"ฝันไม่เอาอ้ะ..แล้วพี่ก็กลับไปได้แล้วค่ะการแสดงละครของพี่ไม่เนียนจนตบตาฝันได้หรอก"
"เราพูดจริงๆนะไม่แสดงด้วยขนาดตอนม.ปลายในวิชาการแสดงเราได้0ลบเลยล่ะ.."พอเรายืนยันเสียงหนักแน่นน้องก็ย่นจมูกใส่กันทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อ
เราจึงหลับตาลงก่อนจะถอนลมหายใจพรืดใหญ่เนื่องจากตอนนี้รู้สึกเครียดๆขึ้นมาแต่ก็ระงับเอาไว้เพราะคำว่าผู้ใหญ่กว่ามันค่ำคอตัวเองอยู่
ไม่งั้นนะ..คนตรงหน้าได้เจอแดกหัวแน่ๆฐานเป็นคนมองโลกในแง่ละครไทยหลังสองทุ่มมากไป ทั้งๆที่ที่ผ่านมาเราได้แสดงความจริงใจออกมาเพื่อหวังว่าเจ้าตัวจะเข้าใจและยอมรับความปรารถนาดีของเราที่ต้องการจะให้ความช่วยเหลือแก่น้องโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
ให้โดยที่เจ้าตัวจะหักหลังเราเหมือนอย่างที่ภัคได้เคยทำก็ไม่คิดที่จะโกรธแค้น
"ไม่ต้องมาเล่า..ฝันไม่สงสาน"
"เราไม่เคยโกรธที่ตัวตั้งท้องกับสามีเราหรอกเพราะมันไม่ได้แต่งกันด้วยความรักเลยตั้งแรกในระหว่างที่อยู่ด้วยกันภัคไม่เล่าเกี่ยวกับเราให้ตัวได้ฟังเลยเหรอ? "
นั่นสิถ้าตามสเต็ปสามีแสนดีของเราแล้ว..พ่อเจ้าประคุณจะต้องใส่ร้ายป้ายสีเราให้คนสวยตรงหน้าฟังไม่มากก็น้อยบ้างแหละซึ่งเราเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับเราบ้าง
"ก็เล่านะคะ"น้องทำหน้านึกทบทวนความหลังระหว่างนั้นเราจึงเหลือบตามองใบหน้าสวยที่ไร้เครื่องสำอางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่เป็นคนที่สวยตลอดเวลาจริงๆ
สวยยังกับนางในวรรณคดี
แถมกลิ่นตัวยังหอมดอกมะลิเย็นๆ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าจากการนั่งทำงานนั่งประชุมทั้งวันได้เป็นอย่างดี…
"บอกว่าพี่น่ะไม่เคยแยแสเค้าเลยแต่แต่งกันมาไม่เคยนอนกันเลยวันเข้าหอยังหนีไปนอนกับผู้ชายอื่น.."
"ใช่"
"......"
"แล้วลงรายละเอียดหรือเปล่าว่าผู้ชายคนนั้นคือหมาที่วัดม้าขาวน่ะ....."
“ไม่ค่ะ”
"เราหนีไปนอนกับหมาที่วัดจริงเพราะเราไม่ได้รักในตัวภัคเลยแค่อยู่จนจบพิธีแต่งงานยันส่งตัวเข้าหอก็เสียสละแค่ไหนแล้ว”
"แล้วทำไมต้องแต่งงานกันด้วยล่ะคะ? จะว่าคลุมถุงชนก็ไม่น่าใช่เพราะดูพี่ลินดูมีความเป็นตัวเองสูงมากไม่น่าจะให้ใครครอบงำได้ง่ายๆเลย"
เก่งจังไม่ทันไรน้องก็อ่านตัวตนเราขาดเลยถ้าทำได้อยากจะหอมแก้มให้รางวัลสักทีแต่ทว่าต้องหักใจเล่าเรื่องอดีตที่ไม่อยากจำให้น้องฟังเพื่อคลายข้อสงสัย
"มันคือคำขอของอาม่าเราน่ะ..คำขอตอนวันสุดท้ายของท่าน"
"...."
"อาม่าคือโลกของเราทั้งใบแถมที่ผ่านท่านไม่เคยขออะไรจากเราเลยพอก่อนจะตายไม่ว่าอาม่าจะขออะไรเป็นครั้งสุดท้าย..เราไม่มีทางปฏิเสธได้แน่นอนเพราะมันเป็นครั้งสุดท้ายของท่าน”
ใช่แล้วล่ะทุกอย่าง..ทุกอย่างโดยไร้ข้อแม้ใดๆ แม้จะขัดใจเราขนาดไหนก็ตาม
พอเล่ามาถึงตอนนี้เราเลยนึกถึงก่อนวันเราแต่งกับภัคสามีเก่าของเราที่คบกันมาแต่เด็กๆเนื่องเพราะด้วยแม่เราทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบานสมัยฝึกโรงเรียนนายร้อยด้วยกัน
วันนั้นเป็นวันก่อนวาเลนไทน์ได้หนึ่งวันบรรยากาศในตอนค่ำมีหิมะตกหนักมากจนรถราติดขัดไปหมดผู้คนต่างพากันกางร่มไม่ก็ใส่ชุดกันหนาวพยายามวิ่งข้ามทางม้าลายบ้างก็เลือกซื้อดอกไม้ไปฉลองเทศกาลแห่งความรัก
เราเองก็กำลังตั้งอกตั้งใจเลือกซื้อของฝากเพื่อที่จะไปเยี่ยมอาม่าที่โรงพยาบาลและใช้เวลาวันหยุดแสนสุขกับท่านสองยายหลายและปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆเพราะเจ๊ผักกาดกับเฮียพากันบินมาจากไทยเพื่อมาร่วมฉลองด้วย
มันต้องมีความสุขที่สุดจนกระทั้งเสียงสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มันได้แผ่ดร้องดังขึ้นโชว์เบอร์ของพี่ชายคนกลางมันทำให้เราใจคอไม่ค่อยดีอย่างบอกไม่ถูก
‘ฮัลโหลลิน..ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว!’
‘อยู่ตลาดค่ะมีอะไรเหรอเปล่าเฮีย’
‘รีบมาโรงบาลตอนนี้เร็วม่าหกล้มเข้าโรงบาล..เฮียพึ่งรู้ว่าม่าป่วยเป็นโรคมะเร็งมดลูกระยะสุดท้าย’
โลกเราตอนนั้นเหมือนพลันเปลี่ยนสีไปเลยจากหน้ามือเป็นหลังมือทั้งตกใจและตกตะลึงปนผิดหวังว่าเป็นเพราะอะไรทำไมอาม่าถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญแบบนี้ให้ลูกหลานรู้เลยทำไมจะต้องปิดบังกันด้วย
จำได้ว่าเรารีบขับรถไปที่โรงบาลจนเกือบหวีดชนท้ายรถสิบล้อไม่ต่ำกว่าสามสี่คันแล้วพอไปถึงก็เผชิญกับภาพที่ตัวเองภาวนาว่าขอให้ฝันที..อาม่ากำลังนอนบนเตียงที่มีเครื่องมือช่วยหายใจเยอะแยะเต็มไปหมดเครื่องช่วยหายใจเต้นติ๊ดๆ
..จังหวะค่อยๆช้าลง
ช้าเหมือนลมหายใจของม่าที่กำลังแผ่วลงแผ่วลงเรื่อยๆดวงตาที่ทอดเราอย่างอ่อนโยนใจดีอยู่เสมอแต่มาบัดนี้มันดูอ่อนเเสงริบรี่ราวดาวจะร่วงจากฟ้าดับไป….
'ม่า!!ม่าอย่าเป็นอะไรนะ..ฮือ..ลินมาแล้วม่า-ม่าอย่าทิ้งลินไปนะ'
'ละ..ลินของม่า'ม่ามองมาทางเราแล้วพยายามจะยิ้มเพื่อให้เรารับรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นอะไรมาก..เหมือนทุกครั้งที่ฝืนบอกว่าแข็งแรงแต่ในความเป็นอาม่าทรมานจากสารพัดโรคที่รุมเร้า
'ลินแต่งงานกับภัคได้ไหมลูก'
'...’
'ถือเป็นคำขอของม่านะลูก-แต่งงานมีฝั่งมีฝาซ่ะเฒ่าแก่ไปจะได้มีคนดูแล'
'แล้วม่าไม่อยากดูแลลินอีกแล้วเหรอคะไม่เอาสิม่า..ม่าตายแล้วลินจะอยู่ยังไงอ้ะ..ลินอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีม่านะคะ’
เราทรุดเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญไม่ต่างจากเด็กที่ตีโพยตีพายไม่ยอมให้อาม่าทิ้งไปแต่ว่าก็ทำไรไม่ได้อยู่ดีเพราะวันสุดท้ายของม่ามาถึงแล้ว
'เด็กโง่..'ฝ่ามือที่ขาวซีดของอาม่าวางลงบนหัวเรา'แล้วตกลงจะแต่งงานกับภัคเขาไหม..?'
'อื้มถ้ามันเป็นความต้องการของ่ม่าไม่ว่าอะไรลินให้หมดแหละ'
เรารีบพยักตกลงแบบแทบทันทีซึ่งภัคก็ได้ยินเพราะเขายืนอยู่ตรงข้างหลังเราพร้อมคนในครอบครัวเราทั้งหมดและอาม่าคงน่าจะพูดเรื่องสั่งเสียเรื่องมรดกหมดแล้ว
'ดีมาก..คนดีของม่าตอนนี้ม่าหมดห่วงแล้วล่ะไอ้หนูภัคเอ้ยอั่วฝากอาลินให้ลื้อดูแลแทนด้วยนะ'
นั่นคือถ้อยคำสุดท้ายจากอาม่าก่อนทุกอย่างจะหยุดนิ่งไป
อาม่าได้จากเราไปแล้ว…
หลังจากนั้นเราก็จมอยู่กับความซึมเศร้าเอาแต่ขังตัวเองร้องไห้ในห้องเพราะไม่สามารถยอมรับความจริงว่าอาม่าไม่ได้มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้เพื่อที่จะคอยกอดเราอีกแล้ว
แต่ทว่าไม่ได้อยู่เสียใจพอถึงอาทิตย์ดีนักเพราะหลังจากเผาอาม่าได้เพียงเจ็ดวันทางฝั่งพ่อแม่ของภัคก็ดำเนินการยกขันหมากมาสู่ขอเรา
แล้วจัดพิธีสมรสอย่างเอิกเกริกตามประสาคนรวยอยากอวดที่โรงแรมเครือบริษัทเราในตอนนั้นได้เห็นว่าแม่ของภัคที่กระหยิ่มยิ้มย่องที่ลูกชายจะได้แต่งเป็นทองแผ่นเดียวกับทายาทคนสุดท้องผู้สืบทอดกิจการ50%ของครอบครัวอย่างเรา
มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ขยะแขยงสิ้นดี
แต่ก็นะกลิ่นเงินกลิ่นทองมันหอมฟุ้งจรุงใจอยู่แล้วเราต่างรู้ดีว่าภัคไม่ได้รักอะไรเรามากมายนักเพราะสิ่งที่เขาลุ่มหลงมันคือเงินทองคือสิ่งที่จะได้รับอย่างชอบธรรมเมื่อจดทะเบียนสมรสกับเรา
ในวันแต่งงานก็จดจำรายละเอียดไม่ได้เลยนอกจากเจอลากไปแต่งหน้าครึ่งวันชนิดถ้าหากจบงานเอาช้อนมาขูดรองพื้นที่หน้าเราไปนะคงสามารถทำถนนลาดยางได้
ส่วนในงานมีแขกมาร่วมงานเป็นคนชั้นสูงในวงสังคมไฮโซรวมไปถึงคนในวงการบันเทิงอย่างคับคั่ง
...บางคนเรายังไม่รู้เลยว่าเป็นใครบ้าง
เป็นญาติฝ่ายไหนหรือเป็นพวกพลพรรคไฮโซผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินของคุณหญิงแข
กำหนดงานคือแต่งเช้าแล้วก็ฉลองตอนค่ำจากนั้นก็จดทะเบียนสมรสทันทีซึ่งเราในตอนนั้นคิดว่ามันก็เป็นแค่กระดาษเปล่าๆใบนึงไม่ได้มีค่าสลักสำคัญอะไรเพราะมีใบนี้ได้มันก็ไม่การันตรีอะไรว่าเราจะอยู่กับภัคอย่างมีความสุขเลย
งานแต่งงานตามคำขอของอาม่าครั้งสุดท้าย..เป็นการทำหน้าที่ลูกที่ดีเท่านั้นและการจดทะเบียนสมรสของสามีที่เคยเป็นเพียงไม้กันหมาที่เราคบเอาไว้เพื่อไม่อยากมีใครมาวุนวาย
ส่วนเรื่องของการเข้าหอ..เราจำได้ดีว่ามันรู้สึกโล่งอกโล่งใจขนาดไหนเพราะมันทำให้เราได้กระชากหน้ากากใบหน้ายิ้มแย้มจนปวดแก้มออกเขวี้ยงทิ้งซักที! …
พอแยกเข้าห้องหอปุ๊บเราก็ปาพวกชุดเครื่องเพชรหนาหนักออกลงบนเตียงก่อนจะเปลี่ยนมาใส่รองเท้าหูหนีบธรรมดาที่พกมาจากไทยพร้อมคว้ากุจแจรถปอเช่ขับออกไปจากโรงแรมทันที
โดยก่อนไปก็ไม่วายเจอการขัดขวางอย่างไม่ยินยอมของภัคที่ตีหน้ายักษ์ขวางหน้าห้องแถมยังจับกล้าดีมาจับแขนเราเอาไว้แน่นจนเราเจ็บไปหมด
'เฮ้!!! ลินนั่นคุณจะไปไหน'
'ไปนอนที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี้'
'แต่นี้คือวันแต่งงานของเรานะแล้วคุณก็เป็นเมียผมแล้วคุณจะทำแบบนี้เพื่อหักหน้าผมไม่ได้นะลิน!!'
'ภัค..ถอยไปเราจะออก'
'ไม่-ยังไงผมก็ไม่ยอม'
เรามองเขาด้วยสายตาขยะแขยงหลังสายตาเหลือบไปเห็นถุงยางkyของเขาในมือข้างขวา..หากเดาไม่ผิดคงจะมุ่งหวังมีอะไรกับเราในค่ำคืนนี้แต่เมิณเสียเถอะเเค่เป็นภรรยาในนามก็เต็มกลืนเกินพอแล้ว
'นี้คุณจะข่มขืนใช่มั้ยถ้าหากเราไม่ยอม'
'ถ้ามันจำเป็นผมก็ต้องทำ'
'ภัคดูละครไทยมากไปหรือเปล่า? '
'......'
'เราไม่ใช่นางเอกขาดไอโอดีนนะที่เจอข่มขืนใจแล้วจะไม่แจ้งความเอาเรื่องน่ะ-รีบถอยและถ้ามีสมองคิดสักนิดก็หุบปากเรื่องเราไปด้วยนะเพราะภัคพูดตัวภัคเองก็ต้องเดือดร้อน'
'ลิน!! นี่มันจะมากไปแล้วนะ'
ในจังหวะที่ภัคจะเงื้อมือของเขายกขึ้นหมายจะตบตีเราให้ตายในคราวเดียว
ฝั่งเราก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรนอกจากเข้าไปจับใบหน้าเขาแล้วตบแก้มสากเบาๆและแย้มยิ้มหวานท้าทายส่งสายตาสื่อความนัยว่าเอาสิตบสิเอาเลยคิดจะทำอย่าง้างเพราะเราไม่กลัวถ้าตบมาก็ต่อยสวนกลับ
…คนไร้น้ำยาขนาดนี้มีอะไรให้น่ากลัวกัน
"ภัคคะ..คิดให้ดีๆนะตบทีนึงเท่ากับบริษัทของแม่คุณจะจบลงเลยนะเราเชื่อว่าคุณจะฉลาดพอที่จะวางมือลงซ่ะ"
"ลินขู่ภัคแบบนี้คิดว่ากลัวเหรอ"
"มาลองดูดีไหมล่ะคะ”
"...."นี่ล่ะประโยชน์ของการเอาอำนาจมาใช้ให้ถูกที่ถูกทางอันที่จริงเราจะไม่แต่งกับเขาเลยก็ได้แต่มันคือคำขอของอาม่า
และหน้าที่การเป็นหลานสาวที่ดีของเรามันก็ได้จบลงคืนนี้แล้ว-
นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรมหไหนก็อย่าคิดว่าจะบงการเหนือเราทั้งนั้นแหละ
"แล้วเราจะได้เห็นดีกันลิน"
ภัคกัดฟันขบกรามแล้วจ้องตาเขม็งก่อนจะวางมือลงแล้วให้เราเดินกระแทกไหล่เขาออกไปอย่างง่ายดายเพียงแค่นี้ก็ตัดสินได้แล้วล่ะว่าเขาไม่คู่ควรกับเราเลย
ทำไมเราจะไม่รู้ว่าก่อนเริ่มงานเขามีการนัดจูบกับคู่ขาที่เป็นดาราผิวสีในห้องน้ำโรงแรมเพื่อนัวเนียสนุกสนานขนาดไหน
'สกปรกขนาดนี้ยังอยากจะมีหน้ามาบอกว่าจะขอรักเราคนเดียวแล้วจะเป็นของเราคนเดียวอีกต่อหน้าคนนับร้อยต่อหน้าบาทหลวงที่มาทำพิธีให้..ไม่มีความละอายต่อการตอแหลของตัวเองเลยเหรอไงกันผู้ชายคนนี้
'ขอโทษนะภัคเราไม่ได้แดกหญ้าแทนข้าว..
กลับมาปัจจุบันที่ตอนนี้เราต้องถอดเสื้อสูทแล้วแถมรวบผมขึ้นมัดม้วยเพื่อช่วยคนสวยย้ายของเก็บทำความสะอาดห้องอย่างแข็งขันหวังช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง
ซึ่งฟากฝันก็ไม่ใช่คนงี่เง่าอะไรพอเจอเราอาสาช่วยทำความสะอาดห้องก็ไปทำน้ำส้มมาให้อย่างคนมีน้ำใจนั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่น้องเปิดรับในตัวของเรามาบ้างแล้ว
ถือว่าพัฒนามากขึ้นเทียบเท่ากับตึกก่อนถือว่าดีขึ้น…เป็นเรื่องที่เราควรดีใจ
"นี่ค่ะน้ำ"
"ขอบใจนะ"
เรารับแก้วน้ำส้มลายแก้วเป็นแมวโบกจานข้าวมากระดกดื่มจนหมดก่อนจะส่งแก้วเปล่าให้น้องนำไปล้างในที่ล้างจานอย่างคล่องแคล้ว
"แล้วนี่ตัวไปฝากครรภ์หรือยัง? "
"เรียบร้อยแล้วค่ะ..อายุท้องยังอ่อนคุณหมอเลยให้ยาบำรุงมาเยอะอยู่แล้วก็นัดไปตรวจครรภ์เรื่อยๆเพราะฝันไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่”
"แล้วยังแพ้อยู่เหรอเปล่า”
"ไม่แพ้เลยนะคะนี่ฝันก็กินอาหารปกติไม่แพ้อะไรแต่ว่ามีเหม็นน้ำหอมกลิ่นแรงๆอยู่บ้าง"
"ลูกตัวคงเป็นอภิชาตบุตรแน่นอน"
"ค่ะคงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
ตัวเล็กหัวเราะออกมาแล้วยอมรับด้วยใบหน้าชื่นมื่นเป็นกิริยาที่มองแล้วชวนให้น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมเหมือนดังวันแรกที่เราได้พบกับเธอ..
เรายอมรับว่ารู้สึกดีๆกับน้องมากมายจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกและนับวันมันจะยิ่งมากเสียด้วยส่วนไอ้ความเจ็บที่น้องท้องกับภัคก็มีบ้างละแรกๆ
แต่คิดอีกแง่ก็ดีออกเพราะมันทำให้เราได้ทั้งเมียทั้งลูกในคราวเดียวกันด้วยมีแต่ได้กับได้เรื่องอะไรจะคิดมากคิดน้อยให้เสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ
เราเองก็เป็นคนเปิดกว้างไม่ได้คิดมากอยู่แล้วก็ในเมื่อรักแม่เขาแล้วก็ต้องยอมรับลูกเค้าด้วยเพราะเด็กในท้องน้องไม่ได้มีความผิดอะไรเค้าแค่เกิดจากความผิดพลาดความไม่เอาไหนของผู้ชายไร้ความรับผิดชอบคนนึง
คนที่ครั้งนึงนั้นเคยทำร้ายจิตใจเราจนไม่เหลือชิ้นดีด้วยการ ทรยศ’
"แล้วตอนนี้พี่ลินเริ่มเหนื่อยหรือยังคะเห็นถูพื้นมาสองรอบแล้ว"
"ไม่เหนื่ิอยหรอกค่ะเวลาเดินตรวจงานลูกน้องทั่วตึกยังผ่านมาแล้วเลย”
ซะที่ไหนล่ะ..ปวดหลังจะแย่แล้วนี่คือกลับคอนโดไปจะลุกคลานเข้าห้องน้ำได้หรือเปล่าเหอะแต่ว่านะขืนบ่นไปก็เสียมาดคนดีศรีแผ่นดินหมดพอดี
ใครๆต่างก็อยากดูดีในสายตาของคนที่เรารักกันทั้งนั้นแล้วตัวเราเองก็ด้วย
"พี่ลินแข็งแรงจังนะคะเหนื่อยจากงานบริษัทยังไม่พอยังมาช่วยเมียน้อยแบบฝันทำความสะอาดห้องอีก"
"ตัวไม่ต้องห่วงเราหรอก"
เราบอกน้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะหยุดยืนเพื่อเท้าแขนกับไม้ม็อบมองจ้องมาที่น้องที่กำลังนั่งดูเราอย่างท่าทีผ่อนคลายนั่นเกิดมาจากก่อนหน้านี้พวกเราสองคนได้พูดคุยละลายพฤติกรรมกันพอสมควรเลยคลายความเกร็งต่อกันลง
"เพราะตัวเหนื่อยกว่าเราอีกนะบางทีทั้งปัญหาเทกระหน่ำมาทั้งเจอผู้ชายเลวๆ แบบภัคล่อลวงอีก"
"......"
"หรือถ้าตัวอยากให้เราหายเหนื่อยก็ช่วยทำอาหารค่ำให้เราท่านได้ไหมล่ะ”
"ฝันทำได้แต่มาม่าอ้ะค่ะ"
เด็กญี่ปุ่นเหรอไงท่านแต่ละอย่างเล่นเอาซะสงสารเด็กในท้องเลยเเม่กินอะไรแต่ละอย่างเข้าสิ…มันน่าจับมาพาดตักแล้วฟาดก้นสักทีสองทีให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ
"อื้ม..มาม่าก็กิน"
"กินง่ายดีจังนะคะถ้างั้นรอแบปนึงนะคะเพราะฝันทำไม่นานหรอกแบปเดียวก็เสร็จแล้ว"
คุณตัวเล็กของเราเอ่ยระหว่างรีบวิ่งไวๆไปเปิดตู้เย็นหยิบซองมาม่าเกาหลีออกมาสามห่อซีกซองก่อนจะหยิบหม้อมาใส่น้ำเปิดเตาแก็สต้มเส้นมาม่า
ส่วนเราก็ก้มหน้าก้มตาถูพื้นหน้าทีวีต่อไปด้วยความขยันขันแข็งจนแล้วเสร็จก็เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าห้องเก็บของมานั่งรออาหารที่เคาท์เตอร์
นี่ถ้าเจ๊ผักกาดรู้เข้าว่าเรากินอาหารขยะแบบนี้ได้เทศน์เป็นกัณฑ์มหาชาติแน่นอนเลยแต่ถ้าไม่มีคนไปฟ้องก็ไม่เห็นต้องกลัวหนิจริงไหมล่ะ
"พอทานได้หรือเปล่าคะ? "
"...."
เราพงกหัวก่อนจะโซ้ยบุยมาม่ารสเผ็ดเข้าปากจนหมดด้วยระยะเวลารวดเร็วแม้แต่กินเนสบุ๊คยังตกตะลึง..ธรรมดาแหละก็ในเมื่อทำงานมาหนักต่อให้มันรสชาติเหมือนน้ำซุปธรรมดาทั่วไปได้แต่ในยามนี้ก็ไม่ต่างจากาหารดีเลิศส่วนอีกเหตุผลนั้นก็คือแต่เช้ามาเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากกาแฟที่คุณอ้อมชงมาให้
2นาทีผ่านไป
ชามมาม่าก็ไม่เหลือแม้แต่น้ำซุปสักหยดเดียวเศษพริกก็ไม่เหลือพอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าคุณฝันเธอกำลังมองฉันด้วยรอยยิ้มมุมปาก
"อะไรติดหน้าเธอเหรอถึงได้มองแล้วยิ้มน่ะ"
"ความน่ารักมั้งคะ.."
"......." วินาทีนั้นใจเราก็เต้นช้าลงๆอีกครั้งแต่ก็เก็กทำหน้านิ่งสู้เสือเพราะเราไม่มีวันแสดงออกไปเด็ดขาดว่าแพ้ทาง
"คือฝันไม่เคยเจอใครกินมาม่าแล้วน่าเอ็นดูเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ"
"อ๋อ"
"เขินฝันเหรอคะ? "
"เปล่าสักหน่อย!ใครเขินกันล่ะไม่มีทั้งนั้นแหละ" เราขมวดคิ้วพลางยกมือลูกข้างลำคอเจ้าของอย่างรู้สึกร้อนผ่าวแปลกอย่างกับว่าแอร์ในห้องนี้ลดความเย็นลงพอถูกสายตาน้องจ้องมากๆเข้าเลยหลบสายตาไปมองด้านข้าง…บนกำแพงที่ติดภาพน้องตอนสมัยที่ยังเรียนอยู่ม.ปลายยืนฉีกยิ้มแป้นแล่นให้
"โกหกตกนรกนะคะพี่ลิน"
“เด็กสมัยนี้เขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรค์หรอกแค่จะเอาตัวให้รอดยังยากเลยไหนจะพิษเศษฐกิจไหนจะมีรัฐบาลโง่เป็นควาย”
“ประเทศไหนเหรอคะ?”
“ประเทศสมมุติ”
น้องพยักหน้าอย่างรู้ว่าเรากำลังหมายถึงประเทศที่คุณก็รู้ว่าประเทศอะไรซึ่งพอเห็นตัวเล็กเข้าใจเราเลยชวนคุยเรื่องเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ใช่มันเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปมากกว่านี้
"แล้วนี้ตัวอยู่คนเดียวเหรอ?
"ค่ะเมื่อก่อนก็มีคุณแม่" พอเอ่ยถึงแม่คนสวยก็ตาออกเหม่อๆเหมือนจมอยู่กับความคิดตัวเองคงกำลังกังวลเรื่องของแม่อยู่หรือเปล่านะ
เพราะเราจำได้ว่าแม่ของน้องป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งมดลูกระยะสุดท้ายต้องได้รับการรักษาเคมีบำบัดที่โรงพยาบาลซึ่งค่ารักษาเรารับดูแลเองทั้งหมดแล้วให้หมอที่เป็นรุ่นพี่เราสร้างเรื่องว่าแม่ของฝันเป็นผู้โชคดีได้รับการช่วยเหลือจากเศรษฐีนีชาวจีนโดยไม่ระบุนามไม่ต้องตอบแทนอะไรขอแค่เป็นคนดีให้สังคมก็พอแล้ว
"อีกไม่นานแม่ตัวจะต้องหายดีแน่เชื่อเราสิ..มีความหวังเอาไว้"
"ขอบคุณนะคะ"
"แล้วเจอเรารุกใส่แบบนี้ตัวมีกลัวเราหรือเปล่าหรือไม่ชอบบ้างไหม..”
เราถามน้องระหว่างก้มลงมองเจ้าแมวพันธ์เปอร์เซียสีขาวปลอดมาดมๆเท้าเราก่อนที่จะทิ้งพุงอ้วนๆลงกลิ้งไปกลิ้งออดอ้อนทำตาใสแป๋วน่ารักจนเราอดอุ้มมาเล่นบนตักไม่ได้ด้วยความหมั่นเขี้ยวในความนุ่มนิ่มของเจ้านายขนปุกปุยยังกับก้อนสายไหมฟูๆ
"ไม่กลัวก็แย่แล้วค่ะ...แต่ตอนนี้พอเปิดใจรับได้เพราะพี่ดูไม่ประสงค์ร้ายอะไร”
"แล้วตัวรักภัคมากไหม.."
เราตัดสินใจพูดคำถามที่ยากจะเก็บเอาไว้ออกมาตามประสาเป็นคนไม่ชอบอะไรค้างคาใจ..เนื่องอยากประเมิณล่วงหน้าว่าควรเผื่อใจดีหรือเปล่าเพราะในเมื่อไหนๆภัคเขาก็เป็นพ่อโดยชอบธรรมของเด็กในท้อง
"ห้ามโกหกเรานะ"
"ไม่ได้รู้สึกแบบเลยค่ะเพราะฝันคิดว่าบนโลกนี้รักมันกินไม่ได้"น้องตอบออกด้วยสีหน้าแววตาของคนไม่โกหกไม่มีการหลบสายตาเลยสักนิดเดียวในนั้นมันมีเพียงความรู้สึกที่เหมือนชิงชังเจ้าโลกใบนี้เหลือเกิน
"เห็นแก่เงินเหรอ? "
น้องยิ้มรับด้วยใบหน้าไร้การแสแสร้งจนเรานึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจว่าใช้คำพูดแรงไปหรือเปล่า
"ฝันอยากได้ความมั่นคงในชีวิตอยากสบายอยากมีสามีรวยๆเพื่อเอาเงินมารักษาแม่กับประคองบ้านตัวเองค่ะ"
"....."
"ฝันบอกพี่ก่อนนะว่าฝันไม่ใช่คนดีไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธ์ผุดผ่องอะไรที่มาเป็นเมียน้อยคุณภัคเพราะคิดว่าการปล่อยตัวเองให้ท้องจะทำให้ฝันได้อะไรมาจากพี่มาเร็วขึ้น..ฝันคิดแค่ว่าพี่อย่างมากก็คงมาฆ่าฝันมาจ้างคนสาดน้ำกรดใส่ฝันหรือไม่คงจ้างฆ่า”
ท้ายประโยคน้องก็น้ำตาคลอออกมาบ่งบอกชัดเจนว่าที่ผ่านมาน้องหวาดระแวงเรามากขนาดไหนซึ่งเราก็เข้าใจเธอดีว่ามันไม่แปลกอะไรถ้าจะคิดแบบนั้นไม่คิดสิผิดปกติ
"แต่ฝันไม่กลัวหรอกค่ะฝันแค่อยากต่ออายุของแม่เพราะหลังจากนอนกับคุณภัคคืนแรกแล้วได้เงินมา-ฝันก็เอามาจ่ายค่ารักษาแม่กับไถ่แหวนแต่งงานของแม่ออกมาทันที"
"......"
"พี่อาจจะบอกฝันว่าแล้วทำไมไม่ยืมเงินหรือทำงานให้ได้..แล้วค่อยทำแต่ตอนนั้นมันรอไม่ได้หรอกต้องใช้เดี๋ยวนั้นแล้วคุณภัคก็สัญญากับฝันแล้ว"
"แล้วก็ผิดสัญญาใช่ไหม… "
"ค่ะ"
เราขยับไปเอาเช็ดชู่มาเช็ดน้ำตาให้น้องแล้วยิ้มบางๆอย่างที่เคยชินไม่ใช่รู้สึกสะใจหรอกแต่ว่าเรากลับนึกสงสานน้องมากกว่าถึงน้องไม่เล่าได้เราก็รู้เพราะส่งคนตามดูน้องมาตลอดตั้งแต่น้องเจอเราครั้งแรกแล้วและก็คอยช่วยเหลือตลอดมาอย่างลับๆเท่าที่ช่วยได้…ต่อให้ใครจะหัวเราะเยาะในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็ช่างหัวมันไปเถอะ
เพราะคนที่เราแคร์ความรู้สึกมากที่สุดในตอนนี้คือผู้หญิงที่ชื่อฟากฝัน…
"เลิกร้องไห้นะคนดี..ผู้ชายพันธุ์แบบนั้นไม่มีค่าพอให้เรามาเสียน้ำตาหรอกเชื่อเราสิ..แต่ถ้าหากจะร้องก็ร้องออกมาก็ร้องนะคะ"
"...."
"เพราะพี่จะอยู่กับฝันเสมอ"
พวกเราสบตากันอยู่นานจนกระทั้งเราเกือบเสียหลักทรงตัวหลังน้องพุ่งเข้ามากอดคอเราแน่นแล้วก็เอ่ยอุบอิบฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่เราไม่ได้ขัดขืนอะไรมิหน้ำซ้ำยังยกมือลูบหัวไหล่ของเจ้าตัวเบาๆเพื่อปลอบขวัญเจ้าเด็กขึ้แย
ดูเอาเถิดตัวเองกำลังจะเป็นแม่คนอยู่แล้วยังมาร้องไห้อยู่อีก…แต่ก็เอาเถอะผู้หญิงในอ้อมกอดเรา เธอเจอเรื่องราวมากมายอยู่แล้วให้คุณเธอได้ระบายออกมาบ้างก็ดี..ดีกว่าเก็บไว้ในใจ
"ตัวเราถามอะไรตัวสักอย่างสิ"
"อะไรเหรอคะ? "
"ตัวซื้อเสื้อในจากที่ไหนเหรอ? "
"........"
"ฟองน้ำนุ่มนิ่มดีเนอะดูท่าจะหนามากๆเลยถ้าเจอยิงเชื่อว่ากระสุนมันคงทะลุไปไม่ได้แน่อ้ะ"
ผั่วะ!
เฮือกกกกกก...พอเราถามไม่ทันจะจบตีอกก็เจอทุบตีทันทีจากฝีมือของฟากฝัน
"นั่นปากเหรอคะ!!! 💢"
"โอ้ยย!! เจ็บนะ"
"ค่ะจะตีให้ไอ้เจ้าก้อนเนื้อพี่ยุบไปเลยใหญ่นักเหรอมาข่มชาวบ้านน่ะห้ะ"
ตุบตั่บๆ
ต่อจากนั้นคนสวยของเราก็กำฝ่ามือมาทุบบ่าเราพร้อมยังมาหยิกข่วนจนเราคิดว่าวันนี้น่าจะไม่เหลือชีวิตกลับไปบ้านดีๆแน่เพราะเจอคนท้องเชือดดับคาที่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 26
Comments