เรื่องเล่าจากพี่กู
เที่ยวบินสุดท้าย
เที่ยวบินสุดท้าย TG 311
ต้องบอกก่อนเลยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเกิดขึ้นจริง ๆ ที่สำคัญเชื่อว่า หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องผีมามากมาย ผมก็เป็นคนนึงที่เคยฟังเรื่องผีมาไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะส่วนตัวชอบฟังรายการ The Shock , The Ghost รวมถึงอ่านเรื่องผีตาม pantip และเว็บไซต์ต่าง ๆ และมีเรื่องนึงที่ผมจำได้ดี เลยอยากจะหยิบมาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน หลายคนอาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับ เที่ยวบินสุดท้าย TG 311
เที่ยวบินสุดท้าย TG 311
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในเวลาเที่ยงวันของวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 ซึ่งผ่านมาหลายปีแล้ว เครื่องบินของการบินไทย เที่ยวบิน กรุงเทพ – กาฎมัณฑุ TG 311 เครื่องบินแอร์บัส A310 รหัส HS-TID ได้เตรียมลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ ตรีภูวัน กรุงกาฎมัณฑุ ประเทศเนปาล ท่ามกลางสภาพอากาศอันเลวร้าย จากลมมรสุมที่พัดกระหน่ำ…
เที่ยวบินนี้ เป็นเที่ยวบินที่มีแต่ขาไป ไม่มีขากลับ… เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบอุบัติเหตุ…บินชนภูเขา ชีวิตของผู้โดยสาร และลูกเรือทั้งลำทั้งหมด 113 ชีวิตต้องดับสูญ เป็นลูกเรือ 14 คน และผู้โดยสาร 99 คน
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไฟล์ทต่อมาก็มาลงตามปกติ พร้อมลูกเรือ ก่อนบอร์ด ผู้โดยสาร และลูกเรือทุกคนก็มาสวดมนต์กัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตได้ไปสู่สุคติขณะเตรียมบอร์ด ลูกเรือคนหนึ่ง เห็นแอร์ใส่ชุดไทยขาดรุ่งริ่ง ยืนอยู่ด้านนอก ตรงทางเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสารกับเครื่องบิน พอหันกลับไปอีกที ก็ไม่เห็นแล้ว
เลยคิดว่า ตัวเองตาฝาด แต่ก็รู้สึกกลัว ๆ อยู่ เลยให้ เพอเซอร์ คือหัวหน้าลูกเรือ มาช่วยยืนบอร์ด พอบอร์ดเสร็จ ก็ส่งเอกสารอะไรเรียบร้อย เพอเซอร์กับแอร์กำลังช่วยกันปิดประตู ก็เห็นลูกเรือกลุ่มนั้น ที่เสียชีวิตกำลังวิ่งมาที่ประตูเครื่อง แบบร้องขอ อยากไปด้วย ด้วยความหวาดกลัว ทั้งสองคนก็รีบปิดประตูเครื่อง และมองลอดออกไป เห็นลูกเรือยืนร้องไห้กันอยู่ สภาพแต่ละคน ดูไม่ได้เลย และน่าสงสารมาก ๆ
เพอเซอร์เลยยกมือไหว้ ขอขมา สวดขอให้วิญญาณ กลับบ้านด้วยกัน แล้วไปสู่สุคติ ” เพอเซอร์เขาบอกว่า ดูเขาอยากกลับบ้านกัน เลยเชิญกลับบ้าน ”
จากนั้นพอสวดเสร็จ ก็ไม่เห็นอะไร และรวบรวมสติเปิดประตูเครื่องทิ้งไว้สักพัก และเครื่องก็บินกลับประเทศไทย ทั้งสองคนที่เห็นก็คุยกันว่า อย่าบอกเรื่องนี้ให้ลูกเรือท่านอื่น ๆ หรือผู้โดยสารรู้ เพราะเกรงว่า เดี๋ยวจะทำให้กลัวกันไปหมด
ขณะเสิร์ฟอาหารให้ผู้โดยสาร มีผู้โดยสารทักขึ้นมาว่า ” ทำไมวันนี้ลูกเรือเยอะจังเลย บริการดีมาก แอร์ที่ใส่ชุดเขียวสวยจัง ฝากชมด้วย ” แต่วันนั้น ไม่มีใครใส่ชุดเขียวเลย เพราะทุกคนไว้อาลัยกันหมด จะไม่มีใครใส่สีสดกันเลย เลยทำให้ลูกเรือทุกคนกลัวกันใหญ่ แต่ก็ไม่ได้บอกให้ผู้โดยสารรู้
พอถึงกรุงเทพฯ หน้าเกท ก็มีพระ มีขบวนคน และญาติ มารออัญเชิญวิญญาณ กันมากมายหลังจากเครื่องจอดเรียบร้อย กัปตันบอกว่า ตอนเข้าเกทแล้ว ได้ยินเสียง มากระซิบข้างหูว่า “ ขอบคุณมากครับกัปตัน ” ( ฟังแล้วขนลุกแทนกัปตันเลย ) และทุกคนก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
ต้องบอกก่อนว่า เรื่องราวเหล่านี้มีผลต่อขวัญ และกำลังใจในการทำงาน ต่อไปถ้าใครได้เจออีก ก็ตั้งจิตให้เป็นกุศลกับเขา ให้เขาไปดีเถอะ อย่างไรแต่ละคนก็มีหน้าที่สำคัญ ต้องทำทั้งนั้น เพราะทุก ๆ ครั้งที่ เกิดอุบัติเหตุก็จะกลายเป็น Case study ไว้สอนนักบินรุ่นหลังต่อ ๆ ไป
เที่ยวบินสุดท้าย TG 311
และผมเคยดูสาร คดีของเที่ยวบินนี้ครับ เหมือนสภาพอากาศเลวร้าย เอาเครื่องลงไม่ได้ ต้องบินวน แล้วหอการบินของเนปาล ผู้ควบคุม เป็นแขก เชื้อสายอินเดีย ให้บินไปทางเหนือ ซึ่งเป็นภูเขา ในกล่องดำบันทึกเสียงของนักบินไว้ ประมาณว่า ทำไมให้มาทางนี้ แล้วก็พูดตลอดว่า เราต้องกลับไป เราต้องกลับไป แต่พอเริ่มรู้ตัวจะกลับลำ ก็สายไปแล้วครับ บินไปชนกับภูเขา จำได้ว่า คำพูดสุดท้ายของนักบินคือ โอ้!! ไม่!! แล้วก็ชนภูเขาเลย เรื่อง เที่ยวบินสุดท้าย TG 311 ก็มีอยู่ประมาณนี้ ผมเองก็รู้สึกเสียใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งกับผู้เสียชีวิต และครอบครัว แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว เรื่องนี้ก็ยังสร้างความหวาดกลัว แหละความหลอน ให้กับลูกเรือที่ได้ฟังอยู่เสมอ
ไรท์
https://ruangpee.com/the-last-flight-tg-311/
หลอนฟิลกู้ด
ใครมีเรื่องเล่าอะไรอย่างอื่นสามารถบอกได้นะฮับบ.
ตำนานลิฟต์แดง
ไรท์
ตำนานลิฟต์แดง แห่งรั้วธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ – เรื่องเล่าของชาว TU
เมื่อพูดถึงตำนาน หรือเรื่องเล่าสยองขวัญของ ม.ธรรมศาสตร์ แล้วล่ะก็ เรื่องแรกที่เรามักจะนึกถึงกันนั้นก็คือเรื่อง “ลิฟต์แดง” ตำนานความลึกลับที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด และยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่องมหาลัยสยองขวัญอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ที่กลุ่มผู้ปราบปราม บุกเข้ามาในม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อกวาดล้างขบวนการนักศึกษา…..
ตำนานลิฟต์แดง แห่งรั้วธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โศกนาฏกรรมที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ไทย ตามตำนานที่เล่าว่า เมื่อเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (วันฆ่านกพิราบ) ขณะที่กลุ่มนักศึกษากำลังชุมนุม เพื่อยื่นข้อเรียกร้องทางการเมือง ทันใดนั้นก็มีเหล่าทหาร-ตำรวจ (กลุ่มผู้ปราบปราม) จำนวนมาก บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อกวาดล้างพวกนักศึกษา อย่างโหดเหี้ยม
โดยมีเรื่องเล่าต่อกันว่า ..
มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในลิฟต์ภายในมหาวิทยาลัย หวังเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่า ทว่าก็ไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้ เพราะทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาก็ถูกกระหน่ำยิงอย่างทารุณจนเสียชีวิตทั้งหมด เลือดสาดกระจายทั่วลิฟต์
ต่อมาทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้บูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ลิฟต์ตัวนั้น แต่ทำความสะอาดยังไง คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ล้างไม่ออก จึงได้ทำการทาสีลิฟต์ให้เป็นสีแดง และถูกเรียกว่า “ลิฟต์แดง” เป็นต้นมา แล้วทางมหาลัยก็ได้นำกลับมาใช้ตามปกติ
จากนั้นก็เริ่มมีเสียงเล่าลือ…
ถึงความสยองขวัญของลิฟต์ตัวนั้น ทั้งนักศึกษา และอาจารย์ต่างเคยสัมผัสเหตุชวนขนลุกกันมาแล้ว เช่น บางคนเข้าไปในลิฟต์คนเดียว จากนั้นไม่นานก็มองเห็นคนอยู่ในลิฟต์เต็มไปหมด หรือจู่ๆ ขณะกำลังขึ้นลิฟต์ก็มีนักศึกษาเดินเข้ามา พร้อมรอยเลือดที่ไหลมาตามทาง ไม่เว้นแม้แต่เสียงโหยหวน และรอยคราบเลือดสีแดง ที่หลายคนอ้างว่าเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว!
