ตอนที่ 4 : เมืองบาดาล
หลังผ่านการทดสอบของนาคราช กฤตและม้านิลมังกรก็เคลื่อนเข้าสู่เส้นทางที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าน้ำใต้นที
แสงรอบกายมืดมัวลงทุกที แต่กลับมีเส้นสายสีฟ้ามรกตพาดผ่านไปทั่ว เหมือนใยเรืองรองชี้ทาง
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็พบกับ “ประตูมุก” สูงเสียดท้องธารา เปลือกหอยยักษ์สองบานปิดสนิท คล้ายจะไม่ยอมให้ผู้ใดผ่านเข้าไปง่าย ๆ
กระแสน้ำรอบ ๆ ขุ่นมัวขึ้นทันที และเสียงกระซิบจากสิ่งที่มองไม่เห็นก้องกังวาน—
“ผู้ใดจักเข้าเมือง
ต้องมีกลอนที่ขานไข
หากไร้จิตไร้ดวงใจ
ประตูไซร้ไม่เผยทาง”
กฤตหันไปสบตาม้านิลมังกร ทั้งคู่ต่างนิ่งไปครู่หนึ่ง
นี่คือบททดสอบอีกชั้น ไม่ใช่กำลัง ไม่ใช่การทรงตัว หากเป็น ถ้อยคำในกลอน ที่ต้องสะท้อนจิตวิญญาณ
กฤตหลับตาลง คิดถึงภาพรอยยิ้มของสร้อยฟ้าที่เลือนรางในความทรงจำ เขาเรียงร้อยถ้อยคำจากส่วนลึกของหัวใจ—
“ข้าคือผู้แสวงหา
สุดฟ้าตามหาพี่
แม้นหนทางลำบากมี
ใจนี้มั่นไม่คลอนคลาย”
ทันทีที่เสียงจบ เปลือกหอยยักษ์สั่นสะเทือน เกล็ดมุกกระจายเป็นละอองแสงราวดวงดาว แล้วประตูบานใหญ่ก็เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นนครเรืองรองใต้บาดาลในเบื้องลึก—
“เมืองนาคา” ที่ตำนานกล่าวถึง
เมื่อประตูมุกเปิดออก ภาพตรงหน้าทำให้กฤตแทบลืมหายใจ—
เบื้องลึกคือมหานครใต้ธารา แสงมรกตส่องประกายไปทั่วทั้งโดมใต้น้ำ ราวกับดวงดาวนับล้านล้อมอยู่ในฟองแก้ว
วังนาคาเรียงรายด้วยหอคอยเกล็ดแก้วที่ส่องประกายราวอัญมณี สายน้ำที่ไหลผ่านกลับไม่ทำให้สิ่งก่อสร้างพังทลาย หากแต่พาให้ทั้งเมืองพลิ้วไหวราวดนตรี
นาคาน้อยนาคใหญ่เคลื่อนไหวไปตามถนนสายหินมุก บ้างมีร่างเป็นคนครึ่งนาค บ้างเป็นนาคาเต็มกายเกล็ดเงิน
เสียงกลองน้ำก้องสะท้อน เหมือนทั้งเมืองต้อนรับผู้มาเยือนที่ไม่คุ้นตา
ม้านิลมังกรกระพือปีกเบา ๆ พลางพากฤตลงสู่ลานกว้าง
นาคาทั้งหลายหันมองด้วยสายตาหลากหลาย บ้างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างแฝงแววระแวงไม่ไว้ใจ
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทิศเหนือ—
“เด็กมนุษย์…เหตุใดจึงเหยียบย่างสู่แดนนาคา?”
ผู้พูดคือ เจ้าสุรวารี นาคราชผู้ครองนครเกล็ดแก้ว ร่างสูงใหญ่เกล็ดสีเขียวแกมทอง เรืองรองราวพระอาทิตย์ใต้น้ำ
ดวงตาเขาคมกริบ จ้องทะลุหัวใจของกฤต
กฤตรู้ว่าเวลานี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อ หากเอ่ยผิดแม้เพียงน้อย ก็อาจถูกกวาดทิ้งในสายน้ำ
เขาจึงยกมือประนม เอ่ยด้วยกลอนที่ฝึกฝนมา—
“ข้ามิใช่ผู้บุกรุก
มิใช่ศัตรูหมายทำลาย
ข้ามีเพียงดวงใจ
ตามหาพี่ที่หายไป”
เสียงนั้นสั่นเล็กน้อย แต่เปี่ยมด้วยความจริงใจ
นครทั้งเมืองเงียบกริบ ราวกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความเชื่อและความสงสัย
เสียงของกฤตยังดังก้องอยู่ในความเงียบ วังหลวงทั้งนครจับตามองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ยืนเคียงข้างม้านิลมังกร
เจ้าสุรวารีไม่ตอบในทันที แต่ยกหัตถ์ขึ้น น้ำทั้งลานกว้างพลันปั่นป่วนกลายเป็นวงเวียนมุก ล้อมกฤตและมังกรไว้
“คำเอ่ยด้วยใจจริง ข้ามิอาจปฏิเสธ
แต่ทางนาคา มิได้เปิดรับง่ายดาย
หากเจ้าต้องการสืบเสาะหาพี่สาว
เจ้าจำต้องพิสูจน์ตนในวิหารนาคา”
ถ้อยคำของสุรวารีทำให้เสียงฮือฮาดังก้อง นาคาโดยรอบแลกเปลี่ยนสายตา บางตาคือแววทดสอบ บางตาแฝงความสงสาร
ม้านิลมังกรหันข้างมามองกฤต มันไม่พูด แต่แววตานั้นบอกชัดว่า เจ้าต้องเลือกแล้ว
กฤตสูดลมหายใจลึก เขาก้าวออกไปกลางลาน และตอบกลับเป็นกลอนเสียงหนักแน่น—
“แม้นทางนี้มืดมน
ข้าไม่พรั่นพรึงถอย
หากเพียงได้พบพี่พลอย
ทุกย่างก้าวข้าพร้อมเดิน”
สุรวารีพยักหน้า แล้วโบกหัตถ์อีกครั้ง
กลางนครเกล็ดแก้วปรากฏ วิหารนาคา โผล่ขึ้นจากก้นธารา เสาหินสลักลายเกล็ดงดงาม แต่กลับแฝงอำนาจที่กดทับหัวใจผู้มอง
“ภายในวิหาร เจ้าจะเผชิญภาพลวงตาแห่งใจตนเอง”
เสียงสุรวารีดังก้อง
“ผู้ที่ไม่มั่นคงจักจมอยู่ในภาพนั้นตลอดกาล”
กฤตเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกถึงความหนาวสั่นไหลผ่านสันหลัง แต่แววตากลับมุ่งมั่นกว่าเดิม
เขาเอื้อมมือลูบแผงคอม้านิลมังกร กระซิบเบา ๆ
“หากข้าพลัดหลงในนั้น เจ้าช่วยดึงข้าออกมาได้ไหม”
ม้านิลมังกรกระพือปีกเบา ๆ ดวงตาสีดำลึกสบตอบราวคำมั่นสัญญา
จากนั้น เด็กหนุ่มก็ก้าวเข้าสู่บานประตูหินแก้วของวิหาร—
ก้าวแรกสู่การพิสูจน์ใจตนเอง
กฤตก้าวเข้าสู่ความมืดมิด ประตูหินปิดลงตามหลังทันที ราวกับตัดเขาออกจากโลกภายนอก
ความเย็นเยียบแทรกเข้าสู่กระดูก ทุกย่างก้าวก้องสะท้อนราวกับเสียงฝีเท้าไม่ใช่เพียงของเขา
แล้วทันใดนั้น—แสงเรืองรองก็ก่อรูปเป็นภาพตรงหน้า
เป็น สร้อยฟ้า พี่สาวผู้เลือนหาย
เธอยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ ท่าทางอบอุ่นดังภาพความทรงจำในวัยเด็ก
“กฤต…เจ้ามาตามหาข้าใช่หรือไม่”
เสียงเธอนุ่มนวลแต่แฝงแววเศร้า
หัวใจเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน ความโหยหาเอ่อท้น เขาเกือบจะวิ่งเข้าไปหา
แต่บางสิ่งในแววตาพี่สาวนั้นไม่ถูกต้อง—
สายตาที่ว่างเปล่า ราวกับ หุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ
กฤตกัดฟัน ข่มเสียงสะอื้นในอก ก่อนเปล่งกลอนตัดขาด—
“แม้นรูปพี่อยู่ใกล้
หากใจไร้แววอบอุ่น
ข้าย่อมรู้ นี่คือกลลวง
ข้ามิอาจหลงเชื่อ”
ทันทีที่คำสุดท้ายสิ้นลง ภาพสร้อยฟ้าก็แตกสลายเป็นเกล็ดแก้วนับพัน ปลิวว่อนราวหิมะใต้น้ำ
แต่แล้วภาพใหม่ก็ปรากฏขึ้น—
เป็นภาพ ตัวเขาเอง ที่ล้มเหลว หมอบคลานอยู่กลางความมืด ถูกเสียงนับร้อยถากถางว่าไร้ค่า
กฤตตัวสั่น แต่แววตากลับไม่ยอมดับ เขาเงยหน้ามองเงาของตนเอง แล้วกล่าวกลอนหนักแน่น—
“แม้นข้าอ่อนแรง
แม้นข้าล้มลง
แต่ตราบดวงใจยังคง
ข้าจะลุกขึ้นเสมอ”
เสียงนั้นสะท้อนก้อง วิหารทั้งหลังสั่นสะเทือน
เงามืดแตกสลาย ประตูหินค่อย ๆ เปิดออกอีกครั้ง
กฤตก้าวออกมาในลานกว้าง ท่ามกลางนาคาและสุรวารี
แม้ร่างกายสั่นเทาและเหงื่อเกาะเต็มหน้า แต่แววตาของเขากลับเปล่งประกายแข็งแรงกว่าก่อน
สุรวารีมองเขาเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน—
“เจ้ามิใช่เพียงผู้แสวงหา
แต่คือผู้แบกรับคำสัตย์
จงจำไว้ มรรคาของเจ้า
มีทั้งมิตรและศัตรูรออยู่เบื้องหน้า”
แล้วจากกลางลานกว้าง แสงเรืองรองปรากฏเป็นเส้นทางใหม่ พุ่งตรงขึ้นเหนือผืนน้ำ ราวกำลังชี้นำให้กฤตก้าวสู่บททดสอบครั้งต่อไป
ม้านิลมังกรขยับเข้าใกล้ เอาหัวโค้งลงข้างเขา
กฤตยกมือแตะพลางยิ้มอ่อน แต่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักหน่วง—
เพราะภาพลวงในวิหารนั้นทำให้เขามั่นใจว่า สร้อยฟ้ายังมีชีวิตอยู่
ทว่าเธอกำลังอยู่ในเงื้อมมือใครบางคน…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
Rizky Mwe
แอด คุณปลุกความอยากรู้สึกในผู้อ่านเราขึ้นมามากขึ้น
2025-09-06
0