NovelToon NovelToon

มหาศึกนครเเอตเเลนติส ภาค 2 (Ring of Ghost Atlantis Season 2)

ตอนที่ 1 นครที่ล่มสลาย

ในช่วงเดือนนี้นั้นทั่วโลกจะต้องเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่ที่แอสทรีมันจะเป็นฤดูหนาวที่มืดมนที่สุดของแอสทรีจากนครที่มีพื่นที่ ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยกำแพง 2 ชั้น ชั้นแรกของกำแพงจะเป็นหมู่บ้านและเมืองต่างๆ ส่วนกำแพงชั้นในจะเป็นกำแพงที่กั้นปราสาทของราชาจากเมือง ภายนอกกำแพงจะเป็นที่ราบที่สามารถเชื่อมต่อไปยังอาณาจักรต่างๆได้ และมีแม่น้ำอยู่ไม่ไกลมากนักจากตัวเมืองมันสามารถใช้เป็นเส้นทางไปยังอาณาจักรต่างๆได้เช่นเดียวกัน

เมื่อเดือนก่อนกษัตริย์ประกาศต่อต้านแอตแลนติสโดยที่ประชาชนในแอสทรีไม่ทราบสาเหตุว่ากษัตริย์ของพวกเขาทำไมถึงประกาศไปเช่นนั้น เดือนต่อมากองทัพแอตแลนติสประมาณ 1 หมื่นคนนำทัพโดยองค์ชายลำดับ3 เกรวิน แอตแลนติส ซึ่งเป็นรัชทายาทที่เชื่อกันว่าแข็งแกร่งที่สุด เข้ามาบุกนครแอสทรีของพวกเรา กองทัพของแอสทรีมีเพียง 3 พันกว่าคนเลยมิอาจต้านทานกองทัพของแอตแลนติสได้ แต่เราก็ถือได้ว่าเตรียมตัวมาดีเพราะพวกเรารู้ว่าพวกเขานั้นจะบุกมาราชาเลยสั่งให้ประชาชนอพยพออกจากแอสทรีไปก่อนแล้ว รวมไปถึงแม่ของผมกับน้องสาวก็ได้อพยพไปก่อนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขานั้นไปที่ไหน ผมในฐานะทหารคนหนึ่งของแอสทรี ผมตัดสินใจที่จะไม่หนีไปกับครอบครัวและคนอื่นๆก็คิดเช่นเดียวกันทหารทุกคนตัดสินใจที่จะไม่ไหนีแล้วพร้อมเผชิญหน้ากับแอตแลนติสอย่างไม่เกรงกลัว

พอสงครามเริ่มขึ้นเราก็ตระหนักได้ทันทีว่ากองทัพแอนแลนติสที่มานี้เป็นกองทัพส่วนตัวขององค์ชายลำดับ 3 ซึ่ง แอตแลนติสไม่ใช้กองทัพนักเวทหรือมังกรเลย เป็นแค่ทหารเดินเท้าธรรมดาแต่แค่นั้นพวกเราก็แทบจะสู้ไม่ได้ การต่อสู้ยามราตรีนั้นดูไม่เหมือนการต่อสู้ยามราตรีเสียเท่าไรเพราะมันเต็มไปด้วยกองเพลิงที่สว่างไปทั่วนคร พอเริ่มสงครามไปสักพักกำแพงชั้นแรกก็แตกพ่ายอย่างรวดเร็วพวกเราจึงจำเป็นต้องถอยไปอยู่ในกำแพงชั้นในเพื่อไม่ให้พวกมันเขาไปในปราสาทได้ พอสถานการณ์ของพวกเราเริ่มจนมุมก็มีแสงสว่างสีทองส่องมาจากทางตะวันออกของอาณาจักรซึ่งผมไม่เห็นอะไรมากนักเพราะมันค่อนข้างไกลจากผมพอสมควร แล้วก็ปรากฏชาย 2 คนจากทิศทางนั้นลอยขึ้นไปสู้กันบนท้องฟ้าเเละทหารทั้ง 2 ฝ่ายเหมือนชะงักเพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็เฝ้าดูการต่อสู้นี้อย่างใจจดใจจ่อ จนชายที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวสามารถเป็นต่อชายอีกคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำได้ ก็มีเสียงดีใจของฟังแอสทรีขึ้นมาทันทีผมจึงรู้ได้ทันทีว่าชายที่ใส่สุดขาวนั้นคือมิตรของพวกเราส่วนชายที่ใส่เสื้อคลุมสีดำนั้นคงจะเป็นองค์ชายลำดับ 3 แต่เราก็ดีใจได้ไม่นานพอองค์ชายลำดับ 3 เอาจริงก็มีดาบนับพันลอยจากพื้นสู่ฟากฟ้าและตกลงมาคร่าชีวิตทุกคนแม้กระทั่งฝ่ายแอตแลนติสเองก็ตาม

 

 

ผมซึ่งใช้โล่สามารถป้องกันการโจมตีนั้นการโจมตีนั้นได้ระดับหนึง แต่การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อ ไม่นานหลังจากนั้นพวกเราแอสทรีก็มีแสงสว่างพุ่งจากใต้เท้าเรา และทันใดนั้นเองทหารแอสทรีทุกคนก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังพื้นที่ราบที่อยู่ห่างใกล้จากตัวอาณาจักรพอสมควรและหลังจากนั้นในทันทีอาณาจักรก็เกิดระเบิดขึ้นสว่างมากจนพวกเราที่อยู่ไกลพอสมควรยังเห็นจนแสบตา  มิกกี้วางปากกาขนนกลงเเละปิดสมุดพกของเขาพราะมีบางคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา

 

 

“นี่นายน่ะ” ชายคนนั้นเรียก

 

 

มิกกี้เงยหน้าคนขึ้นผมกับชายคนหนึ่งหัวล้านรูปร่างหนาผิวสีแทนใส่เต็มยศกำลังยืนกอดอกมองมิกกี้ที่กำลังนั่งเขียนบันทึกอยู่

 

 

“นายนี่แปลกดีนะ มานั่งเขียนอะไรไม่รู้กลางซากปรักของนครเรา” ชายคนถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจริงจังเท่าไรนัก และมิกกี้ก็นึกขึ้นได้ว่าเขานั้นกำลังนั่งพิงซากกำแพงปราสาทอยู่เพราะตอนนี้แอสทรีไม่เหลืออะไรแล้วมีเพียงซากปรัก

 

 

“อ่อ ผมกำลังเขียนบันทึกอยู่น่ะเผื่อว่าสักวันนึงผมลืมเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างน้อยบันทึกนี่ก็อาจเป็นเครื่องเตือนความจำชั้นดีน่ะ” มิกกี้ตอบกลับการคนนั้น

 

 

และชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมา

 

 

“นายก็ยังแปลกอยู่ดีแหละ” เขาตอบกลับพร้อมคลายกอดอก

 

 

“ทำไมล่ะ”มิกกี้ถามกลับ

 

 

“เพราะทหารแอสทรีส่วนใหญ่เขาอยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นจากสงครามแต่นายอยากจะจดจำมันนั่นแหละที่แปลก” เขาพูดด้วยท่าทีที่จริงจังมากขึ้นจนมิกกี้รู้สึกกลัว

 

 

“ว่าแต่นายชื่ออะไร และทำไมนายถึงมีปากกาขนนกกับหมึกได้ล่ะ” เขาถาม

 

 

“ผมชื่อมิกกี้ มิกกี้ ดอส ส่วนปากกากับหมึกนี้เป็นของที่ผมมพกติดตัวด้วยอยู่แม้กระทั่งอยู่ในสงครามรววมถึงสมุดพกด้วย แล้วนายล่ะชื่ออะไร” มิกกี้ถามกลับ

 

 

“เจก เจก เมอเสส ว่าแต่นายจะเอายังไงต่อ” เจกยิงคำถามอีกครั้ง

 

 

“เอายังไงต่อหมายถึงอะไร” มิกกี้ถามกลับ

 

 

“จะพูดง่ายๆนะมีทหารแอสทรีรอดจากสงครามประมาณ 1 พันคนและมีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่กลับมายังแอสทรีอีกครั้ง รวมไปถึงนายกับชั้นด้วย” เขาพูดทำให้มิกกี้ยิ่งงงเข้าไปใหญ่

 

 

“เพราะทหารส่วนใหญ่ที่เหลือรอดต่างก็แยกย้ายไปตามหาครอบครัวอพยพไปส่วนพวกที่มาที่นี่ต่างก็มีจุดประสงค์อะไรแม้แต่ชั้นก็ยังไม่อาจเดาได้” เจกพูดจบก็ทำให้มิกกี้นึกถึงเรื่องของตัวเองว่าทำไมเขาถึงกลับมายังแอสทรีแทนที่จะไปตามหาครอบครัวเหมือนกับคนอื่นๆ

 

 

“ชั้นเองก็มีครอบครัว” มิกกี้พูดออกมาเบาๆพร้อมกับกำหมัด

 

 

“ฮ่ะ” เจกถามด้วยความสงสัย

 

 