ปัจจุบันลิฟต์แดงถูกถอดออกไปแล้ว เพราะมีสภาพผุพัง และได้นำลิฟต์ตัวใหม่มาแทนที่ อย่างไรก็ตามทางมหาวิทยาลัย ยังคงเก็บ “ประตูลิฟต์แดง” ของจริงเอาไว้ โดยนำไปตั้งอยู่ที่หลังบันไดจากชั้น 4 ขึ้นไปชั้น 5 ของคณะศิลปศาสตร์ มาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงถึงความสูญเสียของเหล่านักศึกษาผู้บริสุทธิ์ ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงสืบต่อไป
ไรท์
ข้อมูลจาก : painaidii.com, www.thaicinema.org
หลอนฟิลกู้ด
แอดจะขอชี้แจงอีกทีนะคะ
หลอนฟิลกู้ด
แอดเอามาจากกูเกิ้ล,เบราว์เซอร์
หลอนฟิลกู้ด
ซึ่งแอดจะแปะเว็บไว้ให้
หลอนฟิลกู้ด
สำหรับใครที่อยากอ่านเอง
หลอนฟิลกู้ด
ไม่ต้องมางงตาลายของแอด
เมืองลับแล
ตั้งแต่เด็กจนโตมาในจังหวัดอุตรดิตถ์ จะได้ยินคำเล่าขานเกี่ยวกับเมืองลับแลมาตลอด ถึงแม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะไม่ใช่คนในพื้นที่เมืองลับแลโดยตรง แต่หากจะให้เล่าถึงเรื่องราวแล้วนั้นทุกคนในจังหวัดย่อมรู้ดี เพราะเมืองลับแลเป็นทั้งเมืองที่มีตำนานและปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์
เมืองลับแลนี้ ได้ชื่อลับแลเพราะเป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ การที่จะเดินทางไปมาไม่สะดวก มีเส้นทางที่คดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น แต่ในอีกการเล่าขานหนึ่งก็คือ ในสมัยก่อนนั้น มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นแม้ยามพลบค่ำตะวันจะยังไม่ตกดินก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า "ป่าลับแลง" แลง ที่แปลว่า เวลาเย็น ต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น "ลับแล" ซึ่งก็กลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน
ในเมืองลับแลนี้เอง ก็จะมีคำประจำที่ได้ยินติดหูกันว่า เมืองลับแลเขตห้ามพูดโกหก คำกล่าวนี้มีที่มาจาก ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า มีครั้งหนึ่งหนุ่มเมืองทุ่งยั้ง เดินทางหลงไปในป่าเมืองลับแล แล้วไปพบสาวงามมาแอบซ่อนของไว้ ชายหนุ่มจึงแอบขโมยของนั้นมาและใช้เล่ห์กล จนสาวหลงเชื่อพาเข้าไปอยู่กินเป็นสามีในเมืองลับแล ชายหนุ่มได้เห็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และมีแต่สาวสวย ด้วยเหตุนี้เมืองลับแลจึงเป็นเมืองลี้ลับคนภายนอกไม่สามารถเข้าไปได้ และชาวเมืองลับแลจะยึดมั่นในศีลธรรมอันดีงาม เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ไม่มีการพูดโกหกหรือหลอกลวงกัน
อยู่มาวันหนึ่งชายหนุ่มกับหญิงสาวมีลูกด้วยกัน แต่หญิงสาวออกไปทำธุระนอกบ้าน ชายผู้นี้อยู่กับลูกแต่เด็กร้องไห้ งอแงอยากหาแม่ จนชายผู้นี้พูดโกหกลูกว่า แม่มาแล้ว หวังจะให้เด็กหยุดร้องไห้ แต่ชาวบ้านได้ยินเข้าว่าหนุ่มผู้นี้พูดคำโกหก จึงขับไล่ออกจากหมู่บ้าน หญิงสาวสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่เก็บของใส่ย่ามให้โดยบอกว่าห้ามเปิดดูก่อนถึงบ้าน ระหว่างทางชายผู้นี้ได้เปิดดูก่อนเห็นว่าเป็นขมิ้น จึงหยิบทิ้งไปตามทางเพราะหนัก แต่พอถึงบ้านเหลือขมิ้นติดย่ามอยู่นิดหน่อยพอเปิดออกดูพบว่าเป็นทองคำ หวังจะกลับไปเก็บตามทางแต่ก็ไม่พบแล้วทั้งทองคำและทางเข้าเมืองลับแล
ไรท์
https://www.museumthailand.com/th/2986/storytelling/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5/
หลอนฟิลกู้ด
ซึ่งจะบอกว่าพาร์ทนี้อ่ะ
หลอนฟิลกู้ด
เมืองลับแลอาจจะเเบบ
หลอนฟิลกู้ด
เพราะมันคือเรื่องเล่าอ่ะเนาะ
หลอนฟิลกู้ด
เสริมประวัติศาสตร์นิสนึง
มีใครอยากทำแบบแนะนำตัวบ้างไหมฮับ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!