ตอนที่ 3 : เส้นทางแห่งเกล็ดนาคา
รุ่งอรุณวันใหม่ แสงแดดสีทองสาดผ่านยอดไม้ ทุ่งหญ้าที่หมู่บ้านคุ้นเคยค่อย ๆ เลือนหายไปเบื้องหลัง กฤตนั่งบนหลังม้านิลมังกร แม้ท่าทางยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่แววตามุ่งมั่นกว่าเดิม มังกรหนุ่มพาเขาโผบินเหนือผืนป่า เงาของมันทอดทาบลงบนผืนดินราวรอยปากกาเขียนบทใหม่แห่งโชคชะตา
ระหว่างที่บิน กฤตรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อแขนและขาตึงเกร็งจากการประคองตัว เขาพยายามฝืนแต่ก็แทบหลุดร่วงลงมา
ม้านิลมังกรหันตาสีดำลึกกลับมา มันเอ่ยเสียงทุ้มต่ำราวก้องมาจากโพรงหิน—
“ขี่ม้าใช่เรื่องง่าย
ขี่มังกรยิ่งยากยิ่ง
หากเจ้าจิตไม่จริง
จะถึงถิ่นได้อย่างไร”
กฤตพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกเหมือนถูกม้านิลมังกรทดสอบในทุกฝีก้าว ไม่ใช่เพียงกำลังแขนขา แต่รวมถึงความมั่นคงในใจด้วย
“ข้า…จะไม่ปล่อยให้ล้มลงก่อนถึงทางของพี่สาว”
เขาพึมพำเสียงสั่น แต่ก็ยิ่งขืนกายให้มั่นคงขึ้นทีละน้อย
ม้านิลมังกรพากฤตโผบินข้ามป่ากว้าง ก่อนจะลดระดับลงสู่ลำน้ำใหญ่ที่ทอดตัดกลางหุบเขา
สายน้ำนั้นใสจนสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ แต่ยิ่งเพ่งมองยิ่งเห็นว่ากระแสน้ำเชี่ยวกราก และใต้ผืนน้ำเหมือนมีเงาดำเลื้อยวนราวเกล็ดเงิน
ทันใดนั้น ม้านิลมังกรหยุดกึกกลางฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง—
“สายน้ำนี้คือเขตแดน
ก่อนถึงแคว้นแห่งนาคา
เจ้าจักต้องฝึกกายา
จึงผ่านฟ้ามุ่งฝั่งไป”
กฤตมองลงไป เห็นหินผาโผล่ขึ้นจากกลางน้ำราวคันศรเรียงราย
เขาเพิ่งเข้าใจ—นี่คือบททดสอบแรก เขาจะต้องขี่ม้านิลมังกรโผบินลงต่ำ ควบคุมตัวเองไม่ให้ตกหล่น และต้องผ่านช่องหินผาแคบที่ขวางอยู่โดยไม่กระแทก
หัวใจเต้นแรง แต่ภาพเงาพี่สาวกลับแล่นเข้ามาในใจทันที
เขากำมือแน่น เอ่ยตอบเป็นกลอนสั้น ๆ แม้เสียงสั่นแต่เด็ดเดี่ยว—
“แม้กายข้ายังอ่อนแรง
แม้แข้งขาแทบสั่นไหว
แต่เพื่อพี่ที่อยู่ไกล
ข้ายอมฝึกจนกล้าแทน”
ม้านิลมังกรแผดเสียงราวรับคำ ก่อนดิ่งตัวลง กระแสลมแรงปะทะจนใบหน้าของกฤตราวกับถูกมีดคมเฉือน
เขากัดฟันแน่น พยายามประคองร่างไม่ให้ปลิวตามแรงเหวี่ยง
เสียงน้ำเชี่ยวก้องประสานกับเสียงหัวใจเต้นรัว
หินผาเรียงรายเบื้องหน้าเหมือนประตูแห่งชะตา กฤตรู้สึกว่าทุกเสี้ยววินาทีคือความเป็นความตาย
เมื่อม้านิลมังกรพากฤตฝ่าโถงหินผา ช่องแคบแต่ละชั้นยิ่งบีบเข้ามาเหมือนจะกดดันให้หลุดร่วง กฤตหอบหายใจ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แต่เขายังคงเกาะแผงคอมังกรแน่นไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้น—
