"ฝ่าบาท อย่าทรงทำเช่นนี้เลยพะย่ะค่ะ"องค์ชายคนสนิทของฝ่าบาทพูดขึ้นขณะที่เดินตามหลังคนที่กำลังจ้องหน้าจ้องตาคนที่เดินผ่านไปเรื่อยจนคนมองมาที่เขาเเละพี่ชายเเปลกๆ
"อะไรของเจ้า ไม่เบื่อหรือที่จะอยู่ต่อบนโลกที่เเสนสกปรกเเละน่าเบื่อตามลำพังโดยไม่มีคนเคียงข้างน่ะ"คนเป็นพี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
"ก็เป็นเพราะฝ่าบาทเองไม่ใช่หรือที่เลี่ยงเรื่องนี้มาตลอด หากพระองค์ทรงทำตามที่พวกขุนนางเเนะนำ ป่านนี้ท่านคงได้มีพระมเหสีเป็นของตนนานเเล้วพะย่ะค่ะ"
"เจ้านี่..ไม่รู้อะไรเสียจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะได้คนเเบบไหนเข้ามาเป็นมเหสีของข้ากันหรือ หากไม่ใช่ลูกสาวขุนนางไร้มารยาทเอาเเต่ใจพวกนั้น"พูดจบสายตาฝ่าบาทก็ชักจูงให้น้องชายของตนนั้นมองไปที่ทางเดียวกันกับที่พระองค์ทรงมองเมื่อกี้
"เจ้าจะชดใช้อย่างไร! ทำกระโปรงข้าเลอะเทอะไปหมดเยี่ยงนี้!"หญิงสาวพูดพลางปัดกระโปรงที่เลอะฝุ่นเล็กน้อยอย่างโกรธเคือง
"ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้ามิได้ตั้งใจ ยกโทษให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ"หญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่งคุกเข่าพลางพนมมือทั้งสองข้างขึ้นเเละขอโทษขอโพยยกใหญ่
เพี๊ยะ!
"จับมันไปโบยเดี๋ยวนี้!"เจ้าของชุดหรูหราพูดขึ้นพลางตบหน้าคนที่กำลังพนมมือขอโทษจนล้มไปกับพื้นอย่างน่าสงสาร
"ฝ่าบาท ทรงไปที่อื่นเถิดพะย่ะค่-...ฝ่าบาท!"องค์ชายพูดไม่ทันขาดคำก็เห็นคู่สนทนาหายไปอยู่ที่อื่นเสียเเล้ว
"นี่เจ้า ทำเช่นนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือเเม่นาง"ฝ่าบาทพูดขึ้นพลางก้มลงพยุงตัวของหญิงสาวที่ล้มพับจากเเรงตบตีเมื่อกี้ขึ้น
"ท่านยุ่งอะไรด้วย สนใจเรื่องตัวเองเถิดเจ้าค่ะ"
"เจ้ามีศักดิ์ใหญ่มาจากที่ใดหรือ ดูท่าทางชุดที่เเม่นางสวมอยู่นั้นเเพงน่าชมเชียว"ฝ่าบาทพูดพลางลอบมองชุดของอีกคน
"ข้าลีซูกวาน เป็นหลานสาวอัครเสนาบดีซองมินเจ้าค่ะ ศักดิ์ใหญ่พอที่ท่านจะตกใจได้หรือไม่"
"โอ้ ฮ่าๆ ท่านช่างวางตัวเก่งเสียจริง ถ้าท่านไม่ป่าวประกาศให้ผู้คนรู้ ข้าก็คงนึกว่าท่านเป็นลูกไพร่เสียอีก ฮ่าๆ"ฝ่าบาทพูดพลางมองคนที่โดนเสนอให้เป็นพระมเหสีเมื่อเช้านี้อย่างนึกขำ คนเเบบนี้น่ะหรือจะมาเป็นมเหสีของข้า ไม่เจียมตัวเสียบ้างเลย
"ท่านจะขำไม่ออกหากรู้ว่าข้าจะได้เป็นพระมเหสีของเเผ่นดินนี้ในภายภาคหน้า ข้าเกรงว่าท่านอาจจะหัวขาดตั้งเเต่วันเเรกที่ข้าถูกเเต่งตั้งก็เป็นได้หนา ฮ่าาๆ"หญิงสาวไร้มารยาทพูดขึ้นต่อหน้าฝ่าบาทอย่างไม่นึกอาย
"หึ นี่เจ้า ชื่ออะไรหรือ"ฝ่าบาทพูดกับคนที่ได้พยุงขึ้นมาจากพื้นเมื่อครู่นี้
"..ข..ข้า..ข้าชื่อพินเจ้าค่ะนายท่าน"หญิงสาวตอบเสียงสั่นๆ
"เจ้าไปได้เเล้วล่ะ อย่างไร ชุดของนายหญิงท่านนี้ก็ไร้ฝุ่นที่เกาะเมื่อครู่นี้เเล้วมาสักพักเเล้ว"
"จ..เจ้าค่ะ! ขอบพระคุณท่านมาก"หญิงสาวที่ดูท่าทางเป็นคนรับใช้ขุนนางบ้านไหนสักบ้านหนึ่งพูดขึ้นเเล้วก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
"นี่ท่าน!"
"ชู่วว สำรวมกิริยาหน่อยเถิดเเม่นาง อายุท่านก็มากเท่านี้เเล้วหนา ไม่อายเด็กมันหน่อยหรือ"ฝ่าบาทก้มไปพูดที่ข้างหูของอีกคนเบาๆ
"จ..เจ้า!!!"
"เบาเสียงท่านลงหน่อยเถิด เด็กมันมองอยู่หนา"ฝ่าบาทพูดพลางเดินหันหลังให้พลางโบกมือลาอย่างล้อเลียน
"ฝ่าบาท! เหตุใดพระองค์ต้องทำเยี่ยงนั้นเล่า"องค์ชายที่ยืนดูเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ห่างๆพูดขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินออกมาไกลมากพอ
"ไม่รู้สิ ก็เเค่อยากทำ เเต่เจ้ารู้หรือไม่เล่า ว่านั่นหลานสาวเสนาบดีซองมินน่ะ"ฝ่าบาทพูดขึ้นพลางขำไปด้วย
"กิริยาเช่นนั้นน่ะหรือฝ่าบาท..."องค์ชายชานพูดอย่างอึ้งๆพลางหวนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
"อืมฮ่าๆๆ เจ้าขุนนางนั่นมันกล้าดีอย่างไรเสนอชื่อคนเยี่ยงนั้นให้ข้ากัน ช่างน่าขันเสียจริงฮ่าๆๆ ถ้าใครได้นางเป็นภรรยาคงต้องไปพักหูในที่ไกลเเสนไกลเป็นเเน่"
"เหตุใดต้องพักหูหรือพะย่ะค่ะ"องค์ชายถามอย่างสงสัย
"ก็เจ้าไม่ได้ยินเสียงเเม่นางเมื่อกี้รึ เสียงโวยวายเเสบเเก้วหูนั่นอย่างไรเล่า"ฝ่าบาทพูดพลางปิดหูตัวเอง
"จริงๆเลยนะพ่ะย่ะค่ะ เเล้วนี่พระองค์จะไปที่ใดต่อหรือพะย่ะค่ะ"
"นี่ เจ้าพูดเป็นกันเองกับข้าไม่ได้รึ"ฝ่าบาทพูดพลางยีหัวคนเป็นน้องอย่างเอ็นดู
"กระหม่อมคิดว่ามันดูไม่ค่อย..."
"ชาน น้องชายข้านี่น้า เจ้าลืมหรือว่าข้าเป็นพี่ชายที่หล่อเหลาของเจ้าไง"คนโตกว่าพูดพลางโอบไหล่น้องชายอย่างรักใคร่
"เสด็จพ่อทรงย้ำเตือนกระหม่อมอยู่เสมอว่าให้พูดจาเช่นนี้กับพระองค์เสมอนะพะย่ะค่ะ"
"เห้อ ข้าเหนื่อยที่จะพูดกับเจ้าเเล้วชาน งั้นตามใจเจ้าเถิด เหนื่อยกว่าถกเถียงกับพวกขุนนางงี่เง่านั่นก็เหนื่อยจะพูดกับเจ้านี่เเหละ"
"ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"องค์ชายพูดขึ้นพลางยิ้มบางๆ
"เห้อ ไปกันเถิด"
"ข้ามาส่งงานขอรับ"
"คุณหนูโฮ! โอยย ท่านมาทันเวลาพอดี หนังสือของทันขายหมดเกลี้ยงอีกเเล้วขอรับ!"เจ้าของร้านหนังสือกลางเมืองรีบวิ่งเข้าหาคนที่วางของลงบนโต๊ะกลางห้องอย่างดีใจ เพราไม่ว่าคุณหนูคนนี้มาส่งงานตอนใด เงินก็จะมาหาเขาตอนนั้น
"ฮ่าๆ ท่านก็พูดเกินไปนะขอรับ เเล้ว..."คุณหนูโฮพูดพลางเเบมือเป็นนัยบางอย่าง
"อ..อ้อ! นี่ขอรับส่วนเเบ่ง"เจ้าของร้านหนังสือพูดพลางยื่นถุงเงินบนมืออีกคน
"โห เยอะจริงด้วย ท่านนี่ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยหนา"โฮชิพูดขึ้นพลางนับเหรียญในมือ
"ฮ่าๆ กระผมต่างหากที่ต้องพูดเช่นนั้น เเต่คุณหนูขอรับ ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่"
"มีอะไรหรือท่าน ถามข้ามาเถิด"โฮชิพูดพลางยิ้มให้กับเหรียญในมือสลับกับคนตรงหน้าเป็นเชิงให้อีกคนพูดได้เลย
"คุณหนูจะหาเงินไปทำไมเยอะเเยะหรือขอรับ ในเมื่อคุณหนูมีกินมีใช้ดีอยู่เเล้ว"เมื่อเจ้าของร้านหนังสือได้ถามคำถามจบ ยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้าของโฮชิก็หายไปเเล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าจนคนถามใจหาย
"ค..คุณหนู..ข้าขออภัยขอรับ ข้าถามสิ่งที่ไม่ควรถามใช่หรือไม่ขอรับ อภัยให้ข้าเถิด"
"ก็จริงอย่างที่ท่านว่า ข้าดูจะมีกินมีใช้อยู่เเล้วเหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เเต่นั่นก็ไม่ใช่ของข้าหรอก มันของพ่อบุญธรรมข้าต่างหาก ข้าเลยอยากหาเงินเองบ้างน่ะ เอาเถิด ข้าขอตัวก่อน ไว้ข้าจะมาใหม่"
"ข..ขอรับคุณหนู กลับดีๆนะขอรับ"ลากันเสร็จคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูก็เดินออกมาจากร้านสวนทางกับใครบางคนด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
"นี่ท่าน เรื่องนั้นมีของหรือไม่"เจ้าของเสียงทุ้มพูดขึ้น
"อ้าวท่าน มาบ่อยนะขอรับ"เจ้าของร้านหนังสือทักทายขึ้น
"ฮ่าๆ เอาเถิด ข้าอยากได้เล่มที่เมื่อวันก่อนหมดไปน่ะ เจ้าจำได้หรือไม่"
"ฝ่าบาท.. มาทำอะไรที่นี่ขอรับ อย่าบอกนะว่า.."องค์ชายชานพูดขึ้นหลังจากที่เดินเข้าร้านหนังสือตามมา
"อย่างที่เจ้าคิดนั่นเเหละชาน.. ว่าอย่างไรท่าน มีหนังสือมาเพิ่มเเล้วรึไม่"
"นี่ขอรับ ข้าเพิ่งได้มาสดๆร้อนๆเลย"เจ้าของร้านหนังสือพูดขึ้นพลางยื่นของให้
"โหท่าน เรื่องโปรดข้าเลย ขอบใจท่านมาก"ฝ่าบาทเอ่ยขึ้นพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"อะไรกัน ทำไมพระองค์ทรงเเย้มพระสรวลจนเเก้มปริเช่นนั้น"องค์ชายพูดขึ้นหลังจากที่เดินออกจากร้านขายหนังสือมาสักพักก็สังเกตเห็นท่าทีที่ดูเเปลกตาของฝ่าบาทผู้ที่ชอบเดินจ้องตาคนไปทั่ว เเต่คราวนี้กลับจ้องเเต่หนังสือพลางยิ้มจนเเก้มปริอีก เเปลกจริงๆ
"ข้าคงไม่เคยบอกเจ้าสินะ ว่าข้าชอบหนังสือเล่มนี้มาก เจ้าจะลองอ่านดูหรือไม่"ฝ่าบาทยื่นหนังสือในมือให้
"มันเกี่ยวกับอะไรหรือพะย่ะค่ะ"องค์ชายชานพูดพลางเปิดหนังสือคร่าวๆ
"มันก็..ประมาณหนังสือสอนให้คำสอนต่างๆน่ะ มีความคิดอะไรหลายๆอย่างที่เเปลกเเละน่าสนใจเต็มไปหมด บางทีตอนที่ข้าเหนื่อย หนังสือเล่มนี้ก็ช่วยข้าได้มากทีเดียว"ฝ่าบาทพูดพลางยิ้มขึ้นอีกครั้ง จนองค์ชายคิดว่าถ้าไม่รู้ว่าเจ้าตัวพูดเรื่องหนังสือก็คงคิดว่าพูดถึงคนรักเสียเเล้ว สีหน้าตอนฝ่าบาทพูดเกี่ยวกับหนังสือเหล่านี้นั้นมันดูมีความสุขเอ่อล้นออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ
"กระหม่อมคิดว่าถ้าหากฝ่าบาททรงยกเเละเเต่งตั้งหนังสือเล่มนี้เป็นพระมเหาได้ พระองค์คงทำอย่างไม่ลังเลเเน่พะย่ะค่ะ พระองค์ทรงดูมีความสุขเหลือเกิน"
"ฮ่าๆๆ ช่างคิดเสียจริงเจ้านี่ พูดเเล้วข้าก็อยากเจอคนเขียนหนังสือเล่มนี้สักครั้ง มันช่วยข้าได้มากจริงๆองค์ชาย"
"คุณหนูโฮเจ้าคะ! คุณหนูหายไปไหนมาเจ้าคะ ข้าตามหาเเทบเเย่"ชินนยอนผู้ที่เป็นอาจารย์สอนเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพระราชวังเเละราชวงศ์ให้โฮชินั้นวิ่งหน้าตาตื่นหาเจ้าตัวอย่างรีบร้อน
"โถ่คุณชิน ข้าเเค่ไปตลาดเท่านั้นเอง"
"คุณหนู"ชินนยอนผู้เป็นอาจารย์ทำหน้าเครียด
"เอาหน่าา มาเถิด ท่านจะสอนอะไรข้าอีกก็รีบสอนจะดีกว่า ข้าจะได้มีเวลาอ่านหนังสือ"โฮชิพูดพลางเดินไปหยิบจานวางไว้บนหัวเเล้วเดินช้าๆบนพรมอย่างคล่องเเคล่วโดยที่จานนั้นไม่มีการเอนเอียงท่าว่าจะหล่นลงมาเลย
"คุณหนูเรียนรู้เร็วเช่นนี้ ท่านอัครเสนาบดีต้องภูมิใจเเน่นอนเจ้าค่ะ"
"เหอะ ที่ข้ายอมทำก็เพราะท่านพ่อเลี้ยงข้ามาอย่างยากลำบาก ท่านก็รู้ว่าพ่อข้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ท่านต้องเลี้ยงข้าทั้งๆที่ตนเองก็ไม่มีจะกินอยู่เเล้ว จำตอนที่ท่านพ่อข้าไปสอบราชการทั้งๆที่เอาข้าไปเลี้ยงด้วยหรือไม่ ข้านอนเกาะหลังท่านพ่อขณะที่ท่านกำลังทำข้อสอบ ถึงจะเป็นการที่เลี้ยงข้าเพราะหวังผล เเต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นบุญคุณอยู่ดีมิใช่หรือ" โฮชิพูดพลางเดินช้าๆอย่างสง่างามเเละคิดว่าเขาภูมิใจที่ได้พ่อบุญธรรมอย่างมุนจุนก็จริง เเต่ก็มิได้เห็นด้วยกับการที่ใช้ตนเองเป็นเครื่องมือเช่นนี้ ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ข้าเนรคุณมิได้หรอก
"ฝ่าบาท ทรงบรรทมก่อนดีหรือไม่พะย่ะค่ะ นี่มันก็ดึกเเล้วนะพะย่ะค่ะ"ขันทีคนสนิทพูดขึ้น
"ถ้าเจ้าง่วงก็นอนไปก่อนสิ ข้าอยากอ่านให้จบ"ฝ่าบาทพูดพลางเปิดหนังสือเล่มโปรดอ่านอย่างใจเย็น
"ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ถ้าหากร่างกายพระองค์ทรุดจะทำอย่างไรพะย่ะค่ะ เชื่อกระหม่อมสักครั้งเถิด"
"เจ้า! พูดไม่รู้เรื่องเสียเเล้ว! ปิดปากเจ้าประเดี๋ยวนี้!"
"ฝ่าบาท..."ขันทีพูดอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงฝ่าบาทจะเป็นเเบบนี้ตั้งเเต่ได้หนังสือที่มีชื่อว่า 'ชินชิ' อยู่กลางหน้าปกมาอ่านจนสำราญใจ พระองค์ก็ทรงต้องพระทัยจนไม่หลับไม่นอนมานานเเล้ว
"ฝ่าบาท นางในฮยอนมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ"ขันทีหน้าห้องได้พูดขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต
"พวกขุนนางนั่นส่งเข้ามาอีกสินะ"ฝ่าบาทพูดกับตัวเองอย่างหัวเสีย
"จะให้นางเข้ามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ขันทีคนสนิทถามขึ้น
"เข้ามาได้"
ครืดด
ประตูเปิดออกพร้อมกับกลิ่นหอมของนางในหญิงที่ได้จากการขัดตัวที่เข้ามาตามสายลม ขันทีทั้งสองจึงเดินออกไปอย่างรู้งานพร้อมกัยปิดประตูให้ทั้งสองอยู่เพียงลำพัง
"เจ้าจะยืนค้ำหัวข้าอีกนานหรือไม่"ฝ่าบาทถามขึ้น
"ขอประทานอภัยเพคะ"นางในพูดเสียงเเผ่ว
"เจ้าชื่อฮยอนหรือ"
"เพคะ ฝ่าบาท"
"เจ้าเข้าวังมานานเเล้วหรือ"ฝ่าบาทถามขึ้นเเต่สายตายังคงจดจ้องลงไปที่หนังสือเช่นเดิม
"เพคะฝ่าบาท"นางในสาวตอบพลางลอบมองใบหน้าของคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือโดยที่ไม่สนใจตนสักนิด
"ข้าเชื่อว่าเจ้าก็คงรู้ว่าข้าไม่มองหญิงชายใดทั้งสิ้น เเล้วเจ้าจะนั่งมองหน้าข้าเช่นนี้ทั้งคืนหรือ"
"ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าพระองค์ทรงอนุญาต หม่อมฉันก็จะอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเพคะ"หญิงสาวพูดพลางเอาผ้าคลุมไหล่ออก เผยให้เห็นคอระหงส์ขาวสะอาดที่ผ่านการขัดมาอย่างโชกโชนให้คนตรงหน้าได้เห็น
"ข้ารู้ว่าเจ้าหนาว เจ้าไม่ต้องพยายามหรอก อย่างไรเสีย พวกขุนนางพวกนั้นคงไม่หวังอะไรอยู่เเล้ว อย่าฝืนตัวเองนักเลย"พูดจบเสียงสะอื้นของหญิงสาวตรงหน้าก็ดังขึ้น
"ฝ่าบาท..ฮึก..ขอประทานอภัยที่หม่อมฉัน..อึ้ก..ร่ำไห้ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้เพคะ"นางในสาวพูดขึ้นพลางปาดน้ำตาที่กลั้นมาตั้งเเต่ถูกบังคับให้เข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ถูกปลดปล่อยลงมาอย่างไม่ขาดสายด้วยความอัดอั้นเเละอึดอัดใจ
"พวกขุนนางนั่นถ้าหากจะโลภก็ควรจะโลภให้มันพอดีหน่อยมิใช่หรือ น่าโมโหจริงๆ นี่เจ้า"
"เพคะ..ฮึก..ฝ่าบาท"
"เจ้าเป็นเบต้าใช่หรือไม่"
"ใช่เเล้วเพคะ"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอวานอะไรเจ้าหน่อย"
"ขอทรงรับสั่งเถิดเพคะ"
"ช่วยหาคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ให้ข้าที"ฝ่าบาทพูดพลางยื่นหนังสือเล่มโปรดให้นางใน
"ชินชิ..หรือเพคะ"หญิงสาวพลิกหนังสือดูอย่างสงสัย
"อืม เจ้าทำได้หรือไม่ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม"
"ท่านเสนาบดี เป็นอย่างไรบ้างขอรับ"ผู้ที่ใส่ชุดประจำตำเเหน่งสีครามถามขึ้นอย่างร้อนใจ
"ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ"
"ล้มเหลวอีกใช่รึไม่"
"อืม"
"อืม...นี่ข้าหวังอะไรอยู่กัน"เจ้าของชุดสีครามพูดพลางทำสีหน้าเศร้าเพราะสิ่งที่พรรคของเขาพึงกระทำนั้นไม่สำเร็จสักที
"หรือนางในคนนั้นมันยังงามไม่พองั้นหรือ ฝ่าบาทถึงทรงไม่โปรดเอ็นดูนาง"
"ถึงเวลาที่จะต้องส่งกีเเซงไปเเล้วกระมังท่าน"
"ท่าน! ทำไมถึงพูดอะไรเช่นนั้นในวังกันเล่า!"
"เเล้วจะให้ข้าทำอย่างไร"
"รอให้อัครเสนาบดีมุนมาถึงก่อนดีหรือไม่"
"นี่มันก็สายเเล้วหนาท่านเดี๋ยวก็ต้องเข้าหารือเเล้ว ท่านมุนหายไปที่ใดกัน"เหล่าเสนาบดีพูดคุยกันในห้องประจำพรรคอย่างร้อนใจ
"พวกท่านร้อนใจเรื่องนางในเมื่อคืนหรือ"อัครเสนาบดีมุนจุนพูดขึ้นพลางเปิดประตูเข้ามาในห้องท่ามกลางเสียงคุยที่เหมือนจะร้อนใจกันน่าดู
"ใช่ขอรับ ข้าคิดว่าคราวนี้ต้องทรงไม่พอพระทัยอีกเป็นเเน่"
"เเล้วมันน่าเเปลกตรงไหนหรือ"
"....."คำตอบของมุนจุนทำเอาทุกคนเงียบเพราะไม่ว่าจะพยายามเฟ้นหาหญิงสาวที่กำลังลำบากเเละพร้อมที่จะเชื่อฟังพวกเขาตลอดเเละต้องพ่วงด้วยการที่หน้าต้องงดงามเเละน่าจับจองอีกนั้น มันช่างยากเหลือเกินจนอยากยอมเเพ้เสียให้รู้รอด
"ไปกันเถิด ใกล้ถึงเวลาหารือเเล้ว"มุนจุนลุกขึ้นเดินนำทุกคนไปในฐานะหัวหน้าพรรคเเละหัวหน้าราชสำนักตรงไปยังห้องโถงเพื่อเข้าร่วมการหารือ
"ข้าว่าคงไม่ต้องหารือเเล้วกระมัง"ฝ่าบาทพูดขึ้นหลังจากที่ไล่อ่านฎีกามากสักพักใหญ่
"พระองค์ทรงข้องใจอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"อัครเสนาบดีซองมินพูดขึ้น
"ก็ประชาชนของข้าดูมีความสุขกันดี มีกินมีใช้ ไม่มีปัญหาอะไรเลยอย่างไรเล่าท่านอัครเสนาบดี"
"นี่ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงงานหนักทั้งวันทั้งคืน เเม้จะถึงเวลาพลบค่ำ ฝ่าบาทก็ยังทรงจดจ่ออยู่กับราชกิจห่วงใยประชาชนพะย่ะค่ะ ประชาชนจึงอยู่กันอย่างมีความสุขไร้ปัญหาพ่ะย่ะค่ะ"อัครเสนาบดีมุนพูดขึ้นตามด้วยเหล่าขุนนางพูดตามเพื่อยกยอกษัตริย์
"ประชาชนจึงอยู่กันอย่างมีความสุขไร้ปัญหางั้นหรือ! พวกเจ้าล้อข้าเล่นหรืออย่างไร! เเม้เเต่ฎีกาพวกนี้พวกเจ้าก็ยังไม่เว้นงั้นหรือ!"ฝ่าบาทเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่โมโหเต็มทน พลางทุบโต๊ะซ้ำๆเพื่อระบายอารมณ์จนมือนั้นเเดงช้ำไปหมด
"ขอทรงเย็นพระทัยก่อนพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กล่าวเมื่อครู่นี้สักเท่าไหร่พะย่ะค่ะ"เจ้ากรมอาญาพูดขึ้น
"พวกท่านหูหนวกกันหรืออย่างไร!! พวกเจ้าจะจำทำเเบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ เเม้ฎีการายงานต่างๆพวกเจ้าก็เก็บมันไว้กับตัว คิดว่าข้าดูไม่ออกหรืออย่างไรว่าฎีกาพวกนี้พวกเจ้าเป็นคนเลือกมา พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไร!! อยากหัวขาดกันหรืออย่างไร!!"ฝ่าบาทพูดเอ่ยเสียงก้องห้องโถงใหญ่ท่ามกลางเสียงเงียบสงัดของเหล่าขุนนางที่มีความโลภไม่มีที่สิ้นสุด
"ถ้าพวกเจ้าเงียบเช่นนี้ คงจะสื่อให้ข้าลงไปเยี่ยมเยือนประชาชนเองสินะ ก็ดี! ความจริงจะได้กระจ่างก่อนที่ข้าจะสั่งลงโทษประหารเปลี่ยนกรมปกครองราชสำนักยกชุด"
"ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะลงไปเยี่ยมเยือนประชาชนกับพระองค์พะย่ะค่ะ"อัครเสนาบดีมุนจุนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบที่เงียบจนน่าชนลุก
"เเล้วเเต่ใจของท่านเถิดอัครเสนาบดีมุน"ฝ่าบาทเอ่ยขึ้น
"เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พะย่ะค่ะ"
ตึง!!
"มีฎีกาที่บอกให้ข้าหาพระมเหสีเยอะเสียจริง ท่านรีบกันหรืออย่างไร ข้าพอใจที่จะอยู่คนเดียวเช่นนี้"ฝ่าบาทพูดขึ้นพลางปิดฎีกาเเล้ววางลงโต๊ะอย่างเเรงจนคนที่ได้ฟังนั้นสะดุ้งไปตามๆกัน
"ขอทรงประทานอภัยพะย่ะค่ะ เเต่โชซ็อนนั้นยังคงต้องการองค์รัชทายาทที่ต้องสืบบัลลังก์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์พะย่ะค่ะ เพื่อความมั่นคงของประเทศนี้ ขอทรงตระหนักถึงข้อนี้ด้วยพะย่ะค่ะ"เมื่ออัครเสนาบดีซองมินพูดจบก็มีเสียงย้ำเตือนพร้อมกันอีกครั้ง
"เพื่อความมั่นคงของประเทศนี้งั้นหรือ...ข้าว่าเพื่อความมั่นคงทางทรัพย์สินส่วนตัวของพวกท่านมากกว่ากระมัง!"ฝ่าบาทเอ่ยพูดอย่างโมโหพร้อมกับโยนฎีกาลงโต๊ะอีกครั้ง
"ขอทรงตัดสินพระทัยอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพะย่ะค่ะ"เหล่าขุนนางพูดพร้อมเพรียงกันจึงทำให้เเรงกดดันของทั้งสองพรรคนั้นหนักขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ นี่น่ะหรือการเมือง มันช่างน่าเศร้านัก
"คยอมมา เจ้าไปสืบหาฎีกาที่เจ้าพวกนั้นเก็บไว้ให้เร็วที่สุดเเละเป็นความลับ มันถึงเวลาที่ข้าต้องสะสางกับเจ้าพวกนี้บ้างเเล้ว"ฝ่าบาทเอ่ยสั่งทันทีที่ได้อยู่กับทหารส่วนพระองค์ตามลำพังด้วยสีหน้าที่มุ่งมันที่จะลบล้างอำนาจของพรรคการเมืองที่เน่าเฟะ โกงกินทุจริตกันต่อไปเถิด อย่างไรเสีย ข้าก็จะจับพวกเจ้ามาลงโทษกันให้จงได้
คุณหนูลี ซูกวาน หลานสาวอัครเสนาบดีลี ซองมิน (เบต้า)
Gyuking องค์ราชาสามราษฎร์
*นิยายเรื่องนี้ไม่มีข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนเเต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน*
เเหะ ขอบคุณที่รอกันนะคะ เพิ่งปิดเทอมได้สักพักเลยมีเวลานิดหน่อย จะมาอัพเรื่อยๆนะคะฉวิ้ง*^*
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments