My Stories เรื่องราว โชคชะตา ความรัก เล่ม 2
Stories 16 ความสงสัย
และแล้วเวลาก็ได้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่ที่นิทานและอาทิตย์ได้คุยกันในวันนั้น แล้ววันนี้ก็ถึงวันที่รุ้งดาวนั้นต้องไปหาหมออีกครั้ง แต่ในวันนี้คนที่มากับรุ้งดาวนั้นคือนิทานแฟนสาวของเธอเอง ตอนนี้นิทานและรุ้งดาวก็มานั่งรอเพื่อเข้าพบแพทย์ ตัวนิทานเองเธอแอบสงสัยเช่นกัน ว่าที่อาจารย์ฝากข้อความผ่านอาทิตย์มานั้น อาจารย์หมออยากจะพูดคุยอะไรกับเธอ วันนี้จึงเป็นที่นิทานเธอจะได้รู้สักทีว่าอาจารย์หมอนั้นอยากจะคุยกับเธอเรื่องอะไร ในที่สุดก็ถึงเวลาของรุ้งดาวแล้ว นิทานเธอได้พารุ้งดาวเข้าไปพบกับอาจารย์หมอที่กำลังรออยู่ในห้องตรวจ “อาจารย์หมอสวัสดีค่ะ” นิทานเธอได้สวัสดีอาจารย์หมอพร้อมกับรุ้งดาว “เชิญนั่งครับ” อาจารย์หมอได้เชิญให้นิทานกับรุ้งดาวนั่งลง เมื่อทั้งสองคนนั่งลงแล้วอาจารย์หมอจึงทำการทดสอบรุ้งดาว และครั้งนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี “ปัจจัยสำคัญของรุ้งดาวคือหมอนิสินะครับ” อาจารย์หมอเขาได้ถามกับนิทาน “ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันอยู่ค่ะ” นิทานได้บอกกับอาจารย์หมอ “แบบนี้นี่เอง” อาจารย์หมอได้ตอบกลับพร้อมกับเข้าใจแล้วว่าทำไมอาการของรุ้งดาวถึงได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดแบบนี้ เป็นอิทธิพลจากนิทานที่คอยเยียวยารักษาใจของรุ้งดาว ซึ่งสิ่งนี้นั้นมันดีกว่ายาไหน ๆ เพราะมันคือยาที่รักษาได้ตรงจุดที่สุดนั่นก็คือ “ความรัก”
เมื่อทั้งสองคนเสร็จสรรพจากการหาหมอแล้ว นิทานจึงได้จะพารุ้งดาวนั้นไปทานข้าวกันต่อ ทั้งสองคนจึงได้เดินออกจากตัวโรงพยาบาลเพื่อไปยังลานจอดรถ แต่เมื่อทั้งสองคนได้เดินมาตามทางเรื่อย ๆ ก็ได้ใครคนหนึ่งยืนมองทั้งสองคนอยู่ด้วยความโกรธแค้น โดยที่ตอนนี้นิทานและรุ้งดาวกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังจะตกเป็นเป้าหมายของใครบางคนอยู่ เมื่อทั้งสองคนได้มาถึงที่รถและได้ขึ้นรถแล้ว “ดาวอยากกินอะไรเหรอ” นิทานเธอได้ถามกับรุ้งดาว “วันนี้เราตามใจนินะ…นิพาเราไปได้เลย” รุ้งดาวเธอตอบกลับนิทานอย่างอ่อนโยน นิทานเธอจึงได้ออกรถทันที
“น้าสมบัติค่ะ…ช่วยลบยัยเด็กรุ้งดาวนั่นให้หายไปจากสายตาของหนูทีค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นได้โทรศัพท์บอกให้สมบัตินั้นจัดการอะไรบางอย่างกับรุ้งดาว “รับทราบครับคุณหนู” สมบัติน้อมรับคำสั่งของผู้หญิงคนนั้นมา ดูเหมือนว่าตอนนี้รุ้งดาวเธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมของชีวิตเธออีกครั้งด้วยฝีมือของใครบางคน สมบัติเองที่ได้วางจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจึงได้โทรหาใครบางคนต่อ “พวกแกเตรียมตัวให้พร้อม! พวกเราจะต้องลงมือกันแล้ว” เมื่อสมบัติพูดจบเขาก็ได้วางสายโทรศัพท์ทันที พร้อมกับที่เขากำลังยืนคิดอะไรบางอย่าง
นิทานเธอได้พารุ้งดาวมายังร้านอาหารร้านหนึ่ง “สวัสดีครับคุณนิ” ผู้จัดการของร้านได้เดินเข้ามาทักทายนิทาน ดูเหมือนนิทานน่าจะเป็นที่รู้จักของทุกคนในร้านอาหารแห่งนี้ จึงได้ทำให้ผู้จัดการของร้านนั้นต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “พี่แฟมไม่ต้องบอกอาเอกนะคะว่าหนูมา” นิทานเธอได้บอกกับแฟมที่เป็นผู้จัดการของร้าน “จะดีเหรอครับคุณนิ…คุณนิก็เป็นคนสำคัญของร้านเรานะครับ” แฟมเขาได้ถามกับนิทาน “เอาตามนั้นเลยค่ะพี่แฟม” นิทานเธอจึงตอบกลับแฟมไป
“นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอคะคุณที่รัก?” รุ้งดาวเธอได้ถามนิทานออกมาด้วยความสงสัยหลังจากที่แฟมได้จากไปแล้ว “เจ้าของร้านนี้เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อเราน่ะ…และร้านอาหารนี้ก็อยู่มาตั้งหลายรุ่นแล้วด้วย พ่อเราพาเรามากินข้าวที่ร้านนี้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสน่ะ” นิทานเธอได้ไขข้อสงสัยกับรุ้งดาว เมื่อรุ้งดาวเธอฟังที่นิทานพูดจบแล้ว มันจึงทำให้เธอได้เข้าใจว่าทำไมทุกคนในร้านถึงให้การต้อนรับนิทานเป็นอย่างดี
ในขณะที่อีกด้านหมอณัฐกับหมอเอมก็ได้มานั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาล “ไอเอม! สรุปมึงจะโกรธไอนิไปแบบนี้อีกนานแค่ไหนกันวะ” หมอณัฐได้ถามหมอเอมด้วยความสงสัย “มึงคิดว่าเรื่องของความรู้สึกมันง่ายขนาดนั้นเหรอวะณัฐ” หมอเอมเธอได้ตอบกลับหมอณัฐด้วยท่าทีที่รู้สึกอึดอัดใจไปหมด “คงต้องใช้เวลาอีกหน่อยสินะ” หมอณัฐได้พูดขึ้นลอย ๆ ก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะทานข้าวกันต่อไป
เมื่อหมอณัฐนั่งทานข้าวไปได้ชั่วครู่หมอณัฐก็ได้เผลอมองไปเห็นสร้อยที่คอของหมอเอม “เห้ยไอเอม! สร้อยสวยดีนะมึง” หมอณัฐได้ทักถึงสร้อยที่อยู่ที่คอของหมอเอม “นี่มึงแค่สังเกตเห็นหรือมึงทะลึ่งกับกูอีณัฐ” หมอเอมเธอได้ถามหมอณัฐ “นี่! กูแค่เป็นคนกวนตีนไม่ใช่โรคจิตนะไอเอม” หมอณัฐเขาได้ตอบกลับหมอเอมด้วยทางกวนประสาทเหมือนอย่างเคย แต่เหมือนว่าหมอณัฐนั้นเหมือนจะติดใจอะไรบางอย่างกับสร้อยคอของหมอเอม แต่หมอณัฐก็ไม่ได้ถามอะไรหมอเอมต่อ หมอเอมเธอก็แอบสงสัยหมอณัฐอยู่เหมือนกันว่าหมอณัฐจะทักเธอทำไม เพราะหมอเอมเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้หมอณัฐมาสนใจสร้อยคอของเธออยู่แล้ว แต่ว่าหมอเอมก็ไม่ได้ถามอะไรหมอณัฐต่อเช่นกัน