สายน้ำเบื้องล่างพลันแตกกระจาย เงาดำมหึมาพุ่งขึ้นมา ฟุ่บ! กระเซ็นน้ำสูงราวสายฝน เผยให้เห็นเศียรนาคาเงาทะมึนดวงตาเรืองแสงสีมรกต
เสียงนาคาก้องสะท้อนราวฟ้าผ่า—
“ผู้ใดกล้ามาล่วงแดน
แห่งเกล็ดแก้วสายน้ำศักดิ์
หากไร้ใจและไร้หลัก
จักถูกหักจมวารี”
กฤตตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าต้องตอบ มิฉะนั้นคงถูกสายน้ำกลืนไปแน่
เขาสูดลมหายใจลึก หยิบความกล้าที่เหลือออกมา แล้วกล่าวเป็นกลอนตอบ—
“ข้าเป็นเพียงผู้เดินทาง
ใจอ้างว้างตามหาพี่
แม้นอ่อนด้อยไร้ฤทธี
แต่จริงนี้คือศรัทธา”
เงานาคาเลื้อยวนรอบ ๆ ตัวมังกร ดวงตาจับจ้องเด็กหนุ่มราววัดใจ
กระแสน้ำเชี่ยวกลายเป็นเกลียวหมุน ม้านิลมังกรคำรามต่ำ เสมือนเร่งให้กฤตยึดมั่นไม่หวั่นไหว
กฤตหลับตาลงชั่วขณะ ปล่อยให้ลมหายใจเข้าจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจ
แม้เงานาคาจะน่าครั่นคร้าม แต่เขารู้ว่า—นี่ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลัง หากเป็นการทดสอบความแน่วแน่ในใจ
เสียงเงานาคาร้องก้องอีกครั้ง น้ำทั้งลำน้ำปั่นป่วนราวจะกลืนทุกสิ่ง แต่ทันใดนั้น เกล็ดนิลของม้านิลมังกรส่องแสงประกายสีเงิน มันโผทะยานฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวที่โหมซัด เหมือนแหวกม่านแห่งความกลัว
กฤตไม่กรีดร้อง ไม่สั่นสะท้าน เขาเพียงแต่กอดแน่น สูดลมหายใจสม่ำเสมอ ดวงใจเต้นตรงกับจังหวะก้าวย่างของมังกรหนุ่ม ร่างกายที่อ่อนแรงกลับเริ่มรับรู้ถึงความมั่นคงภายใน
เมื่อผ่านประตูหินผาออกมา เงานาคาใหญ่ค่อย ๆ ลดเลือน กลายเป็นร่างโปร่งใสครึ่งคนนาคราช เสียงทุ้มต่ำเปลี่ยนเป็นแผ่วก้องกลางลำน้ำ—
“เจ้ายังเยาว์ แต่ใจไม่ไหวเอน
แม้นไร้ฤทธิ์ ก็มีใจไม่แพ้
หนทางที่จักตามพี่แท้
เต็มอันตรายและมายา”
นาคราชยกหัตถ์ขึ้นเหนือสายน้ำ คลื่นสงบลงทันตา ก่อนจะกลายเป็นอักษรกลบทเรืองรองกลางห้วงวารี
“สร้อยฟ้าถูกกักในหอวังใต้
ผู้ใดอ่อนใจย่อมไม่เห็นหน้า
ผู้กล้าไร้กลศรัทธา
จักมีทางสู่แดนจริง”
กฤตเบิกตากว้าง เมื่อได้ยินชื่อพี่สาวจากปากสิ่งมีชีวิตเหนือโลกนี้
เขากัดฟันแน่น ความหวังผสานกับความกลัวจนกลายเป็นแรงฮึดขึ้นในอก
“ข้าจะไปให้ถึง ไม่ว่ายากเย็นเพียงใด”
เสียงเด็กหนุ่มก้องกังวานกลางหุบเขา
นาคราชหัวเราะแผ่ว น้ำแตกกระจายเป็นเกล็ดแก้ว แล้วร่างค่อย ๆ จางหายไป
เหลือเพียงความเงียบสงัด และเส้นทางสู่ “เมืองนาคา” ที่ทอดยาวไปข้างหน้า
ม้านิลมังกรเอียงศีรษะประหนึ่งพอใจ พลางก้าวต่อไปพร้อมเจ้าของใหม่—
ก้าวแรกของการเดินทางที่ทั้งกายและใจต้องถูกขัดเกลา เพื่อจะมีพลังมากพอไปถึงพี่สาวที่กำลังรออยู่ในเงามืด
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments