"อ้าว ว่าไงเจนัส โตขึ้นอีกแล้วนะ" แอริสเอ่ยทักทายเด็กชายด้วยความเอ็นดู
"ปีนี้เขาก็แปดขวบแล้วล่ะ" แคลร์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมาทันทีที่เขาวิ่งมาถึงตัว
"สวัสดีครับ" เจนัสกล่าวทักทายกลับด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส
ดวงตาของเขาเป็นประกายซุกซน เด็กคนนี้ช่างมีรอยยิ้มที่สดใสไม่ต่างจากแม่ของเขาเลยแอริสเผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เพื่อนรักของเธอมีลูกชายที่น่ารักและเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกันขนาดนี้
"เฮ้อ... ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็น่าอิจฉาเธอที่มีลูก" แอริสมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อจบประโยคน้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
"อย่าพูดแบบนั้นสิ สามีเธอก็เอาใจใส่ดีนี่น่าหมอนั่นเป็นคนดีเกินคาดเลยนะ" แคลร์กล่าวพลางลูบหลังเพื่อนเบาๆ
"แต่ฉันมีลูกไม่ได้นี่นา แบบนั้นจะเป็นครอบครัวได้ยังไง..." น้ำเสียงของแอริสแผ่วเบาลง
"ยัยบ๊อง!" แคลร์อุทานออกมาเสียงดังเล็กน้อย
"อ๊ะ!" แอริสร้องออกมาด้วยความตกใจ แคลร์วางเจนัสลงกับพื้นแล้วหันไปดีดหน้าผากของแอริสเบาๆแอริสยกมือขึ้นลูบหน้าผากมองเพื่อนรักด้วยความสับสน
"อะไรทำให้เธอคิดว่าครอบครัวต้องมี พ่อ แม่ ลูก กันห๊ะ?" แคลร์ขยับเข้าไปใกล้แอริสพูดใส่หน้าเธอเสียงดังอย่างจริงจัง
"ฉันก็เป็นครอบครัวของเธอนะ สามีเธอก็ใช่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็เป็นครอบครัวของเธอนะ" แคลร์จับไหล่ทั้งสองข้างของแอริสมองเข้าไปในดวงตาของเธออย่างหนักแน่น
หมู่บ้านเพนโวเล่แห่งนี้มีขนาดเล็กทุกคนจึงรู้จักและพึ่งพาอาศัยกันดูแลกันเสมือนคนในครอบครัวความผูกพันแน่นแฟ้นจนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หมู่บ้านแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวและคนร่ำรวยจากเมืองใหญ่ แอริสได้ยินคำพูดของแคลร์ก็พลันตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วหมู่บ้านแห่งนี้คือครอบครัวคือบ้านของเธอและผู้คนที่นี่ก็เป็นเหมือนญาติพี่น้องแม้เธอจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองแต่เด็กๆในหมู่บ้านก็ช่วยเติมเต็มความรู้สึกเหงาในใจเธอได้เสมอมาแม้ว่าในบางครั้งเธอจะรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างเมื่อเห็นเด็กๆทุกคนต้องกลับบ้านไปหาพ่อแม่ของตนเอง
"เรื่องนั้น... ฉันก็แค่... อยากจะรู้สึกถึงการเป็นแม่คนก็แค่นั้นเองฉันอยากจะเลี้ยงดูและคอยเฝ้ามองการเติบโตของเด็กคนนั้นอย่างช้าๆ..." น้ำเสียงของแอริสแผ่วเบาลงในตอนท้าย ประโยคสุดท้ายของเธอแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
เจนัสเด็กชายตัวน้อยมองคนทั้งสองด้วยความสงสัยไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความเศร้าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของหญิงสาวอีกคน "แม่" เจนัสเดินเข้าไปดึงชายเสื้อของแคลร์เบาๆ การกระทำนั้นทำให้แคลร์นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมาเยือนในครั้งนี้
"ถ้างั้นก็ฝากดูแลเจนัสทีสิ ได้ไหม? ฉันขอย้ายมาทำงานฝั่งนี้เพื่อเธอเลยนะ รู้ไหม... นี่ฟังก่อน!" แคลร์รีบยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง
"ฟังให้จบก่อนค่อยดุทีหลัง..." แคลร์ย้ำเสียงหนักแน่น
"ฉันรู้ว่างานที่ทำมันอันตราย พอดีว่ามันมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นที่โลกฝั่งนี้ฉันก็เลยถือโอกาสนี้มาที่นี่โดยการอาสามาทำหน้าที่สังเกตการณ์ในฝั่งนี้ไปสักระยะ แล้วก็จะได้มาหาเธอด้วยไงนี่ฉันคิดมาดีเลยนะเนี่ย!" แคลร์ยืดอกอย่างภูมิใจในความคิดอันชาญฉลาดของตนเองแต่สีหน้าของแอริสกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอกลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วง
"ดีใจนะที่เธอยังนึกถึงฉันบ้าง... แต่ก็ไม่ควรเเอาลูกชายที่อายุแค่แปดขวบมานีมันอันตรายไม่ใช่หรือไง!" แอริสโวยวายออกมาอย่างหัวเสียน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวลที่เพื่อนรักพาลูกชายข้ามโลกมาทำงานที่อาจเป็นอันตราย
"ทะเลาะกันเหรอครับ? ผมน่ะอยากตามมาเองต่างหาก อย่าโกรธคุณแม่เลยนะครับคุณน้า" เจนัสที่ยืนอยู่ระหว่างทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน มองแอริสด้วยดวงตากลมโต
"ไม่จ้ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยเราไม่ได้ทะเลาะกัน นี่เจนัส ลูกต้องอยู่ที่นี่สักสองสามวันนะ หรือจะเรียกได้ว่า... นั่นคือแม่อีกคนของลูกก็ได้" แคลร์ก้มลงบอกลูกชาย กระซิบเบาๆ ในช่วงท้ายประโยค พร้อมกับหัวเราะชอบใจกับความคิดของตนเอง แอริสได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำราวกับมะเขือเทศเธอตะโกนชื่อแคลร์ออกมาอย่างเขินอาย
"แคลร์!"
คำว่า 'แม่' เป็นคำที่เกินกว่าความฝันของเธอมากนักด้วยร่างกายที่อ่อนแอจนไม่สามารถมีลูกได้แคลร์หัวเราะร่ากับปฏิกิริยาของเพื่อนรักตรงหน้าเธออุ้มลูกชายขึ้นมาจูบที่แก้มเบาๆ ก่อนจะยื่นลูกชายให้กับแอริสจนเธอต้องรับมาไว้อย่างลนลาน ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้อุ้มเด็กน้อยอย่างแท้จริง เจนัสมองแอริสด้วยรอยยิ้มสดใสและดวงตาสีอเมทิสต์กลมโตที่เหมือนกับดวงตาของแม่เขา เว้นแต่ผมสีน้ำเงินเข้มที่แตกต่างออกไป แคลร์นั้นมีผมสีดำเงางาม
"แม่?" เจนัสทวนคำด้วยความสงสัยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ "แม่! ตอนนี้คุณน้าเป็นแม่ผมในโลกนี้แล้ว!" เด็กชายพูดอย่างตื่นเต้น
เขาหลงใหลในโลกที่สร้างขึ้นจากการอ่านผ่านหนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง 'บันทึกการเดินทางของพ่อมดผู้สร้าง' จึงอยากมาลองสัมผัสโลกที่ไร้เวทมนตร์แห่งนั้นดูบ้าง และเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่แม่ของเขามีเพื่อนเป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ทำให้การมาที่นี่ง่ายขึ้นแม้จะต้องอ้อนวอนอยู่นานก็ตาม
ก้อนเนื้อในอกของแอริสพองโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อคำว่า 'แม่' หลุดออกมาจากปากของเด็กชายในอ้อมแขน ขอบตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวราวกับเธอรอคอยคำนี้มานานแสนนานแคลร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทั้งสองก่อนจะยื่นมือออกมาลูบผมสีน้ำเงินเข้มของลูกชายอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นสีผมของเจนัสค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีดำเงางาม เหมือนกับสีผมของแคลร์
"อยู่กับคุณแม่แอริสแล้วเป็นเด็กดีนะ รู้ไหม?" แคลร์บอกลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แอริสไม่ได้แสดงอาการตกใจเลยแม้แต่น้อยกับสีผมที่เปลี่ยนไปของเจนัสเมื่อครู่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นแคลร์แสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติออกมา ในทางตรงกันข้ามแอริสมักจะรู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่าทุกครั้งที่เพื่อนสาวของเธอใช้เวทมนตร์
"แม่ต้องไปแล้ว ฝันดีนะเจ้าดาวดวงน้อยของแม่เดี๋ยวมารับนะ" แคลร์ก้มลงจูบหน้าผากมนของลูกชายอย่างรักใคร่ แอริสมองเพื่อนสาวของตนด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ
"เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้วดูแลตัวเองด้วยนะรู้ไหม? ไม่ต้องรอหมอนั่นจนมืดค่ำทุกวันก็ได้" แคลร์เดินออกไปทางประตูหน้าหยุดชะงักฝีเท้าลงหันกลับมาโบกมือให้ทั้งสอง เจนัสโบกมือกลับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาแคลร์หันไปรอบตัว ทันใดนั้นเองก็มีลมพัดผ่านแผ่วเบาแล้วค่อยๆ แรงขึ้นราวกับพายุลูกเล็กแอริสต้องหลับตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศ
เธอไปแล้ว...
แอริสมองเด็กชายในอ้อมแขนเจนัสหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานเมื่อมารดาของตนหายตัวไป ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงงอแงเรียกหาแม่ ช่างไม่รู้ประสีประสาเสียเลยว่ามารดากำลังไปเผชิญกับอันตราย แอริสยิ้มให้กับเด็กชาย เธอหันหลังเดินเข้าบ้านไป ถ้าให้เปรียบเทียบงานที่แคลล์ทำคงจะคล้ายกับตำรวจแต่เธอไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับงานของเพื่อนสาวคนนี้มากนักเพราะไม่เคยถาม และแคลล์เองก็ไม่เคยเล่า . . . .
เช้าวันรุ่งขึ้น จูโน่ ชารอน สามีของแอริสกลับมาถึงบ้านเขาเป็นชายผิวสีเข้มร่างกายกำยำสมกับเป็นเจ้าของฟาร์ม ภาพที่เขาเห็นคือเด็กชายตัวเล็กวิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่ในบ้านจูโน่หันไปยิงคำถามใส่ภรรยาของเขาทันที คงต้องใช้เวลาอธิบายกันนานพอสมควรแต่โชคดีที่จูโน่ก็รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเพื่อนรักภรรยาของเขาการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ จึงง่ายขึ้นกว่าที่คิดไว้มาก
ในระหว่างที่เจนัสใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มอันกว้างใหญ่ของจูนโน่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาเป็นอย่างมากคือเครื่องจักรกลต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวทำงาน หุ่นยนต์แม่บ้านรูปร่างประหลาดที่ชื่อว่าเพลส่วนหัวเป็นกล่องสี่เหลี่ยมมีจอที่สามารถแสดงภาพต่าง ๆได้บ่างครั้งมันก็แสดงสีหน้าของตัวเองมันรับคำสั่งและทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเห็นในโลกเวทมนตร์อย่างสิ้นเชิงที่ซึ่งการเกษตรส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาเวทมนตร์หรือแรงงานคนและสัตว์วิเศษ เจนัสเฝ้ามองรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ที่ไถพรวนดินอย่างมีประสิทธิภาพ รถเก็บเกี่ยวที่เคลื่อนที่ไปตามทุ่งข้าวโพดอย่างรวดเร็วและเครื่องจักรอื่น ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนพวกมันส่งเสียงดังสนั่นและทำงานอย่างแข็งขันราวกับสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเครื่องจักรเหล่านี้ทำงานได้อย่างไรมันไม่มีเวทมนตร์ไม่มีพลังวิเศษใดๆ ที่ขับเคลื่อนพวกมัน
"นี่ลุงครับ นั่นคืออะไรเหรอครับ ทำไมมันถึงเคลื่อนที่ได้?" เจนัสชี้ไปยังรถแทรกเตอร์ที่กำลังไถดินอยู่ จูโน่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
"อ๋อ นั่นคือรถแทรกเตอร์มันใช้เครื่องยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าถึงเคลื่อนที่ได้ มันช่วยให้เราไถดินได้เร็วและง่ายขึ้นเยอะเลย"
"เครื่องยนต์... ไฟฟ้า... มันทำงานยังไงครับ?" เจนัสถามต่อด้วยความสงสัย
จูโน่พยายามอธิบายอย่างง่ายๆถึงหลักการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายในการจุดระเบิดเชื้อเพลิง และการเปลี่ยนพลังงานเป็นการเคลื่อนที่แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกับเวทมนตร์แล้ว มันเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และซับซ้อน เจนัสใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสังเกตเครื่องจักรต่าง ๆ ในฟาร์มเขาเรียนรู้ชื่อเรียกและหน้าที่ของแต่ละชนิด ตั้งแต่รถไถ รถหว่านเมล็ด ไปจนถึงระบบชลประทานอัตโนมัติเขาเริ่มเข้าใจว่ามนุษย์ในโลกนี้ได้พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสนใจในเครื่องจักรกลเหล่านี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวเจนัสเขาเริ่มอ่านหนังสือและเรียนรู้ที่จะใช้อิเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลบางครั้งก็สอบถามผู้คนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของโฮปเขาพบว่ามนุษย์ที่นี่ได้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มากมายโดยอาศัยความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่ใช่พลังเวทมนตร์ ประสบการณ์นี้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเจนัสเขาเริ่มตระหนักว่ามีวิธีการอื่น ๆ ในการแก้ปัญหาและสร้างความก้าวหน้า นอกเหนือไปจากเวทมนตร์ที่เขารู้จัก การได้เห็นเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวและทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เขาเริ่มมองโลกในมุมมองที่แตกต่างออกไป และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นในโลกที่ปราศจากเวทมนตร์แห่งนี้
.
.
.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments