กาลเก่าข้าขอลืม
...บทที่ 1...
...กระบี่เหินฟ้า 1...
รัชศกเหยียนลี่ที่สอง
ในแคว้นเหยียนที่กว้างใหญ่กำลังจัดงานรื่นเริงไปทั่วถนนทุกสายในเมืองเชิน เมืองทางตอนเหนือของแคว้นที่ทรงอำนาจเรื่องการค้าขาย เป็นที่หนึ่งของหอการค้า ที่หนึ่งของรสสุรา และที่หนึ่งของการร่ายรำ
เสียงตะโกนโหวกเหวกเสียงดังทั่วทุกสารทิศในเมืองเชิน ผู้คนหนาแน่นบ้างเดินเป็นคู่ บ้างเดินเป็นหมู่คณะ บ้างชมการละเล่นตามความเป็นอยู่โดยปกติของชาวบ้านแถบนี้ ทว่าในเวลานี้กลับแตกต่างจากเก่าเมื่อมีบุคคลชั้นสูงมาร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นทพเซียน ปีศาจ มาร หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกเซียนต่างมารวมตัวกันในงานเเสนรื่นเริงนี้โดยมิได้นัดหมาย
โคมไฟประดับตกแต่งกำลังส่องสว่างคล้ายเป็นปกติของงานเลี้ยง แต่ก็มิอาจปกติโดยแท้เมื่อโคมไฟเหล่านั้นเต็มไปด้วยไอมาร ประดับใต้แสงจันทร์สีเลือดสดก็ยิ่งทำให้ไอมารแข็งแกร่ง
พลังหยินรุนแรงเกินไป ส่วนหลังหยางกลับเจือจางจนเหล่าเทพเสียเปรียบ
เทพกับมารขัดแย้งกันมาโดยตลอด เนื่องจากเหล่าเทพทนงตนยกย่องลำพองตนเหนือเผ่าอื่น ส่วนเผ่ามารกลับชอบกระทำชั่วร้ายยึดถือหลักผู้ใดอ่อนแอก็เพียงต้องทิ้งชีวิตไว้ และเผ่าปีศาจเป็นเผ่าที่ชมชอบกับการอยู่ในเมืองมนุษย์อยู่แล้ว พวกมันชอบงานรื่นเริง ชอบความสวยงาม ชอบความมีเสน่ห์และมิชอบสงครามยกเว้นเผ่าวิหค
เผ่าวิหคใกล้เคียงกับเทพมากที่สุดจนอยู่เหนือเผ่าปีศาจทั้งๆที่ก็เป็นเผ่าปีศาจ แต่พวกเขากลับแยกตัวออกมาโบยบินบนนภาต่างจากปีศาจเผ่าอื่น และตอนนี้ยอดเขาที่สูงเสียดฟ้าเทียมสวรรค์ดูแล้วก็คงจะมีแต่ยอดเขาวิหคเวหา แต่ตอนนี้กลับปิดตายไม่มีผู้พบเห็นคนจากเผ่าวิหคมานานนับตั้งแต่ที่เจ้าวิหคถล่มฟ้ารวบสามโลกเข้าด้วยกัน
คงผ่านมาเป็นหลักร้อยปีแล้วกระมั้ง สักห้าร้อยปีได้
...'เหนือสุดของเหยียน ล้วนเรียกว่าเชิน'...
...'ใต้สุดของเหยียน ล้วนเรียกว่าชาง'...
...'เชินชางคงอยู่ แคว้นเหยียนรุ่งเรือง'...
...'เชินชางสาปสูญ แคว้นเหยียนล่มสลาย'...
"ใครๆก็รู้จักเพลงบทนี้ในบทเพลงแห่งแคว้นเหยียน ที่รวบเอาเมืองอันดับหนึ่งแห่งการค้ามาเป็นประตูด่านเหนือคอยสร้างความมั่งคั่ง และเอาเมืองอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาศาสตร์ต่างๆมาเป็นประตูด่านใต้"
นักเล่าเรื่องในหอน้ำชาหยวนชิวเอ่ยเล่าเรื่องของบทเพลงที่ผู้คนบนท้องถนนกำลังโห่ร้อง
บุรุษกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดคล้ายมาจากสำนักฝึกเซียนจึงตะโกนเอ่ยถาม "ไฉนเมืองหลวงจึงไม่ถูกเล่าขานในเพลงบ้างเล่า" ผู้คนที่ได้ยินต่างสนใจประเด็นนี้เหมือนกันจึงหันมาจ้องชายชราผู้เล่าเรื่อง เขากระแอมไอเล็กน้อยเมื่อถูกจ้องมอง หากสังเกตให้ดีในหอน้ำชายังมีบุคคลที่แปลกประหลาดอยู่ผู้หนึ่ง สวมเพียงชุดสีเหลืองอ่อนใบหน้ามีหมวกสานผ้าคลุมอยู่
คนผู้นี้คล้ายเคาะโต๊ะเป็นจังหวะรอคำตอบเช่นกัน
"ก็เพราะแคว้นเหยียนเราไม่มีเมืองหลวง"
พอสิ้นประโยคคนที่มาจากต่างแคว้นตกตะลึงคลับคล้ายเจอเรื่องเหลือเชื่อ แต่มันก็เหลือเชื่อนั่นแหละเพราะแคว้นที่ไม่มีเมืองหลวงถือเป็นแคว้นที่ไร้ซึ่งจักรพรรคดิ
ชายชราเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเด็กหนุ่มที่ถามตนจึงพูดเสริมขยายความให้ "เพราะฮ่องเต้มิชมชอบการอยู่ในวัง พระองค์ทรงพักอยู่ได้ทุกที่ดังนั้นทุกที่จึงเป็นเมืองหลวง หนำซ้ำยังชมชอบศาสตร์ทุกแขนงของสำนักศึกษาและยึดหลักทหารต้องเดินด้วยท้อง ความรู้คือปัจจัยและเสบียงคือแรงขับเคลื่อน"
แปะ แปะ แปะ การอธิบายคล้ายเป็นที่ชื่นชมนักเมื่อผู้ที่สวมหมวกสานคลุมหน้านั้นลุกขึ้นปรบมือเสียงดังทั่วหอน้ำชาหยวนชิว
"เล่าได้ดี เล่าได้ดียิ่ง" ผู้คนเพ่งมองบุรุสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนชั้นสอง ร่างนั้นสูงโปร่งหุ่นคลับคล้ายคุณชายผู้อ่อนปวกเปียก ทว่าเสียงเมื่อกี้กลับเยือกเย็นราวก้อนน้ำแข็ง ชายชราโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการตอบรับคำชม
"แต่มีสิ่งหนึ่งไม่ถูกต้อง ขอทราบอายุขององค์จักรพรรดิได้หรือไม่"
นักเล่าเรื่องขมวดคิ้วแต่ก็ยอมตอบโดยดี "ย่อมได้อยู่แล้ว พระองค์อายุเพียงยี่สิบสาม ว่าแต่มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ"
เสียงโห่ดังขึ้นอีกครั้ง อายุเพียงเท่านี้กลับมีความคิดก้าวไกลยิ่งนัก สมกับเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ของปวงประชา ทว่าในความคิดของบุรุษชุดเหลืองกลับมิใช่ เขามองว่าช่างเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ผลงานสิ้นดี..แต่ใยมนุษย์จึงโง่เขลา เหลากระบาลได้ง่ายดายนัก
"ย่อมไม่มี ล้วนเป็นข้าที่มีใจแอบคิดสงสัยเบื้องสูงขอทุกท่านโปรดอภัย" คล้อยหลังจบประโยคเขาโยนก้อนเงินออกมาให้นักเล่าเรื่องแล้วยกยิ้มมุมปาก ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าฮ่องเต้ที่ชนชาวแคว้นเหยียนยกย่องจะเดินทอดน่องออกจากโรงน้ำชาหยวนชิง
... ล้วนเป็นเขาที่มีคำถามต่ออายุของตน...
...ล้วนเป็นเขาที่มองว่าไม่ถูกต้อง...
ในมือกำกระบี่แน่นเดินผ่านผู้คนกลมกลืนจนดูมิออกว่าแท้จริงแล้วเป็นถึงเจ้าแคว้น ทว่าจู่ๆไหล่ขวากลับถูกแรงผลักจนร่างสูงเซถอยเกือบหงายหลัง หมวกสานตกลงพื้นเผยให้เห็นใบหน้างามของเจ้าแคว้น โชคยังดีที่ร่างกายของเจ้าแคว้นอย่างเขาพอจะมีลมปราณใหลผ่านอยู่บ้างจึงทรงตัวไว้ได้
"ขออภัยคุณชาย ข้ารีบร้อนเกินไปจึงมิทันเห็น" บุรุษใบหน้าหล่อเหลาทักเขาพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง ดูก็รู้ว่ามิมีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อยเจ้าแคว้นอย่างเขาถอนหายใจออกทันที เมื่อก่อนใจร้อนไปบ้างเลยทำทุกสิ่งย่ำแย่ด้วยมือตน ตอนนี้เขาจึงต้องรู้จักใจเย็นอย่างไรเสียคนเหล่านี้ล้วนอยู่ใต้ปกครองเขาทั้งนั้น
"ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ อุบัติเหตุล้วนมิมีผู้ใดจงใจกระนั้นข้าขอตัว" เอ่ยตัดบทสนทนาเดินทอดน่องต่อบนท้องถนนราวกับกำลังโบยบิน โดยหลงลืมหมวกสานของตนไว้ตรงที่มันตกหล่น หากมันมีชีวิตคงจะต่อว่าเจ้าแคว้นไปแล้วกระมั้งที่หลงลืมง่ายดายนัก
"ช่างแปลกประหลาด ดูคล้ายจะเกิดโทสะแต่กลับมิเผยมันออกมา น่าชื่นชมยิ่งที่ยังมิเกิดโทสะเมื่อเห็นใบหน้าข้า" คนผู้นั้นแค่นหัวเราะคล้ายจะร่ำไห้เมื่อตนก่อกวนไม่สำเร็จ เขาเป็นศิษย์เอกในสำนักทินชาที่สำเร็จวิชาล่อลวงหุบเขาแต่วิชานี้กลับดูไร้ค่านักเมื่อบุรุษชุดเหลืองมิหลงกล
ทั้งที่จริงๆควรจะตกหลุมพรางตั้งแต่เห็นใบหน้าเขา
"ข้าจะต้องกลับไปบอกอาจารย์แน่ ว่ามีคนผู้หนึ่งหลุดรอดจากวิชาอันร้ายกาจนี้ได้!" บุรุษชุดลายครามสลับขาวก้มลงหยิบหมวกสานขึ้นมา ไอลมปราณเบาบางปะทะมือเขา ก่อนจะสับเท้าอย่างรวดเร็วไปยังหนทางเส้นเดิม
ทางด้านของผู้เป็นเจ้าแคว้นกำลังเดินชมนกชมไม้ผ่านหมู่มวลสรรพสิ่ง กลิ่นไอบางอย่างกับเตะเข้าจมูกเขา ทั้งร่างสั่นไหวคล้ายจะหมดแรงเมื่อกลิ่นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
"ใยข้าจึงดื้อด้านต่อตนถึงเพียงนี้" เขากำกระบี่แน่นราวกับเก็บกลั้นความปวดหนึบตรงกลางใจ
โคมไฟดับลงทุกดวงอย่างน่าอัศจรรย์สำหรับผู้คนธรรมดานี่นับว่าเป็นสิ่งน่าลุ้นระทึก แต่สำหรับสำนักฝึกเซียนแล้วมันคือสัญญาณเตือนภัย กลับกันกับเทพและปีศาจที่รับรู้โดยทั่วกันว่าค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวงแดงก่ำนี้เหล่ามารจะออกมาบุกเมืองมนุษย์
วันนี้พวกมันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ลำพังเผ่าเทพที่ถูกลดทอนความสูงส่งคงมิอาจต้าน
ก็ใครใช้ให้โลกหล้าโง่เขลาผลิตคนชั่วมากกว่าคนดีกันล่ะ
เหยียนลี่สกิดเท้าคราหนึ่งเพื่อตามไอพลังสีแดงที่ลอยมาไปแล้วสบถอย่างหัวเสีย
"เพ้ย! เหตุใดจึงต้องเลือกแคว้นเหยียนด้วยเล่า"
ผู้เป็นเจ้าแคว้นหยัดกายลุกกระโจนกลับหนทางเดิม มารร้ายกำลังจะบุกบ้านเขา เหยียนลี่ชักกระบี่ในมือฟาดเข้าใส่เงาดำที่กำลังจะกระโจนเข้าใส่ตัวเขา แสงจากด้ามกระบี่ส่องประกายภายใต้ความมืดมิดของค่ำคืนจันทร์สีเลือด
มารอีกสองตนที่ยังไม่สามารถกลายร่างได้กระโจนเข้าใส่ร่างเขาอีกครั้ง เหยียนลี่ถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้ด้ามจับของกระบี่แทงใส่ต้นไม้บริเวณนั้นจนใบร่วงหล่นลงมา เหยียนลี่เพียงตวัดกระบี่เขียนอักขระตัวหนึ่งออกมา จังหวะนั้นชั่วพริบตาใบไม้กลับกลายเป็นมีดแหลมคมพุ่งเข้าเฉือนลำคอของมารสองตนนั้นอย่างแม่นยำ
ทุกท่วงท่าล้วนสง่างามสมกับเป็นเจ้าแคว้นถึงร่างจะบอบบางไปหน่อยก็ตาม
"มารชั้นต่ำ!" เหยียนลี่ตวัดกระบี่ในมือใส่มารที่กำลังล้อมเขา เพียงไม่นานเขาก็สังหารพวกมันจนหมดแล้ววิ่งไปยังหอน้ำชา แต่พอไปถึงก็เห็นว่าผู้ฝึกตนกำลังต้านรับอยู่ สำนักฝึกเซียนพวกนั้นอาจยังพอต้านทานมารชั้นต่ำพวกนี้ได้
คิดเช่นนี้ตนก็มุ่งหน้าตามกลิ่นที่ทำให้ตนสั่นไหวนั่นไป เพราะเขาคลาดกับไอสีแดงนั่น
ไอมารแผ่ทั่วเมืองตอนเหนือของแคว้นเหยียน บทเพลงดับลงกลางความมืดมิดทดแทนด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนปนเสียงร่ำไห้ เมืองเชินกำลังร่ำไห้และเหล่าผู้ฝึกเซียนจากเมืองชางกำลังปกป้อง จิตใจของผู้เป็นเจ้าแคว้นคล้ายจะร่ำไห้เชินชางอาจสิ้นลงเพียงชั่วค่ำคืน
หรืออาจแค่พริบตาเดียวหากเจ้าแห่งมารย่างกรายขึ้นมาในเวลานี้
คราวนี้เขาคงได้แต่โทษเจ้าวิหคผู้นั้นเสียแล้วที่พังสวรรค์ลดพลังเทพให้เปรียบเผ่ามารที่พวกเยอะกว่า แต่ก็ยังหวังเล็กน้อยว่าเผ่าปีศาจจะยื่นมือมาช่วยเมืองที่แสนงดงามแห่งนี้
กระบี่ข้างกายถูกชักออกมาอีกครั้งเมื่อเจอมารชั้นที่สูงขึ้นมาจากเดิม เหยียนลี่ใช้ท่าทางและวิชาดูลึกลับราวกับมือสังหารแต่ก็มีความอ่อนโยนคล้ายสำนักฝึกเซียนสำนักหนึ่งที่ผู้ชมดูนึกไม่ออก
ปลายกระบี่อาบไปด้วยเลือดสีดำสกปรกแต่ตัวของมันกลับยังส่องสว่าง เลือนเเสงสีขาวบริสุทธิ์ส่องประกายทั่วบริเวณเมื่อเจ้าของจับมันชี้ฟ้าแนบกลางอก ไอพลังสีเหลืองอ่อนๆลอยออกมาจากกลางอกเขาพร้อมต่อยาวเป็นตัวหนังสือเพียงชั่วพริบตารอบบริเวณก็ฟุ้งไปด้วยคาวสกปรก ผู้คนที่เห็นแสงสว่างนั้นบ้างก็ทราบบ้างและมิทราบบ้างว่ามาจากผู้ใด
แต่ใต้หล้านี้กลับมีเพียงผู้เดียวที่จะใช้กระบวนท่านี้ได้ เคล็ดวิชากระบี่เหินฟ้า
"เห็นทีข้าคงทำได้เพียงแต่ชมดูแล้วแหละกระมั้ง"
...///////////////////////////////////...
นักเขียน : ฉันชอบวิชานี้ของเหยียนลี่มากเลยค่ะ คงจะถามใช่ไหมคะว่าเขาคือใคร? เขาคือเจ้าแคว้นผู้ว่างงานที่ท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นของตนนั่นเองค่ะ (นี่คือคำบอกใบ้แล้ว?) พยักหน้า:-:
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments