ณ ห้องรับรองทำงานในพระราชวังแห่งจักรวรรดิกิลลาร์ด จักรพรรดิหนุ่มนั่งเพียงลำพังบนโต๊ะทรงงาน ในมือมีเอกสารราชการ ดวงตาคู่คมจดจ้องกับเอกสารนั่นอย่างตั้งใจ ทว่าทันใดก็มีเสียงประตูผุนผันเปิดเข้ามา
"ฝ่าบาท! ฝ่าบาทดาเลียเสด็จมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ!" เป็นเสียงของอัศวินคู่กาย ทีโมที มัว ที่ตะโกนออกมาพร้อมกับหน้าที่ตื่นตระหนกอย่างไร้เหตุผล พระองค์ละสายตาจากเอกสารแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปที่อัศวินคนสนิทผมแดงเพลิง
"จะเสียงดังไปทำไม ก็เชิญนางเข้ามาซิ" พระองค์บอกพร้อมกับคำตำหนิเล็กน้อยโดยมิได้ใส่ใจกับการเสียมรรยาทของผู้ติดตามคนสนิท
"พะย่ะค่ะ" ทีโมทียิ้มแล้วตอบรับคำสั่ง
ไม่ทันไรก็ปรากฎตัวหญิงสาวในชุดกระโปรงสุ่มตามแบบฉบับของหญิงสาวของชนชั้นสูง มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าที่มีอัญมณีสีน้ำเงินขนาดใหญ่ประดับที่หัวไม้เท้า ยามที่นางก้าวเดินจึงมีเสียงเคาะดัง ตึก ตึก จากไม้เท้ากระทบพื้นให้ได้ยินนำมาก่อน เมื่อบวกกับทวงท่าที่งดงามสมกับที่เป็นราชนิกูลระดับหนึ่งแล้วก็ยิ่งช่วยให้นางดูสูงค่า ซ้ำยิ่งทำให้แสดงออกถึงความสง่างามอันน่าเกรงขามเทียบเท่ากับองค์จักรพรรดิก็ว่าได้
ทว่าความงดงามอันเลอค่าเหล่านี้เป็นเพียงบุคลิกที่นางตั้งใจแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น หากแต่มิใช่ใบหน้าหรือตัวตนแท้จริงของนางไม่ หากจะกว่าอีกนัยหนึ่งก็คือ น้อยคนมากที่เคยเห็นใบหน้าและร่างกายที่แท้จริงของนาง เนื่องจากเป็นเจตนาของนางเองที่พยายามส่วมเสื้อปกปิดทุกส่วนของร่างกาย ทว่าไม่ว่าจะปกปิดด้วยการแต่งกายที่เรียบร้อยเช่นไร แต่ส่วนดวงตาก็ไม่อาจปกปิดได้มันมักจัเล็ดรอดส่องประกายสีแดงราวกับอสูรร้ายผ่านหน้ากากที่นางสวมไว้เสมอ และเมื่อนางได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิ นางจึงย่อตัวคำความเคารพอย่างงดงามเหมาะสมกับสมาชิกของราชวงค์
"มีมรรยาทเช่นนี้มันแปลกๆนะ ญาติข้า มา...มานั่งลงเถอะ" จักรพรรดิหนุ่มเริ่มทักทายก่อน แต่นางกลับไม่ตอบกลับทันที รอจนกระทั่งสิ้นเสียงปิดประตู และเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอื่นในห้องนี้อีก นางจึงเปลี่ยนอิริยาบททันทีแต่ยังคงไม่ทิ้งท่าทีที่สง่าและงดงาม นางยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาหรูตรงข้ามกับจักรพรรดิหนุ่ม
"ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญดีนะเพคะ" นางเอยถาม
" ก็อย่างที่เห็น ข้าดูสบายดีหรือไม่ในสายตาของเจ้ากันล่ะ" จักรพรรรดิโต้กลับกึ่งหยอกล้อ
"ในโลกนี้คงมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่สมประสงค์ทุกอย่างมีรึที่จะไม่มีความสุขสบาย"
"ดาเลีย..." จักรพรรดิเอ่ยเรียกชื่อนางแต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใดต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังก๊อกๆๆ ขึ้นอีก "เข้ามา" เมื่อจบคำของจักรพรรดิ สาวใช้จึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเข็นรถเสริฟชาและของว่าเข้ามา การสนทนาจึงเงียบไป มีเพียงเสียงสั่นของถ้วยชากระทบกัน ดังกึกๆอยู่ตลอดเวลา ดาเลียเหลือบสายตามองมือของสาวใช้ที่กำลังสั่นเทา นางรู้ได้ทันทีว่าสาวใช้ผู้นี้กำลังหวาดกลัวรูปลักษณ์ของนาง
"เจ้าเป็นสาวใช้ที่มาใหม่งั้นรึ?" พอสิ้นคำถามสาวใช้สะดุ้งทำถ้วยชาในมือตกลงพื้น สาวใช้รีบก้มลงหมอบกับพื้นตัวสั่นทันที พอดาเลียเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยต่อ "ถึงข้าจะฆ่าคนแต่ข้าไม่กินคนหรอกนะ" ในขณะที่เสียงของถ้วยชาที่แตกกระแทบพื้นดังออกไปถึงด้านนอกห้อง ทำให้อัศวินหนุ่มที่ยืนรออยู่ด้านนอกได้ยินหุนหันเปิดประตูเข้ามาทันทีในตอนที่ดาเลียเหลือบสาวมองลงไปที่สาวใช้ที่ว่า
"ชื่อเสียงอันโหดร้ายของเจ้าดูท่าจะไม่ลดน้อยลงเลยทั้งที่เจ้าก็ห่างหายจากสงครามมาก็นานแล้วแท้"
"มันคงเป็นเช่นนั้นเพคะ เดี๋ยวนี้แค่เสียงหายใจของหม่อมฉันหากใครได้ยินเข้าคงคิดว่าหม่อมฉันกำลังหมายจะขย่ำชีวิตใครบางคน" นางโต้กลับทันที
"ฮาฮาฮา!!!" เป็นคำตอบที่จักรพรรดินึกอดขำไม่ได้ ต้องเสียวลาไปซักครู่จึงจะหยุดหัวเราะได้ จากนั้นจึงออกคำสั่งกับทีโมทีว่า "ทีโมที พาสาวใช้คนนี้ออกไปก่อนเถอะ"
"รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ" อัศวินหนุ่มโค้งตัวน้อมรับคำสั่งแล้วช่วยพยุงสาวใช้ที่ยังคงตัวสั่นให้ลุกขึ้นแล้วพานางออกไปให้บัดนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงจักรพรรดิและดัชเชสดาเลียเพียงลำพัง
"คืนนี้คือคืนพระจันทร์เต็มดวงสินะ" จักรพรรดิเอ่ยขึ้น
"เพคะ"
"วังลับถูกเตรียมไว้เพื่อเจ้าไม่มีสิ่งใดขาดเหลือใช่รึไม่"
"คิดว่าไม่เพคะ หม่อมฉันจะเข้ามาพักแรมแค่เดือนละสองครั้งในคืนจันทร์เต็มดวงเท่านั้น คนรับใช้ล้วนเป็นคนเก่าแก่ของราชวงค์ที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหม่อมฉันเป็นอย่างดี" ดาเลียตอบ
และเมื่อได้ยินดาเลียตอบเช่นนั้นจักพระองค์จึงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเข้าถึงประเด็นสำคัญของการสนทนาในครั้งนี้
"ดาเลีย...เจ้าคงรู้ว่าข้ากำลังพยายามสานสัมพันธ์ทางการฑูตกับอาณาจักรเรียมใช่รึไม่?"
"เพคะ เพียงแต่หม่อมฉันไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงต้องเสียเวลาผูกสัมพันธ์กันด้วย เรียมเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ เท่านั้น สำหรับหม่อมฉันคงใช้เวลาและทรัพยากรไม่มากก็สามารถยึดมาเป็นเมืองขึ้นให้พระองค์ได้ทันที" ดาเลียว่ากลับ
"เพราะข้ามีเป้าหมายที่ไกลกว่านั้นยังไงล่ะ เพียงแต่ข้ายังบอกเจ้าตอนนี้อย่างชัดเจนไม่ได้แต่เจ้าก็รู้ถึงความฝันของข้าที่ต้องการจะแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิกิลลาร์ดให้ปกครองทั่วทั้งทวีปเจนติใช่รึไม่"พระองค์กล่าว
"เช่นนั้นฝ่าบาททรงมีเรื่องอันใด ถึงได้อยู่ๆ จึงรับสั่งเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะเพคะ" คำถามนี้ของดาเลีบไม่ทำให้จักรพรรดิตอบนางในทันที พระองค์เอนหลังพิงพนักโซฟายกสองแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาก่อนที่จะเริ่มเอ่ย
"ทางอาณาจักรเรียมเสนอการผูกสัมพันธ์โดยการแต่งงาน และข้าคิดว่ามันก็เป็นข้อเสนอที่ดี"
"เช่นนั้นมันจะเป็นปัญหาอันใดอีกกันเล่า ฝ่าบาทเองก็ยังมิได้อภิเษกสมรส แต่หากฝ่าบาทไม่อยากแต่งตั้งนางเป็นจักรพรรดินีแล้วล่ะก็ ฝ่าบาทก็แต่งตั้งให้นางเป็นสนมหรือราชินีลำดับสองก็ได้มิใช่รึเพคะ ฝ่าบาทจะกลุ้มพระทัยไปใย" นางว่าเช่นนั้นด้วยไม่เห็นประเด็นใดที่น่าจะเป็นปัญหา
ทว่าจักรพรรดิกลับส่งเสียงถอนหายใจยาวๆ จนเสียงดัง " เฮ้อ..." อีกครั้ง
"ฝ่าบาทเพคะ แม้อาณาจักรเรียมจะเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แต่พวกเขามีเมืองท่าสำคัญถึงสามแห่งตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคใต้ของอาณาจักร เนื่องจากเป็นดินแดนมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดทะเล การไปมาหาสู่กับต่างผู้คนจากต่างดินแดนล้วนเป็นไปได้ง่าย ความเจริญทางการค้าก็ยอดเยี่ยม แม้จะเป็นเมืองท่าแต่ภูมิประเทศของที่ตั้งเมืองท่าทั้งสามแห่งล้วนมีแนวเขาธรรมชาติเป็นป้อมปราการปกป้องอย่างดี
ทว่ากลับโชคไม่ดีที่มีราชาอ่อนแอควบคุมการปกครองภายในไม่ได้ จึงมีแต่ขุนนางผู้บ้าอำนาจและเต็มไปด้วยความโลภ มิเช่นนั้นประเทศนั้นคงจะแข็งแกร่งยิ่งใหญ่จนน่ากลัว บางทีอาจจะแข็งเกร็งเทียบเท่าเราเลยก็ได้นะเพคะ หม่อมฉันคิดว่าฉวยโอกาศนี้ที่ราชวงค์เรียมกำลังอ่อนแอทำสงครามแล้วยึดมาเป็นของเราน่าทำให้เรามีอำนาจมากขึ้นได้อย่างรวดเร็วน่าจะดีกว่านะเพคะ" นางร่ายยาวหวังจะให้จักรพรรดิเปลี่ยนพระทัย
"ข้าไม่ชอบสงครามเจ้าก็รู้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้านั้นมีจิตใจที่อ่อนแอ ทว่าข้าชอบการสู้รบที่ได้มาซึ่งประโยชน์โดยที่ไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนต่างหากล่ะ ดาเลีย...เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน หลายปีมานี้หากไม่มีเจ้าช่วยดูแลเกี่ยวกับกองทัพมีรึที่ข้าจะสามารถทำการสำเร็จได้จนมาถึงตอนนี้"
"อยู่ๆก็รับสั่งแบบนี้ทำหม่อมฉันขนลุกไปทั้งตัวแล้วเพคะ"
"ฮาฮ่า...เจ้ามีขนเหมือนคนอื่นเขาด้วยหรอกรึ" ดาเลียทำท่าข้อนใส่หลังจากถูกจักรพรรดิหยอกเหย้าแม้ว่าพระองค์จะไม่อาจมองสีหน้าภายใต้หน้ากากของนางได้แต่ก็รู้ว่านางกำลังงอนนิดๆใส่พระองค์อยู่
"ข้าล้อเจ้าเล่นหรอกน่ะ อย่างอนไปเลยนะญาติผู้น้องที่แสนดีของข้า"
"เช่นนั้นฝ่าบาทมีแผนการอย่างไรล่ะเพคะ..." ดาเลียกลับมาใชัน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง " หากรับข้อเสนอการแต่งงานก็ถือว่าเป็นกลยุททางการเมืองที่เก่ามาช้านาน หลายประเทศต่างก็ใช้วิธีนี้ในการสร้างสัมพันเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ดูผิวเผินแล้วมันก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดี แต่..." นางว่าและชะงักในตอนท้าย ทำให้จักรพรรดิถึงกับต้องขมวดคิ้วแล้วถามกลับ
"แต่...อะไร?"
