กระบี่เหินฟ้า 2

...บทที่ ๑...

...กระบี่เหินฟ้า ๒...

หลังจากแผ่นฟ้าเกิดประกายแสงขึ้นเหล่าผู้ฝึกเซียนต่างลอบถอนหายใจ คล้ายกับว่าเรื่องราวนั้นเป็นเครื่องตัดสินว่าเมืองเชินรอดพ้นจากเงื้อมือของมารร้ายแล้ว 

ที่ใดมีมือกระบี่มายาที่นั่นล้วนปลอดภัยจากมารร้าย

คำกล่าวนี้ยังคงหยิบยื่นมาใช้ได้เสมอตลอดสิบปีมานี้

ไอมารผสมปนเปกับไอพลังบริสุทธิ์ เหล่าเทพต่างช่วยกันสังหารมารทิ้งด้วยความสะใจ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงแว่วมาแต่ไกลแผ่ทั่วทั้งเมืองเชิน อำนาจร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ศพมารที่ถูกสังหารกำลังลอยขึ้นรวมร่างกันปะปนกับศพมนุษย์ธรรมดากลายเป็นอสูรตัวใหญ่ ดวงตาแดงก่ำประกอบเหมาะกับดวงจันทร์ค่ำคืนนี้ยิ่ง ทั้งร่างมีเส้นลมปราณสีแดงเด่นชัดส่องประกายราวอัญมณีนับล้านมารวมกัน

"วิชาหลอมรวมโลหิต" หนึ่งในเทพตะโกนขึ้นเสียงดังกลางลานกว้าง

"จอมมารฟื้นขึ้นมาแล้ว! เกรงว่าเพียงมือกระบี่มายาคงมิอาจต้าน" เทพอีกคนตะโกนบอกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เวลานี้ประมุขสวรรค์ยังคงมุ่งมั่นหลอมรวมหกฝ่ามือของสวรรค์เพื่อหลอมประตูสวรรค์ขึ้นใหม่ เหล่าเทพสงครามก็เหลือเพียงเทพฉงหยางที่มาร่วมงานในเมืองเชิน

สถานการณ์ดูย่ำแย่ลงเมื่อจอมมารฟื้นคืน

เมื่อกาลก่อนเจ้าวิหคกับสหายเคยปราบจอมมารจนต้องเข้าสู่การนอนหลับร้อยปี ทว่าเพียงห้าร้อยปีผ่านมาใยจึงดูดุร้ายกว่าเก่า..หรือเพราะสวรรค์ทำสิ่งที่ไม่ควรลงไป ใครอาจไม่รู้แต่จอมมารย่อมรู้ดี การลงมือเมื่อห้าร้อยปีก่อนผู้เกี่ยวข้องต้องชดใช้

"ยืนนิ่งอยู่ใย เป็นถึงเทพไฉนไม่ลงมือ" เสียงหนึ่งวิ่งผ่านสายลมมาแต่ไกล เป็นคล้ายแซ่ที่ความเร็วสูงเสียดใจผู้ฟังยิ่งนัก 

เหยียนลี่ไม่รีรอรีบตวัดกระบี่ฟาดสายฟ้าลงมาผ่าร่างมารอสูรตาแดงตนนั้นเมื่อพูดจบท่ามกลางความตกตะลึงของเทพบริเวณนั้น ตามมาด้วยร่างเทพสูงส่งสวมชุดเกราะรัดรูปสีเงิน ในมือจับทวนแน่ เหยียนลี่หันมองเล็กน้อยก่อนจะลงมือต่อ

ทหารเมื่อขาดแม่ทัพก็คล้ายขยะกองโต

แต่เมื่อมีแม่ทัพกลับเป็นกองกำลังที่น่าทึ่ง เทพฉงหยางแข็งแกร่งแค่ไหนทุกคนใต้บัญชาย่อมรู้ กำลังใจกลับสู่เทพอีกครั้งจนมารร้ายค่อยๆสูญไป เหยียนลี่รีบรุกไปตามกลิ่นนั้น ไม่ผิดแน่ว่าเจ้ากลิ่นที่รวดเร็วนั่นกำลังไล่ตามไอพลังนั่นไป เจ้าแคว้นสกิดปลายเท้าคราหนึ่งตรงที่ยืนอยู่ก็เหลือเพียงไอพลังสีเหลืองอ่อนจางๆ

เพียงลืมตาขึ้นก็ปรากฏสถานที่หนึ่งขึ้น เหยียนลี่มองไปรอบๆก็รับรู้ถึงกลิ่นไอที่ตนวิ่งตามมา เงาร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีขาวกลางหลังใหญ่มีรูปปีกนกเล็กๆอยู่บนเสื้อสีขาวสะอาด ผมยาวสลวยพริ้วลงมาถึงบั้นท้าย แผ่นหลังนี้ทำเอาเหยียนลี่สั่นไหวไปทั้งร่าง

เลยผ่านบุรุษชุดขาวกลับกลายเป็นบุรุษใบหน้าหล่อคมดูชั่วร้ายผู้หนึ่ง ชุดสีดำสลับขาวในมือสวมกำไลสีแดงสด เหยียนลี่รีบหลบเข้าเงามืดทว่ากลับลืมไปเสียสนิทว่าตนสวมชุดสีเหลืองอ่อนจึงยังสว่างอยู่บ้าง แต่จอมมารหรือจะสนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากเจ้าวิหคผู้นั้น

"บัดซบ! แคว้นเหยียนของข้าหาใช่สนามแข่งชิงรักของพวกเจ้า" เหยียนลี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่มีหรือที่สองหนุ่มจะไม่ได้ยิน ทว่าทั้งสองกลับยังยืน นิ่งสนใจเพียงคนที่ตนยืนประจันหน้า

เสียงรอบข้างพลันเงียบลงเมื่อเผ่าวิหคลงมา เผ่าปีศาจทั้งหมดล้วนยืนอยู่ข้างความถูกต้อง หรืออีกประการอาจเรียกได้ว่าพวกเขาต่างมิชอบเผ่ามาร

"หากตอนนั้นข้าไม่เสียท่าวันนี้เขาอาจยังอยู่" จอมมารเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องย้อนรำลึกความหลัง ใบหน้าของเจ้าวิหคกระตุกทีหนึ่งก่อนจะเรียบตึงดังเดิม จอมมารยกยิ้มจ้องมองจี้หยกเลือดตรงกลางอกนั้นก่อนจะลงมือฉกชิงมัน การรุกรวดเร็วจนเหยียนลี่ยังมองแทบจะไม่ทันทว่าเจ้าวิหคกลับทำเพียงแค่เบี่ยงหลบอย่างอ่อนโยน

ทั้งสองเริ่มประมือกันหนึ่งรวดเร็วรุนแรงดั่งพายุอีกหนึ่งรวดเร็วอ่อนโยนดั่งลมอากาศ กระบวนท่าไม่เป็นท่าหรืออาจเรียกได้ว่าไร้กระบวนเพียงแต่รุกเข้าหาจุดตายตลอด เจ้าวิหคไม่รุกกลับทำเพียงหลบคล้ายยอมให้อีกคนระบายแค้น 

"หากปกป้องมิได้จะยึดไว้ข้างกายเพื่ออันใด"

"..." เจ้าวิหคยังคงนิ่งเฉยทั้งกิริยาและท่วงท่ารวมถึงใบหน้า จอมมารทุ่มสุดแรงในหมัดเดียวซัดใส่แผ่นอกที่เจ้าของยังยืนนิ่งรับอย่างไม่คิดจะหลบ ทว่าหมัดนั้นกลับหยุดลงโดยเจ้าของก่อนจะชิดเนื้อผ้าสีขาวนั้น เหยียนลี่มองอย่างไม่เข้าใจ

บทจะแรงก็แรง บทจะยอมก็ยอมเขาล่ะงงงวยยิ่งนัก 

หรือจริงๆจอมมารจะเป็นคนรักเก่าของเจ้าวิหค..ช่างฟุ้งซ่านนัก "คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาจารย์ข้าสอนมาว่ามันเรียกว่าสิ้นคิด" เทพฉงหยางเดินมาตบไหล่ของเหยียนลี่ เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยงไม่กล้าหันมองเพียงแต่หลบหน้าอีกฝ่าย ยามนี้เขามิได้สวมหน้ากากหรือแม้กระทั่งปลอมโฉมหน้า

เหยียนลี่สกิดเท้าเพียงครั้งเดียวก็หายวับไปกับสายลม เทพฉงหยางเห็นอีกคนชิ่งหนีจึงมิรู้จะอยู่เพื่ออันใด เขาจึงสะบัดฝ่ามือสองคราก่อนจะหายวับไปอีกคน

เรื่องระหว่างจอมมารกับเจ้าวิหคล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเขา เหยียนลี่เห็นสถานการณ์สงบลงจึงรีบไปหาหมวกสานใส่และเพิ่งจะจำได้ว่าหมวกสานของตนยกหายไปตอนไหน "ตำนานว่ากล่าวเรื่องราวมิอาจหวนคืน ใยสองคนนั้นจึงได้โง่งมยิ่งนัก" เขาสับเท้าเข้าโรงเตี๊ยมหาที่พัก ความเสียหายวันนี้ก็ค่อยแก้ไข้ชดเชยพรุ่งนี้

ในลานกว้างที่ล้อมรอบด้วยต้นท้อมีสองหนุ่มยืนจดจ้องกัน "ใยมิสู้เราร่วมมือกันฆ่าล้างพวกมัน"

"ไม่" 

"อย่างไรเสียเรา.." จอมมารคล้ายมีความคิดดีๆจะเสนอแต่ก็ถูกเจ้าวิหคปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมคำขู่

"หรือจะต้องให้ข้าสะกดเจ้าอีกพันปี"

"หงจวิ้นเฉิง บัดนี้ข้าหาได้โอนอ่อนให้เหมือนแต่ก่อน" เจ้าของชื่อยกยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปากก่อนจะตวัดสายตาสีฟ้ามองผู้พูด "ข้าไม่กลัวเจ้า"

"เจ้าวิหคช่างองอาจแท้" รอยยิ้มพลันเยือกเย็นขึ้นจากเดิม "มิกลัวข้าแต่กลับกลัวสวรรค์ยอมให้พวกนั้นพรากเขาไป มิอายตัวเองบ้างเลยหรือ"

ประโยคท้ายเสียดสีใจผู้ฟังยิ่งนัก ราวกับต้องการตอกย้ำว่าเจ้าวิหคเคยพลั้งพลาดสิ่งใดไป คนถูกเหน็บแหนมเพียงแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ใบหน้าก็กลับไปเรียบนิ่งดังเดิม ในมือไร้อาวุธแต่สายตากลับกราดเกรี้ยวมินิ่งเหมือนใบหน้า จอมมารเดินอ้อมหลังเขาแล้วเพ่งมองลวดลายบนเสื้ออีกฝ่าย

"หากจำมิผิด เสื้อตัวนี้เขาเป็นคนปัก บิดเบี้ยวยิ่งกว่าจิตใจข้าเสียอีก" เอ่ยจบก็หัวเราะเสียงดัง บ่งบอกได้ว่าภายในใจแหลกสลายเพียงใด "หากไม่ทำร้ายข้าจนสลบเข้าสู่การหลับยาวนับร้อยปีข้าจะยืนข้างเขา ข้าเถียนจิ้งจะพาเขาหนีทว่าเขากลับมิให้โอกาสนั้นแก่ข้า"

"แต่เจ้า!" เสียงตวาดดังลั่นจนต้นท้อสั่นไหวลมพายุแรงขึ้น หลงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่แนบนิ่งคือร่างสูงโปร่งของเจ้าวิหค

"เจ้าที่มีโอกาสกลับทอดทิ้งเขา! หงจวิ้นเฉิงชาตินี้ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้า!"

