.
.
“ห๊าว~”
เมื่อยามเช้ามาถึงก็จำเป็นต้องตื่นและธัญญ์ก็เช่นกันที่ติดนิสัยตื่นเช้ามาตั้งแต่เด็กยันโต ซึ่งเขารู้สึกว่ามันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขาเช่นกันเหมือนอย่างตอนนี้ ณ เวลา ตี5ครึ่ง
ธัญญ์สลึมสลือตื่นมาด้วยความไม่สดชื่นในยามเช้า พลางขยับเขยื้อนร่างกายขับความปวดเมื่อยออกไปให้หมดสิ้น ก่อนจะเอื้อมมือแตะข้างๆหวังปลุกเจ้าเด็กน้อยให้ตื่น ทว่าธัญญ์ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาสัมผัสไม่โดนอะไรเลย มันว่างเปล่า มีเพียงสัมผัสของผ้าปูเตียงเท่านั้นที่เขารู้สึกได้
และด้วยสิ่งนั้นมันก็เพียงพอจะทำให้ธัญญ์ตาโตตื่นตกใจจากความง่วงผุดลุกผุดวิ่งลงจากเตียงวิ่งลงบันไดมาชั้นล่างในทันที
ตึก ตึก ตึก
เสียงวิ่งลงบันไดดังกึกก้องพอๆกับเสียงหัวใจที่เต้นตุ้มๆต่อมๆไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงปนวิตกกังวลเกี่ยวกับเด็กชายตัวน้อยแสนประหลาดในปกครองของตน ที่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหนหรือทำอะไรอยู่ ไม่รู้อะไรเลย
เขาทำได้แค่สอดส่องสายตาไปทั่วด้วยความตื่นตระหนก ไม่ว่าจะทั้งชั้นหนังสือ โต๊ะ ตู้ ผนัง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในบ้าน
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายเขากลับเจอแต่ความว่างเปล่า มีเพียงเหงื่อกาฬไหลรินเหนอะหนะด้วยความเหนื่อย แต่เขาไม่สน ตอนนี้เขาสนแค่เด็กคนนั้นเด็กประหลาดนัยย์ตาสีเลือดคนนั้น
ต้องหาให้เจอ
ไม่ว่ายังไงก็ตาม
เพราะเขากลัว กลัวเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บ มันเป็นความกลัววที่เขาอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
มันกัดกร่อนหัวใจของเขาอย่างถึงขีดสุด
อยู่ที่ไหนกันแน่นะเด็กประหลาดนั่น
เธออยู่ไหนกัน
อยู่ไหน
เท้ายังคงวิ่ง เสียงในใจยังคงตะโกนก้อง สายตายังสอดส่องปากเม้มลงอย่างชั่งใจก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ธัญญ์ยังไม่ได้ไป เมื่อนึกได้เขาก็ไม่รอช้ารีบเอี้ยวตัวหันเท้าไปทางนั้นทันทีแบบไม่รีรอ
แต่. . .ไปดูก่อนก็ได้
เมื่อธัญญ์มาถึงเขาก็ไม่รอช้าเอื้อมมือบางจับลูกบิดประตูกรอบสี่เหลี่ยมน้ำตาลนั้นทันที
แอ๊ด
และเมื่อประตูแผ่นไม้สี่เหลี่ยมกรอบน้ำตาลนั้นได้เปิดออก สองสายตาก็ได้สบกันประสานชั่วจังหวะ นัยย์ตาสีโลหิตผสานเข้ากับนัยย์ตาสีเปลือกไม้แสนสวยตรงหน้า
จ้องกันเนิ่นนานจนเหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะ หมุนค้างในอากาศราวปุยนุ่น คำพูดถูกสะกดไว้จนไม่อาจเอ้ยเอ่ยสิ่งใดได้แม้กระทั่งเสียงหอบหายใจในลำคอของเขาก็ตาม
ถึงกระนั้นนัยย์ตาสีเปลือกไม้ยังคงจ้องมองเด็กชายตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง เว้นแต่ในวินาทีต่อมาเขาจะมองเด็กชายด้วยแววตาที่ดูแปลกไปเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาเกือบเท่าตัวเขา
ซึ่งแค่นั้นอาจจะยังไม่น่าเหลือเชื่อหรือแปลกพอเท่ากับชื่อหนังสืออย่าง\`ประวัติศาสตร์อุบติรักของดยุกผู้เห็นแก่ตัว\`
แค่เห็นชื่อก็รู้แล้วใช่ปะว่ามัน คือ นิยายโรแมนติกแฟนตาซียุคกลางที่ผมค่อนข้างชอบมันเลยทีเดียวหล่ะ และดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะชอบมันเหมือนกัน ดูได้จากแววตากลมสวยคู่นั้นที่จ้องมันอย่างไม่วางตา
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอ่านไม่ออกนะ เนื่องจากเจ้าเด็กตรงหน้าค้างอยู่หน้านั้นมาเป็นสิบนาทีแล้ว
“เธออยากฟังมั้ย เรื่องในมือเธอหน่ะ”
หงึกหงัก
นับเป็นปฎิกิริยาอันน่าพึงพอใจยามใบหน้านั้นพยักลงบอกความต้องการ
ก็ดูน่าเอ็นดูเชียวแหละ
ถ้าพูดอีกสักหน่อยหล่ะก็นะ
“งั้นเดี๋ยวฉันอาสาเล่าให้ฟังเองแต่เธอต้องสัญญานะว่าถ้าอยากได้อะไรหรือไปที่ไหนต้องมาบอกฉันก่อน ”
“. . .” 040นั่งนิ่งฟังอย่างไม่เข้าใจ
ทำไมหล่ะ?
นั่นเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอที่เขาไปให้ห่างสายตา
เพราะพวกผู้คุมก็คิดอย่างนั้นหรือเขาทำอะไรผิดไป
เมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆนั่นเกิดความงสัยอย่างไม่รู้ตัวเขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้พร้อมแถลงไขให้เจ้าตัวน้อยฟัง
“ก็เพราะฉันเป็นห่วงเธอไง ”
เป็นห่วง?
“จะว่าไงดีหล่ะ มัน
ความอุ่นวาบเกิดขึ้นอย่างประหลาดอีกครั้ง
ภายในใจรู้สึกอุ่นไปหมด
คล้ายถูกเติมเต็มด้วยมือที่มองไม่เห็นจน040ไม่รู้ว่าต้องตั้งรับกับมันยังไงดี
ทว่านิ้วก้อยของคนตรงหน้าก็ยื่นมาเสียแล้ว
“สัญญานะ”
ถ้อยคำหวานเอ่ยออกมาอย่างจริงใจพร้อมสายตาแห่งความเชื่อใจแผ่ออกมาจนทำให้040คล้อยตามได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
“. . .”
นิ้วน้อยๆก็ค่อยๆเอื้อมออกมาเฉกเช่นคนตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แล้วจึงเกี่ยวก้อยแทนคำสัญญาอย่างภักดี
“เกี่ยวก้อยสัญญา ใครโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่ม”
‘เกี่ยวก้อยสัญญา ใครโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่ม’
หลังจบคำสัญญาแบบเด็กธัญญ์ก็ไม่มัวรีรอรีบหยิบหนังสือเล่มหนามาไว้ในมือตัวเองทันที
“ขออนุญาตนะ”
“ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดน เซลลันเซีย ได้มี. . .”
เสียงทุ้มหวานยังคงเอ่ยเล่าเรื่องราวในนิยาย ส่วน040ก็เอียงหูฟังพลางมองคนเล่าอย่างธัญญ์ไปอย่างเพลินๆโดยคนตัวโตกว่าไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ยังคงเล่าต่อไปด้วยความสุข
เสียงหวานจัง
นุ่ม
เพราะมาก
ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งน่าสนใจ
คนแปลกหน้าแสนใจดี ณ โลกแห่งนี้
พิเศษ
คุณคือคนพิเศษสำหรับผม ธัญญ์
“ด้วยความร้ายกาจของแม่มดทาทาก้าทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล จบบทที่4”
ทุกช่วงเวลา
“เธอชอบเรื่องนี้มั้ย”
หงึกหงัก`ที่สุด`
เขายังคงพยกหน้าหงึกหงักแบบที่ทำเป็นปกติเช่นเคย
“อืม แต่น่าเสียดายเนอะ ดูเหมือนฉันจะเล่าต่อให้ฟังไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้ท้องฉันร้องจ๊อกๆเลย”
040ตกใจขมวดคิ้วมุ่ยจากประโยคนั้น‘ ม ม หมายความว่าผมจะไม่ได้ฟังต่ออย่างนั้นหรอ’
040เม้มปากลงอย่างขัดใจ ‘ไม่ได้นะ จบลงตรงนี้ไม่ได้นะ’
‘ธัญญ์ต้องเล่าต่อสิ’
ด้วยเหตุนั้นมือเล็กจึงยื่นออกไปหมายคว้าเสื้อของคนโตกว่าอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังดึงรั้งสะกิดๆเบาๆบอกความหมายว่าอยากฟังต่อ
ซึ่งธัญญ์เองก็รู้ถึงปฎิกิริยานี้ เขาจึงหันหน้ามา
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ แต่ไม่ได้นะ ”
ราวสายฟ้าฟาดเข้ากลางตัวของ040ดังเปรี๊ยง
‘ทำไมหล่ะ’
“เพราะพวกเรามีนัดทานข้าวเช้ากันเธอลืมแล้วหรอ เด็กจำเป็นต้องกินข้าวนะรู้มั้ย”
‘แต่ผมไม่ใช่เด็ก’
040พลางไม่ชอบคำเรียกนั้นและไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ เขาไม่ยอมแน่
“และไม่มีแต่- ”
ตุ๊บ!
หนังสือหนาในมือพลันร่วงหล่น ตาเปลือกไม้เบิกกว้าง นิ่งแข็งค้างเมื่อได้ยินคำพูดจากเจ้าเด็กประหลาดผู้ที่ไม่เคยยอมพูดกับเขามาก่อน
มันเป็นประโยคแสนเรียบง่ายทว่าทรงพลัง
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมดีใจที่สุดในชีวิตราวกับผมทำอะไรบางอย่างสำเร็จ
เพียงถ้อยคำง่ายๆอย่างคำว่า
“เล่าให้ฟังมากกว่านี้สิธัญญ์”
________________________
จะเป็นยังไงก็รอติดตามบทต่อไปนะคะ ถ้าชอบยังไงก็ฝากคอมเม้น กดใจ กดเข้าชั้นด้วยนะคะ จะพยายามพัฒนาต่อไปค่ะ คอมเม้นได้ฮะไม่กัดน้า บ๊ายบาย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 13
Comments