^^^Cherry blossom was blooming in my heart, ^^^
^^^spring was gone so fast, he drops hurricane on my stomach, then he was gone so fast^^^
A piece of Kel
ร่างสูงยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะกลืนน้ำสีอำพันจนหมดภายในครั้งเดียว เขายกแขนขึ้นเช็ดปากอย่างลวก ๆ พลางส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ส่วนฉันที่กำลังมองเขาอย่างลุ้นระทึก ก็มีเสียงทักจากคนข้าง ๆ มาดึงความสนใจไปซะงั้น
"นั่งก่อนไหมเกล" พี่ซินเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เขาออกมา ก่อนจะกระตุกแขนฉันให้นั่งลงแต่โดยดี
"รีแลกซ์หน่อยเรา นี่แค่มองยังรู้สึกเกร็งเลย" พี่ผู้ชายที่ดูแบดบอยทักฉันอย่างเป็นมิตร
จะไม่เกร็งได้ไงล่ะคุณพี่ ก็ตรงนี้มีแต่คนที่ฉันไม่รู้จักทั้งนั้นเลย แถมแต่ละคนก็งานดีมากเว่อร์ คิดเหรอว่าคนที่พึ่งจบโรงเรียนสตรีล้วนมาหมาด ๆ อย่างฉันจะมีภูมิคุ้มกันผู้หน้าตาดี?
ไม่มีทางล่ะ แค่นั่งข้างพี่ซินอยู่ตรงนี้ก็เขินจนแทบจะมุดดินหนีแล้ว
"คิดไว้แล้วหรือยังว่าถ้าไอ้ฟอร์ตไม่เมา เราจะทำไง" เสียงกระซิบทุ้มหวานของพี่ซินดังขึ้นถามฉัน
"ก็หนีสิ แล้วพี่ซินก็ต้องช่วยเกลด้วยนะ TT^TT"
"ช่วยยากละ ก็เราดันดื้อเอง แทนที่จะปล่อยให้พี่จัดการตั้งแต่แรก"
"ใครมันจะไปรู้ล่ะ ว่าเพื่อนพี่จะคิดอะไรแผลง ๆ ออกมาแบบนี้ เกลเหนื่อย เกลอยากกลับหอ เมื่อไหร่พี่ฟอร์ตจะสลบไปสักที"
สงสัยว่าทั้งคำตอบและสีหน้าของฉันมันคงจะตลกมากสินะ คนตรงหน้าถึงได้กลั้นยิ้มอยู่แบบนี้
"แหน่ะ จีบกันอยู่นั่นแหละ สนใจเพื่อนบ้างสิโว้ย"
ฉันสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อได้ยินเสียงทัก ต่างจากพี่ซินที่ยังคงมีทีท่าปกติ เขาโต้ตอบเพียงแค่ยกไหล่ขึ้นอย่างกวนประสาท
"เรื่องของกู" พี่ซินตอบเพื่อนที่ส่งเสียงแซวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
ความจริงพี่แกจะปฏิเสธก็ได้นะ ตอบแบบนี้ฉันทำตัวไม่ถูก เขินก็เขิน ประหม่าก็ประหม่า สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วเนี่ย
ครืด ครืด...
นอกจากตัวหล่อนจะสั่นแล้ว โทรศัพท์หล่อนก็ยังจะสั่นด้วยเหรอ
เมื่อฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็ปรากฏว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นยัยปริม ปกติก็ไม่เคยโทรมาเวลานี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ฉันคิดในใจเบา ๆ ก่อนจะลุกออกไปคุยโทรศัพท์
(ถึงหอยัง) ปลายสายถามขึ้นเสียงเรียบ
"ยังไม่กลับเลย ไหนแกบอกว่าจะมาดูฉันซ้อมเต้นวันนี้ไง เทเพื่อนแล้วหนีไปจีบสาวใช่ไหม พูด!"
(พอดีฉันมีงานที่คณะ ไลน์ไปบอกแล้วแต่แกไม่อ่าน)
พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็ผละจากการคุยเพื่อเช็กข้อความที่เพื่อนสาวสุดหล่อพูดถึง และมันก็เป็นจริงดังเธอว่า เป็นฉันเองที่ไม่ได้อ่าน
นี่อาจเป็นข้อเสียของฉันที่เวลาตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ก็จะจดจ่อและมีสมาธิมากเกินไปจนไม่สนใจคนรอบข้าง ยิ่งถ้าเป็นการอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือซ้อมเต้นก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย
และฉันคิดว่าน่าจะมีคนที่เป็นแบบฉันเยอะ แนะนำว่าการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ
จงโทรหาพวกเธอซะ ถ้าคุณมีเรื่องด่วนจริง ๆ
"แฮร่ โทษทีนะ ว่าแต่แกโทรมาตอนนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"
(ก็เห็นแกอัพ ig story ว่าอยู่ร้านเจ้อ้อย เมื่อ 2 ชม. ที่แล้ว แถวนั้นมันเปลี่ยวนะ ทำไมแกยังไม่กลับอีก แล้วนี่จะกลับยังไง กลับตอนไหน มีคนกลับเป็นเพื่อนหรือเปล่า)
"โอ้โห แล้วจะรัวไปไหนคะพ่อ ฉันโอเคโว้ย อย่างน้อยก็มียัยลอฟ เจ้ยาหยี เจ้เอ็มม่าที่อยู่หอโซนเดียวกัน มีเพื่อนเดินกลับแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง"
(กว่าพวกนั้นจะกลับแกไม่นอนตายคาร้านไปก่อนเหรอวะ รู้ว่าตัวเองเลือดจาง แล้วทำไมไม่พักผ่อนเยอะ ๆ)
โอเคค่ะทุกคน ฉันคงเล่าข้ามอะไรไปบางอย่าง
มีช่วงหนึ่งของตอนทำกิจกรรมรับน้อง ที่อยู่ ๆ ฉันก็เกิดเป็นลมขึ้นมากะทันหัน เพราะน้ำตาลในเลือดตก แม้ว่าจะไม่ใช่โรคเลือดจางที่รุนแรงนัก แต่ถ้าไม่รักษาสุขภาพก็อาจจะทำให้ชีวิตลำบากได้เหมือนกัน
ส่วนเหตุการณ์วันนั้น ถ้าไม่ได้ลูกอมกับยาดมของยัยปริมช่วยไว้คงแย่แน่ แถมฉันก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานด้วย ขนาดตอนที่ไปนั่งกินไอศกรีมด้วยกันกับเพื่อน ๆ ฉันยังต้องสั่งโยเกิร์ตไอศกรีมสูตรไดเอตเลย ไม่ใช่ว่าคุมน้ำหนักหรือกลัวอ้วนนะ แต่รสอื่นมันหวานมาก แม้แต่ดาร์กช็อกโกแลตก็ยังหวานเลย แย่จริง ๆ
ว่าแต่วันนี้ทำไมมันมาแปลกจังวะ ปกติก็ไม่ค่อยดุเรานี่
"ทำไงได้ล่ะ ก็มาแล้ว -^-" ฉันแอบทำหน้ามุ่ยน้อย ๆ ในขณะที่ตอบยัยปริม
(ฉันยังไม่กลับคอนโด ให้แวะไปรับไหมล่ะ)
หรือนี่จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการหนี ฉันลอบยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะตอบปลายสายไป
"แกรีบหรือเปล่าล่ะ ถ้าอีก 15 นาทีไม่มีใครกลับ ฉันจะโทรหานะ โอเคไหม"
(โอเค งั้นแค่นี้นะ ดูแลตัวเองด้วย)
"รับทราบค่ะพ่อ" ฉันตอบเสียงทะเล้นก่อนจะกดวางสายไป
ต้องขอบใจยัยปริมที่โทรมาได้ถูกที่ถูกเวลาจริง ๆ ถ้ามีรางวัล best friend award ฉันคงยกให้แกไปแล้วแหละ
ฉันเดินกลับมาที่โต๊ะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหย่อนตัวลงบนที่นั่งเดิม จนไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองฉันอย่างไม่พอใจ
"คนคุยเหรอ" พี่ซินถามฉันด้วยเสียงเรียบ
"เปล่าค่ะ นั่นเพื่อนเกล"
"เพื่อนผู้ชาย?"
