สายลมโชยพัดผ่านผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีลอนยาวลู่ไปตามสายลม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆลืมขึ้น ทอดมองไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีท้ายหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับป่าทึบดูลึกลับน่าพิศวงที่ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะคิดเข้าไปยังป่าแห่งนี้ ซึ่งป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า ป่าต้องห้าม! “…อลิซ…ลูก” เสียงเรียกของผู้หญิงที่แสนจะคุ้นเคยดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า ทำให้เธอหันไปตามเสียง และจ้องมองไปยังป่าต้องห้าม เธอเห็นเงาอันแสนเลือนลางของหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในนั้น “ใคร? นั่นใครน่ะ?” ริมฝีปากอันอวบอิ่มอมชมพูระเรื่อเอื่อนเอ่ยออกไปอย่างสงสัย แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเธอเห็นดวงตาที่สะท้อนแสงของหญิงสาวผู้นั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวยิ่งกว่าจนต้องรีบหลับตาลงและเอามือปิดหูพร้อมทั้งเริ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อเธอได้ยินเสียงที่เธอไม่คุ้นเคย ฟังดูน่าขยะแขยงและน่าหวาดกลัว “ฆ่า…ฉันจะฆ่าแก…ฆ่าทุกคนที่ขวางทางข้า” “กรี๊ด!!! ไม่…ไปให้พ้น…ไป๊!!!” “อลิซ ลูก อลิซ” เสียงทุ้มอันแสนจะอบอุ่นและคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับร่างของเธอที่อยู่ในอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นและคุ้นเคย “พ่อ” ริมฝีปากอันสั่นเทาเอ่ยขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม “หนูฝันเห็นมันอีกแล้ว มันบอกว่ามันจะฆ่าหนู และฆ่าทุกคนที่ขวางทางมัน หนูกลัวค่ะพ่อ” มือหนาอันหยาบกร้านลูบผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีอย่างเบามือ พร้อมๆกับพูดปลอบสาวน้อยในอ้อมกอด “ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร มันก็แค่ความฝัน พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรนะ” “แต่พ่อคะ หนูฝันแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะคะ นี่ก็ใกล้วันเกิดหนูแล้ว มันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หนูกลัว” “ไม่เป็นไรนะลูก พ่อจะปกป้องหนูเอง” ร่างน้อยๆค่อยๆหยุดสั่น และน้ำตาเริ่มหยุดไหล ด้วยแรงโยกในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อค่อยๆกล่อมให้เธอให้เข้าสู่นิทราอีกครั้งนึง
กลิ่นหอมของขนมปังอบร้อนๆ แตะจมูกสาวน้อย เป็นเหมือนนาฬิกาปลุกชั้นยอดในยามเช้า เธอลุกขึ้นจากเตียงเดินตามกลิ่นหอมของขนมปังไปจนถึงในครัว พร้อมสวมกอดทางด้านหลังเจ้าของร่างอันล่ำสันสูงใหญ่ของชายวัยกลางคน “หอมน่ากินมากเลยค่ะ พ่อ” “ตื่นแล้วเหรอเจ้าหญิงน้อยของพ่อ” “ฮาฮ่าฮ่า พ่อเลิกหนูว่าเจ้าหญิงน้อยได้แล้วนะคะ พรุ่งนี้หนูก็จะครบ 12 ปี แล้วนะคะ ไม่เด็กแล้ว” ผู้เป็นพ่อวางมือจากการอบขนมปังในถังไม้โอ๊คหลังจากที่จัดใส่จานเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับหันหลังกลับมากอดสาวน้อย “ว๊า!! เจ้าหญิงน้อยของพ่อโตเป็นสาวแล้วเหรอเนี่ย พ่อว่ายังเป็นเด็กอยู่เลยนา ไม่เห็นจะโตเลย” สาวน้อยทำหน้ายู่แล้วค่อยๆใช้มือเล็กๆคู่นั้นของเธอดันหน้าอกผู้เป็นพ่ออกอย่างช้าๆ “เด็กที่ไหนกัน พ่อดูสิ หนูสูงเท่าไหล่พ่อแล้วนะ” ชายวัยกลางคนหัวเราะในลำคอ “ฮึฮึฮึ นั่นสินะ เจ้าหญิงน้อยของพ่อกำลังจะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้สง่างามแล้ว” “พ่ออ่ะ เลิกเรียกหนูว่า เจ้าหญิงสักทีเถอะ หนูเป็นแค่ลูกของหัวหน้าพรานป่าที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน และยังเป็นพ่อครัวที่อบขนมปังอันแสนอร่อยที่สุดอีกด้วยเท่านั้นเอง” เธอบ่นชายวัยกลางคนพึมพำพร้อมทั้งหมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารที่ตรงหน้ามีขนมปังอบร้อนๆที่หอมอบอวนไปทั่วทั้งบ้าน “วันนี้พ่อจะเข้าป่าอีกแล้วใช่มั้ยคะ แล้วรอบนี้พ่อจะไปกี่วันคะ พ่อไม่ไปไม่ได้เหรอ นายพรานหมู่บ้านเรามีตั้งเยอะตั้งแยะก็ให้เค้าไปกันเองบ้างสิคะ” “ไม่เอาน่าอลิซ พรุ่งนี้เช้าพ่อก็กลับแล้ว” “แต่พ่อคะ พ่อก็รู้นิว่าพรุ่งนี้วันเกิดหนู และก็ยังเป็นคืนพระจันทร์สีเลือดอีกต่างหาก หนูกลัว” “พ่อรู้ลูกรัก นี่ก็ใกล้หน้าหนาวเข้ามาทุกที เราต้องรีบตุนเสบียงเอาไว้ ถ้างั้นคืนนี้พ่อจะให้แคลร์มานอนเป็นเพื่อนลูกก็แล้วกันนะ พ่อสัญญาว่าพรุ่งนี้เช้าพ่อจะรีบกลับมา แล้วเราก็มาฉลองวันเกิดลูกกันดีมั้ย” เธอทำได้แค่มองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างอ่อนใจ พร้อมทั้งถอนหายใจ “ก็ได้ค่ะ ดูแลตัวเองดีๆนะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าค่ะ” “จ๊ะลูกรัก” สองพ่อลูกต่างทานอาหารเช้ากันไปอย่างเงียบๆ
เมื่อนายพรานทั้งหมดของหมู่บ้านมารวมตัวกันกลางลานหมู่บ้านครบทุกคนแล้ว ต่างก็ร่ำลาลูกเมีย แล้วออกเดินทางจากหมู่บ้านไป “อลิซ เย็นนี้เดี๋ยวน้าไปอยู่เป็นเพื่อนนะจ๊ะ” “แล้วเจอกันนะคะน้าแคลร์” แคลร์ยืนมองอลิซ ลูกของเพื่อนสนิทเดินจากไปอย่างช้าๆพร้อมทั้งลูกชายของเธอ แซค “เฮ้ อลิซวันนี้เจ้าจะไปลำธารกับข้ามั้ย ข้าว่าจะไปจับปลามาเผาเย็นนี้น่ะ” “อืม ไปสิ จะพลาดได้ไงล่ะ แต่ขอทำงานบ้านให้เสร็จก่อนนะ” “ได้สิ เดี๋ยวข้าช่วย” “เออ แซค คืนนี้พี่จะมานอนบ้านข้าด้วยรึเปล่า หรือจะอยู่บ้านกับพี่ซูล่ะ” “มาสิ ขืนอยู่กับเจ้านั่นน่ะ ข้าคงจะตายก่อนจะได้นอนน่ะสิ” “ฮาฮ่าฮ่า พี่ก็ว่าไปนั่น พี่ซูเป็นคุณหมอที่ใจดีจะตาย” “ดีกับผีเจ้าสิ วันๆเอาแต่ให้ข้าทดลองยาที่เจ้านั่นทำ ดีนะที่ข้าดวงแข็ง ไม่งั้นคงจะตายเป็นผีเฝ้าบ้านไปแล้ว” “ฮาฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งบ้าน
สายน้ำใสเห็นก้นลำธารที่รินไหลผ่านระหว่างสองหุบเขา หนึ่งในนั่นเรียกว่าหุบเขาแห่งรุ่งอรุณซึ่งเป็นหุบเขาที่ตั้งของหมู่บ้านที่อลิซและแซคอาศัยอยู่ ส่วนอีกหุบเขานั้นคือ หุบเขาแห่งป่าต้องห้าม “เฮ้ อลิซ ดูนี่สิ ข้าจับได้เจ้าตัวโตนี่” “ว๊าว!!! พี่เก่งมากแซค” อลิซเพลิดเพลินกับการนั่งดูแซค ชายหนุ่มที่อายุห่างจากเธอประมาณ 6 ปี ซึ่งจับปลาอยู่ในลำธารอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หุ่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยแผลเป็น กำลังสนุกอยู่กับการจับปลาในลำธาร ทุกๆครั้งที่เคลื่อนไหวทำให้ผมอันดำคลับลู่ไปตามลมทำให้อลิซเห็นใบหน้าอันคมสัน จมูกโด่ง คิ้วหนาดกดำ เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อนั้น มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เห็นมัน
ตกเย็น แคลร์ได้ทำการเผาปลาที่แซคผู้เป็นลูกชายจับมาเมื่อตอนบ่ายเป็นอาหารเย็น “แซค เอาปลาเผานี่ไปให้พี่ซูด้วยสิลูก ของชอบพี่เขาน่ะ” “คร้าบบบบ องค์ราชินี” “ฮาฮ่าฮ่า แซคนี่ชอบล้อน้าแคลร์อยู่เรื่อยเลย” “นี่เจ้าตัวเล็ก อย่าเพิ่งรีบกินล่ะ รอข้าด้วย” แซครีบจัดการห่อปลาที่แม่เผาใส่ย่าม เพื่อเตรียมนำไปให้ซูซานผู้เป็นแฝดผู้พี่ของตนที่บ้าน “ข้าไม่รับปากนะ ขืนชักช้า จะกินให้หมดเลย” แซครีบวิ่งออกจากบ้านของอลิซมุ่งตรงไปยังบ้านของตน พร้อมทั้งตะโกนบอกอลิซเสียงดังว่า “ไม่ทางหรอกเจ้าตัวเล็ก จะรีบไปรีบกลับ” “เฮ้อ!!! ลูกคนนี้หนิ” แคลร์ถอนหายใจกับความทะโมนของลูกชายตนเอง “เรามากินกันดีกว่าจ้า หนูอลิซ” เธอรีบตอบตกลงเพื่อนสนิทของพ่ออย่างไว “ค่ะ น้าแคลร์”
ไฟตะเกียงดับลง เสียงใบไม้ใบหญ้าเสียดสีกันไปตามลม เสียงแมลงดังประสานขับขานเป็นดนตรีกล่อมให้ผู้คนหลับไหลยามราตรี “แม่!!!” เสียงของอลิซที่เปร่งออกมาพร้อมกับอาการของคนที่สับสน ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทำให้แคลร์ที่นอนอยู่ใกล้รีบลุกขึ้นมาปลอบเธอ “ฝันร้ายเหรอจ๊ะ หนูอลิซ” เธอส่ายหน้าพร้อมกับคำถามที่ทำให้แคลร์ถึงกับชะงัก “น้าแคลร์คะ แม่ของหนูคือใครคะ น้าเคยเจอรึเปล่า หนูเคยถามพ่อหลายครั้งแล้ว พ่อบอกแค่ว่า แม่คือผู้หญิงแกร่งที่พยายามปกป้องลูก สักวันนึงลูกจะเข้าใจ มันหมายความว่าไงคะน้าแคลร์” “เอ่อคือ….พ่อหนูพูดถูก แม่ของหนูเป็นหญิงแกร่งที่สวยงามมาก เธอพยายามปกป้องหนู และไม่มีใครทำร้ายหนูได้ แม้ว่าความจริงอาจทำให้หนูตกใจ แต่หนูต้องจำไว้นะอลิซ ว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าใครจะมองหนูยังไง จงเชื่อมั่นในตัวแม่ของหนู เพราะแม่ของหนูรักหนูมากนะจ๊ะอลิซ และแม่ของหนูก็ปกป้องหนูมาตลอด เพียงแต่…มันยังไม่ถึงเวลาที่หนูจะต้องรู้ว่าใครคือแม่ของหนู อีกไม่นานเกินรอ หนูจะรู้ว่าใครคือแม่ของหนูจ๊ะ” “หนูต้องเชื่อมั่นในตัวของแม่ใช่มั้ยคะ” “ใช่แล้วจ๊ะ หนูต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อกับแม่ของหนูไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะท่านทั้งสอง รักหนูมากนะจ๊ะ” “ค่ะ น้าแคลร์” “นอนต่อเถอะจ๊ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเตรียมงานพิธีล้างอาถรรพ์และคัดเลือกอัศวินศักดิ์สิทธิ์กัน”
แสงตะวันแตะขอบฟ้า ผู้คนในหมู่บ้านต่างออกมาต้อนรับคณะของพรานป่าประจำหมู่บ้านที่ใจกลางลานหมู่บ้าน เสียงพูดคุยเอะอะดังก้องไปทั่วด้วยความดีใจ ผู้คนต่างมาช่วยกันแบ่งและแจกจ่ายเสบียงที่บรรดาพรานของหมู่บ้านไปหามาได้ไปเก็บรักษาและถนอมมันเอาไว้เพื่อใช้เป็นสเบียงยามหน้าหนาว “สุขสันต์วันเกิดจ๊ะลูกรักของพ่อ” เธอสวมกอดพ่ออย่างแนบแน่น “ขอบคุณค่ะพ่อ หนูรักพ่อนะคะ” “พ่อก็รักลูกจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย?” “ก็ไม่เชิงค่ะพ่อ มันแปลกกว่าทุกครั้ง หนูฝันเห็นผู้หญิงคนนึง หนูเห็นหน้าเธอไม่ชัดแต่ที่แน่ๆคือ เธอมีดวงตาข้างซ้ายสีฟ้าและข้างขวาสีแดง แล้วเธอก็เรียกหนูว่าลูก มันหมายความว่าอะไรคะพ่อ” “เราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน จริงสิ! พ่อมีอะไรจะให้ลูกด้วย ป่ะ! เรากลับบ้านกัน” “ค่ะพ่อ” สองพ่อลูกเดินนำสเบียงที่แจกจ่ายกลับบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดริมลำธารที่แบ่งเขตระหว่างหุบเขารุ่งอรุณและหุบเขาป่าต้องห้าม
แสงทองค่อยๆลับขอบฟ้า สองพ่อลูกเดินจูงมือกันไปกลางลานหมู่บ้านเพื่อทำพิธีล้างอาถรรพ์ประจำปี ซึ่งทุกๆปีก็ตรงกับวันเกิดของอลิซด้วย ผู้คนในหมู่บ้านจะช่วยกันทำอาหารมากินเลี้ยงกันก่อนทำพิธีและอวยพรเธอหลังจบพิธีทุกครั้ง พิธีล้างอาถรรพ์ในคืนพระจันทร์สีเลือด เป็นพิธีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อล้างอาถรรพ์จากป่าต้องห้าม และคัดเลือกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่จะปกป้องหมู่บ้านจากคำสาปและสิ่งชั่วร้ายจากป่าต้องห้าม ซึ่งพิธีนี้จะทำตรงบ่อน้ำกลางลานหมู่บ้าน โดยจะมีหญิงสาวพรหมจรรย์ 9 คน จะเป็นคนจุดไฟตะเกียงทั้ง 9 จุดล้อมรอบผู้คนกลางลานหมู่บ้าน เมื่อพระจันทร์สีเลือดขึ้นไปอยู่ตรงกลางท้องฟ้าและสะท้อนเงาลงไปในบ่อน้ำ หญิงพรหมจรรย์ทั้ง 9 จะตักน้ำมาให้ผู้คนในหมู่บ้านดื่มและอาบคนละ 1 ขัน เมื่อครบทุกคนแล้ว ชายหนุ่มที่มีอายุครบ 18 ปี จะทำการหยดเลือดของคนเองลงไปในตะเกียงหินทั้ง 9 ที่หญิงพรหมจรรย์เป็นผู้ถืออยู่ หากชายหนุ่มคนใดได้รับเลือกให้เป็นอัศวิน ตะเกียงหินจะเปล่งแสงสีทองออกมาจากตะเกียงทั้ง 9 และจะมีสัญลักษณ์รูปเปลวเพลิงและหยดน้ำปรากฎขึ้นในวงกลมที่มีเส้นกั้นกลางระหว่างกันที่หน้าผากของผู้ที่ถูกเลือก
เมื่อผู้คนในหมู่บ้านทำพิธีครบหมดทุกคนแล้ว บรรดาหนุ่มอายุ 18 ต่างเดินออกมาเพื่อทำพิธีคัดเลือกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทีละคนจนกระทั่งครบ ซึ่งปีนี้มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกคือ เลโอ ทิม และแซค เลโอเป็นชายหนุ่มที่สุขุมและดุดันเหมือนดั่งสิงโตเจ้าป่า เป็นชายหนุ่มที่มุทะลุไม่ต่างจากแซค ซึ่งต่างจากทิมที่เป็นชายชาตรีหน้าหวาน เรียบร้อย สุภาพ แต่หนักแน่น ทั้งสามคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว นั่นทำให้ทั้งสามคนยิ่งสนิทแนบแน่นและเชื่อใจในกันและกันมากยิ่งขึ้น
เมื่อพิธีอันศักดิ์สิทธิ์จบลง ทุกคนต่างเดินมาอวยพรวันเกิดให้กับอลิซ แต่เมื่อทั้งสามอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ได้รับคัดเลือกมาหมาดๆเดินเข้ามาล้อมรอบตัวของอลิซเพื่ออวยพรวันเกิดให้เธอพร้อมกันนั้น จู่ๆสร้อยคอที่พ่อของเธอบอกว่าเป็นของแม่เธอมอบเอาไว้ให้เธอสวมในวันที่เธออายุครบ 12ปีนั้น ซึ่งเธอสวมก่อนออกมาจากบ้าน จู่ๆก็สว่างขึ้นมาโดยที่ตรงกลางเป็นสีฟ้าและรอบๆนั้นเป็นสีแดง แล้วไฟตะเกียงทั้ง 9ที่เพิ่งจะดับลงไปก็สว่างขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่ายังไม่ได้ดับมัน นั่นทำให้ทุกคนประหลาดใจ และในตอนนั้นเองเมื่อสร้อยคอที่เธอสวมอยู่นั่นส่องสว่างขึ้นมา ดวงตาของเธอทั้งสองข้างค่อยๆเปลี่ยนสีไป ดวงตาข้างซ้ายกลายเป็นสีฟ้า และดวงตาข้างขวากลายเป็นสีแดง ทำให้สัญลักษณ์ของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทุกคนในหมู่บ้านส่องสว่างออกมาเช่นกัน
แสงไฟจากคบเพลิง ถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทุกหย่อมหญ้า เสียงเอะอะโวยวายดังก้องด้วยความหวาดกลัว อาวุธต่างๆได้ถูกนำออกมาเพื่อป้องกันตัว เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่างเตรียมความพร้อมและรอการจู่โจม “ไม่!!!! อย่าเพิ่ง ทุกทุกคนอย่าเพิ่ง” ชายร่างใหญ่คมเข้มรีบกางแขนอันแข็งแกร่งขวางอยู่เบื้องหน้าลูกสาวของเขา “อาเธอร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ลูกเจ้ามีสีตาเหมือนกับราชินีแห่งป่าต้องห้ามได้ยังไง?” ลุค หัวหน้าหมู่บ้านแห่งหุบเขารุ่งอรุณถามออกมาด้วยความสงสัย “เธอต้องโดนสาปแน่ๆเลย” เสียงของชาวบ้านคนนึงตะโกนออกมา ทำให้คนอื่นๆในหมู่บ้านเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย “ใช่ เราต้องฆ่ามัน ก่อนที่มันจะฆ่าพวกเรา” สถานการณ์ต่างๆเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เพราะชาวบ้านต่างหวาดกลัว “เงียบ!!!” อาเธอร์ พ่อของอลิซตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังและหนักแน่น “ข้า…อาเธอร์! จะเป็นคนอธิบายความจริงเอง” “อาเธอร์! มันจะดีเหรอ? เรื่องนี้มัน…..” แคลร์ ภรรยาของลุค หัวหน้าหมู่บ้านเดินออกมาแตะไหล่ของเขาและถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเธอกลัวว่าหากความจริงถูกเปิดเผยออกมา อลิซจะตกอยู่ในอันตรายจากผู้คนที่หวาดกลัวและทำร้ายอลิซ ซึ่งนั่นจะทำให้แผนของซาร์ง่ายมากยิ่งขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกแคลร์ มันคงถึงเวลาแล้ว” อาเธอร์กับมือแคลร์เพื่อให้เธอสบายใจ “แต่มันเสี่ยงเกินไป เราอาจจะปกป้องอลิซไม่ได้” แคลร์รีบแย้งเพราะเธอกลัวว่าอลิซจะตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม “เมอาร์ไม่ปล่อยให้ลูกตกอยู่ในอันตรายแน่นอน” อาเธอร์พูดให้แคลร์เชื่อมั่นในตัวของเมอาร์ฟาร์เทีย ภรรยาของเขา “เรื่องนั้นฉันรู้ดี ว่าองค์ราชินีจะปกป้ององค์หญิง แต่เรื่องนี้ยังไม่สมควรถูกเปิดเผย ตราบใดที่ซาร์ ไอ้พ่อมดชั่วนั่นมันยังไม่ตาย” แคลร์กระซิบกระซาบกับอาเธอร์เพื่อเตือนสติเขา เพราะเธอไม่อยากให้แผนขององค์ราชินีของเธอพังลง และไม่อยากให้ผู้คนในหมู่บ้านต้องเดือดร้อน “แคลร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?” ลุค สามีของเธอถามด้วยความสงสัย แคลร์หันไปมองสามีของเธอ แล้วถอนหายใจออกมา “ข้า แคลร์ หรือ แคโลริน่า องครักษ์ประจำตัวขององค์ราชินีเมอาร์ฟาร์เทีย ราชินีแห่งป่าต้องห้าม ข้าได้พาองค์หญิงอลิธิเซีย แห่งป่าต้องห้ามหลบหนีออกมาเพื่อให้เธอได้มีชีวิตเยี่ยงคนธรรมดากับบิดาของเธอ เพราะพ่อมดซาร์ แห่งป่าต้องห้ามได้ทำสงครามเพื่อยึดครองอำนาจขององค์ราชินี หากองค์ราชินีและองค์หญิงยังคงมีชีวิตอยู่ พ่อมดซาร์ไม่อาจที่จะครองโลกได้ อำนาจมืดที่ทุกคนต่างหวาดกลัว หาใช้อำนาจขององค์ราชินีไม่ แต่เป็นของพ่อมดซาร์ และที่สำคัญ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ คืออัศวินขององค์ราชินีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเพื่อให้ปกป้องอำนาจชั่วร้ายมิให้ออกมาจากป่าต้องห้าม” “ต…ต…แต่ว่า ตำนานของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านเรามีไว้เพื่อปกป้องผู้คนจากราชินีแห่งป่าต้องห้ามไม่ใช่เหรอ?” หนึ่งในชาวบ้านส่งเสียงแย้งออกมา “ใช่ ใช่ ใช่” คนอื่นๆในหมู่บ้านรีบสนุนทันที “แต่ว่าข้าเคยได้ยินนิทานที่คล้ายๆกับที่แคลร์พูดนะ ว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเรา คืออัศวินขององค์ราชินีแห่งป่าต้องห้าม” ชายชราผู้หนึ่งรีบกล่าวออกมา “ใช่….ข้าก็เคยได้ยินท่านปู่ของข้าเล่าให้ฟังเหมือนกัน” ชาวบ้านส่วนหนึ่งเห็นคล้อยกับแคลร์ “แล้วสรุปว่า เรื่องไหนคือเรื่องจริงกันแน่???” ชาวบ้านต่างสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี “ฮึฮึฮึ…ไอ้พ่อมดชั่วนั่นมันบิดเบือนความจริงได้สำเร็จสินะ แล้วพวกเจ้าไม่สงสัยเหรอ? ว่าทำไมผู้เฒ่าของหมู่บ้านที่พวกเจ้านับถือ ท่านถึงตายล่ะ? ทั้งๆที่ท่านยังไม่สมควรตายด้วยซ้ำทั้งๆที่ท่านชอบเล่านิทานเกี่ยวกับป่าต้องห้ามให้พวกเจ้าฟังแถมยังยกย่ององค์ราชินีแห่งป่าต้องห้ามล่ะ? ทำไมกัน?” แคลร์ถามทุกคน และนั่นก็ทำให้ทุกคนยิ่งสับสนว่าควรจะเชื่อใครดี เพราะท่านผู้เฒ่าที่ว่านั้นคือ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ (ผู้จงรักภักดีขององค์ราชินี) มักจะเล่านิทานให้เด็กๆฟังเกี่ยวกับราชินีแห่งป่าต้องห้ามและป่าต้องห้ามว่าเป็นอย่างไร และท่านมักจะชื่นชมองค์ราชินีเสมอ นั่นเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านเริ่มลังเลกับตำนานของหมู่บ้านที่ถูกบิดเบือนออกไป ทั้งที่ป่าต้องห้ามเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ สวยงามอย่างสรวงสวรรค์ และเต็มไปด้วยเวทมนตร์ องค์ราชินีท่านทรงตระหนักและกลัวว่ามนุษย์ผู้ละโมบจะเข้าไปทำลายความสมดุลของป่า และต้องการเวทมนต์เพื่อกิเลสของตัวเอง พระองค์เลยทำให้ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย และถูกขนานนามว่า ป่าต้องห้ามนั้นเพราะอันตรายที่อยู่ในป่านั้นอาจทำให้ผู้ที่ไม่เคยย่างกลายเข้าไปตายได้ “แต่ข้าจำได้ว่าก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะตาย ท่านพูดแค่เพียง …ราชินี….ป่าต้องห้าม นั่นแสดงว่า คนที่ฆ่าท่านผู้เฒ่าคือราชินีแห่งป่าต้องห้ามไงล่ะ” ชายผู้หนึ่งตะโกนออกมา “นั่นก็เป็นไปได้นะ” “ใช่ๆๆๆ” ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายอีกรอบ “นั่นไม่ใช่เรื่อ….” แคลร์พยายามจะอธิบาย “พอแค่นี้เถอะ แคลร์” อาเธอร์เดินเข้ามาจับบ่าของเธอและบอกให้หยุด “เอาล่ะ เอาล่ะ!!! พอแค่นี้เถอะ ข้ารู้ว่าท่านทั้งหลายไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่แคลร์พูด ไม่ว่าพวกท่านจะเชื่อข้ากับแคลร์หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร ข้ากับลูกจะพยายามไม่ทำให้พวกท่านเดือดร้อนก็แล้วกัน” อาเธอร์กล่าวเพื่อตัดบท เพราะไม่อยากให้มันวุ่นวายมากไปกว่านี้ “กลับบ้านกันเถอะลูก” อาเธอร์บอกอลิซที่กำลังสับสนกับความจริงอยู่ “แคลร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเจ้าไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลย” ลุค รีบเข้ามาถามความจริงจากภรรยาของตน “ข้าขอโทษ ลุค ข้าแค่ต้องการปกป้ององค์หญิงจากพ่อมดซาร์” แคลร์พยายามอธิบายแบบตัดบท และเดินจากไป “แม่!!! ข้าไม่เข้าใจ” แซควิ่งตามแคลร์มาและถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย “แซค แม่ขอโทษ!!! แต่แม่อยากให้ลูกฟังแม่นะ ต่อจากนี้ไปจะมีอันตรายล้อมรอบหนูอลิซอีกมากมาย แม่อยากให้ลูก อยู่ข้างกายหนูอลิซ คอยปกป้องคุ้มครองเธอจากอันตราย ได้มั้ยลูก” แคลร์ฝากฝังองค์หญิงน้อยของเธอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอดูแล “ได้ครับแม่ ผมจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของผมเอง” แซครับคำของแม่ด้วยความหนักแน่น
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!