“ณัฐ…มึงได้คุยกับไอนิบ้างป่ะ?” หมอเอมเธอถามกับหมอณัฐด้วยท่าทีที่รู้สึกคิดถึงปนโกรธในตัวของหมอนิทาน “ถ้าเป็นเรื่องมึงอ่ะ! กูก็บอกมันไปแล้วนะว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลา แต่ส่วนอื่น ๆ กูยังไม่ได้คุยอะไรเลยว่ะ” หมอณัฐเขาได้ตอบกลับหมอเอมด้วยท่าทีที่ดูชิลล์และไม่ได้คิดอะไรเยอะ แต่หมอณัฐเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหมอเอมนั้นรู้สึกยังไงกับหมอนิทาน เมื่อบทสนทนาจบลงแล้วทั้งสองคนจึงได้นั่งทานข้าวกันต่อไป
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนิทานกับรุ้งดาวก็ได้กลับมาถึงยังบ้านของรุ้งดาวแล้ว เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในบ้านก็ได้พบกับอิงฟ้าที่กำลังรคอยทั้งสองคนอยู่ รุ้งดาวเธอได้แยกตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง “อาการของดาววันนี้เป็นยังไงบ้างคะหมอนิ” อิงฟ้าเธอได้ถามนิทานถึงอาการของหลานของตนเอง “โดยรวมแล้วอาการของดาวดีขึ้นมากเลยค่ะน้าอิง” นิทานเธอได้ตอบอิงฟ้ากลับไปด้วยท่าทีที่ดูปลื้มอกปลื้มใจที่ได้เห็นรุ้งดาวอาการดีขึ้น
“ส่วนเรื่องหนังสือดาวก็เรียนรู้ได้เร็ว…อีกไม่นานดาวก็จะกลับไปเริ่มเรียนได้อีกครั้งแล้วล่ะ” อิงฟ้าเธอได้พูดคุยกับนิทาน “เดี๋ยวเรื่องเรียนของดาวหนูจะช่วยน้าอีกแรงนะคะ” นิทานเธอจึงได้ตอบกลับอิงฟ้าด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในตัวของรุ้งดาว “น้าดีใจนะ! ที่หมอนิรักหลานของน้ามากขนาดนี้” อิงฟ้าเธอพูดกับนิทานด้วยท่าทีที่รู้สึกขอบคุณในตัวของนิทาน “หนูทำไปเพราะหนูอยากชดเชยเวลาของเราสองคนที่มันได้ขาดหายไปค่ะ” นิทานเธอตอบกลับอิงฟ้าด้วยท่าทีที่รู้สึกผิดกับรุ้งดาว เพราะนิทานเธอได้แอบโทษตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าส่วนหนึ่งที่รุ้งดาวนั้นต้องมาเป็นแบบนี้นั้นตัวเธอเองก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย
อิงฟ้าเธอได้เห็นแล้วว่านิทานนั้นรู้สึกยังไงและรู้ว่านิทานนั้นรักในตัวรุ้งดาวหลานของเธอมากแค่ไหน “น้าดีใจนะคะ…ที่ได้ฝากรุ้งดาวไว้กับหมอนิ” อิงฟ้าเธอบอกกับนิทานด้วยท่าทางที่อิ่มเอมใจ ในตอนนี้ที่อิงฟ้าและนิทานนั้นได้คุยกันอยู่ ก็ปรากฏว่ารุ้งดาวนั้นเธอก็ได้แอบฟังอยู่เช่นกัน รุ้งดาวเธอจึงได้สงสัยในคำพูดของนิทานที่ว่า “เวลาของเราสองคนที่ขาดหายไป” นั้นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ เพราะคำพูดนี้มันเป็นเหมือนคำพูดของคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เดี๋ยวหนูขอตัวขึ้นไปดูดาวก่อนนะคะน้าอิง” นิทานเเธอพูดกับอิงเพราะสงสัยว่าทำไมรุ้งดาวถึงได้ขึ้นห้องไปนานจัง “จ่ะ…น้าฝากด้วยนะหมอนิ” อิงฟ้าเธอได้ตอบรับนิทานพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินจากนิทานเข้าไปในครัว จากนั้นนิทานเธอได้จึงได้ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้และเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อไปยังห้องของรุ้งดาว เมื่อนิทานได้เดินขึ้นมาถึงชั้นสองจนเดินมาถึงห้องของรุ้งดาวแล้วนิทานเธอจึงได้เปิดประเข้าไปในห้องของรุ้งดาว
เมื่อนิทานเข้ามาในห้องของรุ้งดาวแล้ว นิทานเธอก็ได้เห็นว่ารุ้งดาวนั้นได้นั่งเงียบ ๆ อยู่บนเตียงนอนสีชมพูของตัวเอง นิทานเธอได้เดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ รุ้งดาว “เป็นอะไรไปคะที่รัก…มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?” นิทานเธอได้ถามรุ้งดาวด้วยท่าทีที่เป็นห่วงในตัวรุ้งดาวและพร้อมกับเอามือที่ลูบผมของรุ้งดาวไปด้วย “นิมีอะไรที่อยากจะบอกเรามั้ย?” รุ้งดาวเธอได้ลองถามนิทานดู เผื่อว่านิทานนั้นอาจจะยอมสารภาพหรือบอกอะไรกับเธอ “ถ้าเรื่องที่อยากจะบอกก็คงเป็นห่วงน้องชายที่หนีออกจากบ้านอ่ะแหละ…แล้วก็เรารักดาวนะนี่แหละที่อยากจะบอก” นิทานเธอได้ตอบรุ้งดาวกลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ารุ้งดาวกำลังเคลือบแคลงสงสัยอยู่
ตอนนี้รุ้งดาวเธอได้รู้ตัวแล้วว่าเธอคงจะไม่ได้คำตอบอะไรจากเรื่องที่เธอสงสัยในตัวของนิทานอย่างแน่นอนแล้ว รุ้งดาวเธอจึงได้พยายามที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นลง แต่มันก็ยังอดที่จะกลัวหรือกังวลไม่ได้อยู่ดี นิทานเธอได้เห็นท่าทางของรุ้งดาวที่ดูนิ่งไปเธอจึงได้ดึงรุ้งดาวเข้ามากอด “ดาว…ไม่ว่าวันของหน้าจะเป็นยังไง! แต่ใจที่เรารักดาวมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนะเราสัญญา” นิทานเธอได้ใช้คำพูดสูตรพิเศษของเธอเพื่อปลอบประโลมใจของรุ้งดาว
และด้วยคำพูดของนิทานที่ได้พูดอยู่ข้าง ๆ หูของรุ้งดาว มันเลยได้ทำให้รุ้งดาวเธอได้รู้สึกคลายความกังวลในจิตใจของเธอขึ้นมาบ้าง คำพูดนิทานมันได้ทำเธอสบายใจขึ้นว่าเธอจะไม่ถูกนิทานทิ้งไปอีก แต่ความคลายกังวลใจนี้มันก็เป็นของหมอนิไม่ใช่นิทาน ซึ่งตัวนิทานเธอเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่เต็มอกของเธอ แต่นิทานเธอต้องสะกดใจเอาไวเพื่อให้รุ้งดาวลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเธอหานิทานคนที่เธอเฝ้ารอเจอ
นิทานเธอก็ได้แต่คิดในใจว่าโชคชะตานี่ก็ช่างเล่นตลกกับเธอจริง ๆ สวรรค์ส่งให้เธอกลับเจอคนที่เธอตามหาอีกครั้งแต่กลับไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ในตอนนี้ ส่วนตัวรุ้งดาวเองถึงแม้ว่าเธอจะได้รับความมั่นใจจากนิทานมา แต่รุ้งดาวเธอก็ยังคงแอบสงสัยอยู่ดีว่านิทานนั้นได้เก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่ แล้วทำไมเธอถึงได้เป็นคนเดียวที่ห้ามล่วงรู้ถึงความลับนี้ เมื่อทั้งสองคนได้ปล่อยอ้อมกอดออกจากกัน นิทานเธอจึงเอาเอามืออุงไปที่แก้มอันเนียนใสของรุ้งดาว ก่อนที่นิทานเธอจะได้ค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปจูบรุ้งดาวด้วยความรักอย่างอ่อนโยน รุ้งดาวเองก็ได้ตอบรับจูบของนิทานอย่างอ่อนโยนเช่นกัน
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งสองเพื่อนสนิทธีมและแดนก็ได้นั่งคุยกับอีกหนึ่งเพื่อนสนิทอยู่ที่ใต้สะพานพระรามแปด “มึงเป็นไงบ้างวะไอแชมป์” ธีมได้ถามแชมป์ผ่านวิดีโอคอลล์ “กูสบายดี…แต่กูอยากให้ช่วงนี้พวกมึงจับตาดูเจ้เป็นพิเศษหน่อยได้ป่ะ” แชมป์ได้ถามสองเพื่อนสนิทผ่านวิดีโอคอลล์ “ช่วงนี้คงจะยากหน่อยว่ะ…เพราะติดเรื่องเข้ามหาวิทยาลัย! แต่พวกกูจะพยายามเต็มที่เท่าที่ทำได้นะ” แดนได้ตอบกลับแชมป์ผ่านวิดีโอคอลล์ “แค่พวกมึงช่วยดูแลเจ้แทนกู…กูก็ดีใจแล้วเพื่อน! แค่นี้ก่อนนะเว้ย…กูกำลังสนุกกับชีวิตชาวบ้านต่างจังหวัดเลย” แชมป์ได้บอกกับเพื่อนสนิททั้งสองคนก่อนที่จะวางสายไป
“ไอแดน…มึงว่ามันแปลก ๆ ป่ะวะ” ธีมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แดนได้ถามกับแดน “เรื่องที่มันย้ำเรื่องพี่นิทานอ่ะเหรอ?” แดนที่นั่งข้าง ๆ ธีมจึงได้ถามธีมกลับไป “ก็เออดิวะ” ธีมได้ตอบกลับแดนด้วยท่าทีที่ดูสงสัยเอามาก ๆ “ลางสังหรณ์คน ๆ นี้ไม่ค่อยจะพลาดด้วยอ่ะดิ…งั้นพวกเราก็พยายามทำตามที่มันขอ ๆ มาหน่อยก็แล้วกัน” แดนได้ตอบกลับธีมไปโดยที่เขาเองก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่เพราะตัวของแดนเขาไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไหร่ เขาจึงไม่จึงได้บอกธีมไปว่าเขาก็สงสัยเหมือนกัน
ส่วนแชมป์นั้นเขาก็ได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านต่างจังหวัดทั่ว ๆ ไป กลับกลายเป็นว่าแชมป์กลับรู้สึกสนุกที่ได้ใช้ชีวิตเป็นคนทั่ว ๆ ไป แทนที่จะเป็นคุณชายแห่งบ้านวิริยเทพา แชมป์เขารู้สึกว่าชีวิตแบบคนธรรมดา ๆ นี่แหละคือสิ่งที่เขานั้นต้องการ ที่ผ่านมาแชมป์เขาต้องตกอยู่ภายใต้เงาของรามมาตลอด เมื่อแชมป์หลุดออกมาเป็นอิสระไแ้แบบนี้แล้ว มันจึงทำให้แชมป์ได้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้มานานหลายปี
ตอนนี้แชมป์ได้เดินถ่ายรูปบรรยากาศของชุมชน ของชาวบ้าน ของวิวต่าง ๆ แชมป์ได้เข้ามาใช้ชีวิตกับวิถีชีวิตชุมชนและมันดูเหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งแชมป์นั้นชอบด้วย แชมป์ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติจนตอนนี้เขาลืมภาพความเป็นคุณชายแห่งบ้านวิริยเทพาไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงแค่แชมป์เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่เดินทางตามหาฝันและท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ เพียงเท่านั้น แชมป์ยังคงใช้ชีวิตต่ออย่างอิสระโดยที่เขาลืมเรื่องที่บ้านวิริยเทพาและไม่สนใจอะไรในวิริยเทพาอีกแล้ว
ณ บ้านวิริยเทพา
“คุณเอิร์ธเรียกผมให้มาหามีธุระอะไรเหรอครับ?” ปกรณ์ได้ถามกับชายชื่อเอิร์ธ “พี่ปกรณ์หาตัวมันเจอรึยังครับ?” เอิร์ธได้ตั้งคำถามกับปกรณ์ “คุณเอิร์ธหมายถึงใครเหรอครับ?” ปกรณ์ได้ทวนถามเอิร์ธอีกครั้ง “จะมีใครซะอีกล่ะครับ…ก็ไอพี่ชายสารเลวของผมไงครับ?” เอิร์ธได้ถามถึงแชมป์กับปกรณ์ “ผมไม่อยากให้คุณเอิร์ธมองคุณแชมป์แบบนั้นเลยครับ” ปกรณ์ตัดพ้อออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากให้เอิร์ธคิดอะไรเลวร้ายกับแชมป์ “ผมจะคิดยังไงกับมันนั่นมันเรื่องของผมครับ! พี่ตอบมาแค่ว่ามันไสหัวอยู่ไหนก็พอครับ?” เอิร์ธถามปกรณ์ “ผมไม่ทราบครับ” ปกรณ์ได้ตอบเอิร์ธก่อนที่จะเดินออกจากห้องของเอิร์ธไป
จริง ๆ แล้วในใจของเอิร์ธนั้นพอจะเดาได้ว่าที่ปกรณ์พูดออกมานั้นปกรณ์โกหก แต่ไม่ว่าปกรณ์จะโกหกเอิร์ธไปเพราะอะไร แต่ความรู้สึกที่ โกรธ เกลียด แค้น และอาฆาต พี่ชายของตัวเองอย่างถึงที่สุดนั้นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดลงไปเลยแม้แต่น้อย เอิร์ธเกลียดที่แชมป์นั้นกำลังจะทิ้งภาระก้อนใหญ่ของบ้านนี้ไว้ที่เขา จากที่เกลียดเข้าไส้อยู่แล้วมันยิ่งทำให้เอิร์ธเกลียดแชมป์ยิ่งกว่าเดิม
เมื่อปกรณ์เดินลงมาถึงชั้นหนึ่งของบ้านและกำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่น เขาก็ได้เห็นว่ารามนั่งอ่านหนังสืออยู่ ปกรณ์เขาจึงได้เดินเขาไปหาราม “คุณรามครับ! เมื่อสักครู่คุณเอิร์ธเรียกผมไปถามเรื่องคุณแชมป์ครับ” ปกรณ์ได้รายงานให้รามทราบ “แล้วแกได้บอกอะไรมันมั้ยล่ะ?” รามจึงได้ถามปกรณ์กลับไป “ไม่ได้บอกครับคุณราม” ปกรณ์ได้ตอบกลับปกรณ์แบบทันควัน “ดีละ…แกไปจัดการเรื่องนั้นต่อเถอะไป” รามออกคำสั่งกับปกรณ์ จากนั้นปกรณ์จึงได้ทำความเคารพต่อรามก่อนที่จะเดินจากไป
และเมื่อปกรณ์ออกจากบ้านวิริยเทพาแล้ว ปกรณ์จึงได้กดโทรศัพท์โทรออกไปหาแชมป์ “ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด” เมื่อแชมป์รับสายปกรณ์แล้วปกรณ์จึงได้พูดกับแชมป์ที่อยู่ปลายสาย “ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คุณแชมป์คิดทุกอย่างเลยครับ” เมื่อแชมป์ฟังที่ปกรณ์พูดจบแล้วแชมป์จึงได้พูดต่อ “ผมรู้ว่าศัตรูในบ้านนั้นมันมีใครบ้าง…ผมจะเดาถูกมันก็ไม่น่าแปลกหรอก” จากนั้นแชมป์จึงได้วางสายจากปกรณ์ไป ปกรณ์จึงได้บ่นกับตัวเองเบา ๆ “ทำไมคุณแชมป์ต้องเอาตัวเองมาสังเวยตลอดเลยด้วย…ผมล่ะไม่เข้าใจการกระทำนี้ของคุณแชมป์จริง ๆ นะครับ”
ปกรณ์เขาได้ขับรถมาถึง ณ ยังบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนั้นคือบ้านของรุ้งดาว แต่ปกรณ์นั้นได้จอดรถมองดูบ้านของรุ้งดาวอยู่ห่าง ๆ เขาได้เฝ้ามองอะไรบางอย่างจากบ้านของรุ้งดาว และสิ่งที่ปกรณ์นั้นกำลังเฝ้ามองจากบ้านของรุ้งดาวนั้นก็คือนิทาน แต่ปกรณ์นั้นยังคงทำตามคำสั่งของแชมป์ที่แชมป์ได้สั่งให้ปกรณ์ค่อยจะบตาดูนิทานเอาไว้
ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วค่ำแล้ว มันเป็นเวลาที่นิทานนั้นจะต้องกลับบ้านแล้ว รุ้งดาวเธอจึงได้เดินออกมาส่งนิทานที่หน้าบ้าน ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังร่ำลากันและกอดกันอยู่นั้น นิทานเธอก็ได้สังเกตเห็นว่ารถของบ้านวิริเทพาจอดอยู่ห่างออกไป หลังจากที่นิทานกับรุ้งดาวได้ร่ำลากันเสร็จแล้ว จากนั้นนิทานเธอได้เดินไปที่รถของตัวเองพร้อมกับรุ้งดาวที่ยังคงยืนรอส่งแฟนของเธออยู่
เมื่อนิทานขึ้นรถและได้ขับรถออกไปจากบ้านของรุ้งดาวแล้ว รุ้งดาวเธอจึงได้เดินเข้าบ้านของเธอไป พร้อม ๆ กับปกรณ์ที่ได้ขับรถตามนิทานออกไป เมื่อนิทานขับรถออกมาจากบ้านของรุ้งดาวได้สักพัก นิทานก็ได้มองกระจกหลังเป็นระยะ ๆ นิทานเธอจึงได้รู้ว่ามีคนขับรถสะกดรอยตามเธออยู่ เมื่อนิทานนั้นได้รู้ว่ามีคนขับรถตามเธอมา นิทานเธอจึงได้กดโทรศัพท์เพื่อที่จะโทรออกหาใครบางคน
สายเรียกเข้า : คุณนิทาน
ปกรณ์ได้เห็นว่าเบอร์ที่โทรหาเขานั้นคือเบอร์ของนิทาน ปกรณ์เขาจึงได้จอดรถทำใจก่อนที่จะรับสายของนิทาน “ครับ…คุณนิ” ปกรณ์ได้ทักทายนิทาน “พี่สะกดรอยตามหนูทำไมคะ” นิทานได้ถามปกรณ์กลับไป “ผมต้องขอโทษด้วยครับคุณนิ…แต่นี่เป็นคำสั่งของคุณแชมป์ครับ” ปกรณ์ได้บอกให้นิทานได้รับรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสั่งให้ปกรณ์คอยจับตาดูนิทานเอาไว้ “พี่เป็นคนของลุงราม…พี่จะทำตามคำสั่งของน้องชายหนูได้ยังไงคะ?” นิทานได้ถามกลับไปหาปกรณ์ด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก “ผมรักคุณแชมป์มากกว่าคุณรามครับ…คุณนิก็รู้นี่ครับว่าคุณแชมป์ต้องเจออะไรมาบ้าง?” ปกรณ์ได้เผยความในของตอนเองให้นิทานได้รับรู้
นิทานได้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอีกครั้ง “ตอนนี้ไอตัวแสบมันอยู่ที่ไหนคะ” นิทานได้ถามลองเชิงปกรณ์ เพื่อที่จะทดสอบว่าปกรณ์นั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอจริงหรือเปล่า “สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 1 ตำบลมีชัย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายครับ คุณขวัญก็ทราบเรื่องนี้เช่นกันครับ ผมรู้ว่าคุณนิไม่เชื่อใจผม…แต่ถ้าเป็นคุณขวัญพูดเอง คุณนิคงจะเชื่อใช่มั้ยครับ?” ปกรณ์ได้บอกถึงที่อยู่ของแชมป์พร้อมกับถามนิทานกลับไป “ขอบคุณนะคะพี่ปกรณ์…ที่พี่ปกรณ์ก็รักน้องชายของหนูเหมือนกัน” เมื่อนิทานพูดจบนิทานจึงวางสายจากปกรณ์ไป ปกรณ์ได้นั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะขับรถของเขาออกไปจากตรงนั้น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments