ตอนที่ 3 การพบเจอ (2/2)

เดินมาถึงในอาคารไม้ที่ทิวเรียน ทิวเดินกลับห้องคนเดียว ท่ามกลางเสียงเด็กนักเรียนจอแจที่ดังรอบด้าน แต่ในหัวของเขากลับวุ่นวายด้วยความคิดที่วนเวียนเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างรางกับพี่กล้า

ทิว : (คิดในใจ) นี่เองหรอพลังของศาสตราวุธ...มิน่าสถานที่ ที่ครูฝึกสอนคนนั้นพาพวกเราไปถึงมีสภาพที่ทรุดโทรมมากขนาดนั้น  แต่ถ้าการฝึกใช้ศาสตราวุธ ทำให้เกิดความเสียหายได้ขนาดนั้น ทำไหมครูถึงยังถึงให้ฝึกที่นั่นอยู่ล่ะ แทนที่จะให้ไปฝึกที่ในป่าไกลๆ

เมื่อทิวเดินเข้ามาด้านในห้อง บรรยากาศในห้องเรียนดูวุ่นวายเล็กน้อย เสียงฝีเท้าของเด็กนักเรียนบางคนกำลังเล่นหยอกล้อกัน บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง ทิวมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองและนั่งลงอย่างเงียบๆ ไม่นานต่อมา เสียงฝีเท้าของครูคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าชั้นเรียน ต่อมาไม่นานปรากฎร่างของชายในวัยผู้หญ่คนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือของเขาถือหนังสือเล่มหนึ่งมาด้วย เขานั่นคือ ธีระ ซึ่งเป็นประจำวิชาในคราบเรียนนี้

ธีระ : เอาล่ะ นักเรียนทุกคนนั่งที่

เด็กนักเรียนในห้อง : ครับ/ค่ะ

สิ้นสุดเสียงนั้น เสียงฝีเท้านับสิบก็ดังขึ้นสนั่นห้อง เด็กนักเรียกทุกคนรีบวิ่งไปนั่นที่โต๊ะของตัวเอง อย่าเป็นระเบียบ

ธีระ : คงกินข้าอิ่มกันทุกคนล่ะนะ วันนี้ไม่ข้าจะไม่สอนอะไรพวกเจ้ามากนะ

ธีระ : แต่ในชั่วโมงนี้ ให้นักเรียนที่ยังทำงานยังไม่เสร็จ ให้รีบทำในชั่วโมงนี้ ส่วนคนที่ทำเสร็จแล้วให้เล่นอยู่ในห้องอย่างเงียบๆหรือจะช่วยเพื่อนทำงานก็ได้

หลังจากพูดจบ ครูประจำวิชาไล่สายตามองเด็กนักเรียนในห้อง ก่อนจะถามต่อ

ธีระ : สุดท้ายนี้มีใครจะถามอะไหม

ทิวลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้เพื่อนๆในห้องตกใจและหันไปมองเขาทันทีด้วยความแปลกใจ

ทิว : ครู…พูดเรื่องศาสตราวุธหน่อยคสิครับ…

ธีระที่เห็นว่าทิวทำหน้าจริงจังมาก เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวตอบ

ธีระ : ข้าเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ก็เคยเรียนผ่านมาบางนิดหน่อย…

ทิว : แล้ว..ครูมีศาสตราวุธไหมล่ะครับ..

ธีระ : มีสิ…

เด็กนักเรียนในห้อง : โว้!! มันคืออะไรหรอ ครับ/ค่ะ

ธีระ : แฮ่ๆ...ไม่เห็นต้องอยากรู้อะไรขนาดนั้นเลยนิเด็กๆ

เด็กนักเรียนในห้อง : นะครับ/ค่ะ

ธีระ : เฮ้อ...ก็แค่.แมลงมุมแม่ม่ายอัสนี แต่…ปัจจุบันครูก็ไม่ได้ใช้งานอะไรมันหรอ ถ้าเป็นพวกที่ต้องใช้ศาสตราวุธจริงๆ ก็คงมีแต่พวกนักรบเท่านั้นแหละน่า ที่ใช้ศาสตราวุธในการต่อสู้ในสนามรบเพื่อบ้านเพื่อเมือง ส่วนคนธรรมดาตาสีตาสาอย่างเรา ถึงมีก็ไม่ได้ใช้ประโยชนอะไรมากหรอนะ

เด็กนักเรียนในห้อง : อ๋อ อย่านี้เอง

ธีระ : ศาสตราวุธนั้นคืออาวุธเหมาะสมกันคนคนนั้นก็จริง แต่ถ้าคนคนนั้นไปทำอาชีพที่ไม่ใช่การสู้รบ ศาสตราวุธก็แทบไม่จำเป็นในบางอาชีพ

ธีระ : อย่างในตอนนี้ข้าเป็นครู ศาสตราวุธก็ไม่จำเป็น เพราะงั้นข้าก็เลยไม่ได้ฝึกหรือพัฒนาศาสตราวุธต่อแต่อย่างใด

เมื่อครูประจำวิชากล่าวจบ เขาก็ได้แสดงศาสตราวุธออกมาให้ทุกคนได้เห็น ปรากฎเป็นแมลงมุมขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังของเขา ทำให้ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง และไม่กี่วินาทีต่อมาศาสตราวุธของครูประจำวิชา ก็กลายเป็นเกราะอาวุธ นั้นเผยให้เห็นว่าธีระครูประจำวิชาของพวกเขานั้นเป็นนักรบขั้น 1 ซึ่งมี เกราะอาวุธ ส่วนแขนซ้าย 3 ระดับ และเกราะอาวุธส่วนหัว 2 ระดับ

ธีระ :  เจ้าหนู เมื่อวานนี้เอ็งคงไปที่หอฝึกศาสตราวุธสินะ ถึงมาถามข้าแบบนี้

ทิว : ไม่ใช่แค่ไปหรอกครับ แต่เป็นเพราะข้าก็ได้อยู่ในสถานที่แห่นั้นด้วยเลยครู

ธีระ : จริงแล้วน่ะ ในสถานที่แห่งนั้นเขาจะไม่ให้ใครก็ได้เข้าไปเดินเล่นในนั้น แต่เจ้าเข้าไปได้ยังไงกันล่ะ…

ทิว : พี่ชายของข้า พี่กล้า เขาอายุครบสิบขวบ เลยมีครูฝึกสอนคนหนึ่ง ที่ข้าไม่รู้จักเดินเข้ามาหาแล้วพากพวกเราไปที่นั้นครับ แล้วข้าก็เห็นศาสตราวุธของหลายๆคน แต่หลังจากนั้นข้าก็แค่อยากรู้ว่า ศาสตราวุธของข้าคืออะไร

ทิว : หลักจากนั้นข้าก็ขอใหครูฝึกสอนช่วยผสานพลังให้ข้าเหมือนกับที่ช่วยคนอื่นๆแสดงศาสตราวุธ แต่ก็ไร้ผลหรือว่าตัวข้าเองนั้นไม่ศาสตรวุธ...

ธีระ : ไม่หรอกข้าว่า เพียงแค่เจ้ายังอายุไม่ถึงตามที่เขากำหนดเขากำหนดไว้เฉย

ทิว : พี่กล้าและครูฝึกสอนก็พูดแบบนี้...

ธีระ : ไม่ผิดหรอที่พวกเขาพูดแบบนั้น เพราะข้าก็เริ่มแสดงศาสตราวุธได้ตอนอายุสิบขวบ เหมือนกับเด็กทั่วไปนั้นแหละ

ธีระ : ถ้าเจ้าอายุได้ตามกำหนด เจ้าก็จะสามารถแสดงศาสตราวุธออกมาได้เหมือนกับที่คนอื่นทำได้นั้นแหละน่า เจ้าไม่ต้องน้อยใจไปหรอกนะ

ทิว : ไม่ครับครู! ข้าตั้งใจว่าข้าจะไปแสดงศาสตราวุธที่หน้าศิลา ตอนข้าอายุสิบหกปีเลย!! ถ้าข้าไปตอนข้าอายุสิบขวบ แล้วไม่ได้ก็ต้องรอปีหน้า แล้วปีหน้าไม่ได้อีกก็ต้องรอปีถัดไปเรื่อยๆ ข้าว่าข้าอยากรู้ในรอบเดียวเลยถ้าไม่มีก็ให้รู้ๆกันไป

ธีระ : เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ายังเหลืออีกสองปี อายุของเจ้าถึงจะถึงตามกำหนด อย่าพึ่งด่วนสรุปตัวเองตั้งแต่ตอนนี่

ทิว : ไม่ครับครู ข้าตั้งใจไว้แล้ว!