"เพื่อนผู้หญิง แต่จะให้พูดว่าเป็นผู้หญิงเต็มปากก็ไม่ได้ เพราะเธอหล่อมาก"
"อ๋อ แล้วเรามีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายบ้างไหม"
"ก็มีเพื่อนผู้ชายนะ แต่ไม่สนิท คือเกลจบสตรีล้วนมา ก็เลยไม่ค่อยคุ้นกับผู้ชายซะเท่าไหร่"
"แสดงว่าตอนนี้ยังไม่มีคนคุย?"
"ไม่จี้ใจดำเกลสิ T^T"
พี่ซินแอบหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจเสียงทักของเพื่อนที่ดังขึ้น ขณะเดียวกันพี่ฟอร์ตก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะมาหาฉัน แล้วดึงแขนฉันให้ลุกขึ้นตาม
"เอาล่ะ สมควรแก่เวลา พร้อมไปกับพี่หรือยังคะ"
"ได้ไงวะ มึงก็เห็นว่าน้องเขาไม่อยากไป"
ฉันที่กำลังทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า ได้แต่มองพี่ฟอร์ตกับพี่ซินสลับกันไปมาอย่างสับสน
"ก็น้องบอกเอง ว่าถ้ากูไม่เมาจะยอมไปกับกู พวกมึงก็ได้ยินใช่ไหม ไอ้ดัน ไอ้กร" แล้วคนที่โดนขานชื่อทั้งสองก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกันอย่างชอบใจกับคำพูดที่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเอ่ยขึ้นด้วยความทะเล้น
"ถึงเกลจะพูดไปแบบนั้น แต่มึงก็แยกแยะหน่อยไม่ได้เหรอวะ" พี่ซินเถียงกลับด้วยความไม่พอใจ และคำพูดนั้นก็เกิดไปสะกิดอารมณ์คนฟังให้ขุ่นมัวขึ้น
"กูจะบอกอะไรไว้อย่างหนึ่งนะเพื่อนรัก ว่าคนอย่างกูอยากได้อะไรก็ต้องได้ ยิ่งถ้าไม่ใช่เมียเพื่อน แต่เป็นแค่น้องเนี่ย ทำไมคนอย่างกูต้องแคร์ด้วยวะ" พี่ฟอร์ตโต้กลับด้วยถ้อยคำที่สร้างความตกใจแก่ฉัน ก่อนจะหันมาจ้องฉันด้วยรอยยิ้มน่ารัก
"ไปกันเถอะค่ะสาวน้อย ห้องพี่มีบริติชช็อตแฮร์กับสก็อตติชโฟลด์หูพับด้วยนะ" เสียงทุ้มหวานละมุนกับแววตาเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ทำให้ฉันหลงเสน่ห์เขาแต่อย่างใด รังแต่จะทำให้ฉันรู้สึกอัดอัดเพิ่มมากขึ้น
แล้วถึงฉันจะเป็นทาสแมว แต่พี่แกจะเอาแมวมาล่อเพื่อพาฉันไปเชือดไม่ได้ไหม ถ้าใครคิดว่าเขาจะพาไปเล่นกับแมวอย่างเดียวล่ะก็ยูโกโฮมเลยนะ
"เอาหน่า เมียก็ไม่ใช่ มึงจะหวงทำซากอะไรวะ ใช่ไหมไอ้ดัน"
"กูก็ว่างั้นแหละไอ้กร"
"พวกมึงหุบปากไปเลยนะ เรื่องนี้กูไม่ตลก"
จากบทสนทนาเมื่อครู่ทำให้ฉันรู้ว่าพี่ที่ดูหล่อร้าย ๆ น่ะชื่อกร ส่วนพี่ที่ดูหล่อน่ารักชื่อดัน ว่าแต่คนอะไรชื่อดันหรือเป็นชื่อย่อสั้น ๆ กันนะ
เอ๊ะ! นี่ฉันควรมาใส่ใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ ควรห่วงตัวเองมากกว่าสิ ทั้งที่ฉันก็รู้นะว่าพวกพี่ ๆ เขาอยากแกล้งพี่ซิน แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วยวะ
"วันนี้เกลซ้อมเต้นมาเกือบ 6 ชั่วโมงร่วมแล้ว คงไปต่อกับพี่ไม่ไหวหรอก ไว้วันหลังไม่ได้เหรอคะ" ฉันแสร้งใช้สายตา พร้อมน้ำเสียงออดอ้อนกับคนที่อยู่ตรงหน้า
ลองใช้ไม้อ่อนดู เผื่อว่าพี่ฟอร์ตจะยอมเปลี่ยนใจ
"คิดจะชิ่งใช่ไหมคะ พี่ไม่หลงกลเราง่าย ๆ หรอก ไม่ต้องมาอ้อนพี่เลย"
พี่ฟอร์ตตอบอย่างล้อเลียน ก่อนจะลากฉันให้เดินตามเขาไปยังรถคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อถึงที่หมายคนตัวสูงก็ควักกุญแจออกมาเพื่อปลดล็อกรถของตน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ เขาก็ฟุบไปกับตัวรถซะงั้น
โอ้พระเจ้า! นี่พี่ฟอร์ตเมาเหรอ?
ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกองกับพื้น ฉันจึงรีบเข้าไปพยุงร่างของเขาเอาไว้ และแน่นอนว่าการพยายามเปิดประตูรถนั้น เป็นอะไรที่ดูทุลักทุเลมากในตอนนี้ พอเปิดประตูรถได้สำเร็จ ฉันก็ทิ้งร่างของพี่ฟอร์ตลงบนเบาะรถทันที พร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขา
"ตัวหนักชะมัด แต่ก็อย่าโกรธกันเลยนะคะ เพราะเกลก็ไม่ได้ตั้งใจ คิคิ"
ฉันพูดเชิงเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะก่อนจะเดินออกไป แต่กลับโดนฉุดให้ลงไปนั่งบนตักของคนที่คิดว่าสลบเหมือดไปแล้ว
"ร้ายเหมือนกันนะเรา ไม่ได้หงิมอย่างที่ไอ้ซินบอกเลยสักนิด"
เสียงกระซิบข้างหูนั้นทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว มือหนาของเขาเลื่อนมาโอบที่เอวของฉันอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนได้กลิ่นแอลกฮอล์อ่อน ๆ จากลมหายใจของเขา
"นี่พี่แกล้งเมาเหรอ"
"ถ้าไม่มีส่วนผสมของยานอนหลับ ก็ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอกค่ะ"
"พี่ทำแบบนี้ทำไม แต่จะยังไงก็ช่าง พี่ควรปล่อยเกลก่อน"
ฉันพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการที่รังแต่จะเพิ่มความรู้สึกอึดอัด แต่สีหน้าของใครอีกคน กลับยิ้มออกมาอย่างพอใจ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉัน เขายิ่งแต่จะเพิ่มแรงกอดให้แน่นกว่าเดิม จนฉันได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากบริเวณคอเสื้อของเขา
"เล่นเกมกันไหมคะ ว่าภายใน 2 นาทีนี้ ถ้าไอ้ซินไม่เดินมาตาม พี่จะถือว่าเรายอมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้"
"หมายความว่ายังไง พี่จะทำอะไรเกล" ร่างกายของฉันเริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
"โอ๋ ๆ ตัวสั่นเชียว ไม่ต้องกลัวนะคะคนดี สัญญาว่าพี่จะออมแรง" พี่ฟอร์ตใช้หัวแม่มือลูบต้นแขนฉันเบา ๆ ก่อนจะระบายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาประดับบนใบหน้าที่แสนยั่วยวนของเขา
ถ้า 2 นาทีต่อจากนี้พี่ซินไม่มา ฉันจะต้องถูกจับเชือดบนรถจริง ๆ เหรอ
ไม่นะจอร์จ อย่างน้อยครั้งแรกก็ขอบนเตียงเถอะ แล้วก็ขอกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่คนที่พร้อมจะฟันชาวบ้านไปทั่วแบบนี้ ฉันกลัวจริง ๆ นะ แถมสู้แรงเขาไม่ไหวด้วย ดิ้นจนเหนื่อยไปหมดแล้ว
"ทำไมเกลถึงตัวหอมอย่างนี้ล่ะคะ"
ร่างสูงถือวิสาสะฝังจมูกลงบนกระดูกไหปลาร้า เพื่อสูดดมกลิ่นกายของฉันอย่างเชยชม ก่อนจะใช้ริมฝีปากนุ่มประทับจุมพิตที่ไร้ร่องรอยลงบริเวณข้างลำคอ แล้วรุกล้ำขึ้นไปงับเบา ๆ ที่ใบหู
ในขณะเดียวกันนั้น ร่างกายของฉันกลับกระตุกขึ้นรับสัมผัสจาบจ้วงของคนตรงหน้าอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ช่างเป็นการกระทำที่ปลุกปั่นอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่โทษทีที่ฉันใจแข็ง ฉันจะไม่ยอมมีอารมณ์ร่วมง่าย ๆ หรอก
"อ๊ะ พี่ฟอร์ต หยุดเถอะนะ เกลขอร้อง"
ในขณะที่ฉันพยายามทำใจดีสู้เสืออยู่นั้น พี่ฟอร์ตก็ผละร่างฉันออกไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะกระตุกยิ้มด้วยความพอใจ ส่วนฉันที่พึ่งได้รับอิสระคืนมา ก็รีบลุกออกจากรถแล้วปิดประตูหนีทันที สภาพของฉันในตอนนี้คงจะเหมือนกับกวางตัวหนึ่งที่พึ่งรอดจากเงื้อมมือของเสือร้ายมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และเสียงทักจากด้านหลังก็ทำให้ฉันสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
"เกล! เกิดอะไรขึ้น แล้วไอ้ฟอร์ตล่ะ" พี่ซินถามเสียงขึงขัง
"พึ่งสลบไปเมื่อครู่ ตอนนี้หลับไม่ได้สติอยู่ในรถค่ะ" ฉันตอบด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
"ฮะ! ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้" พูดจบเขาก็เปิดประตูรถทันที และภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือร่างสูงผิวขาวเนียนละเอียดกำลังหลับตาพริ้มอย่างคนไร้สติ
"เฮ้ย มึง ไอ้ฟอร์ต อย่ามาละครดิ๊ กูรู้มึงแกล้ง" พี่ซินพยายามเขย่าตัวคนไร้สติ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ เกิดขึ้น
เหอะ! แกล้งหลับเนียนเชียวนะไอ้พี่หื่น
แต่ก็ต้องขอบใจเขาหรือเปล่านะ ที่ทำตามคำโกหกของฉันเป็นอย่างดี แม้จะแอบสงสัยว่าทำไมเขาถึงยอมแกล้งหลับก็ตามที เพราะอันที่จริงจะแกล้งฉันด้วยการตื่นขึ้นมาก็ได้
แล้วทำไมเขาถึงทำเหมือนรู้ว่าพี่ซินจะต้องเดินตามมาล่ะ งงไปหมดแล้ว
"คือเกลแอบใส่ยานอนหลับลงไปในแก้วเหล้า พอดีว่าพกติดตัวมาด้วย" ฉันพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเอาเสียเลย
"พกยานอนหลับ?"
"เกลเป็นคนนอนหลับยากค่ะ แต่ไม่ได้เป็นบ่อยจนถึงขั้นต้องกินยาก่อนนอนทุกคืนนะ แล้วกระเป๋าที่เกลใช้วันนี้เป็นใบเดียวกันกับที่แพ็กของมาจากบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วเกลก็ลืมเอาออกพอดี"
"เป็นงั้นไป มิน่าล่ะ นี่ถึงกับวางยาเพื่อนพี่เลยเหรอเกล" พี่ซินหันมาแซวหลังจากที่เริ่มเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
ความจริงถ้าเขารู้จักฉันมากกว่านี้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าฉันกำลังโกหกอยู่ เพราะในความโกหกเก่งของฉัน นั่นแหละคือการโกหก หมายถึงว่าเวลาโกหกฉันจะไม่หลบตา และพยายามยกเหตุผลมาพูดมากเกินไป
"แล้วเกลมีทางเลือกที่ไหนล่ะ -^-"
ฉันรู้สึกอยากขอโทษพี่ซินเหลือเกินที่ต้องพูดโกหกเขา ตอนนี้ภารกิจของฉันก็สำเร็จ โทรบอกให้ยัยปริมมารับเลยดีไหมนะ ถ้ากลับโต๊ะไปมีหวังเมาเละแน่ ๆ ส่วนกระเป๋าก็ฝากยัยหมิวไว้ละกัน เพราะยังไงก็ต้องเจอกันที่หออยู่แล้ว อีกอย่างคือของสำคัญอย่างโทรศัพท์ก็อยู่กับตัวเอง แบบนี้ชิ่งได้อย่างสบายใจแน่นอน
"เห็นบ่นว่าเหนื่อย จะกลับเลยไหม" พี่ซินถามฉันในขณะที่แชทกับใครสักคนบนโทรศัพท์ของเขา
"กลับเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเกลให้เพื่อนมารับ"
"หอเราอยู่ใกล้ ๆ เองไม่ใช่เหรอ ให้พี่เดินไปส่งไหม"
"จะดีเหรอคะ แต่เพื่อนเกลบอกว่าจะมารับ" ฉันถามต่ออย่างตะกุกตะกักด้วยความเขิน
ทำไมจู่ ๆ ถึงบอกว่าจะเดินไปส่งล่ะเนี่ย ฉันจะทำไงดี
"ถ้าให้เพื่อนมารับเกลก็ต้องรอ แต่ถ้าให้พี่ไปส่งก็ได้กลับเลยนะ เอาไง"
"ละ...แล้วพี่ฟอร์ตล่ะคะ"
"ไลน์ไปบอกไอ้กรละ นี่เราโดนมันแกล้งหนักขนาดนี้ ยังจะห่วงมันอีกเหรอ"
"ก็ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในรถแบบนี้ เดี๋ยวพี่เขาก็ขาดอากาศหายใจกันพอดี"
จะโกหกก็ต้องทำให้เนียน ส่วนเรื่องที่พี่ซินออกตัวว่าจะเดินไปส่งฉันที่หอนั้น ความจริงก็ตอบได้ตั้งแต่พี่เขาถามจบแล้วแหละ ณ จุด ๆ นี้ยังไงก็ต้องเลือกผู้อยู่แล้วไหม
ขอโทษนะยัยปริม ก็เรื่องแบบนี้มันไม่ได้มีมาบ่อย ๆ แล้วฉันกับพี่เขาก็ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ไม่รู้จะได้เจอกันอีกทีตอนไหน
"สรุปเราเอาไงครับ"
"กลับเลยดีกว่าค่ะ งั้นเดี๋ยวเกลขอไลน์บอกเพื่อนก่อนนะ"
ก่อนที่ฉันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่าฉันตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นพี่ซินระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หลังจากนั้นฉันกับพี่ซินก็เดินออกมาทันทีโดยที่ไม่ได้ร่ำลาใครสักคน ตลอดทางที่แสนมืดนั้น มีเพียงแสงไฟข้างทางดวงน้อยที่ยังคงส่องสว่างอยู่ แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเปลี่ยวหรือน่ากลัวแต่อย่างใด ถึงฉันกับพี่ซินจะเดินห่างกันประมาณเกือบช่วงแขนหนึ่งข้าง แต่ความประหม่าก็ก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างชัดเจน
ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่จะเรียกว่า 'เผลอชอบเขาไปแล้ว' ได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ใจก็คือฉันรู้สึกหวั่นไหว และต้องใช้ความพยายามในการเป็นตัวของตัวเองอย่างหนักเมื่ออยู่กับเขา
"เรียนเป็นยังไงบ้างเรา ปรับตัวได้ยัง มหาลัยไม่เหมือนมัธยมเลยใช่ไหม เรียนผ่านไป 1 ปี เหมือนต้องอ่านหนังสือสอบแอดใหม่ 4 รอบ" คนตัวสูงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่ก่อตัวมาได้สักพัก
"เรียนยากมากเลยค่ะ โดยเฉพาะแคลคูลัสกับฟิสิกส์ ไม่รู้ว่าจะรอดไหม เพราะถ้าไม่เกลคงซิ่ว"
"หือ ถ้าซิ่วแล้วเราจะไปเรียนอะไรเหรอ"
"อักษรมั้งคะ ความจริงแล้วก่อนหน้าที่จะเลือกเรียนที่นี่ เกลติดศิลปศาสตร์เอกเยอรมันของอีกมหาลัยหนึ่งด้วยนะ แต่ที่บ้านไม่อยากให้เกลทิ้งวิทย์ที่เรียนมาทั้งชีวิต เกลเลยต้องเรียนคณะนี้ค่ะ"
"งั้นแสดงว่าเราก็เก่งทั้งวิทย์ทั้งภาษาเลยน่ะสิ พี่ว่าเราลองพยายามเรียนดูก่อนเนอะ เพราะถ้าผ่านไปได้เราจะกลายเป็นคนที่เจ๋งมากคนหนึ่งเลย"
"เกลจะลองดู ขอบคุณนะคะ สำหรับคำแนะนำและกำลังใจ"
ฉันยิ้มให้พี่ซินก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินกันแบบเงียบ ๆ อีกครั้ง แม้ว่าจะใช้เวลาไม่มาก แต่ฉันก็แอบรู้สึกเสียดายที่ตอนนี้ถึงหอแล้ว
"ขอบคุณพี่ซินมากเลยนะคะที่เดินมาส่งเกล แล้วนี่พี่ซินจะกลับไปหาเพื่อนหรือเปล่า"
"คงไม่กลับไปแล้วล่ะ แถมรถพี่ก็จอดอยู่แถวนี้ด้วย ชิ่งเลยดีกว่า 555"
"อ๋อ งั้นก็กลับดี ๆ นะคะ" ฉันบอกก่อนจะยกมือบ๊ายบายพี่ซิน
"ครับ ไว้ถึงคอนโดแล้วพี่จะโทรบอกนะ"
"ค่ะ... เอ๊ะ!"
"นั่นสิ แล้วพี่จะโทรบอกเรายังไงล่ะเนี่ย" คนตัวสูงยกยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
แบบนี้ก็ได้เหรอ กรี๊ด! เนียนไปไหมพ่อคุณ ตอนนี้ก็คือทำตัวไม่ถูกเพราะเขินไปหมดแล้ว
"เอาโทรศัพท์พี่มาสิคะ" ฉันพูดตะกุกตะกักก่อนจะยื่นมือไปรับโทรศัพท์จากคนตัวสูง แล้วลงมือพิมพ์เบอร์โทรให้เขา
"ไลน์ไอดีเราก็เบอร์นี้เลยใช่ไหม"
"ค่ะ"
และนี่ก็โดนเนียนขอไลน์สินะ ขอจำมุกนี้ไปใช้บ้างดีไหมเนี่ย
"งั้นพี่ไปก่อนนะ ฝันดี ;)" พี่ซินยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินจากไป ทิ้งฉันไว้กับความเงียบและเสียงหัวใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าที่ร้อนผ่าวของฉัน แม้ไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้อยู่ว่ามันแดงแค่ไหน
เขาจะรู้หรือเปล่าว่าภูมิคุ้มกันต่อความหวั่นไหวของฉันมันไม่ได้มีมากเลยนะ แค่นี้ก็คิดเข้าข้างตัวเองจะแย่อยู่แล้วว่าบางทีเราอาจจะใจตรงกัน แต่อีกหนึ่งความคิดที่ทำให้ฉันไม่ลอยออกนอกอวกาศไปไกลก็คงจะเป็น
ก็เราดันออกอาการง่าย ๆ ให้พี่เขาแกล้งเล่นไง
เฮ้อ! คิดไปก็ปวดหัว อาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้เธอต้องซ้อมเต้นนะ ใกล้จะถึงวันสันโต้อยู่แล้ว เดี๋ยวงานไม่ปังนะโว้ย
^^^...To be continued...^^^
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 17
Comments