" แต่มันจะดีแน่รึจักรวรรดิของเราเป็นอาณาจักรใหญ่ที่สุดในทวีปเจตินี้ และยังมีอำนาจกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดด้วย ดูไปแล้วหากอาณาจักรเรียมคิดจะสวามิภักดิ์ ก็คงแค่ส่งราชนิกูลสาวมาซักคนเพื่อเป็นสนมให้ฝ่าบาทแล้วเหตุใดต้องเสนอเกินตัวขอผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานด้วย" ดาเลียตั้งขอสงสัย จักรพรรดิทรงคิดวิเคราะห์ตาม
"นั่นมันก็จริง..."
"ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าการแต่งงานกับคนจากประเทศเล็กๆ อย่างเรียมมันทำให้เราได้รับผลประโยชน์น้อยได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว ก็ในเมื่อทางนู้นเสนอการแต่งงานผูกสัมพันธ์อย่างเป็นทางการสุดท้ายทางเราก็ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้คนของเขาด้วยมิใช่หรอกรึ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาตั้งใจจะเข้าแทรกแซงหรือใช้ประโยชน์จากเราแน่นอน" นางอธิบายความเห็นของตนอย่างชัดเจน
"นั่นมันก็จริง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดการผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานย่อมมีอุบายแอบแฝงแน่นอน แต่มันก็เอื้อประโยชน์ให้กับเราด้วยเช่นกันมิใช่หรอกรึ" จักรพรรดิกล่าวขึ้นบ้าง
ครั้นสิ้นรับสั่งแล้วความเงียบก็เข้าครอบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง ดาเลียรู้สึกถึงความนัยที่เป็นปริศนาแฝงอยู่ในรับสั่งของจักรพรรดิ นางเริ่มวางตัวเขร่งขรึมมากขึ้นก่อนที่จะเอ่ยต่อ
"อืม...หากฝ่าบาทคิดเช่นนั้นแล้วจะช้าอยู่ใย ยอมตกลงก็สิ้นเรื่อง ทว่าฝ่าบาทยังทรงมิได้แต่งตั้งจักรพรรดินีเลยนะเพคะ แล้วจะให้หญิงจากเรียมนั่นอยู่ในตำแหน่งอันใด?" ดาเลียยกคำถามสำคัญขึ้นมาอีก แต่จักรพรรดิทรงยิ้มกริ่มแทนที่จะตอบคำถามนางในทันที
"นั่นมันมิใช่ปัญหาของข้า เพราะคนที่ทางนู้นจะขอแต่งงานก็คือเจ้าต่างหากล่ะ"
ดาเลียตะลึงงัน แม้สีหน้าที่ประหลาดใจจะถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ก็มิอาจปิดบังการรับรู้ของจักรพรรดิหนุ่มได้ พระองค์อมยิ้มเล็กน้อยรู้สึกความได้เปรียบของตนเอง แล้วทรงขยับตัวโน้มไปข้างหน้าเล็กพร้อมกับรับสั่งเบาๆ
"ข้าอยากให้เจ้ายอมรับการอภิเษกกับเจ้าชายสามแห่งเรียม เจ้าจะว่าอย่างไร" ช่างเป็นกระซิบที่เต็มด้วยกลิ่นอายแห่งความเล่ห์เหลี่ยม ดาเลียคุ้นชินกับทัศนะคตินี้ดี นางเผยรอยยิ้มภายใต้หน้ากาก
" ฮึ๋ม...ฝ่าบาททรงรับสั่งล้อเล่นกับหม่อมฉันแล้ว สารรูปของหม่อมฉันคือตำนานคำสาปที่มีอยู่จริง ถึงจะเป็นจุดแข็งของจักรวรรดิเราแต่ก็เป็นจุดอ่อนของจักรวรรดิด้วย ทรงหาหญิงสาวในราชวงค์คนอื่นแทนหม่อมฉันเถอะ"
"เฮ้อ! ข้ารู้ว่าเจ้าต้องปฏิเสธ แต่ข้าก็มีเหตุผลของข้า"
"เช่นนั้นอะไรคือเหตุผลกันเล่า หม่อมฉันซึ่งได้ชื่อว่าดัสเชสปีศาจแห่งกิลลาร์ด แม้จะมีความสามารถรอบด้านเหนือคนธรรมดาทั่วไปแต่ก็มีคำสาปที่มีร่างกายคล้ายปีศาจเช่นนี้จะมีใครยอมแต่งงานกับหม่อมฉันกันเล่า"
"แต่ทางอาณาจักรเรียมส่งฑูตมาเพื่อสู่ขอเจ้า ดูเหมือนเจ้าชายสามนั่นเจาะจงที่จะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น"
"โฮ้!...ช่างกล้าดีแท้ที่คิดขอแต่งงานกับตัวประหลาดเช่นข้าถือว่าเขาเทหมดหน้าตักเลยนะนั่น คงเพราะเหตุผลทางการเมืองซินะ"
