไป อาจสูงกว่า
เทพบุตรหลายองค์และดูองอาจน่าเกรงขาม บางทีอาจมากกว่าพี่ชายคนรองเสียด้วยซ้ำคงเพราะเหตุนี้กระมังจึงทำให้พระวสนุตชอบแขวะพี่สาวของนางเพราะดูแข็งแกร่งมากกว่าจะงดงามอ่อนหวานตามแบบสตรี
“อื้ม...เทพผู้ดูแลทั้งเก้าจะต้องเข้าพิธีเพื่อเป็นผู้ดึงพลังเอง”
“มีอะไรที่พี่พอจะช่วยเจ้าได้ไหมลักษณารี” พระศรุตถามน้องสาวเมื่อเห็นแววตากังวลจากพระเทวีร่างสูง
“ในพิธีไม่น่าจะมีอะไรเพคะ แต่อาจมีปัญหาตามมาทีหลัง” พระลักษะตอบด้วยสีหน้าคิดไม่ตก
“ปัญหาอะไรหรือที่ทำให้น้องพี่กังวลได้ถึงเพียงนี้” พระศรุตถามด้วยความเป็นห่วงเพราะดูจากความกังวลในแววตาของพระลักษะแล้วน่าจะเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
“เสด็จพ่อจะนำพลังที่ได้บรรจุลงในแก้วมณี แล้วนำลงไปไว้ยังโลกมนุษย์เพคะ”
“เมื่อแก้วมณีที่มีอิทธิฤทธิ์อยู่ที่โลกมนุษย์ก็จะมีทั้งอสูร มนุษย์ และเทวดาบางพวกต้องการที่จะครอบครองใช่หรือไม่เพคะพี่หญิง'' จินดาเมขลาพอจะเดาเหตุการณ์ที่ทำให้พระเทวีร่างสูงกังวลออก
“ใช่แล้วล่ะจินดาเมขลา หากแก้วมณีถูกนำออกไปจากที่ซ่อนก็จะต้องมีผู้ไปนำมันกลับคืนสู่ที่เดิม อีกอย่างที่พี่ห่วงก็คือมณีดวงนี้มีพลังของเทพนพเคราะห์ทั้งเก้ารวมกันถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ แต่อานุภาพของมันก็อาจทำให้โลกมนุษย์นั้นพินาศได้ในพริบตาเชียวล่ะ”
“เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปก่อนเลยน้องพี่ เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วพลังมันอาจไม่รุนแรงถึงขั้นนั้นก็ได้” พระวสนุตปลอบน้องสาวให้คลายกังวลเพราะเขาไม่เคยเห็นแววตากังวลแบบนี้จากพระลักษะเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา
“น้องรู้ดีเพคะพี่วสนุต เหล่าเทพผู้ดูแลต่างก็รู้ดีถึงพลังของเทพนพเคราะห์แต่ละองค์ ยิ่งหากนำมารวมกันก็จะยิ่งมีอำนาจมากถึงแม้พลังนั้นจะไม่ส่งผลต่อดาวดึงส์แต่อีกสองภพคงไม่อาจต้านทานได้แน่ๆ”
“พี่ว่าองค์ท้าวสักกะเทวราชคงเตรียมวิธีรับมือไว้แล้วล่ะ” พระวสนุตว่าพลางเอื้อมมือมาลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูซึ่งต่างจากเมื่อครู่ที่เหมือนพร้อมจะมีเรื่องกันได้ทุกเมื่อหากไม่มีผู้ห้ามไว้ ทำให้คนที่เพิ่งรู้จักต้องหันไปหาภัสดาของตน
“ดูทั้งสององค์ก็รักกันดีนี่เพคะเจ้าพี่” สุชาวดีกระซิบถามภัสดา*เบาๆ
“ทั้งสององค์นั้นเขารักและเป็นห่วงกันเสมอนั่นแหละสุชาวดี เพียงแต่พระ วสนุตเป็นผู้ที่อารมณ์ดีเจ้าสำราญชอบเย้าแหย่ให้ผู้อื่นอารมณ์ดีมีเสียงหัวเราะ ขัดกับพระลักษะที่หงุดหงิดง่ายหากไม่ชอบอะไรก็จะพูดและแสดงออกตรงๆ เลยทำให้ทั้งสองมักจะทะเลาะกันบ่อยๆแต่ก็หาได้มีอะไรร้ายแรงหรอกที่ห้ามก็เพราะพวกเรารำคาญก็เท่านั้นเอง” พระศรุตตอบชายาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน จินดาเมขลาที่ได้ยินพี่ชายคุยกับชายาก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันกลับไปร่วมวงสนทนากับพี่ชายคนรองและพี่สาวต่อ
“เหตุใดเจ้าพี่จึงเรียกพระลักษะว่าลักษณารีเล่าเพคะ” สุชาวดีถามภัสดาด้วยความสงสัยเพราะนางเพิ่งจะเคยได้ยิน หากว่าได้ยินชื่อนี้ที่อื่นนางคงไม่รู้ว่าหมายถึงผู้ใด
“เป็นชื่อที่องค์สักกะเทวราชเรียกน่ะ พอสาบานเป็นพี่น้องกันแล้วนางก็ให้เรียกเช่นนั้นโดยบอกว่าเป็นชื่อที่เรียกกันในครอบครัว ต่อไปเจ้าเองก็ต้องเรียกชื่อนั้นเช่นกันนะไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกมหาเทวีแห่งไฟค้อนเอาเป็นแน่แท้” พระศรุตหันมาอธิบายแก่ชายายิ้มๆแล้วหันไปหาเหล่าน้องๆที่ทำท่าจะทะเลาะกัน
“ทั้งหมดดูรักกันดีจังเลยนะเพคะ” สุชาวดีรำพันกับตัวเองเบาๆมองภาพเบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าเหล่ามหาเทพและเทวีที่เขาร่ำลือกันถึงฤทธิ์เดชมหาศาลจะมีมุมอ่อนโยนและมาดกวนเฉกเช่นในตอนนี้ ที่มีพระวสนุตและพระลักษะตั้งท่าจะทะเลาะกันอีกหน โดยมีจินดาเมขลากับพระศรุตที่เป็นผู้คอยห้ามทัพสักพักก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากสี่พี่น้อง ทำให้นางส่ายหัวน้อยๆก่อนจะยิ้มออกมากับความน่ารักและอบอุ่นของเหล่าบรรดาพี่น้องของภัสดาตนที่จากนี้ไปก็จะเป็นครอบครัวของนางด้วยเช่นกัน
...๐๐๐...
...๐๐...
...๐...
[1] วสนุต อ่านว่า วะ-สะ-นุด
[2] ภัสดา อ่านว่า พัด-สะ-ดา แปลว่า สามี
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!