.
.
.
“เธอจะไปไหน กลับมาก่อน”
ธัญญ์ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจขณะวิ่งตามร่างเล็กจ้อยตรงหน้าไปอย่างไม่ลดละ ทั้งยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเพื่อตามให้ทัน
ทำไม?
ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า เขาถึงได้มีท่าทีต่อต้านอย่างนี้
เขากลัวอะไร
กลัวผม
กลัวโรงพยาบาล
หรือกลัวสีขาว
เด็กคนนั้นกลัวอะไรอยู่กันแน่
ในขณะเดียวกันร่างมอมแมมของเด็กน้อยตรงหน้าก็สั่นกลัวกับสิ่งที่เห็น ภายใต้จิตสำนึกอันดำมืดภายในจิตใจที่ไม่มีวันลบเลือน จิตสำนึกกำลังร่ำบอกให้เขาจดจำมันได้อีกครั้ง
สีมีเป็นร้อยเป็นพันเฉดแต่ทว่าเขากลับเจอมัน
สีขาว
มันคือสีที่เขาเกลียดและกลัวมากที่สุด มันเป็นสีของความทรมาณและขมขื่น เป็นสีที่เขารู้จักดีมาทั้งชีวิต ด้วยเพราะเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นมันเป็นอย่างแรก
ใสสะอาดและบริสุทธิ์
เหอะ โสโครกหล่ะสิไม่ว่า
ถึงแม้สีขาวจะเป็นสีที่สะอาดเพียงไหนแต่ก็อย่าลืมซะว่ามันก็สกปรกง่ายเท่านั้น
ห้องทดลองที่เขาเกลียด หลอดทดลองอันเล็กแคบ ชุดกาวน์แสนคุ้นตา กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนกึก ทุกอย่างที่เอ่ยมาผมอยู่กับมันมาตลอด100ปีจนมันฝังรากลึกลงไปในความทรงจำ
เจ็บ
ทรมาณ
ขอร้อง. . .
ยิ่ง040ระลึกถึงมันได้เท่าไหร่ 040ก็ยิ่งหวาดกลัวนั่งสั่นกัดฟันยกมือปิดหูพลางหลับตาแน่นจมอยู่ในภวังค์
เขาไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน และไม่อยากเจ็บอีกแล้ว อยากหายไปจากตรงนั้น. . .
“ฮึก ฮือ ฮึก”
เสียงร้องไห้ยังคงดังระงมปกคลุมร่างน้อยๆที่ยังคงก้มหน้ากกกอดตัวเองอย่างเจ็บปวด
ทว่าไม่นานร่างของ040ก็ต้องเบิกตากว้าง สะดุ้งวาบตกใจเมื่อถูกโอบกอดด้วยร่างอุ่นของคนแปลกหน้าอย่างธัญญ์
มันเป็นสัมผัสที่แปลก แปลกประหลาดสำหรับเขา เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะปกติเขามักจะถูกมองข้ามและถูกเหยียดหยามอยู่เสมอภายใต้ห้องทดลองสีขาวนั่น และสัมผัสเหล่านั้นย่อมเป็นสิ่งที่เขาเกลียด
แต่ในทางกลับกันสัมผัสนี้เขาดันรู้สึกอบอุ่นเหมือนหัวใจกำลังฟูฟ่องอยู่ข้างในอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังมีเสียงพร่ำบอกว่าไม่เป็นไรดังแทนเสียงร้องของเขาเองอีก
ทำให้ตอนนี้เขาทำตัวไม่ถูกได้แต่ปล่อยคนร่างบางตรงหน้าโอบกอดเขาต่อไป
หัวใจอันแตกร้าวรู้สึกอุ่นขึ้นจากน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆนะ”
คุณไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย
“ขอโทษที่ไม่รู้ว่าเธอกลัวขนาดนี้”
คุณไม่รู้ก็ไม่แปลกเพราะคุณเป็นคนแปลกหน้านี่ คุณไม่ต้องรู้สึกผิดก็ได้นะ
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย”
ผมชินแล้ว. . . คิดว่านะ
“ไม่เป็นไรนะ เธอโอเครึเปล่า”
ผมไม่รู้. . .
และบทสนานั่นก็ดำเนินมาพักใหญ่ก่อนจะเงียบหายไปเมื่อธัญญ์ต้ังสติได้ ครั้นตั้งสติได้ธัญญ์ก็ไม่รอช้ารีบจูงร่างเด็กน้อยมอมแมมตรงหน้าขึ้นรถแล้วตรงดิ่งกลับบ้านไปในทันทีเพื่อพาเด็กน้อยผมสีปีกกาหนีจากอะไรก็ตามที่เขากำลังหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจจนแสดงพฤติกรรมนั้นออกมา
ในตอนแรกธัญญ์ยังคิดว่าเด็กนี่แปลก แปลกแบบ. . . ไม่รู้สิ ผมอธิบายไม่ถูก ผมเองยังคิดไม่ตกว่าในตอนที่เจอเด็กมอมแมมคนนี้ครั้งแรกมันเป็นความจริงรึเปล่าหรือแค่ผมฝันไปเอง
มันแบบ มัน ประหลาดไปหมด ความรู้สึกโครตประหลาดเลย มันจะเป็นความบังเอิญรึเปล่านะที่ทำให้ผมพบกับเขา
ธัญญ์คิดในใจพลางหรี่ตามองร่างเล็กแสนมอมแมมด้วยความเอ็นดูขณะเจ้าตัวหลับไป
“เจ้าเด็กประหลาดกลับบ้านกัน” ธัญญ์เอ่ยกระซิบกับตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าผมใช้คำว่าประหลาดไปแล้วกี่ครั้งเมื่อเจอเขา ทว่าในระหว่างทางจะถึงบ้านผมกลับต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อมีเหล่าคนแปลกหน้าสามคนกำลังยืนล้อมรอบประตูร้านหนังสือของผมอยู่อย่างน่าสงสัย อันประกอบไปด้วยผู้ชายร่างใหญ่ทั้งสิ้น
พวกเขาทั้งสามล้วนแต่งกายด้วยชุดสูทสีเทาดำเรียบสนิทคล้ายกับพวกนักธุรกิจสมองเพรช แต่ในทางกลับกันท่าทางของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีพิรุธ ทั้งสายตาล่อกแล่กกรอกไปมาเพื่อมองรอบๆ
ทั้งมือที่เอื้อมมาจับแม่กุญแจขอองร้านแล้วก็อีกสารพัดอย่างที่ส่อให้ผมรู้ว่าเขาจะหาทางเข้าร้านของผมอย่างแน่นอน
ซึ่งข้อสันนิษฐานเดียวที่ผมคิดได้คือพวกเขาเป็น ขโมย
แต่ทำไมหล่ะ ร้านเล็กๆนี่มีอะไรน่าสนใจนักรึไงกัน และถึงแม้มันจะเป็นเพียงการสันนิษฐานก็ตาม ผมก็ไม่ไว้ใจอยู่ดีจึงได้จงใจจะจอดรถเพื่อดูท่าทีนั้นสักพัก
“โครตน่าสงสัย”
ถึงอย่างนั้นธัญญ์ก็ไม่ได้ทำตามที่คิดนั่นเป็นเพราะเพื่อนสนิทตัวดีของเขาอย่าง ต้น ออกมาไล่พวกคนน่าสงสัยไปก่อนที่รถเขาจะได้จอดลงเทียบท่าเสียอีก
ต้น เพื่อนสนิทผิวเข้มสมัยม.ปลาย สูงยาวเข่าดีมาตรฐานชายไทย หน้าคมเข้ม ผมดกดำ กล้ามใหญ่เท่าหัวเด็ก
ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้นทำยังไงพวกเขาถึงได้กลัวจนเจ้าเข้าตัวสั่นอย่างกับลูกนกตกน้ำก่อนจะล่าถอยกันออกไปเองแบบนี้
ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาขี้ขลาดเกินไป
เพราะถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของต้นจะดูน่าหวาดหวั่นและน่าเกรงขามก็ตาม ทว่ารูปลักษณ์ภายในที่ผมได้รู้จักมันกลับตรงกันข้ามเนื่องด้วยเขาเป็นพวกออกจะต๊องๆหน่อยแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร สำหรับผมหล่ะก็นะ
ธัญญ์ที่กำลังจมดิ่งในภวังค์ของตัวเองได้ไม่นานก็จำต้องเงยหน้าขึ้นจากเสียงเรียกของต้นให้รู้ว่าตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว ช่างเป็นคนดีจริงๆเลยเพื่อนผม
“ไม่มีอะไรแล้ว” ต้นผายมือไปหน้าร้านผมอย่างสื่อความหมายว่าพวกนั้นไปแล้ว
“โอเค แล้วมึงมีธุระอะไรรึเปล่าร้อยวันพันปีไม่เห็นออกมาจากห้อง” ผมยิ้มพลางหยอกล้อตามประสาเพื่อนสนิท
ต้นเลิกคิ้ว”ทำไม คือกูจะมาหามึงเพราะคิดถึงเฉยๆไม่ได้หรอ ต้องมีธุระตลอดเลยไงถามจริง”
ผมถอนหายใจแล้วตอบกลับไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“ กวนตีน แค่สงสัยเฉยๆไม่ได้ไง ฮึ”
ต้นยิ้มขำในท่าทางที่ผมแสดงออกมา“ มึงแหละกวนตีน”
ผมยักไหล่แบบขอไปทีก่อนตอบ“ก็ใครเริ่มก่อนหล่ะ”
“ไม่ใช่กูละกัน”
“ตอแหล แล้วสรุปที่มาบ้านกูคือ. . .” ผมตอบกลับต้นอีกทีพลางวกกลับมาเรื่องเดิมอย่างช่วยไม่ได้
“คือกูเห็นคนน่าสงสัยตรงหน้าบ้านมึงกูก็เลยกะมาไล่แค่แป๊บๆเดี๋ยวก็กลับ แต่ไม่คิดว่ามึงจะกลับมาซะก่อน สภาพมันเลยเป็นแบบที่เห็น”
ต้นเล่าแบบไม่กั๊ก ซึ่งธัญญ์ก็รู้ดีว่าต้นไม่โกหกตนแน่ ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดีแเละอยากจะตอบแทนธัญญ์เลยชวนต้นไปพักข้างในพร้อมเปิดแอร์เย็นๆให้คลายร้อนตัดกับอากาศข้างนอกที่แดดแรงเปรี้ยงปร้าง
“เห้อ เย็นชะมัด” ต้นบ่นด้วยความผ่อนคลายหลังเพื่อนตัวเล็กของเขาไขกุญแจเข้าร้านมาได้
“น้อยๆเหอะจะไม่เย็นได้ไงมึงเปิดตั้ง20องศาถ้ายังไม่เย็นอีกมึงคงต้องไปอยู่ขั้วโลกนู่นถึงจะเย็นอ่ะ”
“สัส เออว่าจะถามตั้งนานละ ไอ้เด็กที่มึงกำลังจูงมือมานั่งอยู่นั่นอ่ะลูกเต้าเหล่าใคร หือ ”
ต้นถามพลางหันไปมองเจ้าเด็กผมสีปีกกาข้างเพื่อนเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ไม่รู้” ธัญญ์ตอบแบบตรงๆแบบห้วนๆส่วนต้นเมื่อได้ฟังก็ผุดลุกขึ้นยืนร้องหาเสียงดัง ก่อนจะหรี่ตามองแบบไม่ไว้ใจ
“หา นี่ไปเก็บเด็กได้มาหรือไปลักพาตัวมาหรือจะ หรือจะ-”
โอเคๆ ยังบ๊องและขี้มโนไม่เปลี่ยน
คิดแล้วธัญญ์ก็ยังเหนื่อยใจกรอกตามองบนอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขัดเพื่อนจตัวโตของเขาออกมา
“พอเลยๆ ฟังก่อน ช่วยอยุดมโนสักแป๊บนึงก่อน ”
“แต่-”
ต้นทำท่าจะเถียงแต่ก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อธัญญ์น้ำเสียงกดต่ำลง “หยุดโวยวายแล้วนั่งลง ทำใจให้เย็นๆซะ”
“ครับ ” ต้นสุภาพทันตาเห็นเมื่อเห็นเค้าโครงรางๆว่าเพื่อนของเขาเริ่มจริงจังขึ้น
ต้นนั่งนิ่งมากแทบไม่ขยับ
“ใจเย็นลงแล้วใช่มั้ย ทีนี้มาเข้าเรื่องกันจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของมึง เค๊”
“อืม”
การจะเอาคนตัวใหญ่บ๊องๆอย่างต้นอยู่หมัดก็ต้องใช้เหตุผลคุยกันนี่แหล่ะเหมาะสมที่สุด คิดแล้วก็มองไปที่เจ้าลูกหมาตัวบิ๊กที่นั่งรออย่างรู้ความ
ซึ่งธัญญ์ก็ไม่ปล่อยให้หมาใหญ่รอนานรีบจับจูงเจ้าเด็กข้างตัวนั่งลงข้างๆกันก่อนจะเล่าออกมากับเรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติที่เขาพบเจอ
เรื่องเล่าดำเนินมาพักใหญ่โดยมีธัญญ์เป็นคนเล่าและเจ้าเด็กผมสีปีกกากับเจ้าหมาโกลเด้นตัวโตอย่างต้นตั้งใจฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้มุมมองที่เห็นกลายเป็นเด็กกำลังฟังคุณครูเล่านิทาน
“ก็เรื่องทั้งหมดก็เป็นงี้แหละ”
“. . .” ต้นยังคงเงียบ
“กูยังพูดคำเดิมจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของมึง นิทานจบละ กลับบ้านได้แล้วเนอะ”
“แต่กูพึ่งมาถึงเองน้า ไม่ใจร้ายกับเพื่อนไปหน่อยหรอธัญญ์นารา”
ถึงกับเรียกชื่อจริงสงสัยยังเครียดไม่หาย
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าต้นหนจะขออยู่ต่อแบบนี้พอฟังเรื่องผมจบ เพราะมันแปลว่าต้นไม่สบายใจ ไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่าน
“อืม อยากฟังเรื่องอะไรหล่ะ ”
“อะไรก็ได้ที่มึงอยากเล่าธัญญ์” ผมยิ้มน้อยๆในคำตอบเพื่อนตัวโต
“งั้นเป็นเจ้าชายผู้โชคร้ายกับหญิงสาวผู้ลึกลับเนอะ”
ต้นหันมองสื่อความนัยว่าเอาจริงดิ“แต่เรื่องนี้เล่าไป343ครั้งได้มั้ง”
“ก็บอกว่าอะไรก็ได้ไงมึงพูดเองนะ”
“จ้า ๆ แล้วแต่เลย” ต้นจำยอมอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเขาอออกปากแล้ว
ทั้งสองยังพูดคุยกันโดยมีเจ้าเด็กนั่งฟังอย่างตั้งใจตาแทบจะไม่กระพริบ
“กาลคครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรโคว์เวอร์อันแสนสงบสุข จักพรรดิ์ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม ผู้คนอยู่อย่างสุขสบายไม่มีสงครามใดๆ ทว่าวันหนึ่งจักพรรดิ์ โลเซล คาลอส ที่3 ก็ได้สวรรคตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้ทั่วทั้งพระราชวังโกลาหลวุ่ยวายไปหมดเมื่อไม่มีราชา
ด้วยเหตุเพราะเจ้าชาย กาเซล คาลอส ยังคงไม่ถึงวัยเจริญวัยที่จะสามารถครองราชย์ได้ ทำให้พวกขุนนางทั้งหลายจำต้องยกตำแหน่งให้ เรเซล คาลอส ญาติผู้พี่ของโลเซล คาลอสอย่างเสียไม่ได้ จนกว่ากาเซลจะอายุ18
แต่ใครจะไปคิดว่าราเซลอยยากครงราชน์ตลอดไปจึงได้ลวงแผนการโดยการส่งเจ้าชายไปต่อสู้กับแดนแล้งแค้นอันร้อนระอุทางฝั่งตะวันออกโดยในระหว่างเดินทางจำต้องหยุดพักเนื่องด้วยระยะทางที่ไกลทำให้ กาเซลและเหล่าองค์รักษ์อีก2คนหยุดพักที่เมืองโคฟอันเต็มไปด้วยเหล่าอาชญากรผู้หิวโหยเลือกปล้นฆ่าไม่เว้นคน
ยิ่งคนรวยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซึ่งเจ้าชายก็เป็นหนึ่งในคนรวยนั้นทำให้เขาต้องหนี หนีไปให้พ้นจากเมืองนี้
เขาวิ่ง วิ่งขาแทบแหลก ตาถลนเปี่ยมไปด้วยความกลัว น้ำตาไหลพรากด้วยความเหนื่อยอ่อนจากเด็กอายุ12 หนีพวกผู้ใหญ่ที่มีกำลังมากกว่าตน ซึ่งปกติแล้วมันแทบจะหนีไม่ได้เลยถ้าเจ้าชายน้อยไม่ได้“เจน” เด็กสาวแปลกประหลาดจากหมู่บ้านโคฟช่วยไว้
เจนนั้นเธอเป็นเด็กสาวผมแดง เก็บตัวไม่ค่อยเข้าสังคมหนำซ้ำยังชอบใส่ผ้าคลุมอีกต่างหากทำให้บ่อยครั้งเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
แต่ถึงกระนั้นการที่เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดมันก็มีข้อดีของมันอย่างเช่นในเคสของเจ้าชาย เพราะเธอขู่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นด้วยความกล้าหาญและชาญฉลาดทำให้เจ้าชายตกหลุมรักในถ้อยคำนั้นทันที
ื `พวกมนุษย์ผู้ใหญ่น่ารังเกียจทั้งหลายเอ๋ย ถ้าพวกเจ้าไม่อยากเกิดโชคคร้ายหรือหายนะกับตัวเองก็จงหลีกไป วนกลับไปทางเดิมเสียไม่งั้นก็อย่าหาว่าเราไม่เตือน`
เธอพูดพร้อมจ้องเขม็งไปทางพวกเขาซึ่งมันก็ได้ผลดังคาดเพราะพวกผู้ใหญ่พวกนั้นวิ่งเตลิดออกไปในทันที แล้วเจ้าชายเองก็กล่าวขอบคุณพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัว
“ขอบคุณและสวัสดีผม กาเซล คาลอส ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เจน มิราด ยินดีที่ได้รู้จักคนจากพระราชวัง ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เจนพูดอย่างขอไปที ทำทีราวกับไล่ แต่ให้ทำไงได้มันกลับกลายเป็นว่าเจ้าชายน้อยรักมันมากขึ้นจากถ้อยคำประหลาดจากเธอ
เจ้าชายเทียวไล่เทียวขื่อมาหาทุกวันจนเจนต้องยอมใจอ่อนกับความตื้อ กระทั่งพวกเขาเป็นคนรักกัน แต่ถึงอย่างนั้นโชคคชะตาก็เล่นตลกทำให้เจ้าชายผู้ซึ่งละทิ้งหน้าที่มานานถูกเร่งตัวไปยังแดนตะวันออก ทำให้เขารู้ดีว่าต้องจากเธออันเป็นที่รักไป
เขาเศร้าใจอย่างมาก ต่างจากเธอที่สุขุมไม่เผยสีหน้าใดๆ จนกระทั่งวันออกเดินทาง เจนนั้นก็มารอส่งพร้อมโคว์เวอร์4แฉกหนึ่งติดไว้กับอกของเขาพร้อมเอ้ยเอ่ยทุกอย่างภายในใจ
“ข้ารักท่าน คิดถึง โหยหาท่าน ”
“ข้าก็เช่นกัน”
“อืม ถ้าเมื่อใดท่านคิดถึงข้าให้มองโคว์เวอร์นี้ไว้ให้ดีๆอย่าให้แฉกไหนขาดเด็ดขาดเพราะแต่ละฉากนั้นเปรียบเสมือน ความรัก ความศรัทธา ความหวังและสุดท้าย ความโชคดีของฉัน รักษามันไว้ให้ดีๆขอให้โชคอยู่ข้างคุณ”
สิ้นคำพูดนั้นเจ้าชายก็จำต้องจากเจ้าหญิงของเขามุ่งไปทำสงครามด้านตะวันออก เขาต่อสู้ไป ก็คิดถึงนางอันเป็นที่รักไป ห่วงจนแทบอยากกลับไปแต่ก็ละทิ้งราฎดร
ในศึกสุดท้ายไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือยังไงเขาจึงสามารถฝันฝ่าชิงชัยชนะและกลับมาหาเจนและครองคู่ได้ ทำให้ของแทนใจชิ้นนั้นกลายเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดีไปโดยปริยาย”
“จบ แยกย้ายกลับบ้านได้แล้วมั้ง ค่ำแล้วเนี่ย” ธัญญ์พูดพลางแซวคนตรงหน้าที่ไม่ยอมไปสักที
“เออ เออ ไปก็ได้หายเครียดไปเปราะนึงเหมือนกัน ขอบใจนะ”
“จ้าๆ โชคดี” ผมไม่ว่าเปล่ารีบไล่ลูกหมาตัวโตทันที
“ส่วนเธอก็นอนได้แล้ว เด็กไม่ควรนอนดึกเพราะร่างกายจะเติบโตได้ไม่เต็มที่ เข้าใจนะ แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องไปอาบน้ำซะก่อน” ธัญญ์ยิ้มพลางจับจูงมือเด็กน้อยให้ไปอาบน้ำก่อนจะขึ้นนอนบนชั้น2ด้วยกัน
แอ๊ด
เมื่อมาถึงห้องนอนธัญญ์ก็ไม่รอช้ารีบจัดแจงที่นอนให้ร่างเล็กข้างตัวอย่างเร็วรี่ก่อนที่ธัญญ์จะล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าจากเหตุการณ์เมื่อเช้า
“ฝันดี”
“. . .”
“แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าผมโตแล้วธัญญ์”
__________________________
จะเป็นยังไงก็รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ถ้าชอบยังไงก็ฝากคอมเม้น กดใจ กดเข้าชั้นด้วยนะคะ จะพยายามพัฒนาต่อไปค่ะ บาย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 13
Comments