.
.
.
ยามตะวันต้องแสงสอดส่องลงมายังพื้นโลก ปลุกเรียกสรรพสิ่งให้ฟื้นคืนจากราตรีอันมืดมิด ปลุกเรียกทุกสิ่งไม่เว้นแม้กระทั่งธัญญ์เองก็ตามที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แม้คนบนเตียงจะไม่อยากลุกขึ้นเลยก็ตาม
“ห๊าว~”
ไม่รอช้าหลังตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจได้สักพัก ธัญญ์ก็ลุกขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่เคยทำทุกวันก่อนจะแต่งตัวออกไปจ่ายตลาดยามเช้าโดยการขับจักรยานคู่เก่งสีฟ้าคันโปรดออกไป
และเพียงไม่นานจักรยานคันโปรดก็โล่นแล่นสู่ท้องถนนลาดยาง สองข้างทางเต็มไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์และบ้านเรือนไม้หลังใหญ่หลายหลังตามสองข้างทาง
ดูสวยงามรื่นรมย์ใจไม่น้อยอีกทั้งถนนแถวนี้ก็ยังมีรถยนต์น้อยจนแทบจะไม่เจอ ทำให้การปั่นจักรยานในเช้านี้ดูจะปลอดภัยไม่น้อยเลยทีเดียว
ธัญญ์ปั่นจักรยานอย่างนั้นจนไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็มาถึงยังที่หมายทันที ไม่รอช้าเมื่อเห็นปลายทางอยู่ตรงหน้าเขาก็รีบลงจากจักยานก่อนจะจอดมันไว้หน้าตลาดแล้วเดินลงมาเลือกซื้อของอย่างเช่นเคย
แต่ดูเหมือนการมาตลาดคราวนี้สงสัยธัญญ์คงต้องซื้อของสดไปเยอะสักหน่อย เพราะตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และดูท่าคงจะกินจุไม่น้อย
ทำให้ผมอดนึกถึงกล่องซีเรียลเมื่อวานไม่ได้ที่เขากินไปตั้ง3กล่องในมื้อเดียว เจริญอาหารซะจริงตัวแค่นี้แต่ซื้อไปตุนเยอะๆหน่อยก็ดี เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาดจริงมั้ย
“หวัดดีครับ วันนี้จะเอาอะไรดีครับพี่ธัญญ์คนสวย”
ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพลันเสียงไอ้ตาลหรือลูกตาล หนุ่มน้อยตัวจี๊ดวัยมัธยมปลายแสนแสบก็รั้งเรียกผมไว้ยังแผงขายผักสดของเด็กมัน
“หืม พี่สวยหรอ พี่ว่าพี่หล่อนะ” ผมตอบโต้เด็กมันไปด้วยความเอ็นดูปนหมั่นไส้
“โถ่ พี่ยอมรับความจริงเหอะว่าพี่สวย ผมพูดจริงนะ ทั้งขนตาทั้งผม ผิวพรรณดูยังไงก็ไม่เหมือนผู้ชายอ่ะ สวย- ”แต่ไม่วายเด็กมันโต้กลับแบบไม่มีช่องว่างให้ผมพูด
“โอเคๆ พี่ยอมรับก็ได้ว่าสวย พอใจยัง” เถียงเด็กมันไม่ได้เลยได้แต่ยอมๆมันไป
“ครับ แล้วจะรับอะไรดีครับพี่คนสวย”
“งั้นเอาต้นหอมผักชี กระเทียม ไข่ บลาๆ“
ผมไล่ลิสต์ของที่อยากได้มาเรื่อยๆจนครบ ก่อนที่เจ้าลูกตาลจะคิดเงินใส่ถุงให้แบบรวดเร็ว
“โห วันนี้ทำไมซื้อเยอะจังเลยครับพี่ธัญญ์ มีคนมาเพิ่มหรอครับ” ตาลถามด้วยความสงสัยเพราะปกติพี่แกซื้อแค่ไม่กี่อย่างเพื่อเอาไปทำกินเอง ทว่าวันนี้พี่ธัญญ์กลับสั่งเยอะเกินลิมิตที่ควรจะเป็นเลยทำให้ลูกตาลอยากใส่ใจ
“อืม พอดีมีเพิ่มหน่ะ”ผมยิ้มรับกับท่าทางตื่นเต้นของเด็กน้อยตรงหน้า
“เอ หวานใจพี่หรอครับถึงได้จัดชุดใหญ่ขนาดนี้“
หวานใจ?
“เอ พี่ว่าดูเหมือนจะมีคนเข้าใจผิดนะ”
“อ้าว ไม่ใช่แฟนพี่หรอ” ขอแก้ข่าวด่วนพี่ยังไม่ได้พูดเลยนะตาลเอามาจากไห๊น ใครมันเป็นคนปล่อยข่าว
“ฮึ ไม่ใช่ครับลูกตาล เขาเป็น. . เอ่อ. เป็นลูกญาติเพื่อนพี่เอง พอดีเขาต้องไปทำงานกะทันหันเลยเอามาฝากพี่ไว้หน่ะ”
“อ่อ โทษทีนะพี่ผมคิดว่าจะมีข่าวดีซะอีก” ลูกตาลพูดอย่างเสียดายเมื่อไม่เป็นดังหวัง
“ข่าวดีอะไรหล่ะไอ้เด็กแก่แดดเอ๊ย ไปได้ยินข่าวมาจากไหน หืม”
“โถ่ ผมไม่ได้แก่แดดสักหน่อยแค่อยากรู้หนิว่าพี่จะมีคนในใจรึยัง“
“หืม พี่ว่าอยู่คนเดียวก็ดีออกนะ ไม่คิดงั้นหรอน้ำตาล”
“ลูกตาลครับ อย่าเรียกผิดสิ”
ผมหัวเราะเมื่อแกล้งเจ้าเด็กตรงหน้าได้ “จ้า ลูกตาลก็ลูกตาลอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าเราแอบไปรับจ้างจีบพี่มา พี่เห็นนะ แล้วคราวนี้ใครอีกหล่ะพี่รู้จักรึเปล่า”
“ฮิ ก็คนเดิมนั่นแหละครับ พี่ชิน รายนั้นตามจีบพี่มาเป็นปีแล้วพี่ไม่คิดจะเปิดใจให้พี่ชินหน่อยหรอครับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าอยู่คนเดียวสบายใจกว่า ฝากกลับไปบอกด้วยนะว่าไม่สนใจ”
“ครับๆ” ตาลตอบรับเอื่อยๆเมื่อถูกจับได้
“ดีมาก”
ผมพูดพร้อมยกมือขึ้นมาลูบหัวส่วนมืออีกข้างก็หยิบลูกอมที่พกติดตัวมาให้เจ้าตัวสามเม็ด พร้อมกับขอของที่สั่งไว้
“อ่ะ พี่ให้ แล้วขอของที่สั่งไว้ด้วยครับ”
“ขอบคุณครับพี่ธัญญ์คนสวย นี่ของพี่ครับ”เจ้าลูกตาลน้อย ยิ้มรับพร้อมตาเป็นประกายยามรับลูกอมสามห่อและเงินจากธัญญ์พลันรีบหยิบยกถุงให้อย่างเร็วรี่
“ไปหล่ะ ขายของดีๆอย่าไปซนที่ไหนให้เจ็บตัวหล่ะ”
“คร๊าบพี่ธัญญ์คนสวย”
เสียงจากเด็กชายลูกตาลตะโกนไล่หลังมาจางๆเมื่อผมเดินมาไกลเรื่อยๆ พลางเดินดูจับจ่ายใช้สอยไปทั่วทั้งตลาด ออกร้านนู้นเข้าร้านนี้จนได้ของมาครบตามใจแล้วถึงจะยอมกลับออกมา
ซึ่งตอนที่กลับออกมาจากตลาดท้องฟ้าก็จ้าแสงขึ้นมากกว่าเดิมแสงแดดแผดรังสีแรงขึ้นทำให้ผมต้องรีบปั่นจักรยานกลับทันทีก่อนจะสายไปกว่านี้ด้วยความกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยที่รออยู่ที่บ้านจะหิวจนหน้ามืดไปซะก่อน
ไม่นานนักผมก็ปั่นจักรยานมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เนื่องด้วยระยะทางระหว่างร้านธัญญ์นารากับตลาดไม่ค่อยห่างกันมากเสียเท่าไหร่ ทำให้เช้าวันนี้ดูเร็วขึ้นอย่างทันตาเห็น
ไม่รอช้าเมื่อมาถึงคนตัวบางก็รีบลงจากรถจักรยานคันโปรด เดินอาดๆเข้าห้องครัวไปด้วยความสุขภายในใจแลความเป็นห่วงเด็กน้อยในปกครอง พร้อมตั้งมั่นเอาไว้ว่าพอทานอาหารเช้าเสร็จผมจะพาเขาไปตรวจร่างกายอย่างที่หมายมั่นไว้เมื่อคืน
แอ๊ด
ทว่าในระหว่างที่ผมทำอาหารนั้นจู่ๆก็มีเสียงแง้มประตูดังขึ้นอย่างเบาๆท่ามกลางห้องครัวอันเงียบสงบ ซึ่งผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเด็กน้อยในปกครองของผมเองที่หิวจนตามกลิ่นข้าวต้มมาติดๆอย่างกับลูกหมาที่ตามกลิ่นอาหารมาแหน่ะ
ดูท่าคงจะหิวมาก เกาะประตูไม่ห่างเลย น่าเอ็นดูจริงๆเลย
“หิวแล้วรึยังเราหน่ะ พอดีฉันทำข้าวต้มไว้ให้ไม่รู้จะถูกปากเธอรึเปล่า มากินเร็ว”
ผมพูดขึ้นมาลอยๆพยายามไม่หันไปสบตาเจ้าตัวเล็กที่กำลังเกาะประตูยืนทำน้ำลายยืด พร้อมตักข้าวต้มหอมกรุ่นลงบนถ้วยเซรามิกสีสวยนำมาวางไว้ตรงโต๊ะทานข้าวเบื้องหน้า
“กินเลยนะ มากินเร็ว กินตอนร้อนๆนี่แหละอร่อยที่สุดแล้ว แต่ระวังลวกปากหล่ะขอเตือนไว้ก่อน”
คราวนี้ผมหันไปหาเจ้าตัวขณะกำลังตักข้าวต้มของตัวเองลงถ้วยพร้อมกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้มหวาน ทว่าเจ้าเด็กกลับแข็งทื่อ
“. . .” รอยยิ้มผมน่ากลัวหรอเด็กตรงหน้าถึงไม่ยอมตอบผมสักคำแถมยังเกร็งตัวอีกต่างหาก
“หืม ไม่หิวหรอ?”
ดูยังไงก็หิวชัดๆ สงสัยคงยังระแวงอยู่มั้งถึงได้ไม่ยอมกินข้าวต้มลงไป โถ่ น่าสงสารซะจริง
ต้องอดทนอดกลั้นไม่ยอมกินของอร่อยตรงหน้าทั้งๆที่น้ำลายไหลจนเกือบถึงคางแล้วนั่น
“อ่ะ นี่ฉันจะกินให้ดู มันกินอย่างนี้นะ ตักขึ้นมาเป่าฟู่ฟู่ให้ไม่ลวกลิ้นแล้วใส่ปากแบบนี้ อื้ม อร่อย“
ธัญญ์พูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบคล้ายกับตอนที่เขาเคยสอนป้อนข้าวให้กับมะเหมี่ยว ลูกสาววัย2ขวบของเพื่อนเขาเอง
แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กตรงหน้าจะยังคงลังเลเม้มปากซีดเซียวของเจ้าตัวแน่นอย่างชั่งใจ ทว่าอาจจะด้วยความหิวและท้องที่ร้องโครมครามแหละมั้ง
เจ้าเด็กเลยรีบเดินมาคว้าช้อนตักลงไปก่อนจะเอาเข้าปากในทันทีแบบไม่รอให้เย็น ทำให้ผมต้องรีบเอ่ยห้าม พูดตักเตือนออกไป
“ อย่านะ ขอช้อนคืนด้วยครับ” เจ้าเด็กตรงหน้าหงอยลงทันที ประสานกำมือแน่นอย่างกับลูกหมาทำความผิดทำให้ใจของธัญญ์ยิ่งอ่อนยวบลง
“ไม่ได้จะดุครับ แค่จะเตือนว่าเวลาเอาของร้อนเข้าปากถ้าไม่เป่าก่อนมันจะลวกลิ้นจนทำให้มันพอง พอมันพองแล้วมันจะกินข้าวไม่อร่อยแค่นั้นเอง เข้าใจตรงกันนะ”
หงึกๆ
เจ้าเด็กพยักหน้าคล้ายเข้าใจ จนผมทำใจว่าไม่ลงอีกได้แต่หยิบช้อนมาป้อนให้เด็กมอมแมมตรงหน้า
“เดี๋ยวฉันป้อนให้เอง ฟู่ อ้าปากนะ อ้าม”
เจ้าเด็กทำตามแต่โดยดี อีกทั้งยังรู้สึกว่าเจ้าเด็กดูมีความสุขดีและเข้าใกล้เขามากกว่าวันที่แล้ว
“อีกคำนะ อ้าม”
ไม่นานผมกับเด็กน้อยตรงหน้าก็กินข้าวเช้าเสร็จ โดยผมก็ทำการเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วถึงมาแต่งตัว ก่อนจะเตรียมตัวไปโรงพยาบาลเพื่อพา
เขาไปตรวจเพราะถึงแม้ไข้จะหายแล้ว ผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเขาจะหายสนิทดี
“เตรียมตัวให้พร้อมนะ ฉันจะพาเธอไปที่ๆหนึ่ง”
“. . .”
.
.
.
“รับอะไรดีครับ”
“เอาซอฟต์เสิร์ฟวานิลลาสองอันครับ”
ถึงอย่างนั้นก่อนจะพาเขาไปโรงพยาบาล ในสถานที่ๆเขาไม่คุ้นเคยเราก็ควรจะให้เจ้าเด็กกินของหวานคลายเครียดกันก่อน เครียดก็ต้องกิน
ด้วยเหตุนั้นตอนนี้ผมกับเจ้าเด็กเลยมาจอดรถซื้อไอศกรีมกันอยู่และผมก็ให้เจ้าเด็กนั่งอยู่บนรถส่วนผมลงมาซื้อพลางหันไปดูอย่างเป็นห่วง
เด็กน้อยตรงหน้าดูมึนงงหลังผมพาเขาขึ้นรถมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะหมุนหน้าไปทางหน้าต่างที่มีกระจกกั้นอย่างสงสัยพลางจิ้มๆแหย่ๆกระจกรถอย่างสนใจ
ผมมองได้ไม่นานนักพนักงานก็เรียกผมให้มารับของทันที
“ทั้งหมด40บาทครับ”
“นี่ครับ” ผมยื่นแบงก์20ให้สองใบแก่พนักงานแล้วจึงยื่นมือไปรับไอศกรีมแสนอร่อยมาถือก่อนเดินออกจากร้านไปเพื่อกลับมายังรถที่ได้จอดไว้
“. . .”
ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเช่นเดิมมีเพียงแววตาแห่งความตะกละเท่านั้นที่ส่งมาให้ราวกับรู้ว่าที่ถืออยู่ในมือผมนั้นเป็นของกินที่แสนอร่อย
“อยากกินมั้ย”
หงึกๆ
เด็กตรงหน้าพยักหน้าลงทันทีเมื่อได้ยินคำถาม
ผมยกยิ้ม “โอเคเด็กตะกละ ระวังผมด้วยหล่ะ”
แล้วผมก็ยื่นไอศกรีมส่งไปให้ซึ่งเด็กน้อยตรงหน้าก็รีบยื่นมือมารับอย่างไวพร้อมละเลียดชิมอย่างละน้อยด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ชิมไปก็ตาโตไป ด้วยสัมผัสเนื้อสีขาวหวานฉ่ำแสนอร่อย
“กินเยอะๆนะ” ว่าพลางก็ช่วยปัดผมสีดำยาวออกจากใบหน้า
“อ. . .”
หือ เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินว่าเขาพูดหรือว่าผมหูผมฝาด
ธัญญ์คิดอย่างติดตลกในใจทั้งๆที่ความจริงแล้วเด็กตรงหน้าอย่าง040กลับอยากจะพูดออกมาจริงๆ
เพียงแวบเดียวไอติมแสนอร่อยทั้งสองโคนก็หายไปทิ้งไว้เพียงรสชาติหวานอร่อยในปากจน040อดยู่ปากอยากกินอีกไม่ไหว ธัญญ์ที่เห็นดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้ทันที
“ทำหน้าอย่างนั้นอยากกินอีกหรอ”
ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนั้นเพราะไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าเด็กก็พยักหน้าลงมาอีกครั้ง
“อืม ถ้าอยากกินอีกครั้งเธอก็ต้องสัญญาก่อนว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนและจะไม่อาละวาดให้ฉันปวดหัวหน่ะโอเคมั้ย”
040พยักหน้าลงอีกทีเพื่อให้ธัญญ์รับรู้ว่าเขาเข้าใจถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไรก็ตาม
“เก่งมาก”
สิ้นสุดคำชม ธัญญ์ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับยาวสวยเหมือนกับขนของปีกกา
อือ น่ารัก~
ผมจมไปกับความน่ารักของเจ้าเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสุดท้ายผมก็ต้องจำใจยกมือออกเพื่อพาเขาไปพบแพทย์อยู่ดี
“สัญญานะว่าจะไม่ดื้อ”
“. . .”
สิ้นคำพูดเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจรถยนต์สีเทาดำคันสวยของธัญญ์ก็เลื่อนตัวมาจอดภายในโรงพยาบาลตามที่เขาได้ตั้งเป้าหมายไว้
แอ๊ด
“ถึงแล้วหล่ะ” ธัญญ์ยกยิ้มให้เจ้าเด็กอีกรอบก่อนจะลงมาเปิดประตูให้
ส่วน040ก็ค่อยๆก้าวลงมาช้าๆอย่างระมัดระวังกับความไม่คุ้นชินของตัวรถ
“จับมือมั้ย”
“. . .” 040ลังเลกับคำถาม
จับมือกับคนคนนั้น ม มือ จับมือได้จริงๆหรอ เรามันแค่หนูทดลองนะ
040 ชั่งใจเม้มริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองแน่นจนมันห้อเลือดขึ้นมาซึ่งธัญญ์ก็สังเกตเห็นอาการนี้ด้วยเหมือนกัน
“ง งั้นถ้าเธอยังไม่มั่นใจที่จะจับมือกับฉันเธอก็เดินห่างๆก็ได้-”
ไม่นะ!!!
จับสิ!!!
040กระวนกระวายรีบจับมือคนตรงหน้าทันทีก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจเล่นทำเอาธัญญ์งงไปพักหนึ่ง
“อ๋อ เธอเป็นเด็กขี้อายนี่เอง อยากจับก็บอกกันตรงๆได้ฉันไม่ว่าหรอกนะ”
040ทำตาโตเบิกกว้างคล้ายกับว่าสิ่งที่ธัญญ์พูดคือเรื่องใช่มั้ย จนธัญญ์ได้แต่กลั้นหัวเราะ
“ก็เธอน่ารักขนาดนี้ใครจะโกรธลงหล่ะเนอะ”
น่ารัก?
คุณมองว่าผมน่ารักจริงๆหรอ
เราเนี่ยนะน่ารักถ้าน่าเกลียดก็ว่าไปอย่างสิ
ไม่วายมืออีกข้างก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวทุยๆนั่น ก่อนจะจับจูงเจ้าเด็กของเขาเข้าสู่โรงพยาบาล
“เข้าไปกันเถอะ อ๊ะ-”
ไม่ทันที่ธัญญ์จะผลักประตูออกไปให้สุดบานเจ้าเด็กที่ตอนแรกเดินตามมาต้อยๆคล้ายเด็กดีไม่มีทีท่าต่อต้าน กลับฝืนแรงสะบัดมือดึงตัวกลับออกไปจากธัญญ์แบบร้อนรน คล้ายหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
________________________
จะเป็นยังไงก็รอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นฟิลแนวชีวิตประจำวันค่ะ สบายๆค่อยเป็นค่อยไป ถ้าชอบยังไงก็ฝากคอมเม้น กดใจ กดเข้าชั้นด้วยนะคะ บาย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 13
Comments