NovelToon NovelToon

ตะวันดับแสงอาทิตย์โรยรา

ข้ามมิติ

โชคชะตา เป็นสิ่งลึกลับและชอบเล่นตลกกับทุกสิ่ง แม้แต่ตัวของมันเองก็ตาม

ปาฏิหาริย์เป็นเพียงความบังเอิญของโชคชะตาอย่างนั้นหรือ แท้จริงเป็นเจตนาของบางสิ่ง

เรื่องราวบางเรื่องที่เราท่านพบเจอ อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดา อาจเป็นเรื่องเหนือธรรมดา หรือเรื่องราวปาฏิหาริย์ กฏเกณฑ์นั้นไม่อาจคงอยู่ตลอดกาลมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆอย่างช้าๆทีละนิด

ณ มุมหนึ่งของโลก

เรื่องราวของจิตวิญญาณได้รับการแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก แม้จะแตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์แต่ทุกอย่างมีสิ่งที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกัน เกี่ยวกับจิตวิญญาณ

ถ้าคนตายวิญญาณเราจะไปไหน? นรก? หรือสวรรค์กันล่ะ สิ่งตัดสินคงเป็นการกระทำในช่วงที่เขาเหล่านั้นยังมีชีวิต เป็นไปตามวัฏจักร

แต่ถ้าวิญญาณหลุดจากวัฏจักรล่ะมันจะไปไหน?

ประเทศหนึ่งในเขตเอเชียตะวันออก ในขณะนี้มีวิญญาณของชายหนุ่มอายุราว26ปีกำลังมองดูงานศพของตนเองอยู่อย่างไร้อารมณ์ เหตุผลที่เขาตายเป็นเพราะการรับวัคซีนรักษาโรคระบาดxเข้าไป และทนผลข้างเคียงไม่ไหวนั่นเอง

วิญญาณของชายหนุ่มรู้เรื่องราวทุกอย่างดี เขาไม่ได้เสียใจในเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเขาได้กระทำบางสิ่งเพื่อคนที่เขารัก

เหตุผลที่เขาตายอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาได้ทำสัญญากับปีศาจร้าย เพราะเขาเป็นผู้มีพลังวิญญาณหรือจิตที่แข็งแกร่งจนทำให้รับรู้ตัวตนของบางสิ่งอันดำมืดและได้ตกลงทำสัญญากันอย่างลับไป

เพราะความจนทำให้คนลำบาก ชายหนุ่มก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาได้ทำสัญญาว่าจะลงนรกเป็นนักสู้ให้ปิศาจ1,000ปี แลกกับเงินจากการเสี่ยงล็อตเตอรี่รางวัลที่1และอาชีพที่จะทำให้ครอบครัวของเขาสามารถเลี้ยงตัวอย่างสบายๆไป9ชั่วอายุคน เขาได้เสียสละตนเอง เพื่อผู้อื่นและคนที่เขารัก

ระหว่างที่พระกำลังสวดศพใกล้จะเสร็จลมหมุนสีดำก็เกิดขึ้นใกล้ๆกับศาลาตั้งศพ และปรากฏร่างเงาสีดำขึ้นมา

"สวัสดี วิญญาณผู้หอมหวาน" เสียงจากเงาดำนั้นกล่าวออกมาอย่างน่าประหลาด

"…..." วิญญาณชายหนุ่มกล่าวออกมา แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ

" โอ้ ข้าลืมไป ว่าวิญญาณที่เพิ่งตายนั้นไม่สามารถพูดได้ดังมนุษย์ เอาเถอะข้ามาทำตามสัญญาที่ตกลงไว้"เสียงจากเงาดำกล่าว

เมื่อวิญญาณชายหนุ่มได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นอันตกลงและเข้าใจ

"โอ้ วิญญาณที่ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญและหาได้ยาก เจ้าจะกลายเป็นนักรบที่แกร่งกล้าภายใต้ล่มธงของข้า เพื่อเอาชนะเกมส์กับปีศาจตนอื่นๆ" เงาสีดำกล่าวออกมาอย่างยินดีเป็นที่สุด

