ผมชะงักไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินคำว่า… “สำนักถัง” สำนักถังนั้นเป็นสำนักที่มีนักวิทยายุทธ์แข็งแกร่งจากหลายตระกูล อีกทั้งยังมีเหล่าผู้สืบทอดของสำนักต่างๆเข้ามาเรียนรู้วิทยายุทธ์กับสำนักถัง ซึ่งการเป็นศิษย์ของสำนักถังนั้นจะต้องแบ่งออกเป็นระดับตามความสามารถและค่าพลังยุทธ์ มีทั้งหมด 5 ระดับ ได้แก่…ศิษย์ยุทธ์ ค่าพลัง 0-20/ อาจารย์ยุทธ์ ค่าพลัง 20-40 / ปรมาจารย์ยุทธ์ ค่าพลัง 41-60 / มหายุทธ์ ค่าพลัง 61-80 และ พรมยุทธ์ ค่าพลัง 81 ขึ้นไป… โดยความแข็งแกร่งจะเรียงจากค่าพลังน้อยไปมากตามลำดับ ในโลกนี้นั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มีพลังระดับพรมยุทธ์ โดยระดับพลังนั้นเพิ่มได้จากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล…
ทุกคนในโลกนี้เมื่อมีระดับของค่าพลังถึงขั้นอาจารย์ยุทธ์นั้น จะต้องหาสัตว์เลี้ยงวิญญาณ 1 ชนิด เพื่อช่วยในการฝึกฝนค่าพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยที่โลกแห่งนี้ไม่นับถือกันตามอายุแต่กลับนับถือตามค่าพลัง ซึ่งยิ่งมีระดับค่าพลังมากก็จะยิ่งมีแต่คนนับถือ…ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม… ในโลกนี้เมื่อเด็กมีอายุถึง 12 ปี ผู้ที่เป็นคนในครอบครัวก็ต้องพาไปสมัครเข้าสำนักยุทธ์ต่างๆเพื่อฝึกฝนพลังยุทธ์… ผู้ที่ไม่มีพลังยุทธ์ในโลกนี้นั้นถือว่าเป็นเพียง “ชนชั้นต่ำ” เท่านั้น เพราะไม่มีใครต้องการคนอ่อนแอ…
ซึ่งตอนนี้ผมก็มีอายุ 12 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จึงสมัครข้าเข้ายังสำนักถังสินะ… ส่วนศิษย์พี่ของข้านั้นมีอายุ 16 ปีแล้วและท่านพี่นั้นได้ทำการฝึกฝนกับสำนักถังอยู่เป็นเวลาถึง 4 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ระดับศิษย์ยุทธ์ ท่านพี่นั้นมีค่าพลังยุทธ์อยู่เพียง 10 เท่านั้น… แต่ทว่าถือว่าเป็นยอดฝีมือที่ใช้เวลาเพียง 4 ปีค่าพลังถึงเพิ่มขึ้นมาขนาดนี้นับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว…
“สำนักถังอย่างนั้นหรือขอรับ…” [ผมถาม]
“ใช่…เจ้ามีปัญหารึไม่…” [ท่านพ่อถาม]
“มิมีขอรับ…ท่านพ่อว่าเช่นข้าว่าตามขอรับ…” [ผมตอบ]
“อืม…ดี…งั้นหลังจากพวกเจ้าทานข้าวกันเสร็จก็กลับไปเตรียมของให้เรียบร้อย…เข้าใจนะ” [ท่านพ่อถาม]
“ขอรับ…” [ผมกับพี่เฉินหมิงตอบ]
.
.
.
หลังจากที่พวกผมรับประทานอาหารเสร็จผมกับพี่เฉินหมิงก็ปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อไปเตรียมความพร้อมตามที่ท่านพ่อได้เอ่ยสั่งไว้เมื่อสักครู่… พี่เฉินหมิงนั้นแลมีความสุขที่จะได้กลับไปที่สำนักถัง มันต้องมีอะไรแน่ๆ… รอยยิ้มที่ดูดีใจของพี่เฉินหมิงนั้นมันดูสดใสกว่าทีควรจะเป็น
“พี่ครับ…ทำไมพี่ถึงดีใจที่จะได้ไปสำนักถังละครับ เค้าไม่ได้เข้มงวดหรอกหรือ…” [ผมเอ่ยถาม]
“ไม่นะ…พี่ว่า\~สำนักถังค่อยข้างใจดีระดับนึงเลยละ แม้นว่ากฎเกณฑ์จะเยอะก็ตาม😅” [พี่เฉินหมิงตอบ]
“…อ่อ ครับ” [ผมตอบก่อนจะเดินเข้าห้องไปเก็บของที่จำเป็นใส่ถุงผ้าให้เรียบร้อย]
ตัวผมเองนั้นยังต้องเรียนรู้อะไรๆอีกมากไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ วิชายุทธ์ ลมปรานภายใน…ผมกลัว…กลัวว่าจะทำให้ตระกูลเราต้องขายหน้า…กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาดหรือหลงผิดไปในที่ๆไม่ควร ประพฤติอะไรที่ไม่สุภาพหรือเหมาะสม ผมกลัวไปหมด… แต่ผมก็หลีกเลี้ยงออกจากมันไม่ได้เพราะมันคงต้องเรียกว่าเป็นชะตากรรมที่ผมต้องยอมรับและรวมถึงเป็นหน้าที่ ที่ผมองค์รัชทายาทต้องรับผิดชอบ!!
อ่อผมคงลืมบอกกับทุกคนไป การแบ่งระดับยุทธ์นั้นมันไม่ได้มีแค่นี้ มันมีแบบย่อยกว่านั้นอีกนั้นก็คือธาตุ มี สวรรค์ อัสนี อัคคี วารี วายุ ธรณี ความแข็งแกร่งตามลำดับ ซึ่งแถบไม่เคยมีนักวิทยายุทธ์คนไหนเคยมีธาตุเกิน 2 ธาตุตั้งแต่กำเนิด ธาตุที่มีความหายากมากที่สุดคือ สวรรค์ และ อัสนี เพราะเป็นธาตุชั้นสูง…ซึ่งผู้ที่เคยมีนั้นได้รับความทุกข์ทรมานในการควบคุมธาตุทั้ง2ชนิดนี้ ว่ากันว่าธาตุ2ชนิดนี้เมื่อผู้ใดมีผู้นั้นจะมีค่าพลังมากในอนาคตอีกทั้งธาตุ2ชนิดนั้นยังนำความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้มาสู่ผู้ใช้งาน…
ในขณะที่ผมเก็บของนั้นท่านพี่เก็บของเสร็จแล้วเดินมาหาผมด้วยท่าทางที่มีความสุข ซึ่งมันบ่งบอกว่าพี่เฉินหมิงนั้นดีใจสุดๆ… ผมก็รับรีบเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องพร้อมพี่เฉินหมิง… ในขณะที่กำลังเดินไปยังห้องโถงนั้นมีขุนนางในวังเดินสวนกับพวกผมค่อนข้างมาก และแน่นอนเค้าจ้องมองผมด้วยสายตาดูถูกเพราะอะไรผมเองก็ไม่ทราบผมทำได้แค่เดินต่อไปแบบไม่สนใจอะไร…
“ เจ้ามองน้องข้าทำไม…” [เฉินหมิงเอ่ย]
ผมหันกลับไปมองตามเสียงของท่านพี่ทันที…ผมถึงกลับอึ้งไปเลยที่เดียวเพราะภาพที่ผมเห็นคือกระบี่ที่อยู่ในมือท่านพี่นั้นมันกำลังจี้ที่คอของขุนนางคนหนึ่ง…
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ” [ขุนนางคนนั้นหัวเราะ]
ขุนนางผู้นั้นมิได้แสดงอาการเกรงกลัวหรือสำนึกผิดแต่กลับขำออกมาด้วยเสียงที่ชวนขนหัวลุก ท่านพี่ที่เห็นเช่นนั้นเลยจิ้กระบี่เข้าไปใกล้คอของขุนนางผู้นั้นยิ่งขึ้นจนเห็นเลือดไหลออกมาตามกระบี่เล็กน้อย…
“ ท่านพี่! พอเถิดท่านอย่าให้มือของท่านต้องเปื้อนเลือนของคนพวกนี้เลยข้ามิเป็นอะไร ข้าชินแล้วละ…” [ผมเอ่ย]
“ เจ้าก็เป็นซะแบบนี้แหละ พวกมันถึงได้กำเริบต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้ามิเห็นรึขนาดข้าเอากระบี่จี้คอเยี่ยงนี้ ยังไม่วายที่จะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย เจ้าจะปล่อยคนเยี่ยงนี้ไปงั้นหรือ?” [ท่านพี่เฉินหมิวเอ่ย]
“…”
ผมไม่ได้ตอบพี่เฉินหมิงกลับไป พี่เฉินหมิงหลังจากเอ่ยถามผมเสร็จก็หันกลับไปหาขุนนางผู้นั้นอีกคราว ท่านพี่คงแค้งเคืองยิ่งนักที่ข้าโดนกำเริบเสิบสานมานานเช่นนี้ แต่ก็อย่างว่าเราไม่ใช่ที่รักของทุกๆคน มีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด คนหมั่นไส้… ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำอะไรให้ก็ตาม…
“ ปึก ปึก ปึก…” [เสียงฝีเท้า]
ในขณะที่พวกเรากำลังมีปัญหาหาอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น…มันดังขึ้นเรื่อยๆ ที่มาของเสียงก็คือเสียงฝีเท้าของท่านพ่อนั้นเองท่านพ่อคงเห็นว่าผมกับท่านพี่หายไปนานจึงมาตาม…แต่ทว่าเมื่อท่านพ่อเห็นพี่เฉินหมิงจี้กระบี่ที่คอของคุณนางแบบนั้นจึง เข้าไปห้ามปรามพร้อมถามเหตุผลที่ท่านพี่ทำเช่นนั้น…เมื่อท่านพี่อธิบายให้ท่านพ่อฟังจนจบขุนนางคนนั้นก็เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันที พร้อมยกมือไหว้กราบที่พื้นเพื่อของอภัยโทษจากท่านพ่อแต่แน่นอนวังแห่งนี้มีกฎเกณฑ์ที่ว่าห้ามลบหลู่ราชวงศ์ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต… ด้วยเหตุนี้ขุนนางผู้นั้นจึงมีโทษประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ เมื่อมีโทษประหารเหล่าทหารพระราชวังก็มาลากตัวขุนนางผู้นี้ไปทันที…
“ ท่านพี่…ท่านไม่น่าโกรธขนาดนั้นนะครับ…” [ผมเอ่ย]
“ เป็นใครย่อมโกรธ เพราะเค้ามาว่าร้ายหรือดูหมิ่นน้องชายข้า… เจ้าอย่าใจดีมากเถิด…” [ท่านพี่ตอบ]
“ ขอรับ…”
เมื่อพวกผมกับท่านพ่อคุยเรื่องปัญหาจบก็เดินไปยังท่าเรือเพื่อเดินทางไปยังสำนักถังพร้อมกับท่านพ่อโดยท่านแม่จะดูแลวังจนกว่าท่านพ่อจะกลับมา…ท่านพ่อนะท่านพ่อเหตุใดถึงมิบอกข้าว่าจะไปสำนักถังวันนี้ช่างใจร้ายเสียจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านพี่ถึงดูมีความสุขแบบแปลกๆ ผมคิดไว้แล้วเชียวว่ามันจะต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดา แล้วมันก็มีจริงๆด้วยสินะ😩 นี่ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ที่นี่นะผมคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงนิยายหรือการ์ตูนนะเนี่ย\~🤔 เฮ้อ\~\~เอาเถอะทีนี้ผมก็ต้องไปใช้ชีวิตต่อที่สำนักถังสินะผมคงคิดถึงบ้านน่าดู…
“ เอาละ…มุ่งหน้าไปยังสำนักถังได้…” [ท่านพ่อเอ่ย]
“ ขอรับ!!!” [ทหารเรือกล่าว]
เอาละนี่คือชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผม…ต้องทำมันให้ดีที่สุด เพื่อลบความสบประมาทจากใครหลายๆที่ว่าผมอ่อนแอให้ได้!!😤
ติดตามตอนต่อไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments