สวัสดีครับ ผมเป็นผู้ชายขายตัว
สวัสดีอีกรอบครับ คุณจะเรียกผมว่าหมอกหรือเมฆก็ได้นะครับเพราะชื่อจริง ๆ ของผมคือ เมฆหมอก ผมเกิดและโตอยู่ทางภาคเหนือของประเทศหนึ่งที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ตั้งแต่เด็กจนโตมาผมใช่ชีวิตอย่างสนุกสนานวิ่งเล่นกลับเพื่อนอย่างมีความสุขเมื่อก็นะ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น นั้นหมายถึงภาวะทางความคิดเราก็มีมากขึ้นเฉกเช่นเดียวกัน และนั้นคือต้นเหตุของเรื่อง จากที่ผมมีเพื่อนวิ่งเล่นกันอย่าสนุกสนานบัดนี้กลับกลายเป็นว่าผมได้นั่งเล่นอยู่ตัวคนเดียวในห้องน้ำชายเก่า ๆ โทรม ๆ ของโรงเรียนรัฐธรรมดา ๆ ผมชอบที่นี่นะมันสงบและปราศจากผู้คนดีแต่ถ้าให้เลือกได้ผมก็ไม่อยากที่จะอยู่ที่ตรงนี้นักหรอก ผมถูกเพื่อน ๆ ผู้คนรอบข้างตีตัวออกห่างเพียงเพราะ
“แม่ไอ้เมฆหมอกแม่งเป็นโสเภณีว่ะ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันหัวเราะชอบใจ พากันล้อผมจนผมรำคาญ เริ่มจากที่หนึ่งคนจนตอนนี้เรื่องราวของผมกลายเป็นหัวข้อการสนทนาที่สนุกปากของคนที่ผมยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของพวกเขา
ชีวิตในโรงเรียนของเด็กชายเมฆหมอกที่มีแม่เป็นผู้หญิงขายตัวก็คงหนีไม่พ้น การถูกล้อเรียนเรื่องอาชีพของแม่ การถูกรุมแกล้ง การถูกมองข้าม การโดนเหยียดหยาม โดนเปรียบเทียบ จนตอนนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติในการใช้ชีวิตในรั่วของโรงเรียนของผมไปเสียแล้ว
“นี่ล่ะนะลูกพอแม่ไม่สั่งสอน”
มันคงเป็นอีกประโยคหนึ่งที่แทบจะติดท็อปของประโยคที่ผมได้รับในแต่ล่ะจากพ่อแม่ผู้ปกครองของเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ แต่ผมกลับตั้งคำถามให้กับพวกเขานะ ว่าไอ้คำว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนนี้มันหมายถึงตัวผมหรือหมายถึงตัวเขากันแน่ เพราะตั้งแต่ที่ผมเกิดมาแม่สอนผมเรียนรู้การใช้ชีวิต การเอาตัวรอดจากสังคมโคมแดง สอนการบ้านเท่าที่ตนสามารถสอนให้ผมได้ สอนให้รู้จักบุญคุณคน เคารพคนอื่นไม่ว่าเขาจะด่าเรายังไงก็ให้บอกกับตัวเองว่าเราก็คือเรา คนที่สามารถดูถูกตัวเราได้นั้นมีแค่ตัวเรา แต่มันก็เป็นแค่ความสงสัยของผมเท่านั้นแหละ ผมไม่กล้าถามพวกเขาออกไปหรอกเพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คงเป็นเพียงแค่คำดูถูก เหยียดหยามเหมือนปกติทั่วไปที่ผมได้รับเป็นเรื่องปกติ
“ครูมีเรื่องจะพูดกับเรา ถ้าหากแม่เรามาสะดวกที่จะมาร่วมกิจกรรมในโรงเรียน ครูอนุญาตให้ไม่ต้องมาได้นะ”
เป็นประโยคที่ดูเหมือนจะสุภาพแต่ท่าทางของคุณครูนั่นช่างตรงกันข้าม ถ้าหากบอกผมว่าไม่ต้องให้แม่เธอมาร่วมกิจกรรมหรอกอายคนอื่นเขา ง่าย ๆ แบบนี้ผมจะเข้าใจง่ายกว่านะครับคุณครู และที่ตลกกว่านั้นคืออะไรรู้ป่ะ มันคือการที่แกเป็นคนสอนให้ผมรู้จักกับคำว่าความเท่าเทียมกันในสังคม ความเสมอภาค หรือรู้จักคุณค่าและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในรายวิชาสังคมศึกษา มันน่าตลกนะคุณว่าไหม อยากจะหัวเราะออกมาจริง ๆ