“ชั้นเองก็มีครอบครัวมีแม่กับน้องสาวแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันชั้นถึงอยากกับมาที่นี่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างเรียกชั้นอยู่” มิกกี้ตอบกลับพร้อมกำหมัดลึกยิ่งกว่าเดิม

 

 

“ฮึ เหมือนกันเลย” เจกหัวเราะเบาๆทำให้มิกกี้นั้นเงยหน้ามองเจกและคลายหมัดออก

 

 

“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” มิกกี้ถามกลับด้วยความสงสัย

 

 

“ชั้นเองก็มียายกับน้องชายและน้องสาวที่อพยพไปก่อนแล้วแต่ไม่รู้ทำไมชั้นไม่ไปตามหาพวกเขาแต่กลับอยู่ที่นี่ที่แอสทรีนครล่มสลายแห่งนี้ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างเรียกฉันอยู่” พอเจกพูดจบก็มีเสียงใครบางคนพูดขึ้น

 

 

“อ๋อพวกนายก็เป็นเหมือนกันหรอ”เสียงเรียบลงก็มีชายวัยกลางคนผิวขาวไว้ผมยาวดำถึงติ่งหูสวมเสื้อคลุมสีดำและชุดที่มีตราของหน่วยลาดตระเวนของอาณาจักรแอสทรีคนเดินออกมาจากด้านหลังซากกำแพงที่มิกกี้นั้นนั่งพิงอยู่ มิกกี้เห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืนในทันที

 

 

“ชั้นชื่อก้อง ก้องเกียรติ ยินดีที่ได้รู้จักพวกนายนะและแน่นอนชั้นรู้ชื่อของพวกนายแล้ว” พอพูดจบเขาก็ทำสีหน้าเข็มยิ่งกว่าเดิม

 

 

“ได้ยินพวกนายคุยกันมันดู ละไม้คล้ายเรื่องของชั้น ชั้นเองก็มีภรรยากับลูกชายที่ยังเล็กอยู่แทนที่ฉันจะไปตามหาพวกเขาชั้นกลับมาที่นี่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

 

 

และทันใดนั้นเองก้อง ก็ชี้นิ้วไปยังอีกฟากหนึงของเมือง มิกกี้ กับเจกเลยหันไปดูก็พบกับเหล่าทหารไปรวมตัวกันเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

และก้องก็เอามือลงเจกกับมิกกี้เลยหันกลับมาหาก้องอีกครั้ง

 

 

“พวกนายรู้รึเปล่าว่าทำไมพวกเขาถึงไปรวมตัวกัน” ก้องถามกับทั้งสอง

 

 

เจกกับมิกกี้ได้แต่ส่ายหน้า

 

 

“มีทหารคนหนึ่งอ้างว่าเขานั้นรู้จักกับคณะปฏิวัติแห่งอาณาจักรคอสกรีนอยู่ทางตะวันออกของแอสทรี เดินเท้า 3 อาทิตย์ก็น่าจะถึง พวกนายอยากไปสมัครไหมล่ะ เข้าร่วมคณะปฏิวัติสักวันก็คงได้แก้แค้นแอตแลนติส และชั้นรู้ว่าพวกนาย ไม่สิพวกเราทุกคนต่างก็อยากแก้แค้นแอตแลนติสกันทั้งนั้นหรือว่าสิ่งที่เรียกพวกเรามาอาจจะเป็นเรื่องนี้ก็เป็นได้นะ” พอก้องพูดจบเจกกับมิกกี้ก็ได้แต่มองหน้ากันสักพักและก็หันกลับไปเตรียมให้คำตอบก้อง

 

 

“ถึงแม้ชั้นจะอยากแก้แค้นแต่ชั้นรู้ว่ามันจะไม่ได้เป็นแบบที่เราหวังถ้าต้องเข้าร่วมกับคณะปฏิวัติละก็ขอ ชั้นไปตามหาครอบครัวดีกว่า” มิกกี้ตอบด้วยเสียงหนักแน่น

 

 

“ชั้นก็เห็นด้วยถึงชั้นอยากแก้แค้นแอตแลนติสแต่ที่ผ่านมาคณะปฏิวัติได้แต่รุกรานกับตัดกำลังอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกับแอนแลนติสนั้นแต่ไม่ได้โจมตีแอนแลนติสโดยตรงชั้นเลยไม่ค่อยชอบคณะปฏิวัติเท่าใดนัก และชั้นก็รู้สึกแบบเดียวกับที่มิกกี้รู้สึกแต่เขาไม่พูดออกมาเฉยๆนั้นก็คือนี่อาจไม่ใช่เหตุที่เรามาที่นี่” เจกตอบด้วยความหนักแน่นเช่นเดียวกัน

 

 

“แหม่ ทำไมพวกเราใจตรงกันอย่างงี้เนี่ยเพราะถ้าฉันอยากไปเข้าร่วมกับคณะปฏิวัติละก็ฉันไปนานแล้วไม่รอให้เสียเวลาหรอก” ก้องพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่กำลังใจ

 

 

“นี่ก็ใกล้มืดแล้วชั้นพอมีไม้ขีดอยู่และที่นี่ก็เต็มไปด้วยซากปรักมันก็น่าจะมีเศษไม้หลงเหลือพวกนายจนใจนอนพักแรมที่นี่ไหม” ก้องเชื่อเชิญ

 

 

“ก็เอาสิเพราะชั้นก็ไม่มีที่ไปเหมือนกัน เดี๋ยวชั้นไปหาเศษไม้มานะ” มิกกี้พูดจบก็เดินไปหาเศษไม้มาในทันที

 

 

 

 

เมื่อพระอาทิตย์ตกดินความหนาวก็เริ่มคืบคลานเข้ามา และยิ่งเป็นฤดูหนาวก็ทำให้ความหนาวขึ้นทวีความรุนแรงมากขึ้นไปบอกกับตอนนี้เมืองกลายเป็นซากปรักเลยทำให้ไม่มีที่กำบัง

 

 

แต่เมื่อทั้ง 3 อยู่หน้ากองไฟเลยคลายความหนาวไปได้บ้าง

 

 

 

 

“สรุปก็คือความเราไม่มีที่ไปและก็มานั่งหน้ากองไฟเพื่อหวังอาจจะมีสาวๆมาให้บริการเราบ้าง” ก้องพูดเชิงตลกคบขัน จนมิกกี้กับเจกต้องขำเล็กๆรับตาม และทันใดนั้นเองพวกเขาทั้งสามก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเดินมาทางพวกเขา มิกกี้ที่อยู่ใกล้สุดกลับไม่เห็น เพราะมีซากกำแพงปราสาทบังอยู่ เสียงเริ่มมาใกล้ขึ้นทุกทีทั้งสามคนเตรียมสักดาบออกมาเมื่อเขามาถึง พอพ้นกำแพงก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งตัวผอมบางใส่ชุดทหารแอสทรีหน่วยเดียวกันกับมิกกี้นั้นคือชุดเสื้อคลุมสีเทาดำแต่เขานั้นดูเด็กกว่ามิกกี้มาก

 

 

“ผมนั่งด้วยได้ไหม” พอเขาพูดทุกคนต่างก็เก็บดาบของตัวเอง

 

 

“เอาสิ” มิกกี้เชื้อเชิญ และเด็กคนนั้นก็มานั่งรวมวงกับพวกเขาโดยนั่งข้างมิกกี้กับเจก

 

 

“ผมชื่อดอม ดอม แคนเดิล เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดแห่งแอสทรี” เขาตอบด้วยท่าทีขี้อาย

 

 

“ชั้นมิกกี้ นี่เจกและนั่นก้อง” มิกกี้เริ่มแนะนำที่ละคน

 

 

“ว่าแต่นายบอกเป็นจอมเวทย์หรอ” มิกกี้ถามดอม

 

 

“จอมเวทย์ฝึกหัดน่ะมีพลังแค่ระดับชาวบ้านแต่ในการรบจริงมันแถบจะไร้ประโยชน์เลย” เขาก็ยังตอบด้วยท่าทีขี้อายเหมือนเดิม

 

 

“เล่าเรื่องของนายมาหน่อยสิดอม” ก้องถามด้วยความเสียงคล้ายกับเมือนเป็นการขู่เข็ญ

 

 

 

 

“ผมเป็นเด็กกำพร้า ถูกเลี้ยงโดยซิตเตอร์ แต่พวกเขาเห็นผมมีพรสวรรค์ทางด้านเวทย์มนต์เลยได้เข้าเรียนที่โรงเรียนจอมเวทย์แห่งแอสทรีแต่เรียนได้ไม่ทันไรก็เกิดสงครามขึ้นก่อน แต่แปลกเนอะแทนที่ผมจะไปตามหาซิตเตอร์แต่ผมกลับมาที่นี่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” เขาตอบด้วยท่าทีดูเข็มเข็งขึ้น

 

 

“พวกเราก็เหมือนกันชั้นเชื่อว่ามีบางอย่างเรียกเรามาที่นี่และมันยังอยู่นี่” ก้องพูดจบทุกคนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา

 

 

 

 

และทันนั้นเองก็มีเสียงคนกำลังทะเลาะกันอยู่อีกฟากของซากกำแพง พวกเขาไม่รีรอต่างก็วิ่งไปดูเหตุการณ์ในทันที

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!