ธีระ : ก็แล้วแต่เจ้า ขอให้เจ้ารออย่างอดทนและเตรียมตัวให้พร้อมเถอะนะ

ทิว : ครับ!

หลังจากนั้นธีระก็เดินไปที่หน้าต่างตรงมุมๆของห้องเรียน ในใจของเขานั้นนึกย้อนไปในสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ก่อนกล่าวขึ้น

ธีระ : แต่การฝึกศาสตราวุธไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะข้าจะบอกให้ ถ้าไม่ใช่นักรบจริงเข้าก็คงไม่ฝึกกันหรอ เพราะมันก็อันตรายในระดับนึงเลย ทางที่ดีควรปกปิดศาสตราวุธของเราไว้ อย่าให้ใครรู้มาก เพราะมันอาจจะทำให้บ้านเมืองเป็นอันตรายได้ ส่วนมากที่เขาจะเปิดเผยศาสตราวุธให้คนรู้มากมายได้ เพราะเขาเป็นผู้นำของเมืองเมืองนั้นหรือเป็นเจ้าเมืองประมานนั้น

เด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง : ทำไมเราถึงต้องปกปิดศาสตราวุธของเราไว้ล่ะครับครู แล้วมันจะทำให้บ้านเมืองเป็นอันตรายยังไงหรอครับ

ธีระ : เฮ้อ...ก็นั้นแหละ ถ้ามีคนที่ใช้ศาสตราวุธในหมู่บ้านหรือเมืองไหน นั้นแสดงว่าหมู่บ้านนั้นมีนักรบไว้ออกศึก เพราะถ้าให้คนธรรมดาออกรบยังไงซะ คนธรรมดาพวกนั้นก็ไม่สามารถสู้กับคนที่มีศาสตราวุธได้ ต่อให้อาวุธที่ดีขนาดไหนก็ตาม

ธีระ :  ถ้าหากปล่อยเด็กคนนั้นไว้ให้โตขึ้น เขาจะต้องฝึกฝนศาสตราวุธให้เก่งขึ้น และอาจะหาคู่ต่อสู้ได้อยาก จะเป็นอุปสรรคในการยึดเมืองเมืองนั้น เพราะงั้นพวกครูที่สอนเกี่ยวกับศาสตราวุธถึงจะปกปิดเด็กๆที่มีศาสตราวุธเอาไว้

ธีระ : หากมีข่าวว่า หมู่ของเรามีเด็กที่มีศาสตราวุธมากกว่าสิบ คน และมีคนที่มีเกราะอาวุธมากกว่าหนึ่งระดับหลุดออกไป พวกเจ้าเชื่อข้าไหมว่า จะมีข้าศึกจากเมืองอื่นมาโจมตีหมู่บ้านของเราและฆ่าเด็กพวกนั้นแน่ๆ

เด็กนักเรียนในห้อง : ห๊า!

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว เด็กนักเรียนในห้องก็ต่างตกใจเป็นอย่างมาก เสียงคุยกันเริ่มดังขึ้นจากทั่วทุกมุมห้อง ครูประจำวิชาพยามจะพูดปลอมให้พวกเขาหลายกลัวแต่ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียงของเหล่านักรียนยังคงดังกหึ่มห้อง ในขณะที่ทิวยังคงนั่นเงียบๆ ในหัวของเขาคิดถึงพี่ชายของเขาและพี่ๆคนอื่นๆ ว่าถ้าหากเป็นอย่างที่คุณครูธีระพูดม่จริงๆ ไม่แน่พี่ชายของเขาและพวกพี่คนอื่นๆต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่

ทิว : ถ้าเป็นอย่างงั้นพี่กล้า! และพี่ๆคนอื่นๆก็เป็นอันตรายอยู่สิครับ!!

ธีระ : เพราะงั้นไง ศาสตราวุธถึงไม่ใช่ของที่จะเอามาโอ้อวดกันเล่น ถ้าไม่มีใครรู้และไม่มีใครพูด พวกเขาก็ไม่เป็นอันตรายหรอกนะ

ทิว : ครับ…ครู…

ทิวพูดพร้อมพยักหน้าเบาๆอย่างเชื่อฟัง เขานั่งตัวตรง ดวงตาจ้องมองไปยังธีระอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นบรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เด็กนักเรียนทุกคนเงียบเสียงลงและหันมาจับจ้องไปที่ธีระ ธีระมองไปรอบห้อง เมื่อเห็นว่านักเรียนเริ่มตั้งใจฟัง เขาจึงพูดต่อ

ธีระ : อืม...แล้วในนี้มีใครรู้อะไร เกี่ยวกับการฝึกฝนศาสตราวุธไหม

เด็กนักเรียนในห้อง : ไม่รู้ ครับ/ค่ะ

ธีระ : ไอ้หนู เจ้าล่ะรู้อะไรบางไหม จากเมื่อวานครูใหญ่ในนั้นได้บอกอะไรเกี่ยวกับการฝึกศาสตราวุธไหมล่ะ

ทิว : ไม่เลยครับ ครูใหญ่แค่ให้พวกพี่เขาไปแสดงศาสตราวุธเฉย เท่าที่ข้าเห็นนะ

ธีระ :  งั้นข้าจะบอกวิธีฝึกศาสตราวุธให้ แล้วพวกเจ้าก็เอาไปบอกพี่ของเจ้าด้วยล่ะ

ทิว : ครับ

ธีระที่ยืนหน้าโต๊ะไม้อยู่มุมด้านหน้ากระดาน เขาเอามือแตะลงเบาๆทำ ก่อนจะหันมองเหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่เบื้องหน้าก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ธีระ :  อย่างแรก ศาสตราวุธนั้นไม่มีระดับสูงหรือต่ำแต่อย่างใด ศาสตราวุธที่คนคนนั้นได้มามันคืออาวุธที่เหมาะสมกับตัวเขาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นศาสตราวุธพื้นๆอย่างมีดสั้น แต่ถ้าฝึกไปดีอาจจะโจมตีได้ดีพอๆกับอาวุธจำพวกหอกเลยก็เป็นได้

เขาล่าวขึ้น พร้อมเดินช้าๆไปตามทางเดินระหว่างโต๊ะนักเรียน เหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่ในห้อง ก็ต่างเงียบและตั้งใจฟัง

ธีระ :  ในการฝึกฝนศาสตราวุธ จำเป็นต้องทะลวงขีดจำกัดของระดับพลังก่อน ถึงจะสามารถขึ้นเป็น นักรบขั้นที่หนึ่งได้แล้ว เจ้าจึงจะสามารถหลอมเกราะอาวุธได้ โดยผู้ใช้ศาสตราวุธนั้นสามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มที่เกราะส่วนไหนก็ได้ แต่..จะต้องหลอมเกราะตรงนั้นให้ได้ถึงระดับ 3 ก่อนไม่งั้นจะไม่สามารถหลอมไปในเกราะส่วนอื่นๆได้

ธีระ : อย่างของข้า มีเกราะส่วนแขนซ้ายถึงระดับ 3 แล้ว จึงไปหลอมเกราะต่อที่แขนขวา จนตอนนี้ได้ 2 ระดับ แต่บัจจุบันข้าไม่ได้ฝึกต่อ

เด็กนักเรียนคนหนึ่งในห้อง : แล้วเขาจะหลอมเกราะอาวุธให้ขึ้นระดับหนึ่ง ได้ยังไงหรอครับครู

ธีระ : เมื่อเจ้าขึ้นขั้นที่หนึ่งได้ ทุกคนจะเกราะศาสตราววุธอยู่แล้ว แต่จะไม่มีความสามารถ ซึ่งต้องใช้ส่วนประกอบต่างๆในการหลอมเกราะ แล้วแต่ว่าศาสตราวุธของแต่ละคนจะต้องใช้อะไรบ้าง แต่สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือใช้ลูกไฟแห่งวิญญาณ ที่ใช้ในการหลอมทั้งหมดให้ไปรวมเป็นพลังหรือความสามารถของเกราะอาวุธได้

ธีระ : เกราะอาวุธระดับหนึ่งหรือสอง ในระดับนี้เจ้าอาจจะใช้ของระดับต่ำไปจนถึงระดับกลางได้ ซึ่งส่วนประกอบระดับนี้สามารถหาพบได้ทั่วไป หรือถ้าหาไม่เจอก็อาจจะมีขาย ราคาก็…อาจจะมีถูกบ้าแพงบ้าง แต่....ถ้าต้องการจะหลอมเกราะขึ้นระดับสาม เมื่อไหร่ ข้าบอกเลยว่ายากมากๆ เพราะนอกจากจะต้องหาสวนประกอบระดับสูง ซึ่งจะหายากเอามาๆ

ธีระ : แต่…ถ้าคิดจะหาซื้อ ก็แทบจะไม่มีร้านไหนจะขาย หรือถ้ามีก็จะราคาแพงเอามากๆ บางส่วนประกอบบางส่วนต้องลงประมูลกันเลย และขึ้นชื่อว่าประมูลแล้ว ก็คงมีแต่พวกรวยๆเท่านั้นแหละที่จะได้มา คนชนชั้นธรรมอย่างพวกเราแค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้วล่ะ…

ทิว : แล้วครูได้เกราะอาวุธ ระดับสามนั่นมาได้ยังไงล่ะครับ

คำถามนั้นทำให้ธีระชงักไปในทันที และสีหน้าของเขาก็ดูกลุ้มใจ ก่อนที่เขาจะเงยบไป และนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เขาได้เกราะอาวุธส่วนนี้มา เขายืนเงียบอยู่ซักพักแล้วจึงกล่าวตอบทิว

ธีระ : เกราะของข้านั้นหรอ เฮ้อ...เรื่องมันน่าเศร้ามาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ข้าไม่อยากได้ เกราะอาวุธขั้นสามนี้เลยซักนิ

จากนั้นเขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาให้กล้าและทิวฟัง เรื่องราวย้อนไปในตอนที่เขาเองก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม ซึ่งในตอนนั้นเขามีเกราะอาวุธส่วนแขนซ้ายถึงระดับ 2 ขณะที่เขาและเพื่อนอีกจำนวน 5 คน ซึ่งเป็นทีมเดียวกัน ต่างได้รับการฝึกฝนจากครูฝึกประจำโรงเรียน เพื่อเตรียมพร้อมเป็นนักรบในการปกป้องหมู่บ้าน และในช่วงเวลานั้นเอง เขาได้ทะลวงระดับพลัง ซึ่งจำเป็นต้องหลอมเกราะอาวุธระส่วนแขนซ้านระดับ 3 เช่นเดียวกัน เพื่อนทั้ง 5 คน จึงตัดสินใจหยุดการฝึกชั่วคราว เพื่อช่วยธีระออกตามหาส่วนประกอบในการหลอมอาวุธ พวกเขาร่วมกันออกเดินทางไปหาส่วนประกอบในป่าใหญ่ที่ห่างไกล

เวลาล่วงเลยมานานพอสมควร ในที่สุดพวกเขาก็ได้ส่วนประกอบมาครบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงลูกไฟแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น พวกเขาจึงตัดสินใจเลือกใช้ลูกไฟจาก แมงมุมปีศาเงา ที่อาศัยอยู่ที่หน้าผาตะวันลับ ซึ่งศาสตราวุธของธีระที่เป็นแมงมุมแม่ม่ายอัสนี หากได้ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณจำพวกแมงมุมด้วยกันมาใช้ในการหลอมเกราะอาวุธ จะทำให้ความสามารถเกราะอาวุธของเขามีคุณสมบัติที่มีสกายภาพมากเป็นพิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังไว้ ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัย ครูจากทางโรงเรียนอีก 2 คน ที่เป็นถึงนักรบขั้นสอง จึงอาสาเดินทางไปด้วย พวกเขาทั้งหมด 8 คนมุ่งหน้าไปยังหน้าผาตะวันลับ

แต่ในระหว่างทางระหว่างทางพวกเขากลับถูกโจมตีโดยอสูรศาสตราตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาดตัวที่สูงให้ใหญ่มหึมา ขาของมันมีมากว่าหกขาและสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งครูทั้งสองรู้ได้ทันทีว่ามันคือ จักพรรดิแมลงมุมโลกาวินาศ ซึ่งเป็น อสูรศาสตราระดับกลาง ตัวแรกที่พวกเขาเคยพบว่ามันมีระดับถึงจักพรรดิ ทำให้พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายทันที หวังจะใช้ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณของมันแทนเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นทันที

ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับอสูรศาสตราตัวนั้น พวกเขาเชื่อว่ามีโอกาสชนะ แต่ทั้งหมดกลับหลงกลของมันอย่างไม่รู้ตัว ใยแมลงมุมอันเป็นพิษถูกปล่อยออกมาปกคลุมทุกคนโดยไม่มีใครทันระวัง และเนื่องจากมันเป็นจักพรรดิแมงมุม ทำให้พิษของมันจึงรุนแรงกว่าแมงมุมปกติถึงร้อยเท่า

ไม่กี่นาทีต่อมา มันใช้ใยอันเหนียวแลถมีพิษแน่นพันตัวพวกเขาไว้ทีละคน ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ธีระถูกจับก่อนใครเพราะใยแมลงมุมอัสนีของเขาไม่อาจต้านทานสิ่งนั้นได้ เพื่อนๆและครูของเขาที่ติดพิษต่างเริ่มอ่อนแรงและหมดสติไปทีละคน เหลือเพียงเขาที่ยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่ ทำได้เพียงยืนมองเพื่อนรักที่กำลังจะจากไปอย่างไร้หนทางช่วยเหลือ

ขณะเดียวกัน เจ้าแมลงมุมเดินตรงเข้ามาหาเขา มันยกขาอันมีปลายที่แหลมคมขึ้นหมายจะปลิดชีพเขา ธีระไมาสามารถแม้แต่จะยับตัวได้ เขาได้แต่หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง แต่โชคชะตาก็ยังไม่ตัดขาดเขาจากชีวิต เมื่อหอกเล่มหนึ่งพุ่งทะลวงหัวของมัน ตามมาด้วยลูกธนูนับสิบที่กระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนปรากฏตัวพร้อมเหล่าคุณครูที่โรงเรียนที่มีศาสตาวุธ ได้เดินทางตามมาช่วยได้ทันเวลาพอดี พวกเขาร่วมกันสังหารจักพรรดิแมลงมุมตัวนั้นลงได้สำเร็จ หลังจากนั้นธีระได้รับลูกไฟแห่งจิตวิญญาณตามที่ต้องการ

หลังจากนั้น เขาเดินไปยังร่างของเพื่อนและครูที่นอนแน่นิ่ง พยายามปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้น จนกระทั่งในที่สุด ผู้อำนวยการของโรงเรียนเดินมาบอกเขาว่าทุกคนได้จากไปแล้ว... เมื่อรู้แบบนั้นแล้วธีระทรุดลงกับพื้น เขาแถบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะพยามปลุกเพื่อนๆของเขาอย่างสุดชีวิต เขาเขย่าตัวเพื่อนอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่ได้รับกาตอบรับใดๆ ก่อนจะยอมรับความจริงว่าเพื่อนๆของเขาได้จากไป ธีระจึงเดินโซเซออกมาด้วยความสิ้นหวังและมานั่งหลอมเกราะอาวุธระดับ 3 ทั้งน้ำตา เขารู้สึกว่าความสำเร็จนั้นไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไปเลยแม้แต่น้อย

ธีระ : ข้า..ข้า เสียใจกับวันนั้นมาก จนฝันร้ายกลับมาอีกครั้ง เมื่อข้าต้องต้องการจะเลื่อนขั้นเป็นนักรบขั้นสอง ซึ่งข้าต้องหลอมเกระอาวุธส่วนหัว ห้ได้ระดับสาม แต่ข้า…ก็ล้มเลิกไปในที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาตายเหมือนวันนั้นอีก

ธีระกล่าวด้วยน้ำเสียงของธีระสั่นสะท้านเมื่อเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำอันเจ็บปวด ราวกับบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย น้ำตาที่รื้นอยู่ในเบ้าตาเอ่อล้นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้เขาจะพยายามเก็บงำความรู้สึกไว้ก็ตาม ทิวและเด็กคนอื่นๆ ต่างก็เศร้าสะเทือนใจกับสิ่งที่ได้ยิน

ทิว : เสียใจด้วยนะครับ…

ธีระ : ชั่งมันเถอะ เรื่องมันผ่านมานานล่ะ อ้าว..นี่...หมดชั่วโมงเรียนแล้วนิ

เขากล่าวตัดบท ด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ พร้อมกับมองไปที่พระอาทิตย์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง

เด็กนักเรียนในห้อง : ครับ/ค่ะ

หลังจากนั้น ธีระก็เดินออกจากห้องไป ส่วนทิวและเด็กคนอื่นๆในห้องก็นั่งเรียนในคาบต่อไปอย่างปกติเหมือนในทุกๆวัน จนถึงช่วงเลิกเรียน

ฮอต

Comments

Zhunia  Angel

Zhunia Angel

รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครอยู่ในนิยายของแอดเลย! 🙌

2025-08-14

0

ทั้งหมด
เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!