"มาสิ มาจงเดินมาหาข้า ข้าจะพาเจ้าไป" เงาดำกล่าวอีกครั้ง และวิญญาณของชายกนุ่มก็กำลังเดินมาหาเงาสีดำนั้นจริงๆ

ทว่าในเวลานั้นเองเสียงสองสายก็ดังขึ้นพร้อมกัน

"เราไม่อาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้" เสียงจากร่างประกายสีเขียวและมีออร่าสายฟ้าปรากฏขึ้นมาข้างๆวิญญาณชายหนุ่ม

"ผู้เสียสละ ผู้กล้าหาญ ซื่อสัตย์ ช่างเป็นวิญญาณอันบริสุทธิ์ยิ่ง ข้าไม่อาจปล่อยเขาไปกับเจ้าได้" เสียงจากเงาสีขาวนวลเอ่ยออกมา

"....." วิญญาณของชายหนุ่มเอ่ยอย่างสงสัยกับตัวตนดังกล่าว ว่าเรื่องมันเป็นมาเช่นไรแน่

"ชิ จมูกไวเหมือนเดิมนะทูตสวรรค์สูงสุด และก็ไม่น่าเชื่อว่าเทพสูงสุดในเขตนี้ก็มาพร้อมกันกับทูตสวรรค์ด้วย ท่านน่าจะอธิบายอะไรหน่อยไหม? อินทรา" เงาสีดำกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

" หึ ถึงเราสองจะต่างอาณาเขตกัน แต่เจ้าระเมิดสัญญาเขตแดน เราสองจึงต้องมาจัดการกับเจ้า" เสียงในเงาสีขาวกล่าวออกมา

" และที่สำคัญวิญญาณที่เจ้าหมายตาเป็นวิญญาณในเขตแดนของเรา เจ้าอาศัยช่องว่างชั่วพริบตาในการช่วงชิงเขาไป เราจึงต้องมาตามทวงคืน เพราะอาสนะของเรานั้นร้อนยิ่ง" เงาในประกายเขียวกล่าวออกมา

" หึ เลิกเวิ่นเว้อ กล่าวอ้างเสีย วิญญาณนี้เป็นข้าที่ต้องได้รับไป เพราะข้าได้ทำสัญญากับเขาแล้ว การกระทำนำมาซึ่งผลลัพธ์ วิญญาณนี้เป็นของข้าอย่างชอบธรรม หากเจ้าอยากสู้ก็มาพร้อมกันทั้งคู่นั้นแหละข้ารีบ" เสียงในเงาดำกล่าวออกมาอย่างแข็งกร้าว

"ช่างผยองนัก" เสียงสบถจากเงาประกายเขียวกล่าวออกมาก่อนจะนำวัชระออกมาและก้าวเข้าไปต่อสู้ในทันที ในเวลาเดียวกัน เสียงในเงาสีขาวก็กล่าวออกมา

"หึ ปิศาจอวดดี" เงาสีขาวกล่าวออกมาก่อนที่ปีกสีขาวหลายคู่ก็กางออกมาพร้อมวงเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

จากนั้นฉากต่อสู้ที่ยากจะบรรยายได้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าของวิญญาณชายหนุ่ม แต่ที่เขาไม่เป็นอะไรไปนั้นเป็นเพราะมีพลังงานสามสายแทรกเข้ามาในวิญญาณของเขาและสร้างเกราะป้องกันอีกทั้งยังตรึงการเคลื่อนไหวเขาให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ทำให้เขาต้องยืนดูฉากต่อสู้ดังกล่าวอย่างงงงวย

การต่อสู้เริ่มรุนแรงมากขึ้นๆจนเริ่มส่งผลกับโลกความจริงหรือมิติของโลกมนุษย์ เพราะในตอนนี้มันราวกับพายุใหญ่ได้พัดเข้ามาในวัดนี้ ท้องฟ้ามืดมิดราวกับราตรีกาล ประกายสายฟ้าฟาดผ่าลงมาอย่างถี่ๆบนยอดเมนเผาศพใกล้ๆจนมันพังลายลงมา และยังมีพายุลมหมุนอีกหลายลูกปรากฏในบริเวณวัด ทำให้บรรดาแขกในงานศพพากันตกใจอย่างมากและหวาดกลัวจนตัวสั่น พระเจ้าในงานที่กำลังสวดถึงกับหยุดหันหน้ามองกันไปมา พร้อมนึกในใจ "โครตเฮี้ยน" ก่อนที่หัวหน้าคณะสงฆ์ที่เป็นพระชราจะเริ่มนำสวดต่อ

ในขณะนี้การต่อสู้ในมิติวิญญาณกำลังรุนแรงมากขึ้นๆ จนแม้แต่เกิดรอยแยกมิติเล็กๆมากมายขึ้นมาจนเวลาล่วงเลยไปถึงเวลา18.00น.การต่อสู้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนรอยแยกมิติเล็กๆขยายใหญ่ขึ้นเลื่อยๆจนเกิดเป็นหลุมมิติขึ้น

และในตอนนี้เองที่การต่อสู้มาถึงขีดสุด เงาสีดำเหลือแต่หัว ส่วนเงาสีขาวเหลือครึ่งตัวและปีกเพียงข้างเดียวในตอนนี้เงาสีขาวไม่ได้เป็นเงาสีขาวอีกต่อไป แต่เป็นร่างครึ่งหนึ่งของชายชาวตะวันตกและปีกสีขาวเปื้อนเลือดที่เหลือเพียงปีเดียว

ส่วนเงาในประกายเขียวในตอนนี้ได้ปรากฏเป็นร่างของชายผิวสีเขียวมรกตที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสสลบไร้สติ

และเพราะแบบนี้พลังที่ปกปักษ์ร่างวิญญาณของเขาทั้งสามสายจึงค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่เจาจะโดนหลุมมิติดูดเข้าไปทั้งอย่างนั้น ก่อนที่หลุมมิติและรอยแยกมิติทั้งเล็กใหญ่จะค่อยๆสมานตัวเองอย่างช้าๆจนเป็นปกติในที่สุด

จากนั้นเหล่ากลุ่มแสงต่างๆจึงค่อยๆปรากฏขึ้น ก่อนจะมารับร่างของเทพในแต่ละฝ่ายไป กลุ่มแสงสีขาวและทองได้รับเอาร่างชายชาวตะวันตกไป ส่วนประกายสีรุ้งได้รับเอาร่างของอินทราไป ส่วนประกายสีดำมืดได้รับเอาหัวของเงาสีดำไป

ดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะตัดสินใจล่าถอย และสงบศึกชั่วคราว โดยไม่มีใครสนใจวิญญาณของชายหนุ่มที่หายไป

พื้นฐานของเงาที่ไม่ใช่เงา

เมื่อมีบางสิ่งก่อกำเนิด สิ่งนั้นย่อมก่อเกิดเงา เมื่อมีเงาย่อมมีศัตรูหรือสิ่งตรงข้ามกับสิ่งก่อกำเนิดตั้งต้น

ท่ามกลางกระแสมิติเวลาอันปั่นป่วนและบิดเบี้ยวอย่างหาที่สุดไม่ได้ มีร่างวิญญาณร่างหนึ่งที่กำลังถูกบิดจนกลายสภาพเป็นเกลียวราวเส้นด้ายยืดยาวขยายออกไปแสนไกล แต่น่าแปลกที่ร่างวิญญาณนี้ไม่แหลกสลายไปเสียที

เนื่องเพราะพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขาแล้วยังมีพลังแปลกปลอมอ่อนจางอีกสามสายที่ใกล้จะเลือนหายไปแล้วในตอนแรก ด้วยการบิดเกลียวของมิติเวลานี้มันได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างวิญญาณอย่างถาวร และด้วยพลังงานปั่นป่วนของความโกลาหลนี้ ร่างวิญญาณที่อยู่ในภาวะวิกฤตได้ทำการดูดกลืนพลังทั้งหลายมาเป็นของตนเองและประคับประคองร่างที่บิดเกลียวและถูกรีดจานบางราวเส้นด้ายที่ใกล้จะขาด ค่อยๆปรับสภาพอย่างช้าๆและมั่นคง

จากช้าๆจนเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดไม่ทราบผ่านสภาพโหดร้ายจนสติวิญญาณเลือนรางก็ค่อยแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถกลับมามีสภาพร่างกายของมนุษย์จนสมบูรณ์อีกครั้งราวปาฏิหาริย์

แต่กระแสมิติและเวลาก็ไม่ได้ลดความรุนแรงลงเลยแม้แต่น้อย ร่างวิญญาณของเขาได้ผ่านเวลาที่ราวกับชั่วกาลนี้ไป จนจุดๆหนึ่งเขาก็สามารถหลุดออกมาจากหลุดมิติอันน่าหวาดกลัวนี้ได้เสียที

ในที่สุดร่างวิญญาณของเขาก็ได้รับอิสระเสียที และมันก็ได้กินระยะเวลา1,000ปีโดยที่เขาไม่รู้ตัว ในตอนนี้เขาหลุดพ้นแล้ว และยังได้พลังพิเศษบางอย่างมาด้วย

แต่ ด้วยความอ่อนล้าถึงขีดสุดทำให้สติของร่างวิญญาณค่อยไปเลือนรางลงจนไร้สติ ก่อนที่ร่างวิญญาณของเขาจะค่อยๆพุ่งออกไปจากความเร็วอันเชื่องช้าจนกลายเป็นดาวหางไปในที่สุด ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมร่างวิญญาณอันไร้สติถึงสามารถเคลื่อนที่ด้วยเร็วขนาดนั้นได้? นั่นมันเป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกเบื้องหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกใบเดิมของเขาถึงพันเท่า และยังเป็นโลกที่มีพลังงานบริสุทธิ์อันเข้มข้นราวกับน้ำอยู่มากมาย

จากเบื้องบนเมื่อมองลงมายังโลกใบนี้กาลเวลาได้ผ่านไปราวๆ10ปี ก็ได้มีดาวหางอีกดวงหนึ่งที่มีสนามพลังบางอย่างปรากฏขึ้นและพุ่งตรงลงไปยังโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าครั้งนี้มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มันคือการจงใจของบางสิ่ง ที่ส่งดาวหางดวงนั้นลงไปเกิดบนโลก

พื้นที่ส่วนหนึ่งของตะวันออกในโลกแห่งหายนะใบนี้ในบ้านเก่าทรุดโทรมหลังหนึ่งภายในอาณาเขตของตระกูลดยุคอัลฟา ที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู รายล้อมไปด้วยคฤหาสน์และปราสาทอันหรูหรา

"10ปีแล้วสินะ ที่เรามาอยู่โลกนี้ เฮ้อ เวลาช่างผ่านมานานจริงๆ" เด็กหนุ่มน่าตาหล่อเหลากำลังกล่าวกับตนเองเบาๆ

สภาพแวดล้อมภายในบ้านเก่าๆไม่มีสิ่งใดมากมายนอกจากผ้าห่ม เตียงนอน และเสื้อผ้า3ชุด หากไม่นับชุดที่เขาใส่

"10ปีมานี้ ในที่สุดเราก็ได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา เราไม่อาจทำตามสัญญาได้ แต่...การเดินทางผ่านหลุดมิติอันดำมืดนั่นก็ถือว่าทดแทนสิ้นแล้ว จากนี้ไม่มีสิ่งใดผูกมัดเราได้อีก เฮ้อ แต่ไม่นึกว่าพระอินทร์และเทวทูตจะมีจริงแถมมาปรากฏตัวพร้อมๆกันอีก และไหนจะปิศาจนั่นอีก เฮ้อ โลกใบเก่าของเราคงไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็นอยู่เป็นแน่แท้" เด็กหนุ่มกล่าวเบาๆราวสายลมออกมา

10ปีแล้วจากเหตุการณ์เดินผ่านหลุมมิติอันโหดร้าย เขาได้มาเกิดอีกครั้งหลังออกจากหลุมมิติ และได้เกิดใหม่ในฐานะบุตรชายคนที่13ของตระกูลดยุคอัลฟา

แถมยังเกิดจากแม่ที่เป็นสาวใช้อีกด้วย ทว่าช่างโชคร้ายจริงๆที่บรรดาเมียหลวงรู้ข่าวก็รีบจัดการแม่ของเขาทันทีหลังจากคลอดบุตร แต่โชคยังดีที่ท่านดยุคทราบข่าวเสียก่อนแต่มาไม่ทันเวลา เลยช่วยได้แต่บุตรเท่านั้นและเลี้ยงดูอย่างดีจนเมื่อ5ปีก่อน ที่มีการวัดความสามารถในการกลายเป็นนักเวทย์ และเขามีคุณสมบัตินักเวทย์เพียง1ดาว ที่ถือว่าต่ำสุดๆเท่าที่เป็นไปได้ ท่านดยุคหรือพ่อแท้ๆของเขาก็ส่งเขามาอยู่ที่นี่ เป็น5ปีแล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเยือนนอกจากคนส่งอาหารแห้งในแต่ละเดือนเท่านั้น

แต่นั้นกลับทำให้เขาค้นพบความสามารถของตนเองและพัฒนามันมาตลอดจนวันนี้ พร้อมกับความทรงจำทั้งหมดที่หวนกลับมา

ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยืนพึมพัมอยู่หน้าบ้านเขาก็สังเกตุเห็นดาวหางสายหนึ่งพุ่งผ่านฟ้าไปยังทิศทางของเมืองใหญ่ พร้อมกับความรู้สึกแปลกไปในใจ

"หวังว่าในโลกใบนี้คงมีแค่ชั้นที่โชคร้ายล่ะนะ" เด็กหนุ่มกล่าวออกมาราวกับเยาะเย้ยตนเอง พร้อมกับมองดาวหางที่ลับขอบฟ้าไป

จุดเริ่มต้นของแสงสว่าง

ในอีกมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ภายในคฤหาสน์ของดยุคเรฟกา เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่นานมานี้ และตอนนี้ก็มีร่างของบุตรชายวัย10ปีที่ถูกทรมานจนตายด้วยยาพิษ พร้อมหนังสือสัญญาโอนมรดกวางอยู่บนโต๊ะ กับรายเซ็นที่เต็มไปด้วยโลหิต

ภายในห้องใกล้ๆนั้นมีชายหนุ่มหญิงสาวกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส

"นี่เอริส คิดดีแล้วเหรอที่ทำแบบนี้กับน้องชายตัวเองน่ะ?"เสียงชายคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย ทั้งๆที่มือของเขามีคราบเลือดเล็กน้อยที่ล้างไม่สะอาดติดอยู่

"หึ เอวิศ อย่ามาถามอะไรโง่ๆ น้องชาย? ชั้นจำได้ว่าท่านแม่ชั้นมีเพียงชั้นที่เป็นลูก ส่วนมันก็แค่ลูกเมียน้อย ถ้าท่านแม่ของชั้นมีบุตรชายตำแหน่งผู้นำตระกูลย่อมตกลงสู่ฝ่ายเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านพ่อ.. ไม่สิดิรัจฉานตัวนั้นมันดันวางยาฆ่าท่านแม่เพียงเพื่อรับเอาเมียน้อยและลูกชายที่เลี้ยงไว้ข้างนอกเข้ามาในตระกูลอย่างถูกกฏหมาย? แถมยังมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปให้มันอีก ชั้นจำเป็นต้องทน??" เอริสกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทน

"5555 ชั้นล้อเล่นน่า เอาเถอะ ไหนๆมันก็ตายไปแล้วเรามาฉลองความสำเร็จของเราดีกว่า" เอวิศกล่าวออกมาย่างอารมณ์ดี

"หึ ก่อนจะมาฉลองกัน ชั้นว่าเราจัดการเรื่องของน้องชายผู้โง่เขลาก่อนดีกว่า ปล่อยเอาไว้นาน มันจะเน่าเสียติดพรมหนังสัตย์ชั้นดีเสียเปล่าๆ" เอริสกล่าวออกมาอย่างเหยียดๆ

"555 เอริสน้อยที่น่ารัก เธอช่างเป็นหญิงสาวที่น่าตลกเสียจริง ร่างของมนุษย์ที่พึ่งตายน่ะจะไม่เน่าเสียในทันที และด้วยยาพิษหยุดหัวใจที่ข้ามอบให้กับมัน ร่างของมันจะยังครบถ้วนสมบูรณ์ไปได้อีกวันสองวัน ดังนั้นไม่ต้องรีบ" เอวิศกล่าวออกมายิ้ม ก่อนจะกล่าวเข้าประเด็น

"งั้นทีนี้เราก็มาทำตามข้อตกลงกันดีกว่า" เอวิศกล่าวออกมาพร้อกับยิ้มร้าย

" แก ไอ้ปิศาจ" เอริสตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความไม่ชอบใจ

"5555 ไม่ต้องเสียงดังหรอก ยังไงเสีย ข้าก็คือปิศาจจริงๆนั่นแหละ" เอวทิศกล่าวออกมาพร้อมแสดงหน้าตาที่แท้จริงขึ้นมาแว๊บหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นหน้าตาของชายหนุ่มธรรมดาๆในทันที

" หึ ชั้นไม่ลืมหรอกน่า สัญญาที่ว่าให้ชั้นคลอดบุตรของปิศาจ ใช่ไหมล่ะ เอาล่ะชั้นพร้อมแล้ว รีบๆทำให้มันจบไป" เอริสกล่าวอย่างอารมณ์เสีย

" หึ 5555 แน่นอน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าอยู่หัวของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส คงไม่ต้องใช้วิธีนี้ เอาเถอะ ข้าสัญญา มันจะไม่เจ็บปวด" เอวิศปิศาจหนุ่มกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ก่อนที่ท้องของเอริสจะค่อยๆป่องออกมาอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันอ้าปากกรีดร้องอะไร ร่างของเธอก็เหี่ยวแห้งลงในฉับพลัน ก่อนจะมีบางสิ่งแหวกท้องของเอริสออกมา

" อา อากาศ บริสุทธิ์ 55555 ข้ากลับมาอีกครั้งแล้ว อินทรา อัครทูตสวรรค์บัดซบ พวกเจ้าจะต้องชดใช้" ปิศาจในร่างเด็กกล่าวออกมา ก่อนที่ร่างของเอริสจะสลายกลายเป็นผงไปในทันที

" อา พลังชีวิตนี้ช่างดีแท้ รสชาติของความเกลียดชังชั่งหอมหวน แต่มันไม่อาจเทียบหนึ่งในล้านของวิญญาณดวงนั้นได้ และ ตราสัญลักษณ์สัญญาได้เลือนหายไปแล้ว? " เด็กปิศาจกล่าวออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปมองปีศาจหนุ่มที่คุกเข่าทำความเคารพอยู่ไม่ไกล

" เฟยรุ? เจ้าทำได้ดีมาก ตอนนี้พาข้ากลับไปยังมิติโลกปีศาจได้แล้ว ข้าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และคราวนี้ พวกมันจะต้องชดใช้" เด็กปิศาจกล่าวออกมากับข้าราชบริพารปิศาจ

" ขอรับนายท่าน " เฟยรุหรือเอวิศกล่าวออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาอุ้มร่างของเด็กปิศาจ เปิดประตูมิติ

แต่ ในตอนนี้เองที่เฟยรุอ้าปากออกมาก่อนที่จะกัดเข้าไปที่ร่างของเด็กปิศาจ จนหัวหายไปในคำเดียว ก่อนที่จะกัดกินร่างกายทั้งหมดที่เหลือเข้าไป

ฮึกก อึกอัก

" อื้ม อร่อยมากครับท่านจ้าวปิศาจ แต่ท่านอ่อนแอเกินไป เพราะงั้นพลังทั้งหมดของท่านผมขอรับไปละนะ" เฟยรุกล่าวออกมาเบาๆด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าประตูมิติไป

และในช่วงเวลานี้เองที่กลุ่มแสงของดาวหางได้พุ่งลงมาที่ศพของบุตรชายดยุกเรฟกา ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวของตำนาน

ผู้ใช้สุดยอดระบบเติมเงิน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!