"ใช่ ก็อย่างที่เรารู้ว่าการปกครองภายในของที่นั่นมันวุ่นวาย มันอาจจะมีเหตุผลหลายอย่างซ่อนอยู่ในการแต่งงานครั้งนี้แถมคำล่ำลือว่าองค์ชายสามนั่นรูปงามราวเทพมาจุติ แต่เสียดายที่ร่างกายไม่แข็งแรงนักก็เลยถูกห้ามไม่ให้ออกสู่โลกภายนอกมากนัก ดังนั้นถึงจะมีคำล่ำลือไปทั่วถึงความงามแต่ก็น้อยคนนักที่จะพบตัวจริงของเขา" พระองค์รับสั่งพลางกลับมานั่งพิงหลังแบบสบายๆอีกครั้ง
"แล้วจะให้คนงามเช่นนั้นมาแต่งกับสัตว์ประหลาดเนี๊ยะนะ นี่มันนิยายชัดๆ" นางว่ากึ่งประชด
"เช่นนั้นเจ้าจะว่าอย่างไร เจ้าจะยอมช่วยข้ารึไม่ ถ้าเป็นเจ้าข้าสามารถวางใจได้ว่าจะไม่มี เรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้องในแผนการของข้าให้วุ่นวายทีหลังแน่" จักรพรรดิเอ่ยต่อ
"หม่อมฉันมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวเพคะ" นางยืนข้อเสนอทันที
"ว่ามา..."
"หม่อมฉันจะไม่แต่งออก แต่ฝ่ายนู้นต้องแต่งเข้ามาเท่านั้น และหม่อมฉันจะไม่ย้ายออกไปใช้ชีวิตที่ดินแดนอื่นใดเด็ดขาด"
"ที่เจ้าบอกมา นั่นมันสองข้อไม่ใช่รึไงกัน" จักรพรรดิโต้กลับเชิงเย้าหยอกทันทีอีก แต่นางกลับไม่มีทีท่าจะตลกกับพระองค์ด้วย
"ฝ่าบาทจะคิดเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากฝ่าบาทยอมรับ หม่อมฉันก็ไม่มีปัญหา" ดาเลียตอบ
"แต่ทางนู้นก็เป็นถึงเจ้าชายเชียวนะ จะให้เจ้าชายแต่งเข้ามันจะไม่เหยียดหยามเกียรติทางฝั่งนั้นเกินไปหน่อยหรอกรึ"
"แล้วมันนะเป็นอย่างไร จักรวรรดิกิลลาร์ดของเรานั้นทั้งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ หากไม่แสดงอำนาจกดขี่บ้าง ประเทศอื่นจะคิดส่าเรามีดีแต่เปลือกเอาได้นะพคะ" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
"ใจร้ายชะมัด..." จักรพรรดิว่า
"จะว่าหม่อมฉันฝ่ายเดียวได้อย่างไร ในเมื่อฝ่าบาทเองก็ถูกใจในข้อเสนอของหม่อมฉันมิใช่หรอกรึ และอีกอย่าง หม่อมฉันมั่นใจว่า ฝ่าบาทต้องเจรจาสำเร็จแน่เพราะพระองค์ก็รู้ดีว่าคำสาปบนตัวของหม่อมฉันคืออนาคตของจักรวรรดิกิลลาร์ด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฝ่าบาทจะไม่ยอมสูญเสียหม่อมฉันไปแน่"
"ฮาฮาฮา!! เจ้านี่นะช่างร้ายนัก นี่แหละคือหนึ่งในเหตุผลทั้งหมดที่ข้าหลงรักเจ้ามานานตั้งแต่เด็กยังไงเล่า" พระองค์หัวเราะดังลั่นห้อง ดาเลียปล่อยให้เขาหัวเราะไปครู้หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
"ใกล้เย็นแล้ว เห็นทีหม่อมฉันต้องขอทูลลาก่อนเพคะ" นางว่า แล้วลุกขึ้นยืน จักรพรรดิมองตามอิริยาบทของนางพร้อมกับลุกขึ้นตาม พระองค์เดินอ้อมโต๊ะด้านหน้าโซฟาไปหานางแล้วโอบไหล่นางไว้ให้เข้ามาประชิดตนพลางพูดเบาๆที่ข้างหูของนาง
"คืนนี้พบกันที่สระน้ำร้อนเหมือนอย่างเคยนะ เจ้าอยากทานมื้อค่ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?"
"ไม่เพคะ มันก็แค่คืนจันทร์เต็มดวงเพียงคืนเดียว อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากวุ่นวายเลย"
"แต่ทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงมันคือคืนที่พิเศษสำหรับข้าที่มีเพียงสองครั้งต่อหนึ่งเดือนเองนะ"
"เช่นนั้นฝ่าบาททรงต้องการจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ หม่อมฉันขอทูลลา" นางว่าเช่นนั้น แล้วถอยตัวออกห่างจากพระองค์ ก่อนที่จะย่อตัวถวายการคำนับเช่นสตรีชั้นสูงทั่วไป แล้วจึงหันหลังเดินออกไปจากห้อง จักรพรรดิทอดสายมองตามหลังนางพร้อมรอยยิ้มกริ่ม *กลิ่นกายของเจ้าเองก็ยังหอมไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ตาม พระองค์คิดในใจ หากนี่ไม่ใช่เพราะคำสาปนั่น ความรักของข้าคงจะไม่ปวดร้าวทรมานเช่นนี้หวังว่าเจ้าจะคิดเช่นเดียวกับข้านะ ดาเลีย*...
เสียงน้ำไหลของบ่อน้ำร้อนตามธรรมชาติดังคละเคล้ากับแสงของจันทร์เต็มดวงยามค่ำคืน สะท้อนเงาของหญิงสาวบนผิวน้ำที่นั่งแช่น้ำร้อนตรงริมบ่อ ร่างเปลือยถูกปกปิดด้วยไอน้ำร้อนที่ลอยคลุ้งขึ้นมาปกคลุมทั่วบริเวณ หญิงสาวมีใบหน้างดงามราวเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาด ผิวพรรณขาวเนียน รูปร่างสะโอดสะอง ผมยาวสีบรอนทองถูกรวบสูงอย่างง่ายๆ ยามลมพัดผ่นมาเบาๆสะบัดปอยผมไหวไปมาเล็กน้อย นางหลับตาพริ้มฮำเพลงเบาๆอย่างผ่อนคลาย
แต่ไม่นานนักนางก็รู้สึกถึงใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ นางหยุดฮำเพลงพร้อมกับเปิดตาข้างหนึ่งมองเห็นเงาของชายร่างสูงค่อยเดินลงมาในบ่อน้ำร้อน แรงกระเพื่อมของผิวน้ำค่อยขยายเป็นวงกว้างพร้อมกับเสียงแหวกของน้ำ
"เหตุใดจึงหยุดฮำเพลงไปล่ะ?" เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยทักขึ้น ทว่าหญิงสาวมิได้โต้ตอบอะไรแล้วหันหลังทอดสายตามองไปที่ทิวทัศน์ยามค่ำคืน จากบ่อน้ำร้อนตรงนี้ที่ตั้งอยู่บนเนินสูงของวังในส่วนที่เป็นพื้นที่หวงห้าม ทำให้มองเห็นแสงไฟจากเมืองที่อยู่ไกลๆได้ เพียงครู่ชายผู้นั้นก็เข้ามาถึงตัวนาง เขาโอบกอดนางจากด้านหลังพร้อมกับก้มพรมจูบลำคอขาวอย่างอ่อนโยน"จะไม่ทักทายกันหน่อยรึไง" เขาเอ่ยขึ้นอีกในขณะที่ยังไม่หยุดคลอเคลียวซอกคอของนาง
นางไม่ตอบเพียงแค่เอี้ยวตัวหันกลับมาประกบริมฝีปากจูบอีกฝ่าย นางขยับริมฝีปากตวัดปลายลิ้นอย่างคุ้นชิน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนริมฝีปากออกทำให้อีกฝ่ายมองเห็นริมฝีปากอวบแดงระเรื่อชุ่มช่ำจากการจูบเมื่อครู่
"เราเพิ่งจะพบกันเมื่อตอนบ่ายนี้เองมิใช่หรอกรึ จะทักทายพร่ำเพรื่อให้น่ารำคาญไปทำไม" นางว่า
"เย็นชาจังนะ ทั้งที่เจ้าเพิ่งจะจูบข้าไปแท้ๆ"
"ฝ่าบาททรงพอพระทัยและหม่อมฉันเองก็พอใจ มันก็แค่นั้นและเมื่อไหร่ที่ใครซักคนต้องแต่งงาน เรื่องแบบนี้ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว" ดาเลียโต้กลับ
"ดาเลีย เจ้ารู้ใจของข้าดีกว่าใครว่าเจ้านั้นคือคนสำคัญที่สุด" "จักรพรรดิหนุ่มเริ่มใช้น้ำเสียงราวกับกำลังอ้อนวอน
"หม่อมฉันคือคนสำคัญของจักรวรรดิเพคะ เป็นเพียงภาชนะแบกรับคำสาปของราชวงค์เท่านั้น ได้โปรดอย่าคาดหวังความรู้สึกไร้สาระเช่นนั้นจากหม่อมฉันเลย" นางเอ่ยอย่างเย็นชา
พอนางพูดจบก็ค่อยๆ ถอยออกห่างจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายขยับตัวจากขอบบ่อลงมานั่งแช่น้ำจนถึงคอ จักรพรรดิเองก็ทำตามเช่นกัน ท่าทางของดาเลียแม้จะดูเย็นชาเหมือนปกติแต่ค่ำคืนนี้พระองค์รู้สึกถึงความไม่ปกติในใจส่วนลึกของพระองค์เอง
"หม่อมฉันอยากรู้ข้อมูลของเจ้าชายสามแห่งเรียมนั่นเพิ่มอีกซักหน่อย" อยู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น
"เจ้าพักเรื่องนั้นไว้ก่อนได้รึไม่ คืนนี้คือคืนจันทร์เต็มดวงนะมันเป็นคืนที่พิเศษสำหรับข้าที่จะได้อยู่กับเจ้าตอนที่ปรากฎร่างที่แท้จริง" พระองค์เอ่ยพรางยกมือข้างหนึ่งสัมผัสใบหน้าที่งดงามของนาง"เจ้ารู้ดีว่าข้ารอยคอยคืนที่พระจันทร์เต็มดวงมาตลอด ดาเลีย... ผ่านมานานหลายปีแล้วนอกจากความสัมพันทางกาย เจ้าก็ไม่คิดจะเปิดใจให้ข้าเลยซักนิดเชียวรึ"
"คำตอบยังคงเหมือนเดิมเพคะ ความจริงหม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะอยู่เคียงคู่กับใครเลยด้วยซ้ำ หม่อมฉันเกิดมาพร้อมกับคำสาปเพื่อจักรวรรดิมิใช่เกิดมาเพื่อคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นอย่าได้มองหม่อมฉันเป็นมนุษย์เลยทรงคิดว่าหม่อมฉันคือเครื่องมือให้พระองค์ใช้งานเพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิเถอะเพคะ"
นางพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิร้องขอความรักจากนาง และนางเองก็คิดว่ามันเป็นความจริงที่นางต้องคอยบอกตัวเอง ความรู้สึกรักใคร่ระหว่างชายหญิงมันเป็นเรื่องไร้สาระ สัตว์ประหลาดอย่างนางไม่จำเป็นต้องมีเรื่องแบบนั้นให้ยุ่งยากหรอก นางคิดเช่นนี้มาตลอด
เมื่อปราศจากการสนทนาเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงของน้ำไหล ดาเลียแช่อยู่ซักพักก็ลุกขึ้นจะเกินขึ้นจากบ่อ "จะไปแล้วรึ?" จักรพรรดิหนุ่มทรงเอ่ยถาม
"เพคะ คืนนี้คิดว่าอยากจะเข้านอนเร็วซักหน่อย" นางพูดโดยที่เอี้ยวใบหน้าด้านข้างและยืนหันหลังให้ จักรพรรดิจ้องมองเรืองร่างที่งดงามของนาง พระองค์รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นร่างที่แท้จริงของนาง สำหรับพระองค์แล้วสามารถพูดได้เลยว่าไม่มีหญิงใดในโลกนี้ที่จะงดงามไปกว่านางอีกแล้ว หากความลับนี้เผยแพร่ออกไปจะมีชายมากมายเพียงใดที่ต้องการจะหมายปองนาง
"คืนนี้นอนด้วยกันเถอะ" พระองค์บอก
"เพคะ" นางตอบสั้นๆ พร้อมกับเดินขึ้นจากบ่อไปเผยให้เห็รูปร่างเปลี่ยนจากด้านหลัง สะโพกกลมเอวคอดเล็กเรียวขาที่ยาวสวย ทุกส่วนบนเรือนร่างของนางนั้นงดงามเกินจะบรรยายเป็นคำพูดได้ แม้นางจะตอบรับยินยอมเพียงสั้นๆอย่างไร้ความรู้สึกของนางนั้น แม้มันเป็นเหมือนดาบที่ทิ่มแทงใจจักรพรรดิหนุ่มทุกครั้งที่ได้ยินก็ตาม แต่พระองค์ก็ยินยอมขอเพียงได้โอบกอดนางเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ยามที่เห็นนางลับสายตาไปพระองค์ก็เริ่มพึมพำถามตัวเอง ด้วยความเศร้าสลดใจปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของพระองค์
"ให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ประโยชน์เท่านั้นหรอกรึ ที่ผ่านมาข้าก็ทำเช่นที่เจ้าบอกแต่ความรู้สึกลึกๆ ของข้าที่มีให้เจ้าก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไป เวลานี้ข้าคิดใช้เข้าเป็นเครื่องมือทางการฑูตให้เจ้าแต่งงานไปกับคนอื่น หากเวลานั้นมาถึงจริงๆ แล้วข้าจะตัดใจมองเจ้าเป็นแค่เครื่องมือจริงๆได้รึไม?" จักรพรรดิพึมพำออกมาเบาๆ
ในตอนเช้าแสงแดดส่องผ่านช่องว่างของม่านในห้องนอนกระทบเข้าม่านตาของดาเลีย ทำให้นางค่อยๆลืมตาตื่นแล้วหันมองใบหน้ายามหลับของจักรพรรดิหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างกายโดยที่แขนข้างหนึ่งของพระองค์ยังคงวางพาดอยู่ที่เอวของนาง นางมองเม่อไปบนเพดานของห้องอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงยกแขนข้างหนึ่งของตัวเองขึ้นมอง และได้เห็นอัขระสาปปรากฎขึ้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
กลับมาแล้วซิ คำสาปที่น่าชิงชังนี่ นางคิดบ่นในใจ
ไม่เพียงแค่นั้นนางยังสัมผัสได้ถึงดวงตาของอสรพิษและฟันเขี้ยวอันแหลมคมของสัตว์ร้ายก็กลับมาแล้วเช่นกัน แม้แต่พลังกายเหนือมนุษย์ก็กำลังค่อยกลับมาด้วย ช่างเป็นพลังที่คุ้มคลั่งรุนแรงเหมือนเดิมจริงๆ นางคิดบ่นในใจขึ้นมาอีก และเพื่อควบคุมไม่ให้มันพุ่งพล่านจนเกินไป นางจึงต้องไปหาที่ปลดปล่อยพลังอันล้นเหลือนี้ทิ้งออกไปบ้าง
นางค่อยๆขยับแขนของจักรพรรดิออกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พระองค์ตื่นแล้วจึงค่อยๆขยับลงจากเตียง ครั้นเดินออกมาจากส่วนของห้องนอน จึงก้าวเข้าห้องสู่ห้องโถงเล็ก และได้พบหัวหน้าสาวใช้กับผู้ติดตามอีกสองยืนรออยู่แล้วพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับการฝึกการต่อสู้ในเช้านี้
"อรุณสวัสดิ์เพคะ ฝ่าบาท" หัวหน้าสาวใช้วิเวียน นำสองสาวใช้ผู้ติดตามทำความเคารพต่อนาง
"อืม... อรุณสวัสดิ์ ฝ่าบาทยังคงบรรทมอยู่แต่อีกไม่นานก็คงจะตื่นบรรทมแล้วล่ะ ให้วิเวียนอยู่ช่วยข้าเพียงคนเดียวก็พอ ส่วนพวกเจ้าออกไปเตรียมตัวคอยรับใช้ฝ่าบาทเถอะ" ดาเลียสั่ง
"เพคะ!!" สองสาวใช้ก้มหน้าลมต่ำ แล้วตอบรับคำสั่งพร้อมเพรียง
เนื่องจากตามกฎระเบียบของวังลับแห่งนี้ ผู้รับใช้ทั่วไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้มองแกรนด์ดัชเชสผู้นี้ตรงๆ สองสาวใช้จึงต้องหลีกเลี่ยงโดยการก้มหน้ามองลงพื้นตลอด แต่เมื่อได้รับคำสั่งมาเช่นนี้พวกนางจึงรู้สึกทำงานสะดวกมากขึ้น จึงรีบเดินไปที่ห้องแต่งตัวที่อยู่ข้างๆ แล้ววางของที่ถือมาก่อนที่ออกจากห้องไปอย่างสงบเรียบร้อย
จากนั้นดาเลียจึงเดินเข้าไปที่ห้องแต่งตัวแล้วจัดการตัวเองโดยที่มีหัวหน้าสาวใช้วิเวียนคอยช่วย ไม่นานก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย
นางเอื่อมมือรับหน้ากากสีขาวล้วนจากวิเวียนขึ้นมาสวมเป็นอย่างสุดท้าย แล้วสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าทุกส่วนของร่างกายถูกปกปิดไว้เป็นอย่างดีแล้วแน่นอนจึงเดินออกไปมุ่งที่ประตูทางออกแต่นางกลับหยุดชะงักก่อนที่จะเปิดประตู
"ฝากทูลฝ่าบาทด้วยว่าหลังฝึกซ้อมข้าจะกลับคฤหาสน์เลยทันที" นางพูดจบก็เปิดประตูออกไปโดยที่ไม่ได้รอฟังคำตอบรับจากวิเวียนเสียก่อน
ณ สถานที่ฝึกซ้อมขององครักษ์ในวังหลวง มีเสียงดังโครมครามบ้างก็เป็นเสียงระเบิด บ้างก็มีเสียงของสายฟ้าฟาดครืนสั่นทะเทือนไปทั่วพื้นที่บริเวณสนามฝึกซ้อมเป็นวงกว้าง ทุกคนที่นั่นรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครที่ทำให้เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้ เหล่าองครักษ์ที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ถึงกับหยุดฝึกต่างรีบมายืนออดูการฝึกของแกรนด์ดัชเชสปีศาจแทน
ร่างเล็กๆของหญิงสาวที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้เกินกว่าผู้ชายทั่วไป นับว่าเป็นจุดเด่นที่ใครเห็นก็ต้องทึ่งทุกครั้งที่เห็นนางต่อสู้
ศิลปะการต่อสู้ทุกประเภทนางคล่องแคล่วว่องไวด้วยท่วงท่าที่สวยงาม แม้แต่พลังเวทก็มีมากมายจนเหลือขนา คู่ฝึกซ้อมของนางจึงต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าแข็งแกร่งที่สุดจึงจะทนกับฝีมือของนางได้
ความสมบูรณ์เช่นนี้มีรึที่จะไม่เป็นที่เคารพและชื่นชม ดังนั้นหากไม่เกี่ยวว่านางคือดัชเชสปีศาจที่ใครๆก็หวาดกลัวแล้วล่ะก็ บรรดานักรบ นายทหาร อัศวินตำแหน่งต่างๆเกือบจะทั้งกองทัพต่างก็ยกย่องชมชอบนางทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อเสียงโคมสุดท้ายดังสนั่นตามด้วยแสงของสายฟ้าว๊าบทั่วบริเวณ หัวหน้าองค์รักทีโมทีถูกนางซัดกระเด็นลงไปนอนกองอยู่กับพื้นตามระเบียบ
"พอแล้วฝ่าบาท กระหม่อมทนไม่ไหวอีกแล้ว ปราณีด้วยเถอะพะยะค่ะ" อัศวินหนุ่มผมแดงขอความกรุณาอย่างลนลาน รู้สึกจุกอก ปวดร้าวระบมไปทั้วทั้งร่างกาย
"เจ้าเป็นอัศวินคู่พระทัยฝ่าบาทแต่กลับอดทนได้แค่นี้เองรึ" ดาเลียกล่าว
"คิดผิดจริงๆ ที่วันนี้กระหม่อมท้าประลองกับท่าน ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงดุดันจังล่ะพะย่ะค่ะ"ทีโมทีถามกลับในขณะที่พยายามพยุงร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ
"ไม่รู้ซิ ข้าคงกำลังคิดเรื่องอื่นไปด้วยก็เลยเผลอออกแรกเยอะไปหน่อย" นางพูดพรางเดินเข้าไปหาทีโมทีแล้วยื่นมือให้เขาจับก่อนที่จะช่วยฉุดเข้าให้ลุกขึ้นยืน "เอาเถอะในบรรดาคู่ซ้อมของข้าเจ้ามันอึดที่สุดอยู่แล้ว โดนแรงหน่อยคงไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อไปหรอกนะ" นางว่าพร้อมกับตบที่ไหร่เขาเบาๆเป็นการให้กำลังใจ แล้วเดินนำออกจากสนามฝึกซ้อมไปพร้อมกับเสียงเฮชื่นชมของบรรดาเหล่าทหารที่มาดูการฝึกของนาง
"ฝ่าบาทรถม้าเตรียมพร้อมแล้วเพคะ" เสียงของหญิงสาวอีกคนดังขึ้น ดาเลียหันมองตามเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือทีน่าพี่น้องฝาแฝดกับทีโมที
"ขอบใจนะ ทีน่า" นางตอบกลับในขณะที่ลดความเร็วของการเดินลงเพื่อรอให้ทีน่าเดินขึ้นมาเคียงข้างนาง
"พี่ชายของหม่อมฉันคงอ่วมเลยซิท่า" นางพูดพรางหัวเราะคิกๆ
"คราวหน้าก็เปลี่ยนเป็นเจ้าบ้าง จะได้สลับกันช่วยอ่วมยังไงล่ะ" ทีน่าถึงกับหน้าเสียทันทีที่ได้ยิน
"ปราณีหม่อมฉันหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะเพคะ"
"ที่ผ่านมาถ้าข้าปราณีเจ้า เพราะคิดว่าเจ้ไม่มีแข็งแกร่งล่ะก็ เจ้าคงไม่มาอยู่รับใช้เคียงข้างข้าเช่นนี้หรอก"
"เอ๋! ไม่ใช่เพราะว่าฝ่าบาทเห็นหม่อมฉันเหมือนน้องสาวที่โตมาด้วยกันรึหรอกเนี๊ยะ"
"ข้าไม่เอาความสัมพันที่ใกล้ชิดมาใช้เป็นเกณในการเลื่อนขั้นเจ้าหรอกนะ แต่เจ้ามีความสามารถที่คู่ควรต่างหากเล่า"
"ฝ่าบาทชมหม่อมฉันขนาดนี้ อีกหน่อยหม่อมฉันต้องเก่งกว่าพี่ชายได้แน่เพคะ"
"เอาเถอะข้าจะเอาใจช่วย"
"แต่ว่า ฝ่าบาทไม่กราบทูลลาจักรพรรดิก่อนซักหน่อยเหรอเพคะ"
"ไม่จำเป็นหรอก ข้าฝากวิเวียนกราบทูลไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ผู้ชายคนนั้นก็คงไม่เหงาหรอกได้ยินว่าวันนี้คู่หมั่นของเขาจะเข้าวังมาทานมือเที่ยงด้วยหนิ" นางว่าแล้วเผยนิ้มน้อยๆภายใต้หน้ากาก
การสนทนาผ่านพ้นไปเรื่อยจนทั้งสองเดินมาถึงรถม้าที่รออยู่ พอขึ้นรถม้าแล้วก็มุ่งกับคฤหาสน์ทันที
และเมื่อกลับมาถึงก็ได้พบกับพ่อบ้านคนสนิทอีกคนชื่อว่า ไอเซ็ก พวกเขาคุยกันเล็กน้อยถึงงานประจำวัน แล้ววันทั้งวันดาเลียก็หมกตัวอยู่กับเอกสารกองโตจนถึงมื้อเย็น กว่านางจะได้เริ่มขยับเนื้อตัวได้ ไม่นานสัมผัสหนึ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีก็แว๊บเข้ามาให้รับรู้ได้
"มาแล้วรึ" ดาเลียเอ่ยทักขึ้นก่อน จากนั้นจึงปรากฎเงาดำคล้ายควันตรงหน้า จากนั้นควันดำนั่นก็ค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างคนในชุดเกราะดำของทั้งตัวภายในเวลาไม่นาน แม้การปรากฎตัวจะเชื่องช้าไปซักหน่อย แต่เขาก็มีบุคลิกคล่องเคล้วว่องไวสมกับการเป็นสายลับนักลอบสังหารมือหนึ่งของดาเลีย
"โปรดอภัยที่กระหม่อมมาช้า" ชายในชุดเครื่องแบบดำกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม
"ไม่ต้องใส่ใจไป ภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร เพียงแต่ข้าอยากให้เจ้าทำภารกิจนี้ด้วยตัวเอง" ดาเลียเริ่มออกคำสั่ง
"พะยะค่ะ โปรดรับสั่ง"
"ไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับราชวงค์แห่งเรียมโดยเฉพาะเรื่องของเจ้าชายลำดับที่สามที่ชื่อว่า... เออ..." นางหยุดชะงัก เพราะเผลอลืมชื่อของชายคนนั้นไปแล้ว
"เจ้าชายลำดับที่สาม และรัชทายาทลำดับที่สอง อาเธอร์ อองเซย์ พะย่ะค่ะ"
"นั่นคือชื่อของเขาหรอกรึ... อืม น่าจะใช่นะ ข้าลืมไปแล้วก็เลยไม่ค่อยแน่ใจ แต่คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าข้าหมายถึงใคร " นางพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะพูดต่อ "ก็นั่นแหละ เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นของข้า ข้าจึงจำเป็นต้องรู้เรื่องของเขาซักหน่อยเพื่อความหมั่นใจส่วนตัวของข้าเอง"
"ฝ่าบาทจะแต่งงานรึ" น้ำเสียงขององค์รักษ์เงาดูตกใจ แต่ดาเลียรู้ดีขึ้นความเสแสร้งนั้น
"อย่ามาทำเป็นเล่นละครต่อหน้าข้า ไบรอัน มีรึที่หัวหน้าองครักษ์เงาเช่นเจ้าจะไม่รู้ข้อมูลนี้มาก่อนข้า อย่าลืมซิว่าข้าเป็นใคร"
"โปรดอภัยฝ่าบาท"
"ช่างเถอะ องครักษ์เงาต้องอยู่กับบทบาทที่สร้างขึ้นมาเองอยู่เสมอนั่นก็เพื่อปิดบังตัวจริงของพวกเจ้าเอง มันไม่แปลกหรอกหากความเคยชินนั้นจะกลายเป็นนิสัยของพวกเจ้า เพียงแต่ต้องจำไว้ว่าพวกเจ้าคนของใคร หากมีเรื่องคิดคดทรยศจักรวรรดิขึ้นมาล่ะก็ ข้านี่แหละจะบี้มันไม่ให้เหลือซากเลยทีเดียว" ดาเลียเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดยั่ง
"เรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับกององครักษ์เงาของเราแน่นอนพะย่ะค่ะ" องครักษ์เงาไบรอันตอบยืนยันความตั้งใจ
"ดี ข้าเองก็หวังเช่นนั้น" ดาเลียตอบรับความจงรักภัคดีของเขา " หากไม่มีธุระอื่นอีก เจ้าก็ไปได้ ข้าเหนื่อยแล้วอยากจะพักผ่อนเสียที"
"รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ" ชายในชุดเกราะดำค่อยหายไปเป็นควันตามด้วยเงาแล้วจางหายไปในที่สุด ประสาทสัมผัสของนางจึงเริ่มกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
นางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองท้องฟ้ามืดที่เต็มไปด้วยดวงดาว "อาเธอร์ อองเซย์เหรอ มาดูกันหน่อยซิว่าเจ้าจะทนไม้ทนมือข้าได้นานแค่ไหนกัน"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!