"อดีตควรเลือนหาย เจ้าจะแค้นเช่นไรก็เรื่องของเจ้าแต่ผู้บริสุทธิ์หาเกี่ยวข้อง" น้ำเสียงราบเรียบทว่าพลังในกายกลับลุกโชน ไอสีฟ้าปนขาวก่อตัวกันรายล้อมรอบตัวเจ้าวิหค นัยน์ตาสีฟ้าที่ผิดแผกจากเดิมเริ่มแข็งกร้าวต่อสรรพสิ่ง จอมมารก็มิน้อยหน้าขับไอสีแดงเข้มค่อยไปทางดำออกมาข่ม ไม่มีการปะทะใดๆแต่กลับมีขุมพลังก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาลหากลงมือสู้กันจริง

แคว้นเหยียนอาจเหลือเพียงชื่อ

เจ้าวิหคเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อยทำเอาใจของจอมมารกระตุกวูบหนึ่ง สถานการณ์ดูผิดแผกจนน่าใจหาย มือกระบี่ที่พวกเขาคิดว่าปล่อยปะละเลยการประลองครั้งนี้ไปแล้วกลับเดินมาคั่นกลาง 

"แยกแยะมิเป็นก็มิสมควรเป็นใหญ่ เป็นถึงจอมมารกับเจ้าวิหคกลับทำตัวราวกับตัวบัดซบตัวหนึ่ง เมืองมนุษย์หาใช่ที่ระบายอารมณ์ของพวกท่านไม่" จอมมารหน้าดำมืดหรี่ตามองบุรุษที่ตัวเตี้ยกว่าตน เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณอันโอนอ่อนที่ก่อตัวราวกับจะดับสูญลง 

"มือกระบี่ของพวกมนุษย์งั้นหรือ? ใยข้าจึงคิดว่าเจ้าคล้ายเพียงขยะ" เหยียนลี่ไม่พูดจาตอบโต้แต่กลับสกิดเท้าคราเดียวแล้วกระโดดตบกระบาลจอมมารผู้สูงส่ง เจ้าวิหคมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่แค่วูบเดียวสีหน้าก็ราบเรียบดังเดิม เขารู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายตามมาตั้งแต่ก่อนถึงโรงน้ำชาเสียด้วยซ้ำ

แต่ก็ไม่คิดว่าจะใจกล้าถึงขั้นแหย่จอมมารด้วยการตบหัว

"เจ้า!"

เพี้ยะ! ฝ่ามือที่รวดเร็วฟาดลงบนโหนกแก้มของจอมมาร ราวกับต้องการจะก่อกวนเล่น เจ้าวิหคยืนนิ่งมองการต่อสู้ที่ดูรวดเร็วโจมตีน้อยแตากลับทำให้คู่ต่อสู้หงุดหงิดใจ เขากักเก็บพลังกลับสู่กายอีกครั้งแล้วยืนนิ่งคล้ายรูปปั้น

มือกระบี่ชักกระบี่ที่เรืองแสงออกมาก่อนจะตวัดมันใส่ชุดของจอมมาร่วงหล่นทีละเล็กทีละน้อย จนสภาพของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ดูราวกับยาจกข้างถนน เหยียนลี่เห็นเจ้าวิหคยืนนิ่งจึงตั้งใจจะแหย่อีกฝ่ายเล่นด้วยการพุ่งปลายกระบี่เข้าหากลางอกของอีกฝ่าย

แต่ดวงใจที่เต้นช้าราวกับจะหยุดนิ่งนั้นดันทำให้เกิดความผิดแปลกในใจเขา ปลายกระบี่หยุดลงแล้วกระโดดม้วนตัวตวัดกลับไปทางจอมมารอย่างบ้าคลั่ง ท่วงท่าจับทางมิได้ ทั้งรวดเร็วและสวยงามจนจอมมารเองยังหาช่องโหว่เข้าปะทะมิได้

"ไม่ทราบว่าเคยพบกันมาก่อนหรือไม่"

"ข้าเกินก่อนท่านจะออกมาเพียงไม่กี่ปีใยต้องถามมากด้วยเล่า แอบได้ยินว่าเขาทำให้ท่านต้องนอนไปถึงห้าร้อยปี" คำพูดระหว่างต่อสู้เสียดสีใจคู่ต่อสู้จนจอมมารอยากสังหารมือกระบี่ปากดีผู้นี้ทิ้งเสีย แต่ก็แอบสงสัยมิได้ว่าเหตุใดมือกระบี่ธรรมดาผู้หนึ่งจะรู้จุดอ่อนของเขาได้ถึงเพียงนี้

"โตมาเป็นถึงจอมมารควรดูแลคนใต้บัญชาหาใช่มาก่อเรื่องที่เมืองมนุษย์ บิดามารดาอาจารย์ของท่านคงเสียใจมิน้อยที่ดูแลมาอย่างดีแต่บัดนี้กลับโตมาราวตัวบัดซบตัวหนึ่ง"

หนึ่งประโยคพลันทำเจ้าวิหคสะดุ้งโหยงเมื่อมือกระบี่ดันไปกระตุกความมืดบอดของจิตใจจอมมารผู้นี้เข้าอย่างจัง

"เจ้า! ใครใช้ให้มาพูดถึงบิดามารดาและอาจารย์ของข้า เป็นเพียงขยะของโลกหล้าใยจึงปากดีนัก!"

"ก่อนจะว่าข้าเป็นขยะท่านควรมองตัวเองก่อนกระมั้งท่านจอมมาร" น้ำเสียงยียวนแต่ท่วงท่ายังคงมั่นคงและรวดเร็วมิเปลี่ยน เขาสร้างบาดแผลให้ร่างกายกำยำนั่นสองแผลตรงแขนซ้ายและแขนขวา แต่ทั้งตัวของเหยียนลี่ยังคงพริ้วไหวไม่บาดเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ

เจ้าวิหคที่ยืนชมอยู่ได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีกที่มนุษย์ธรรมดาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้

สมแล้วที่เทพกับผู้ฝึกเซียนจึงนับถือมือกระบี่มายา เพราะแม้แต่จอมมารยังโดนเล่นงานจนงัดพลังและวิชามากมายออกมาใช้มิถูก

"อ่อนหัดถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะกาลก่อนถึงพ่ายแพ้ให้เจ้าวิหค"

"เจ้าาา!" จอมมารที่กักเก็บอารมณ์ไม่ไหวจึงระเบิดออกมาลำแสงสีแดงแผ่เป็นวงกว้าง เจ้าวิหคเพียงสะบัดมือก็เกิดปราการคุ้มครองตนไว้ ส่วนมือกระบี่ผู้ที่มีลมปราณสุดจะเลือนลางกลับสกิดเท้าวิ่งวนเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วสะบัดฝ่ามือเขียนอักษรกลางอากาศ

'เหินฟ้าล่องเวหา กระบี่มายากล่อมผู้คน'

กลอนบทหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศแล้วทั้งร่างของบุรุษหมวกสานก็หายไปกับหมอกควันสีเหลืองใส 

จอมมารที่ถูกทุบตีจนใบหน้าช้ำจึงรีบพุ่งตามลำแสงสีเหลืองอ่อนๆนั่นไป ในวินาทีนั้นเขาเองก็เพิ่งรู้ถึงความอัปยศที่แท้จริง กระบี่มายาล่อลวงได้สมชื่อยิ่งนัก!

"ดูท่าเจ้าคงจะถูกภาพมายาลวงหลอกเอาเสียแล้ว" เจ้าวิหคยิ้มขำกับความเดือดดาลของจอมมาร ทั้งสองจึงรามือจากกันโดยดีแต่สิ่งเดียวที่เจ้าวิหคหมายหมั่นปั้นใจว่าจะลงมาเมืองมนุษย์บ่อยขึ้นก็คงจะเป็นการตามหาคนผู้หนึ่ง

นักเขียน : เหยียนลี่ห้าวมากค่ะ ฉันชอบเขามากที่สุดในเรื่องเลย แต่จริงๆฉันก็ชอบจอมมารนะเขาดูเป็นคนหัวร้อนง่ายน่าแกล้งดี><

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!