ตำนานรักธิดาสายฟ้า
เซิ่งหนี่ว์ที่ควรจะกลับไปพร้อมสองสาวใช้
กลับยังติดตามหนานเฟิ่งหวงมาอย่างไม่ยอมเลิกรา
เลยทำให้การเดินครั้งนี้ของโจจื่อเสียนสนุกขึ้นอีกมากโข
การจะไปยังดินแดนเก้าอสูร
ต้องข้ามผ่านประตูมิติในป่าเดือนดับ
ซึ่งหากเป็นผู้ฝึกตนมนุษย์ธรรมดาไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้
ก็เหมือนกับที่อสูรอีกฟากฝั่งหนึ่งข้ามมาไม่ได้เช่นกัน
สมัยก่อนบรรพกาล
หลังจากมหาเทพเทียนหลงถือกำเนิด ทุกสรรพสิ่งก็ได้ถือกำเนิดตามมา ไม่ว่าจะเป็น พืช
สัตว์ อสูร ปีศาจ มนุษย์ และ เทพ และเหนือจากสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป
คือวัฏจักรสงสาร
เพื่อความสมดุลของทุกสรรพสิ่ง
แต่ละดินแดนจะมีม่านมิติกางกัน โดยมีบุตรของผู้สร้างคอยดูแล
ประตูมิติจึงถูกปิดสนิทด้วยค่ายกล
นอกเสียจากผู้ที่มีพลังทัดเทียมกับมหาเทพอย่างเทพอสูรบรรพกาลเทียนจวิน
ที่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เมื่อร่างกายเป็นอมตะ
ต่อให้ถูกค่ายกลข้ามมิติของมหาเทพเทียนหลงทำลาย ก็ยังสามารถสร้างร่างกายกลับมาได้ใหม่อยู่ดี
นั่นจึงทำให้เทียนจวินเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเทพอย่างสบายใจ
ไม่นานทั้งห้าก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตของป่า
ซึ่งป่าเดือนดับในดินแดนมนุษย์แห่งนี้ แท้จริงแล้วก็ซ่อนประตูมิติเอาไว้มากมาย
รวมถึงค่ายกลที่กักขังเทพอสูรเทียนจวิน เรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตรอยต่อของมิติก็ว่าได้
"ว่ากันว่า ดินแดนเก้าอสูรอันตรายมาก
ศิษย์พี่เฟิ่งจะพาแม่นางโจไปด้วยจริงหรือเจ้าคะ
หนี่ว์เอ๋อกลัวว่าแม่นางโจจะเป็นอันตราย"
วาจาแสดงความห่วงใยของเซิ่งหนี่ว์
ทำให้โจจื่อเสียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา หญิงงามนางนี้เจตนายืนเบียดร่างตนเองเข้าหาร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างเห็นได้ชัด
หึหึ ที่แท้ก็อยากทำเหมือนข้า
ฝันไปเถิด!
"ข้าต้องขอบคุณแม่นางเซิ่งที่ห่วงใย
แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะข้ามีสามีคอยดูแลอยู่แล้ว
พี่เฟิ่งย่อมไม่มีทางปล่อยให้ภรรยาเป็นอันตรายแน่นอน แต่..
เอ...เจ้าติดตามพวกเราสองผัวเมียไปเช่นนี้ แล้วจะมีผู้ใดปกป้องกัน แม่นางเซิ่ง ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปเลย มันอันตรายมากนะ"
โจจื่อเสียนแสร้งทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเกินจริง จนเกือบจะทำให้ซือซานและจูจูที่ยืนอยู่ด้านหลังหลุดหัวเราะออกมา
ส่วนหนานเฟิ่งหวง นอกจากคำพูดของโจจื่อเสียนแล้ว
คำพูดของหญิงอื่นก็เหมือนจะไม่ได้ยิน
"ข้าดูแลตัวเองได้!" เซิ่งหนี่ว์ที่ถูกสวนกลับต้องกัดฟันตอบออกไปด้วยความยากลำบาก
ใจอยากจะพุ่งไปฉีกเนื้อโจจื่อเสียนออกเป็นชิ้นๆ
ในส่วนลึกด้านทิศตะวันออกของป่าเดือนดับ
กลางหุบเหวที่ถูกซ่อน หนานเฟิ่งหวงใช้เสี้ยวพลังของมหาเทพเทียนหลง
เพื่อเปิดช่องว่างของค่ายกล แล้วพาทุกคนข้ามมิติไป
ดินแดนเก้าอสูร
กลิ่นอายประหลาดของทั้งห้าที่โผล่เข้ามาในดินแดน
ได้ชักพาอสูรมากมายมุ่งหน้ามาทางพวกเขา อสูรชั้นต่ำนับพัน เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ไม่นานทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อม
โฮกกกกกกกก
ซือซานคืนร่างเป็นมังกรขาว
ลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้า พร้อมเสียงคำรามลั่น
พริบตาเดียวอสูรชั้นต่ำเหล่านั้นก็หนีหายไปเกือบหมด
เหลือเพียงอสูรชั้นกลางที่มีเผ่าพันธุ์เฉพาะและมีนาย
เมื่อกลับถึงดินแดนเกิด
เทียนจวินรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ใบหน้าถึงกับประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
หวนคิดไปถึงอดีตยามที่ตนถือกำเนิด
เทพอสูรบรรพกาลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถือกำเนิดมาได้อย่างไร
บ้างก็ว่าเกิดจากก้อนหินบ้างล่ะ กอไผ่บ้างล่ะ แต่ที่แน่ๆ
คือตัวเขาเกิดมาก็มีร่างอมตะแล้ว
แม้แต่อสูรราชันทั้งเก้า
ยังมิกล้าต่อกรกับเทพอสูรจอมป่วนผู้นี้ เพราะหากผู้ใดเผลอไปเป็นศัตรู
มีหวังทั้งชีวิตคงหาความสงบไม่ได้
โจจื่อเสียนจับมือบุรุษข้างกายด้วยความเคยชิน
ใบหน้างามหันไปเอ่ยด้วยท่าทางล้อเลียน "พี่เฟิ่ง
ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องตามหาผลึกก็ได้
อยู่ใกล้ข้าเดี๋ยวท่านก็รู้มีอารมณ์ความรู้สึกเองแหละ"
หนานเฟิ่งหวงหันมาสบตาก่อนจะสอดนิ้วมือเข้าไปประสานกันเอาไว้
มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังจะยิ้ม "เรื่องนั้นข้าจำเป็นต้องทำ"
"อืม ช่างเถิด
น้องจะถือว่าได้ไปเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน"
เซิ่งหนี่ว์ที่ยืนอย่างไร้ตัวตนมานานอดรนทนไม่ไหว
ต้องรีบเอ่ยขัดคนทั้งสอง "ศิษย์พี่เฟิ่ง พวกเราไม่ควรมาเสียเวลาตรงนี้กระมังเจ้าคะ"
แม้ผลึกทั้งสองจะนำพาหนานเฟิ่งหวงมาที่นี่
แต่เรื่องที่อสูรตนใดเป็นผู้เก็บผลึกชิ้นที่สามนั้น คงต้องใช้เวลาตามหา
ยิ่งหากว่าอยู่กับอสูรที่มีทักษะซ่อนวิญาณด้วยแล้ว ก็จะยิ่งยุ่งยาก
และนั่นคือเหตุผลที่หนานเฟิ่งหวงปล่อยให้เซิ่งหนี่ว์ตามมา
เพราะต้องการใช้แสงตะเกียงที่ไม่มีวันดับส่องหามัน
ซึ่งผลึกทั้งเจ็ดก็ไม่ต่างจากร่างของโจจื่อเสียน
ล้วนเป็นสิ่งที่แม้แต่บุตรแห่งผู้สร้างอย่างเทียนหลงยังมิอาจมองเห็น ไม่อย่างนั้น
คงไม่ต้องแยกดวงจิตลงมาจุติเพื่อตามหามัน
อสูรราชันทั้งเก้าต่างได้รับข่าวของกลุ่มมนุษย์ที่เข้ามาในดินแดนอย่างรวดเร็ว
ทุกเมืองพากันส่งอสูรระดับสูงออกไปสืบข่าว
เงาห้าร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมุ่งออกมาจากป่าที่มีลักษณะคล้ายกับป่าเดือนดับไม่ผิดเพี้ยน
กลิ่นอายของสัตว์เทพทำให้อสูรระดับต่ำไม่กล้าที่จะเข้าใกล้พวกเขา
เมื่อออกมาพ้นชายป่า
กลุ่มของฟ้าผ่าสังเกตหวงก็พบกับอสูรร่างใหญ่โตห้าตนกำลังรอพวกเขาอยู่
"ดินแดนแห่งนี้
หาใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเล่น!"
น้ำเสียงเย็นชาที่มาพร้อมกับแรงกดดัน
ทำให้ทั้งห้าต้องหยุดชะงักลง ซือซานและจูจูสาวเท้าขึ้นมายืนเบื้องหน้าเจ้านาย
ก่อนจะค้อมกายเล็กน้อยเพื่อเป็นการคารวะ "พวกเราแค่ต้องการมาเอาของบางอย่าง
เสร็จแล้วก็จากจากไปทันที ขอให้โฉ่วเหมินช่วยเปิดทางด้วย"
"จะกลับไป! หรือจะตายที่นี่!"
อสูรเฝ้าประตูทั้งห้า ไม่เพียงไม่ฟัง
แต่ทั้งร่างยังปรากฏไอสังหารเข้มข้น
ซือซานรู้ว่าการเปิดฉากต่อสู้กับอสูรเหล่านี้หาใช่เรื่องดี
หากต้องปกป้องเพียงผู้เป็นนายคนเดียว
มังกรขาวคงพอที่จะหาทางพาอีกฝ่ายหลบหลีกผ่านเข้าไปได้ แต่นี่กลับต้องปกป้องถึงสี่
มิหนำซ้ำหนานเฟิ่งหวงยังมิอาจเรียกพลังของมหาเทพมาใช้ได้
เพราะการตามหาผลึกถือเป็นความลับของมหาเทพเทียนหลง
จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเจอกับผู้ที่เก็บรักษาผลึกเซียนบรรพกาลเอาไว้เท่านั้น
อสูรเฝ้าประตู หรือโฉ่วเหมินทั้งห้านี้
เป็นอสูรที่ถือกำเนิดมาเป็นพิเศษ นอกจากประตูมิติจะมีค่ายกลป้องกันแล้ว แต่ละดินแดนยังมีโฉ่วเหมินที่คอยเฝ้าอยู่
พลังของผู้เฝ้าประตูเหล่านี้ค่อนข้างจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ซึ่งหากเกิดปะทะกันขึ้นมาจริงๆ
แม้แต่สังเกตซานเองยังไม่แน่ว่าจะชนะพวกเขาได้ บรรยากาศเริ่มเย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ
ฟิ้วววววว
ไม่รอให้ซือซานได้ทันตั้งตัว
การจู่โจมของสายลมก็พุ่งเข้ามาหาทั้งกลุ่มอย่างรวดเร็ว
ร่างของมังกรขาวปรากฏขึ้นแทบจะทันทีแต่ก็ยังช้าเกินไปที่จะพาทุกคนหลบการโจมตี
จึงทำได้แต่ขดตัวเป็นวงกลม ป้องกันคนทั้งสี่เอาไว้
ซึบ ๆ ๆ
เกล็ดมังกรถึงกับมีเลือดซึม
"ข้าจะเตือนอีกครั้ง! กลับไป!!"
โจจื่อเสียนหน้านิ่วหน้ามองฟ้าผ่าสังเกตเหมินทั้งห้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อน
เจ้าเทพอสูรเหล่านี้คือที่รองมือรองเท้าของเทียนจวินดีๆ นี่เอง
เวลาที่เจ้าตัวเบื่อหน่ายก็มักมาหาเรื่องทุบตีเหล่าโฉ่วเหมินของแต่ละมิติ
จนบรรดาผู้เฝ้าประตูไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเทพอสูรที่เป็นอมตะอย่างเทียนจวินอีกเลย
ร่างบอบบางในชุดสีฟ้า
กะพริบหนึ่งทีก็ขึ้นมายืนเท้าสะเอวอยู่บนลำตัวของมังกรขาว ถลึงตามองโฉ่วเหมินทั้งห้า
"พวกเราเข้าไปไม่นาน!
ไม่ได้คิดจะไปทำลายความสมดุลในดินแดนเสียหน่อย แต่ถึงอยากจะทำก็ใช่ว่าพวกเราจะทำได้
พวกเจ้าก็แค่เปิดทางให้ มันยากเย็นตรงไหนกันเล่า!!"
หนานเฟิ่งหวงรีบตามขึ้นมายืนเคียงข้าง
เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย
ส่วนจูจูก็กลายร่างเป็นมังกรวารีตัวอ้วนลอยวนอยู่เหนือท้องฟ้า
เหลือเพียงเซิ่งหนี่ว์ที่ยังยืนอยู่ในวงล้อมของร่างมังกรขาว
"กลับไป!!"
"เฮอะ! ไอ้ลูกเต่า! กล้าดียังไงมาตวาดข้า! คอยดูท่านย่าผู้นี้จะทุบตีเจ้าให้บิดาจำหน้าไม่ได้เลย!!!"
ครื่น ๆ วูมมมมมม
เมื่อร่างทั้งร่างของโจจื่อเสียนมีประกายสายฟ้า ร่างของหนานเฟิ่งหวงที่อยู่ข้างกาย ก็ปรากฏลูกไฟสีทองขึ้นมาลอยวนไปรอบๆ
ซือซานนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
นี่เขาลืมไปได้อย่างไร ว่าอารมณ์ของคุณหนูโจมักเอาแน่เอานอนไม่ได้
สงสัยว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงมิอาจหลีกเลี่ยง
เปรี้ยง !
ร่างบอบบางกะพริบหายไป พร้อมกับเสียงฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่น
"มนุษย์โง่งม! พวกเจ้าช่างกล้านัก!
งั้นก็จงทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน!"
แผ่นหลังของโฉ่วเหมินทั้งห้า
เริ่มมีปีกขนาดยักษ์งอกออกมาพร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว
ร่างใหญ่โตกลายเป็นพายุหมุนลูกใหญ่
ความบ้าบิ่นของโจจื่อเสียน
ทำเอาซือซานปวดหัวไม่น้อย ร่างของมังกรขาวพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ลอยวนเป็นวงกลมพร้อมกับมังกรวารีที่ขนาดตัวเล็กกว่าเกือบครึ่ง
เกล็ดของทั้งสองส่องประกายระยิบระยับ
ส่วนหนานเฟิ่งหวง
ร่างทั้งร่างดูราวกับลูกไฟ ที่กำลังพุ่งทะยานตามโจจื่อเสียนไปติด ๆ
การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตสตรีที่อยู่เบื้องหลัง
กลิ่นอายเทพเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
เงาร่างของสตรีที่งดงามเหนือสามัญค่อยๆ
ปรากฏกายขึ้นช้าๆ แทนที่ร่างระหงของหญิงงามชุดขาว
ดวงตาคู่งามมองตรงไปยังเบื้องหน้า
แต่หาใช่มองไปยังเทพอสูรทั้งห้าไม่ กลับมองแผ่นหลังของโจจื่อเสียนด้วยสายตาอาฆาต
ถึงจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าพิการไปตลอดชีวิต!
เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ที่พึ่งรวมดวงจิตเข้ากับร่างเดิม
เรียกตะเกียงอมตะออกมาไว้บนฝ่ามือ ก่อนที่ทั้งร่างจะกะพริบหายไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
(alove)😶😳
ดีคะ
2021-03-07
0