มันก็เป็นอีกเรื่องที่กลายมาเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปแล้ว ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุก ๆ ปี ที่ผมเรียนที่นี่ คุณครูที่ปรึกษาทุกคนมักจะพูดกับผมในทำนองนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันแม่ที่แม่ของคนอื่น ๆ มาได้ แต่ผมกลับต้องอยู่ตัวคนเดียวในห้องน้ำชายห้องเดิมโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าผมหายตัวไปหรือเขาไม่สนใจกันนะอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตกเย็นผมกลับบ้านพวกป้า ๆ มักจะมาหาผมในวันนี้อยู่เสมอ พวกเขาก็เหมือนแม่คนที่สองของผมล่ะมั้งครับแถมยังบังคับให้ผมรดน้ำพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาบอกว่า
“มันเป็นสิ่งที่ดีเมื่อมีโอกาสก็ให้ทำมันซะ อย่าได้เขินอายกับการที่ต้องลงไปกราบเท้าแม่ของตัวเอง ถึงแม่แกจะเป็นผู้หญิงขายตัวแต่แม่แกก็คือแม่แก จะเอาไว้นะเมฆหมอก ถึงคนอื่นเขาจะว่ายังไงคุณค่าของเอ็งมันก็อยู่ที่ตัวเอ็งเสมอมันไม่หายหรือด้อยไปกว่าคนอื่นเขาหรอก”
ผมกับแม่เรามักจะมีข้อตกลงกันอยู่เสมอว่าเมื่อถึงเวลากลับบ้านก็ควรรีบกับแต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ต้องรีบกลับบ้าน เพราะมันคงไม่น่ามองเท่าไหร่นักกับสภาพของบ้านจะเรียกว่าบ้านมันก็ดูอบอุ่นไปเรียกว่าห้องเช่าโกโรโกโสจะดีกว่าแต่ด้วยที่นี่ค่าเช่าถูกและเป็นเพียงไม่กี่ที่ที่ผมจะสามารถอยู่กับแม่ได้ ภายในห้องของผมกับแม่มีเพียงแค่ หนึ่งห้องโล่ง ๆ กับอีกหนึ่งห้องน้ำ เพียงแค่นั้น เป็นหนึ่งห้องที่ใช้ทำทุกอย่างตั้งแต่กินข้าวไปจนถึงนอน ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จำความได้และในตอนผมเล็ก ๆ ผมจำได้ว่าจะมีพวกคุณป้ามาคอยดูแลผมอยู่เสมอเมื่อถึงเวลาที่แม่ต้องทำงาน
แม่บอกกลับผมว่า ถึงแม่จะทำงานขายตัวเพื่อแกกับเงินแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าแม่ต้องขายจิตวิญญาณหรือคุณค่าของตัวแม่ไปด้วย มันเป็นประโยคที่ทำเอาผมงงและหาคำตอบไม่ได้จนถึงตอนนี้
หลังจากที่ผมต้องทนเรียนอยู่โรงเรียนจนจบภาคบังคับของรัฐบาลที่ผมก็ยังคงสงสัยว่าผมต้องเรียนไปทำไม แต่เมื่อผมถามคำถามนี้กับแม่ แม่มักจะดุผมกลับมาเสมอ แม่บอกกลับผมว่าการเรียนจะช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีกว่าที่แม่มี และจากนั้นแม่ก็มักจะร้องไห้ออกมาทุกครั้งหลังจากที่แม่พูดจบประโยคนี้ ผมไม่เคยเจอหน้าพ่อ และแม่ผมก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าพ่อของผมนั้นเป็นใคร หรือชื่ออะไร รู้แค่ว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อบริการกับแม่แค่นั้น เพราะงั้นผมจึงไม่สามารถบอกกับพวกคุณได้ว่าพ่อผมเป็นใครเพราะปัจจุบันนี้ผมก็ยังคงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพ่อผมเป็นใคร
หลังจากที่ผมเรียนจบผมจึงตัดสินใจย้ายมาเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เอาจริง ๆ คือผมพูดให้มันดูดีเท่านั้นแหละ ผมมาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าเรียนราม ที่ผมเลือกที่จะเรียนที่นี่เพราะว่ามันสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ และถ้าหากมีใครสงสัยว่าผมมาเรียนไกลจากที่บ้านขนาดนี้แล้วแม่ของผมล่ะ แม่ผมเขาจะอยู่ยังไง ผมคงต้องตอบว่าท่านจากผมไปแล้วตั้งแต่ช่วงที่ผมกำลังสอบปลายภาคตอน ม. หกซึ่งเป็นวันสอบวันสุดท้ายในตอนนั้นผมดีใจแทบตายที่ผมจะได้ออกไปใช้ชีวิตที่ดีกว่าการมาเรียนอยู่ที่นี่ แต่หลังจากที่ผมกลับถึงห้องผมก็ได้พบกับความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมว่า แม่ของผมไม่อยู่กับผมอีกต่อไปแล้ว
ผมเจอแม่ในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่น่ามองเลยทีเดียวท่านนอนจมกองเลือดอยู่กลางห้องคอของแม่ถูกกรีดด้วยมีดที่แม่ถืออยู่ในมือ แม่ไม่ได้บอกอะไรผมเลย ไม่เคยบอกว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ไม่เคยบอกว่าจะจากผมไป แม่ไม่เคยบอกผมเลย ศพของแม่ถูกนำไปทำพิธีตามธรรมเนียมประเพณีเป็นที่เรียบร้อย ผมเตรียมตัวที่จะย้ายไปอยู่ที่หอพักในกรุงเทพเพราะที่นี่ไม่มีใครรอผมอยู่ที่นี่แล้ว แต่เรื่องวุ่นวายมันก็เกิดขึ้นเมื่อเจ้านายของแม่ไม่ยอมและพยายามจะบังคับให้ผมทำงานแทนแม่ แต่ผมได้พวกป้า ๆ ที่เป็นเพื่อนที่ทำงานของแม่ช่วยไว้ได้และพวกท่านก็พาผมหนีมาได้ คำพูดสุดท้ายที่พวกท่านพูดคือ
“ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ซะ”
พวกเขาบอกผมเพียงแค่นี้ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกไปจากชานชาลาและมุ่งตรงมายังกรุงเทพมหานครเมืองที่ไม่เคยหลับใหลผมได้ยินมาอย่างนั้นนะอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงไหมเพราะนี้มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางมายังกรุงเทพ เมืองหลวงของประเทศไทย รู้ว่าทุกคนรู้จักแต่ผมก็แค่อยากบอกจะทำไมนี้เป็นเรื่องราวของผม ผมจะเขียนอะไรลงไปก็ได้ คุณมีหน้าที่อ่านก็อ่านไปเข้าใจไหมครับ อ่ะ ยิ้มหวานให้ด้วย และเรื่องราวของชีวิตบทต่อไปของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้นต่อจากนี้ไป
ผมเริ่มต้นทำงานพิเศษหลังจากที่ผมเดินทางมาถึงกรุงเทพในสัปดาห์แรกของการมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ผมถูกแนะนำให้ทำงานอยู่ที่บาร์เกย์แห่งหนึ่งจากเพื่อนของพวกป้า ๆ เขานั่นแหละ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะแนะนำบาร์เกย์ให้กับผม คือจริง ๆ ผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรพวกเขาหรอกนะแต่ผมแค่คิดไม่ถึงว่าพวกป้า ๆ จะรู้จักที่อะไรแบบนี้ด้วย และแล้วการทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ผมทำงานในตอนกลางคืนและอ่านหนังสือในตอนเกือบเช้าเอาง่ายคือผมเลิกงานตอนตีสามกลับถึงหอตอนตีสี่และอ่านหนังสือจนถึงเจ็ดโมงเช้าก่อนเข้านอนตอนแปดโมงชีวิตของผมหมุนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำ ๆ จนผมสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นคนกลางคืนอย่างแท้จริงคือทำงานตอนกลางคืนและนอนตอนกลางวัน ในตอนแรกถามว่าปรับตัวได้ไหมตอบเลยว่ายากมากแต่เพื่อเงินแล้วผมก็ต้องทำให้ได้ ผมใช้ชีวิตอยู่แบบนี้จนตอนนี้ผมใกล้จะเรียนจบแล้วและเหลือแต่สอบวิชาสุดท้ายแล้ว และมันก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมนึกย้อนไปในอดีต วันสอบวันสุดท้ายกับการเจอแม่วันสุดท้ายเช่นเดียวกัน
หลังจากผมจบผมก็เริ่มเข้ามาทำงานที่บาร์แห่งนี้อย่างถาวรโดยรับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ และตอนนี้ผมเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าผมนี้แม่ง วนเวียนอยู่กับเรื่องคาวโลกีย์แบบนี้ตั้งแต่ผมยังเด็กแต่ด้วยความที่ผมไม่สามารถเลือกเกิดหรือเลือกที่จะอยู่กับใครได้และอาจจะเป็นเพราะผมอยู่และโตมากับมันจนกลายมาเป็นเรื่องปกติสำหรับผมแต่มันอาจจะไม่ปกติสำหรับพวกคุณ
ผมทำงานในตำแหน่งใหม่ได้ไม่นานผมก็เริ่มมีความรักขึ้นมาแรก ๆ ผมก็แปลกใจกับตัวเองว่าผมทำงานที่บาร์เกย์แต่มีแฟนเป็นผู้หญิง พูดให้ใครฟังพวกเขาคงไม่เชื่อ แต่เชื่อเถอะเพราะมันคือเรื่องจริง แฟนของผมคนแรกเขาเป็นผู้หญิงที่หลงเข้ามาในร้านเพราะนึกว่านี้เป็นบาร์ทั่วไป และหลังจากนั้นพวกเราก็พัฒนาความสัมพันธ์กันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมเปิดใจให้กับเธอและเล่าเรื่องราวของแม่ให้เธอฟัง เธอมีท่าทีตกใจนะแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และหลังจากที่เธอรู้เรื่องราวของครอบครัวผมเธอก็หายไปจากชีวิตผมในทันที ผมไม่สามารถติดต่อเธอได้อีกเลยหลังจากตอนนั้น และมารู้อีกทีเมื่อตอนที่เธอประกาศคบกับแฟนใหม่ที่ทำงานเป็นหมอและครอบครัวของเขาก็ค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคม ถ้าหากจะถามว่าผมโกรธเธอไหมผมตอบเลยว่าไม่ ผมแค่เสียใจที่เธอไม่ยอมบอกอะไรผมเลยมากกว่ามันทั้งเสียใจและเจ็บใจ
ผมตัดสินใจใช่เหล้าในการแก้ปัญหาแต่มันกลับนำปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าที่ผมจะรับไหวมาให้ผมแทนซะงั้น ผมตื่นขึ้นมาในเช้าของวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่ผมรู้สึกไม่สบายตัว ร่างกายเหนียวเนอะไปหมดและเมื่อผมตั้งสติได้ผมก็ได้พบกลับความจริงที่ว่า ผมนอนอยู่กับผู้ชายที่นอนแก้ผ้า จริง ๆ มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะชอบนอนแก้ผ้าแต่สิ่งที่ไม่ปกติหรือปกติอันนี้ผมก็ไม่รู้คือ ถุงยางพาสติกถ้าเป็นงั้นได้ก็ดี ถุงยางอนามัยที่เต็มเกลื่อนอยู่บนพื้น,อยู่ที่พื้นห้องกับชายแปลกหน้าอีกสี่คน คิดแล้วก็อยากจะหัวเราะให้กับชีวิตของตัวเองจริง ๆ ครั้งแรกที่ผมได้นอนกับผู้ชาย ผมมีอะไรกับผู้ชายถึงสี่คนในประสบการณ์การมีเซ็กกับผู้ชายครั้งแรก อิจฉาผมไหมล่ะ เหอะ ๆ ๆ
หลังจากเกิดเรื่องในครั้งนั่นผมตัดสินใจว่าจะไม่ดื่มเหล้าไปตลอดชีวิตแต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะงานที่ผมทำนั้นมันก็คืองานเกี่ยวกับเหล้า ผมกลับมาทำงานเป็นปกติ แต่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นคือเมื่อผมก้าวเข้ามาในร้านทุกสายตาของพนักงานในร้านมองมาที่ผม ผมงงนะ อยากจะถามว่ามองผมทำไมแต่ก่อนที่จะได้ถามสายตาผมไปสะดุดอยู่ที่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งของพนักงานในร้าน และมันทำให้ผมได้รู้คำตอบและคงไม่ต้องเดาให้มากเพราะในโทรศัพท์เครื่องนั้นกำลังเปิดคลิปที่มีผมเป็นตัวเอกอยู่ในนั้น และแน่นอนผมถูกไล่ออกจากงานเพราะเรื่องฉาวในครั้งนั้น
และเรื่องราวบทต่อมาก็เริ่มขึ้นเมื่อผมที่ในตอนนี้มีอาชีพคือ ผู้ชายขายน้ำ ช่างเป็นอะไรที่อยากจะหัวเราะออกมาจริง ๆ ถ้าถามว่าผมมาขายตัวได้ยังไงก็ต้องตอบได้ว่าเรื่องราวมันค่อนข้างยาวผมจะเล่าแบบรวบรัดง่าย ๆ เลยก็คือหลังจากที่ผมโดนไล่ออกจากงานผมก็ไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งแต่ทำงานได้ไม่นานนักก็ถูกไล่ออกเพราะคลิปนั้นอีกครั้งจากฝีมือเด็กฝึกงานที่ผมมาแย่งตำแหน่งงานของเขาไป และหลังจากนั้นพอผมไปสมัครงานที่ไหนผมก็มักจะถูกปฏิเสธอยู่ทุกครั้ง แต่ไม่เป็นไรผมชินแล้วกับการถูกปฏิเสธ และนี้คือทางออกสุดท้ายของคนไม่มีอะไรจะเสียอย่างผม เพราะผมไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ
ผมทำงานในอาชีพนี้มันทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายหลายอย่าง หลักเลยก็คือสายตาของคนรอบข้างแน่ล่ะมันคงไม่ใช่สายตาที่ดีนักหรอก มันเต็มไปด้วยสายตาของการสมเพช รังเกียจ และเหยียดหยามจนผมไม่สามารถอยู่ที่หอพักแห่งนั้นได้อีกตอนไปเพราะทุกครั้งที่ผมเดินผ่านเพื่อนบ้านที่อยู่ที่หอพักเดียวกับผมมักจะได้ยินสิ่งนี้เสมอ
“สกปรก”
ง่าย ๆ สั้น ๆ ได้ใจความ
ผมพยายามที่จะไม่คิดอะไรกับคำพูดพวกนั้นแต่ผมกลับทำไม่ได้ ผมย้ายมาอยู่ที่พักแห่งใหม่และใกล้ที่ทำงาน ผมทำงานมาได้สักระยะหนึ่งผมกลับมีความรู้สึกว่าช่วงนี้มักจะมีลูกค้าคนหนึ่งที่มาที่นี่บ่อยและเขามักจะซื้อตัวผมทุกครั้งที่เขามา เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหน้าตาดีจริง ๆ คือดีมากเสียด้วยซ้ำจนผมอดนึกไม่ได้ว่าคนอย่างเขาอดอยากถึงต้องมาซื้อกินด้วยเหรอ และที่สำคัญเลยก็คือเขากระเป๋าหนักมาก แต่ผมคงไม่ถามเขาออกไปหรอกเดี๋ยวอดได้ตังค์
และก็แน่นอนเป็นไปตามท้องเรื่องนิยายรัก หวาน ๆ ทั่วไป เขาซื้อตัวผมมาจากที่ทำงานและพาผมมาอยู่ด้วยกันกับเขาอย่างมีความสุขครองรักกันไปชั่วชีวิต ใช่เหรอออ นิยายมากครับ หลังจากที่ผมมาอยู่กลับเขาได้ระยะหนึ่งผมต้องเจอกับปัญหาที่ว่า การที่เขาสามารถเข้าไปใช้บริการที่ร้านได้นั้นก็แปลได้ว่าเขานั้นไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียว และแน่นอนครอบครัวของเขาก็ใช่ว่าจะยอมรับเราไปเสียทีเดียว และแล้วทางเลือกสุดท้ายของผมที่เหลืออยู่คือการเดินออกมาและหนีหายไปจากชีวิตของพวกเขา ครอบครัวสุขสันต์ มีพ่อแม่ลูกและหน้าตาทางสังคมที่มั่นคงและดูดี
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ”
นั่นเป็นอีกหนึ่งประโยคที่ผมได้รับมาจากครอบครัวนี้ จากคนที่ผมรักและไว้ใจมากที่สุด
ผมตัดสินใจหนีออกมาจากสังคมห่วยแตกนั่น และมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ มันเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเกย์หนุ่มอายุขึ้นเลขสามในต่างแดน ผมใช่ชีวิตที่นี่ค่อนข้างดีและมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมทำงานให้กลับร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในเมืองท่องเที่ยวของประเทศนี้ ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองอย่างเสรี และราบรื่นไม่มีสายตา ดูถูก เหยียดหยาม คำนินทา ดุด่า หรือแม้แต่ท่าทางที่รังเกียจ ทุกอย่างกำลังเข้าสู่ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป มีรัก มีเลิก มีเจ็บ มีโกรธแต่นี่แหละคือชีวิตของคนอย่างเรา ถ้าจะหวังว่าจะเจอคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดก็คงเป็นไปได้อยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
และแล้วบทสุดท้ายของชีวิตผมก็มาถึงจุดสิ้นสุด ผมตกลงปลงใจอยู่กินกับชายคนหนึ่งที่มีอายุน้อยกว่าผมอยู่สามปี พวกเราเจอกันครั้งแรกที่บาร์ที่ผมชอบไปและเราก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กันมาเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นความรักเล็กของเกย์แก่ ๆ ผมมีความสุขมากที่เขาไม่เคยทอดทิ้งผมไปไหน ถึงผมจะมีปมเรื่องครอบครัวแต่เมื่อมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นบทต่อไปในชีวิตรักผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของตัวเองอีกครั้ง และทำใจกับการจากลาอีกครั้ง แต่เขากับต่างออกไปเขารับฟังเรื่องราวของผมอย่างตั้งใจ และเต็มใจ และเปิดใจที่จะรับฟังและเต็มใจยอมรับตัวผมที่เป็นผม โดยไม่นึกรังเกียจ
“แล้วคนขายตัวเขาไม่ใช่คนรึไง”
“คนขายตัวเขาก็มีคุณค่าเหมือนกันนะ”
“คุณค่าของคุณไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินของพวกเขาที่ซื้อคุณสักหน่อย”
“คุณก็คือคุณ คือคนที่ผมรัก”
“สิ่งที่คุณเคยเจอ กับสิ่งที่คุณกำลังเจอ สำหรับผม ผมว่าอย่างหลังสำคัญกว่านะครับ”
เขาพูดกับผมด้วยประโยคพวกนี้และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้ออกมา หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็เข้าใจกันมากขึ้นและผมก็รักเขามากขึ้นเช่นกัน ชีวิตมันช่างมีความสุข เงียบสงบ ราวกับรอให้พายุคลื่นลูกใหม่กำลังพัดเข้ามา และมันก็เข้ามาหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ผมอยู่กับเขามาได้สิบกว่าปีแต่เวลาเพียงแค่สองวันมันกลับทำให้เขาจากผมไป เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อครอบครัวของเขารู้ว่าผมกับเขาคบกัน พวกเขาไม่ได้ว่าอะไรพวกเราแถมผมยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นเมื่อคลิปตัวเก่าตัวเดิมของผมมันก่อเรื่อง และนั่นทำให้ครอบครัวของเขาเริ่มขุดเรื่องราวของผมขึ้นมา
“อย่าให้ไอ้โสเภณีนี้มาทำให้บ้านเราต้องเสื่อมเสีย”
“ฉันคงไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษแล้ว”
“ถ้าแกยังยืนยันที่จะอยู่กับมันอย่ามาให้แม่เห็นหน้าอีก”
ในตอนนั้นเขาทะเลาะกับที่บ้านหนักมากและต้นเหตุก็คือตัวผม และผมก็ไม่อยากให้เขาต้องทะเลาะกับที่บ้านเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวของผม ผมเสียใจมากแต่เพื่อเขาผมยอมที่จะเป็นคนเสียใจคนเดียวดีกว่าที่จะให้เขาตัดขาดจากครอบครัว ผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อนตลอดทั้งที่ชีวิตของผมว่า คำว่าครอบครัวมันสำคัญยังไง หรือเป็นรูปร่างแบบไหน แต่พวกเขาทำให้ผมคนนี้ได้รู้จักกับมัน และมันคงไม่ใช่เรื่องดีที่ผมจะเห็นแก่ตัวเองและต้องทำให้เขาตัดขาดจากครอบครัว
“คนขายตัวไม่มีสิทธิ์ที่จะรักใครเลยรึไงนะ”
“หรือว่าพวกเขาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับความรักหรือได้รู้จักกับคำว่าครอบครัวเลยใช่ไหม”
“น่าตลกนะที่เขาให้ค่ากับคนที่ตายไปแล้วมากกว่าคนที่มีชีวิตอยู่”
ผมถามเขาในคือสุดท้ายของเรา เขาไม่ตอบอะไรผมกลับมาเลย มีเพียงแค่อ้อมกอดอันสั่นเทา กับหยาดน้ำตาที่ไหลตอบกลับมา จูบสุดท้ายมันช่างขื่นขมและหอมหวาน เจ็บแสบแต่อ่อนโยน ครั้งสุดท้าย คืนสุดท้าย ความรักครั้งสุดท้าย ของผม ลาก่อนนะครับ
“พระเจ้าไม่ใจร้ายกับเราถึงขนาดให้เราอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตหรอกนะ ลาก่อน”
ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขาก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากประตูนั้นและไม่อยากที่มองหันกลับไป
“ผมว่าพระเจ้าคงลืมผมไปแล้วล่ะ”
ยังไงซะผมก็อยู่คนเดียวมาทั้งชีวิตอยู่ไปอีกนิดก็คงไม่เป็นไร
หลังจากนั้นผมก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ผมได้ข่าวเรื่องของเขาบ้างเป็นบางครั้งและครั้งล่าสุดที่ผมได้รับรู้คือการที่เขากำลังจะแต่งงาน เพราะฝ่ายหญิงท้อง ดีจังนะ ผมคงไม่มีวาสนาที่จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นหรอก ในวันก่อนแต่งเขามาหาผมพร้อมน้ำตา และคำขอโทษ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะขอโทษไปทำไมก็ในเมื่อเราเลิกกันไปแล้ว แต่หลังจากที่เขาหันหลังกลับไปผมก็ไม่สามารถที่จะหยุดน้ำตาที่มันไหลลงมาได้เลย ความจุกที่อกมันยังย้ำเตือนผมอยู่เสมอว่าผมไม้สามารถลืมหรือหยุดรักเขาได้เลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
วันเดือนผ่านไปลูกชายของเขาเติบโตมาเป็นหนุ่มวัยรุ่นซุกซนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนทำให้เราได้มาพบกันอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านมาแล้วสิบกว่าปี ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่อย่างชายโสดที่แก่แล้วเต็มที เขามาพักผ่อนกับครอบครัวในวันปิดภาคเรียนของลูกเขาและนั่นทำให้เราพบกัน ผมเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมืองที่ติดทะเลสาบโคโม ของอิตาลี แต่เขาก็ยังเจอผมอยู่ฟ้าช่างเล่นตลกกับพวกเราจริง ๆ
“คุณยังดูดีไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ”
“เปลี่ยนสิ อายุของผมที่เปลี่ยนไป”
“ผมก็คงไม่ต่างจากคุณ ถึงแม้ว่าอายุของผมจะเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปไหนนะ”
เขาพูดแค่นั้นและเดินจากไป อีกแล้ว น้ำตาของผมไหลลงมาอีกแล้วเหมือนสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิด หลังจากนั้นผมกับเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่งเราสองคนได้ลาจากโลกนี้ไป และนี้คงเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวชีวิตของผม สวัสดีครับ ผมนายเมฆหมอก ที่มีแม่เป็นโสเภณี และเรื่องราวชีวิตที่เป็นปกติของผม กับการอยู่ตัวคนเดียวและคำพูดของคน ที่ผมไม่สามารถหนีจากมันได้ ถึงแม้ผมจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติแต่ผมเองก็ไม่อยากให้เรื่องราวของผมกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปหรอกนะครับ
สวัสดีครั้งสุดท้าย และลาก่อน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments