{Winter's Connection} เชื่อม(ใจ)อลวน ยัยเจ้าหญิงน้ำแข็งกับพ่อมดหูแกะ
ร้อน....
มันเป็นคำเเรกที่ฉันบอกกับตัวเองในตอนเช้าของวันที่หนึ่งเมษา เดือนเเห่งเทศกาลสงกรานต์เเละวันหยุดยาว
ตัวฉันในตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงนอน ภายในห้องของตัวเองหลังจากที่เมื่อคืนโต้รุ่งเพื่อปิดโปรเจคนิยายเรื่องล่าสุด
การใช้ชีวิตเเบบมนุษย์กลางคืนนี้ไม่ไหวเลยนะ ทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองรอบที่ล้านเเล้วว่าให้เปลี่ยนเเผนเป็นนอนเร็ว เเล้วตื่นเช้าเเทนเเท้ๆ เเต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักที
ห้วงเวลาเเห่งรัตติกาลเเละความเงียบงันของค่ำคืนมันเป็นช่วงเวลาที่สมองเเล่นที่สุดนินา...
สุดท้ายก็จบด้วยการโต้รุ่งยันเช้า รู้ตัวอีกทีนาฬิกาข้างตัวก็บอกเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าเสียเเล้ว
ใจจริงก็อยากจะนอนต่อไปเรื่อยๆ ลากยาวไปยันบ่ายนั่นเเหละ เเต่ไม่รู้ทำไมชีวิตนักเขียนตาดำๆ อย่างฉันถึงได้ซวยอะไรขนาดนี้นะ เเอร์ที่ติดตั้งไว้ในห้องหลังจากที่บาดเจ็บจากการทำงานหนักเพราะความเอาเเต่ใจของฉันมานานก็ต้องมาพบกับจุดจบที่น่าเศร้าในวันนี้
ไว้อาลัยให้กับ ไดฟูกุ (ชื่อเเอร์) เเละร่างกายของฉันที่กำลังระเหยด้วยเถิด
เห้อ ร้อนเเบบนี้จะไปนอนต่อได้ยังไง อากาศเดือนเมษานี้เป็นอะไรที่ร้อนได้ร้อนดีจริงๆ เลยนะ
มีคำพูดที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอยู่สามฤดู คือ ร้อน ร้อนมาก ร้อนมากๆ อีกที
ซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นนะ ได้ยินว่ากรุงเทพก็ติดอันดับเมืองที่ร้อนเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเหมือนกัน ยิ่งเป็นอากาศในเดือนนี้ด้วย
ถ้าร่างกายคนเราเปลี่ยนสถานะได้เหมือนน้ำ เราก็ควรจะระเหยไปกับอากาศได้เเล้วนะ
//อยากระเหย เเล้วไปเกิดเป็นปลาวาฬจังนะ...// ฉันคิดในใจกับตัวเองไปเรื่อย
สุดท้ายฉันก็ต้องลากสังขารของผู้หญิงวัยยี่สิบสามปี ให้คืบคลานลงมาจากเตียงได้สำเร็จ
สิ่งเเรกที่ฉันทำก็คือเดินไปเปิดตู้เย็น หวังจะอาศัยความเย็นของมันช่วยคลายร้อนได้บ้าง
อา...ตู้เย็นเนี่ยถ้าทำเป็นขนาดเท่าคนเเล้วเอาร่างของเราเข้าไปนอนในนั้นได้ก็ดีสินะ..เเบบนั้นก็จะได้ใช้สำหรับนอนตอนที่ร่างของเราม้วยมรณาไปด้วยได้เลย ทูอินวันดีจริงๆ
//โลงศพเเบบพกพาสินะ...//
ฉันส่ายหัว ไล่ความคิดไร้สาระก่อนจะทำการเปิดตู้เย็นตรงหน้า ความรู้สึกมันก็คงเหมือนการอัญเชิญเวทมนตร์อะไรสักอย่างเเหละมั้ง
"ความ เย็น"
"จง มา"ฉันท่องคาถาเวทมนตร์ในเเบบฉบับของตัวเองก่อนจะเปิดมันออกมา
เเล้วก็ต้องพบกับความผิดหวัง....ตู้เย็นก็เสีย...
ไว้อาลัยให้กับตู้เย็นเเละชีวิตน้อยๆ ของฉันด้วย...
ลาก่อน โมจิ (ชื่อตู้เย็น) ขอให้ได้ใช้ชีวิตในภพภูมิที่ดีนะ ฉันคงจะตามนายไปเร็วๆ นี้ล่ะ
สงสัยคงต้องถึงเวลาเเล้วสินะ เวลาที่ฉันจะต้องออกไปจากป้อมปราการเบนโตะเเห่งนี้ (คอนโดเฉยๆ นั่นเเหละเเค่ตั้งชื่อไปอย่างงั้นเอง)
ฉันสูดลมหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าในการก้าวเท้าออกไป
ฉันเป็นโรคกลัวที่กว้าง...ใช่ฟังไม่ผิดหรอก อาการมันเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็ตรงข้ามกับโรคกลัวที่เเคบน่ะสิ
ฉันชอบอยู่ในห้อง หรืออะไรที่มันไม่ใหญ่มากนัก ถ้าไม่ติดว่าการนอนในกล่องทำให้ปวดหลังฉันคงนอนไปเเล้ว
อาการปวดหลังเรื้อรังนี้ก็ตามรังควานฉันมาสักพักเเล้ว โรคยอดฮิตของนักเขียนหรือพวกพนักงานออฟฟิศนั่นเเหละ ซึ่งตัวฉันจัดอยู่ในอาชีพเเรก
มันเป็นการโชคดีที่ฉันเกิดในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล เลยมีบริการส่งข้าวส่งน้ำไม่ให้อดตาย ทำให้ฉันสามารถใช้ชีวิตไปวันๆ ได้อย่างปกติสุข เเต่นี่คงจะเป็นวันเเรกในรอบเดือนสินะที่ฉันจะออกจากหอ
ฉันสูดลมหายใจอีกครั้ง (รอบที่สอง) ก่อนจะบิดลูกบิดประตูเเละก้าวเดินออกจากห้องไป
เเสงเเดดในยามเที่ยงกำลังสาดส่องลงมาบนหัวฉันอย่างสงบ..
ร้อนชะมัดเลยนะ...
ฉันก้าวเดินไปเรื่อยๆ ตามประสาของฉัน เป้าหมายก็คือ ซูเปอร์มาเก็ตขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกล อย่างน้อยก็จะได้กักตุนเสบียงเพื่อเอาชีวิตรอดไปได้อีกหลายวัน เเล้วยังมีเเอร์เย็นๆ ในการปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำอีกด้วย
ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังเเทรกขึ้นมาเสียก่อน ฉันยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ไปพักหนึ่ง เพื่อที่จะนึกว่าใครกำลังโทรหาฉัน
ครอบครัว...ไม่มีหรอกของเเบบนั้นน่ะ
เพื่อน...ไม่มี..จริงๆ ก็มีเเหละ เเต่ไม่รู้ว่าเรียกว่าเพื่อนได้หรือเปล่า...อย่ามองฉันด้วยสายตาสงสารเเบบนั้นสิ
เเฟน...ตัดไปได้เลย ไม่เคยมี
จริงๆ อาจจะเป็นเพราะนิสัยของฉันด้วยนั่นล่ะ ผู้คนกับความสัมพันธ์น่ะ มันซับซ้อนยุ่งยาก เเล้วก็น่ารำคาญ ฉันเลยพยายามจะหลีกเลี่ยงมัน
อืม ว่าเเต่ใครโทรมากันนะ ทั้งๆ ที่เเค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็รู้เเล้วเเท้ๆ เเต่มันก็เหมือนเป็นหนึ่งในงานอดิเรกสิ้นคิดของฉันนั่นเเหละ ทำเหมือนกับว่าถ้าทายถูกเเล้วจะได้รางวัลงั้นเเหละ
ช่วยไม่ได้งั้นคำตอบสุดท้ายเเล้วกัน
คนขายประกันชัวๆ ฉันตอบคำถามในใจด้วยใบหน้านิ่งๆ ของฉัน
ฉันหยิบโทรศัพท์โดยที่สายตาไม่มองชื่อของคนที่โทรมาพร้อมกับนิ้วมือที่กดปุ่มรับสาย
"ทำอะไรอยู่ยัยเจ้าหญิงน้ำเเข็ง"เสียงปลายสายพูดใส่ฉัน
อ่า...ดันลืมหมอนี่ไปซะได้ กวินท์..เพื่อนตั้งเเต่สมัยมัธยม ที่ไม่อยากนับเป็นเพื่อนเท่าไหร่ บก. สุดโหดที่ชำเเหละนิยายฉันซะไม่เหลือชิ้นดี ถึงฉันจะชอบใช้ให้หมอนี่ตรวจคำผิดให้บ่อยๆ ก็เถอะ...
"...."มีเพียงความเงียบที่ฉันใช้ตอบกลับไปหาเขา
หนึ่งในอีกโรคของฉัน โรคริมฝีปากบนกับล่างติดกัน หรือจะเรียกว่าโรคขี้เกียจขยับปากพูดก็ได้ ฉันชอบพูดกับตัวเองตอนอยู่คนเดียวเท่านั้นเเหละ ให้พูดสื่อสารกับคนอื่นน่ะเหรอ
//ขี้เกียจชะมัด//
"ถ้าเธอยังไม่ยอมขยับปากพูดกับฉันอีกล่ะก็ ฉันจะให้เธอเเก้คำผิดทั้งหมดเอง"
"ว่า" โควตาคำประจำวันของฉันหมดไปหนึ่งคำเเล้วสินะ ทั้งๆ ที่คิดว่าจะใช้เเค่วันละ 100 คำเเท้ๆ จริงๆ มันก็เเค่หนึ่งในงานอดิเรกสิ้นคิดของฉันอีกนั่นเเหละ คนใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมันก็เเบบนี้เเหละ
"งานรวมนักเขียนคราวนี้เธอต้องไป มันเป็นงานเเจกลาย-ปี๊ป"เสียงกดตัดสายของฉันเองเเหละ
ให้ไปงานที่มีคนมาร่วมเกือบสามร้อยคนเนี่ยนะ ให้ไปสู้กับฉลามในทะเลน้ำลึกเเถบมหาสมุทรเเปซิฟิคดีกว่า
ฉันกดตั้งโทรศัพท์เป็นปิดเสียงก่อนจะเดินทอดน่องไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าสู่อาณาจักรที่ชื่อว่าซูเปอร์มาเก็ต
เอาล่ะการผจญภัยบทสุดท้าย (เพราะไม่อยากออกมาอีก) ของฉันเริ่มเเล้วสินะ...
ฉันเดินอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยเหงื่อที่ท่วมอยู่ภายในเสื้อผ้า เสื้อคลุมที่ฉันใส่ออกมาสำหรับกันเเดดได้ปกป้องผิวของฉันเป็นอย่างดี
เเต่มันไม่ได้ช่วยในการปกป้องความร้อนอบอ้าวที่อยู่ภายในเลย บางทีเหงื่อที่ไหลออกมาอาจจะเป็นน้ำตาของร่างกายของฉันที่ร่ำร้องออกมาก็ได้
จะบอกความลับของฉันให้อีกอย่างนะ ฉันเป็นโรคเเพ้เเดดร้อนๆ ...เอาจริงๆ โรคนี้ก็น่าจะเป็นกันทั้งประเทศเเหละมั้ง ไม่สิจะเหมารวมไม่ได้ เอาเป็นว่าอากาศร้อนๆ จากเเดดเนี่ย ควรหายไปจากโลกนี้ได้สักทีนะ...
เมื่อไหร่หิมะจะตกที่กรุงเทพฯ สักทีนะ มันเป็นหนึ่งในคำอธิษฐานก่อนนอนของฉันเลยล่ะ เเต่มันก็ไม่เคยเป็นจริงมาเกือบสิบกว่าปีเเล้ว
เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์ที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริงยังไงล่ะ...
สุดท้ายเเล้วฉันก็เดินทางมาถึงอาณาจักรซูเปอร์มาเก็ตสักที จริงๆ ระยะทางมันก็ไม่ได้ไกลอะไรหรอก ก็เเค่..ฉันเป็นโรคขี้เกียจเคลื่อนไหวร่างกายควบคู่กับโรคความเชื่องช้าเกาะกุมผิวหนังน่ะ กล่าวโดยสรุปก็คือ...
//ขี้เกียจนั่นเเหละ//
เหล่าสุนัขเฝ้าอาณาจักรก็ยังคงนอนอย่างเงียบเชียบอยู่เช่นเคยสินะ ฉันคิดในใจพลางมองใบหน้าของเหล่าน้องหมาที่ประจำการอยู่ด้านหน้า
วันนี้ก็ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักนะ อาณาจักรนี้ต้องพึ่งพาพวกนายเเล้วล่ะ ฉันส่งโทรจิตไปหาพวกมันก่อนจะได้รับการตอบรับเป็นการหาวรับคำสั่ง
สุดท้ายฉันก็เดินพาร่างของตัวเองเข้าไปภายในซูเปอร์มาเก็ต เสียงเปิดประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ ดังขึ้นพร้อมกับสายลมจากสวรรค์ที่พัดผ่านร่างของฉันไป
ถ้าประตูสวรรค์มีจริงก็คงจะมีหน้าตาเเบบนี้สินะ ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ...
ฉันเดินไปเลือกหยิบของต่างๆ ใส่ตะกร้าเพื่อที่จะตุนเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องมีชีวิตรอดให้ได้อีกสามวันสินะ เเต่ว่าก็ว่าเถอะ ไม่รู้ว่าการที่ ไดฟูกุ (เเอร์) กับ โมจิ (ตู้เย็น) เสียชีวิตอะไรจะเลวร้ายกว่ากัน
หนึ่งก็คือความเย็นในการใช้ชีวิต อีกหนึ่งก็คือความเย็นในการรักษาอาหาร ถ้าขาดพวกเธอไปเเล้วฉันจะมีชีวิตรอดไปได้ยังไงกันนะ ที่ผ่านมาขอบคุณที่เหนื่อยมาตลอดนะ พวกเธอจะได้พักอย่างสงบเเล้วล่ะ
ฉันเดินไปเดินมาพร้อมกับหยิบของนุ้นนี่ก่อนจะตรงไปที่เคาน์เตอร์สำหรับจ่ายเงิน สถานที่สุดท้ายก่อนการจากลาจากอาณาจักรเเห่งนี้
"เวฟไหมครับ" พนักงานชายในอาณาจักรซูเปอร์มาเก็ตเอ่ยถาม
ฉันพยักหน้ารับด้วยความขี้เกียจพูด
สุดท้ายเเล้วก็จบภารกิจเยี่ยมเยียนอาณาจักรเพื่อนบ้านเสียที ฉันเดินทอดน่องตากเเอร์เพื่อซึมซับความเย็นเอาไว้ในร่างกายให้มากที่สุดก่อนจะเดินจากไป เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของฉัน อาณาจักรเบนโตะ (คอนโด)
.
.
ร้อน...ทำไมร่างกายของคนเราไม่ระเหยไปได้สักทีนะ อยากเกิดเป็นวาฬจัง ฉันเดินกลับเข้ามายังห้องในคอนโดของฉัน เมื่อมองไปที่บริเวณมุมห้องซึ่งเป็นที่อยู่ของดังโงะ (เครื่องซักผ้า) ก็นึกขึ้นได้ ว่าเมื่อวานตอนกลางคืนก่อนจะโต้รุ่งเราเอาผ้าไปซักไว้นินา
ฉันเดินไปยังตำเเหน่งของดังโงะที่ฉันมอบหมายตำเเหน่งหน้าที่ให้ทำงานอันทรงเกียรติในครั้งนี้ ก่อนจะเปิดฝาหน้า
เเล้วก็ต้องพบว่า...
มันเสีย...
อา วันนี้มันวันอะไรกันนะ...หน้านิ่งๆ ของฉันกระตุกเล็กน้อย
วันมหาซวย?
ก็น่าจะเป็นไปได้
ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปหยิบผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้า โชคดีที่ดูเหมือนว่าผ้าจะซักเสร็จเเล้ว เเค่ยังไม่ได้ปั่นให้เเห้งเฉยๆ ฉันยกขึ้นมาดมดูก็พบว่าไม่ได้มีกลิ่นอับอะไร เเบบนี้ก็เอาไปตากเเดดให้เเห้งซะหน่อยก็น่าจะใช้ได้เเหละมั้ง
ยังไงก็ไม่ได้ออกจากห้องไปให้ใครเห็นบ่อยๆ อยู่เเล้ว เนียนๆ เอาก็ได้เเหละมั้ง
วิถีคนขี้เกียจก็เเบบนี้ล่ะนะ..
ฉันมอบไปรอบ ๆ ห้องเพื่อสำรวจอะไรนิดหน่อยและก็พบว่า..อืม...ห้องเราก็ยังรกเหมือนเดิมเเหะ ช่างเถอะ...ค่อยทำเเล้วกัน ฉันบอกตัวเองเเบบนี้รอบที่หมื่นก่อนจะเดินไปยังระเบียงห้องของตัวเอง ระเบียงห้องของฉันมันยื่นออกมาจากนอกห้องในคอนโด ถือว่ามีพื้นที่อยู่พอสมควร
ฉันเดินไปหยิบไม้เเขวนเสื้อก่อนจะ เริ่มลงมือสะบัดเสื้อผ้าไปมาเพื่อเตรียมนำไปตาก
สายตาของฉันทอดมองเเสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาที่ระเบียงห้องของฉัน
หรือว่าที่วันนี้ฉันดวงซวยมันเป็นเพราะนายกันนะ
นายใช่ไหมที่ทำให้ ไดฟุกุ โมจิ เเละดังโงะต้องจากฉันไป...
เห้อออ ทั้ง ๆ ที่อธิษฐานขอให้หิมะตก อยู่ทุกวันเเท้ๆ ทำไมถึงไม่ทำให้ฉันสมหวังสักทีนะ ตั้งใจทำงานหน่อยสิคุณ
หน้าที่ทำให้คำขอของมนุษย์เป็นจริงน่ะเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรอ
ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว
"เเหมะ " เเต่ยังไม่ทันที่ฉันจะบ่นไปได้มากกว่านี้ ฉันก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีอะไรบางอย่างตกลงมาใส่ปลายจมูกของฉัน สัมผัสที่เย็นวาบไหลผ่านผิวสัมผัสตรงจมูกของฉันไป
"อะไร"ฉันเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มลงไปมองด้วยความสงสัยว่าอะไรกันเเน่ที่ตกลงมาใส่ฉัน
มันเป็นก้อนอะไรสักอย่างสีขาวใสๆ ผิวของมัน มันวาวคล้ายผลึกใส
ใครมาโยนน้ำเเข็งดับร้อนเล่นเเถ- คำพูดในใจของฉันต้องเป็นอันชะงักไป เนื่องจากสายตาของฉันที่เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับสะเก็ดของน้ำเเข็งโปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า สะเก็ดน้ำเเข็งก้อนเล็กๆ พร่างพราวไปทั่ว ก่อให้เกิดทัศนียภาพงดงามตา
สะเก็ดน้ำเเข็งที่มีชื่อเรียกว่า หิมะ....
"วัน นี้ มัน"
"อะไร กัน นะ" ฉันพูดกับตัวเองเสียงเบา ทำไมหิมะถึงตกที่กรุงเทพมหานครไปได้ล่ะ
ที่นี่ประเทศไทยนะ เมืองร้อนที่ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีหิมะตกมาก่อนเลยนะ ไม่เคยมี... เเละก็ไม่น่าจะมีด้วย...
ฉันก็เเค่คิดในใจไปเรื่อยๆ อย่างงั้นเองนะ ก็เเค่อารมณ์บ่นไปเรื่อยตามประสาน่ะ..
ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นความจริงกันล่ะ...
ในหัวของฉันมีความสับสนเเละความคิดมากมายวิ่งไปมา
หลังจากที่คิดวนไปวนมาในหัวด้วยใบหน้าเรียบเฉยเสร็จเเล้ว คำตอบสุดท้ายที่ฉันคิดได้ก็คือ....
ที่นี่ตอนนี้มันเป็นความฝันสินะ....
ใช่เเล้วมันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง....
ถ้างั้นก็ถึงเวลาต้องตื่นสักทีสินะ ในขณะที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปหยิกเเขนตัวเองเพื่อบังคับตัวเองให้ตื่นขึ้น ตรงหน้าของฉันก็มีอะไรบางอย่างร่วงลงมาเสียก่อน
"ตูม! เเพล้ง"เสียงของเเข็งกระทบกันดังขึ้นข้างหน้าของฉัน พร้อมกับไทยากิ (ราวตากผ้า) ที่เเหลกกระจายเป็นชิ้นๆ
ฉันก้มหน้าลงไปมองชิ้นส่วนของไทยากิที่เเหลกกระจายไปอย่างไม่เหลือชิ้นดีด้วยสีหน้านิ่งเฉย นายเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในบรรดาพวกพ้องสินะ ฉันจะไว้อาลัยให้นายนะ ไทยากิ
เเต่ก่อนหน้านั้น....ใครกันล่ะเนี่ย...
ใช่เเล้ววัตถุ หรืออะไรบางอย่างที่ร่วงลงมากระเเทกไทยากิจนเเหลกเป็นชิ้นๆ มันมีรูปร่างเป็นคน
คนจริงๆ ไม่ใช่จิงโจ้...
ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ชาย....ผิวของเขาขาวใสราวกับไม่เคยต้องเเสงเเดด ผมที่ปรกหน้ามีสีดำสนิทดุจน้ำหมึก ชุดที่เขาใส่อยู่มันเป็นชุดคลุมยาวรูปร่างเเปลกตา เเบบที่เห็นได้ตามงานคอสเพลย์ พวกจอมเวทหรืออะไรเทือกๆ นั้น
"อือ "เสียงของคนคนนั้นร้องครางออกมา ฉันที่ตั้งสติได้ก็รีบไปประคองเขาเอาไว้
"..."ในหัวของฉันมีคำพูดเดินไปมาอีกเป็นล้านคำเช่นเดิม เเต่ด้วยความสามารถในการสื่อสารที่เข้าขั้นติดลบทำให้ฉันไม่รู้จะเอ่ยคำพูดอะไรออกไปก่อนดี
"นาย"
"เป็นอะไร"
"ไหม"ฉันปะติดปะต่อคำพูดออกมาเป็นคำๆ ก่อนจะก้มลงไปมองคนที่นอนอยู่ตรงหน้า
ไม่นานเขาคนนี้ก็ลืมตาขึ้น...ดวงตาสีฟ้าครามมันใสราวกับอัญมณีเม็ดงาม มันเหมือนกับเขายัดเอามหาสมุทรเอาไว้ในดวงตาของเขา มันดูใสซื่อ เเต่ก็นุ่มลึกเช่นกัน ดวงตาของเขาเหมือนกับมีมนต์สะกดที่ทำให้ตัวของฉันดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ไม่อาจละสายตาได้เลย....ความรู้สึกเเปลกๆ นี่มันอะไรกันนะ...
เขาจ้องมองฉันนิ่งๆ เเบบนั้นก่อนจะหลับตาลงเเละนิ่งเงียบไป
.
.
.
พระเจ้าคะ...ถ้าเป็นความฝันก็ช่วยทำให้ฉันตื่นทีเถอะค่ะ...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments