เดินมาถึงในอาคารไม้ที่ทิวเรียน ทิวเดินกลับห้องคนเดียว ท่ามกลางเสียงเด็กนักเรียนจอแจที่ดังรอบด้าน แต่ในหัวของเขากลับวุ่นวายด้วยความคิดที่วนเวียนเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างรางกับพี่กล้า
ทิว : (คิดในใจ) นี่เองหรอพลังของศาสตราวุธ...มิน่าสถานที่ ที่ครูฝึกสอนคนนั้นพาพวกเราไปถึงมีสภาพที่ทรุดโทรมมากขนาดนั้น แต่ถ้าการฝึกใช้ศาสตราวุธ ทำให้เกิดความเสียหายได้ขนาดนั้น ทำไหมครูถึงยังถึงให้ฝึกที่นั่นอยู่ล่ะ แทนที่จะให้ไปฝึกที่ในป่าไกลๆ
เมื่อทิวเดินเข้ามาด้านในห้อง บรรยากาศในห้องเรียนดูวุ่นวายเล็กน้อย เสียงฝีเท้าของเด็กนักเรียนบางคนกำลังเล่นหยอกล้อกัน บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกันเสียงดัง ทิวมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองและนั่งลงอย่างเงียบๆ ไม่นานต่อมา เสียงฝีเท้าของครูคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าชั้นเรียน ต่อมาไม่นานปรากฎร่างของชายในวัยผู้หญ่คนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือของเขาถือหนังสือเล่มหนึ่งมาด้วย เขานั่นคือ ธีระ ซึ่งเป็นประจำวิชาในคราบเรียนนี้
ธีระ : เอาล่ะ นักเรียนทุกคนนั่งที่
เด็กนักเรียนในห้อง : ครับ/ค่ะ
สิ้นสุดเสียงนั้น เสียงฝีเท้านับสิบก็ดังขึ้นสนั่นห้อง เด็กนักเรียกทุกคนรีบวิ่งไปนั่นที่โต๊ะของตัวเอง อย่าเป็นระเบียบ
ธีระ : คงกินข้าอิ่มกันทุกคนล่ะนะ วันนี้ไม่ข้าจะไม่สอนอะไรพวกเจ้ามากนะ
ธีระ : แต่ในชั่วโมงนี้ ให้นักเรียนที่ยังทำงานยังไม่เสร็จ ให้รีบทำในชั่วโมงนี้ ส่วนคนที่ทำเสร็จแล้วให้เล่นอยู่ในห้องอย่างเงียบๆหรือจะช่วยเพื่อนทำงานก็ได้
หลังจากพูดจบ ครูประจำวิชาไล่สายตามองเด็กนักเรียนในห้อง ก่อนจะถามต่อ
ธีระ : สุดท้ายนี้มีใครจะถามอะไหม
ทิวลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้เพื่อนๆในห้องตกใจและหันไปมองเขาทันทีด้วยความแปลกใจ
ทิว : ครู…พูดเรื่องศาสตราวุธหน่อยคสิครับ…
ธีระที่เห็นว่าทิวทำหน้าจริงจังมาก เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวตอบ
ธีระ : ข้าเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ก็เคยเรียนผ่านมาบางนิดหน่อย…
ทิว : แล้ว..ครูมีศาสตราวุธไหมล่ะครับ..
ธีระ : มีสิ…
เด็กนักเรียนในห้อง : โว้!! มันคืออะไรหรอ ครับ/ค่ะ
ธีระ : แฮ่ๆ...ไม่เห็นต้องอยากรู้อะไรขนาดนั้นเลยนิเด็กๆ
เด็กนักเรียนในห้อง : นะครับ/ค่ะ
ธีระ : เฮ้อ...ก็แค่.แมลงมุมแม่ม่ายอัสนี แต่…ปัจจุบันครูก็ไม่ได้ใช้งานอะไรมันหรอ ถ้าเป็นพวกที่ต้องใช้ศาสตราวุธจริงๆ ก็คงมีแต่พวกนักรบเท่านั้นแหละน่า ที่ใช้ศาสตราวุธในการต่อสู้ในสนามรบเพื่อบ้านเพื่อเมือง ส่วนคนธรรมดาตาสีตาสาอย่างเรา ถึงมีก็ไม่ได้ใช้ประโยชนอะไรมากหรอนะ
เด็กนักเรียนในห้อง : อ๋อ อย่านี้เอง
ธีระ : ศาสตราวุธนั้นคืออาวุธเหมาะสมกันคนคนนั้นก็จริง แต่ถ้าคนคนนั้นไปทำอาชีพที่ไม่ใช่การสู้รบ ศาสตราวุธก็แทบไม่จำเป็นในบางอาชีพ
ธีระ : อย่างในตอนนี้ข้าเป็นครู ศาสตราวุธก็ไม่จำเป็น เพราะงั้นข้าก็เลยไม่ได้ฝึกหรือพัฒนาศาสตราวุธต่อแต่อย่างใด
เมื่อครูประจำวิชากล่าวจบ เขาก็ได้แสดงศาสตราวุธออกมาให้ทุกคนได้เห็น ปรากฎเป็นแมลงมุมขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังของเขา ทำให้ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง และไม่กี่วินาทีต่อมาศาสตราวุธของครูประจำวิชา ก็กลายเป็นเกราะอาวุธ นั้นเผยให้เห็นว่าธีระครูประจำวิชาของพวกเขานั้นเป็นนักรบขั้น 1 ซึ่งมี เกราะอาวุธ ส่วนแขนซ้าย 3 ระดับ และเกราะอาวุธส่วนหัว 2 ระดับ
ธีระ : เจ้าหนู เมื่อวานนี้เอ็งคงไปที่หอฝึกศาสตราวุธสินะ ถึงมาถามข้าแบบนี้
ทิว : ไม่ใช่แค่ไปหรอกครับ แต่เป็นเพราะข้าก็ได้อยู่ในสถานที่แห่นั้นด้วยเลยครู
ธีระ : จริงแล้วน่ะ ในสถานที่แห่งนั้นเขาจะไม่ให้ใครก็ได้เข้าไปเดินเล่นในนั้น แต่เจ้าเข้าไปได้ยังไงกันล่ะ…
ทิว : พี่ชายของข้า พี่กล้า เขาอายุครบสิบขวบ เลยมีครูฝึกสอนคนหนึ่ง ที่ข้าไม่รู้จักเดินเข้ามาหาแล้วพากพวกเราไปที่นั้นครับ แล้วข้าก็เห็นศาสตราวุธของหลายๆคน แต่หลังจากนั้นข้าก็แค่อยากรู้ว่า ศาสตราวุธของข้าคืออะไร
ทิว : หลักจากนั้นข้าก็ขอใหครูฝึกสอนช่วยผสานพลังให้ข้าเหมือนกับที่ช่วยคนอื่นๆแสดงศาสตราวุธ แต่ก็ไร้ผลหรือว่าตัวข้าเองนั้นไม่ศาสตรวุธ...
ธีระ : ไม่หรอกข้าว่า เพียงแค่เจ้ายังอายุไม่ถึงตามที่เขากำหนดเขากำหนดไว้เฉย
ทิว : พี่กล้าและครูฝึกสอนก็พูดแบบนี้...
ธีระ : ไม่ผิดหรอที่พวกเขาพูดแบบนั้น เพราะข้าก็เริ่มแสดงศาสตราวุธได้ตอนอายุสิบขวบ เหมือนกับเด็กทั่วไปนั้นแหละ
ธีระ : ถ้าเจ้าอายุได้ตามกำหนด เจ้าก็จะสามารถแสดงศาสตราวุธออกมาได้เหมือนกับที่คนอื่นทำได้นั้นแหละน่า เจ้าไม่ต้องน้อยใจไปหรอกนะ
ทิว : ไม่ครับครู! ข้าตั้งใจว่าข้าจะไปแสดงศาสตราวุธที่หน้าศิลา ตอนข้าอายุสิบหกปีเลย!! ถ้าข้าไปตอนข้าอายุสิบขวบ แล้วไม่ได้ก็ต้องรอปีหน้า แล้วปีหน้าไม่ได้อีกก็ต้องรอปีถัดไปเรื่อยๆ ข้าว่าข้าอยากรู้ในรอบเดียวเลยถ้าไม่มีก็ให้รู้ๆกันไป
ธีระ : เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ายังเหลืออีกสองปี อายุของเจ้าถึงจะถึงตามกำหนด อย่าพึ่งด่วนสรุปตัวเองตั้งแต่ตอนนี่
ทิว : ไม่ครับครู ข้าตั้งใจไว้แล้ว!
ธีระ : ก็แล้วแต่เจ้า ขอให้เจ้ารออย่างอดทนและเตรียมตัวให้พร้อมเถอะนะ
ทิว : ครับ!
หลังจากนั้นธีระก็เดินไปที่หน้าต่างตรงมุมๆของห้องเรียน ในใจของเขานั้นนึกย้อนไปในสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ก่อนกล่าวขึ้น
ธีระ : แต่การฝึกศาสตราวุธไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะข้าจะบอกให้ ถ้าไม่ใช่นักรบจริงเข้าก็คงไม่ฝึกกันหรอ เพราะมันก็อันตรายในระดับนึงเลย ทางที่ดีควรปกปิดศาสตราวุธของเราไว้ อย่าให้ใครรู้มาก เพราะมันอาจจะทำให้บ้านเมืองเป็นอันตรายได้ ส่วนมากที่เขาจะเปิดเผยศาสตราวุธให้คนรู้มากมายได้ เพราะเขาเป็นผู้นำของเมืองเมืองนั้นหรือเป็นเจ้าเมืองประมานนั้น
เด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง : ทำไมเราถึงต้องปกปิดศาสตราวุธของเราไว้ล่ะครับครู แล้วมันจะทำให้บ้านเมืองเป็นอันตรายยังไงหรอครับ
ธีระ : เฮ้อ...ก็นั้นแหละ ถ้ามีคนที่ใช้ศาสตราวุธในหมู่บ้านหรือเมืองไหน นั้นแสดงว่าหมู่บ้านนั้นมีนักรบไว้ออกศึก เพราะถ้าให้คนธรรมดาออกรบยังไงซะ คนธรรมดาพวกนั้นก็ไม่สามารถสู้กับคนที่มีศาสตราวุธได้ ต่อให้อาวุธที่ดีขนาดไหนก็ตาม
ธีระ : ถ้าหากปล่อยเด็กคนนั้นไว้ให้โตขึ้น เขาจะต้องฝึกฝนศาสตราวุธให้เก่งขึ้น และอาจะหาคู่ต่อสู้ได้อยาก จะเป็นอุปสรรคในการยึดเมืองเมืองนั้น เพราะงั้นพวกครูที่สอนเกี่ยวกับศาสตราวุธถึงจะปกปิดเด็กๆที่มีศาสตราวุธเอาไว้
ธีระ : หากมีข่าวว่า หมู่ของเรามีเด็กที่มีศาสตราวุธมากกว่าสิบ คน และมีคนที่มีเกราะอาวุธมากกว่าหนึ่งระดับหลุดออกไป พวกเจ้าเชื่อข้าไหมว่า จะมีข้าศึกจากเมืองอื่นมาโจมตีหมู่บ้านของเราและฆ่าเด็กพวกนั้นแน่ๆ
เด็กนักเรียนในห้อง : ห๊า!
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว เด็กนักเรียนในห้องก็ต่างตกใจเป็นอย่างมาก เสียงคุยกันเริ่มดังขึ้นจากทั่วทุกมุมห้อง ครูประจำวิชาพยามจะพูดปลอมให้พวกเขาหลายกลัวแต่ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียงของเหล่านักรียนยังคงดังกหึ่มห้อง ในขณะที่ทิวยังคงนั่นเงียบๆ ในหัวของเขาคิดถึงพี่ชายของเขาและพี่ๆคนอื่นๆ ว่าถ้าหากเป็นอย่างที่คุณครูธีระพูดม่จริงๆ ไม่แน่พี่ชายของเขาและพวกพี่คนอื่นๆต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่
ทิว : ถ้าเป็นอย่างงั้นพี่กล้า! และพี่ๆคนอื่นๆก็เป็นอันตรายอยู่สิครับ!!
ธีระ : เพราะงั้นไง ศาสตราวุธถึงไม่ใช่ของที่จะเอามาโอ้อวดกันเล่น ถ้าไม่มีใครรู้และไม่มีใครพูด พวกเขาก็ไม่เป็นอันตรายหรอกนะ
ทิว : ครับ…ครู…
ทิวพูดพร้อมพยักหน้าเบาๆอย่างเชื่อฟัง เขานั่งตัวตรง ดวงตาจ้องมองไปยังธีระอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นบรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เด็กนักเรียนทุกคนเงียบเสียงลงและหันมาจับจ้องไปที่ธีระ ธีระมองไปรอบห้อง เมื่อเห็นว่านักเรียนเริ่มตั้งใจฟัง เขาจึงพูดต่อ
ธีระ : อืม...แล้วในนี้มีใครรู้อะไร เกี่ยวกับการฝึกฝนศาสตราวุธไหม
เด็กนักเรียนในห้อง : ไม่รู้ ครับ/ค่ะ
ธีระ : ไอ้หนู เจ้าล่ะรู้อะไรบางไหม จากเมื่อวานครูใหญ่ในนั้นได้บอกอะไรเกี่ยวกับการฝึกศาสตราวุธไหมล่ะ
ทิว : ไม่เลยครับ ครูใหญ่แค่ให้พวกพี่เขาไปแสดงศาสตราวุธเฉย เท่าที่ข้าเห็นนะ
ธีระ : งั้นข้าจะบอกวิธีฝึกศาสตราวุธให้ แล้วพวกเจ้าก็เอาไปบอกพี่ของเจ้าด้วยล่ะ
ทิว : ครับ
ธีระที่ยืนหน้าโต๊ะไม้อยู่มุมด้านหน้ากระดาน เขาเอามือแตะลงเบาๆทำ ก่อนจะหันมองเหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่เบื้องหน้าก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ธีระ : อย่างแรก ศาสตราวุธนั้นไม่มีระดับสูงหรือต่ำแต่อย่างใด ศาสตราวุธที่คนคนนั้นได้มามันคืออาวุธที่เหมาะสมกับตัวเขาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นศาสตราวุธพื้นๆอย่างมีดสั้น แต่ถ้าฝึกไปดีอาจจะโจมตีได้ดีพอๆกับอาวุธจำพวกหอกเลยก็เป็นได้
เขาล่าวขึ้น พร้อมเดินช้าๆไปตามทางเดินระหว่างโต๊ะนักเรียน เหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่ในห้อง ก็ต่างเงียบและตั้งใจฟัง
ธีระ : ในการฝึกฝนศาสตราวุธ จำเป็นต้องทะลวงขีดจำกัดของระดับพลังก่อน ถึงจะสามารถขึ้นเป็น นักรบขั้นที่หนึ่งได้แล้ว เจ้าจึงจะสามารถหลอมเกราะอาวุธได้ โดยผู้ใช้ศาสตราวุธนั้นสามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มที่เกราะส่วนไหนก็ได้ แต่..จะต้องหลอมเกราะตรงนั้นให้ได้ถึงระดับ 3 ก่อนไม่งั้นจะไม่สามารถหลอมไปในเกราะส่วนอื่นๆได้
ธีระ : อย่างของข้า มีเกราะส่วนแขนซ้ายถึงระดับ 3 แล้ว จึงไปหลอมเกราะต่อที่แขนขวา จนตอนนี้ได้ 2 ระดับ แต่บัจจุบันข้าไม่ได้ฝึกต่อ
เด็กนักเรียนคนหนึ่งในห้อง : แล้วเขาจะหลอมเกราะอาวุธให้ขึ้นระดับหนึ่ง ได้ยังไงหรอครับครู
ธีระ : เมื่อเจ้าขึ้นขั้นที่หนึ่งได้ ทุกคนจะเกราะศาสตราววุธอยู่แล้ว แต่จะไม่มีความสามารถ ซึ่งต้องใช้ส่วนประกอบต่างๆในการหลอมเกราะ แล้วแต่ว่าศาสตราวุธของแต่ละคนจะต้องใช้อะไรบ้าง แต่สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือใช้ลูกไฟแห่งวิญญาณ ที่ใช้ในการหลอมทั้งหมดให้ไปรวมเป็นพลังหรือความสามารถของเกราะอาวุธได้
ธีระ : เกราะอาวุธระดับหนึ่งหรือสอง ในระดับนี้เจ้าอาจจะใช้ของระดับต่ำไปจนถึงระดับกลางได้ ซึ่งส่วนประกอบระดับนี้สามารถหาพบได้ทั่วไป หรือถ้าหาไม่เจอก็อาจจะมีขาย ราคาก็…อาจจะมีถูกบ้าแพงบ้าง แต่....ถ้าต้องการจะหลอมเกราะขึ้นระดับสาม เมื่อไหร่ ข้าบอกเลยว่ายากมากๆ เพราะนอกจากจะต้องหาสวนประกอบระดับสูง ซึ่งจะหายากเอามาๆ
ธีระ : แต่…ถ้าคิดจะหาซื้อ ก็แทบจะไม่มีร้านไหนจะขาย หรือถ้ามีก็จะราคาแพงเอามากๆ บางส่วนประกอบบางส่วนต้องลงประมูลกันเลย และขึ้นชื่อว่าประมูลแล้ว ก็คงมีแต่พวกรวยๆเท่านั้นแหละที่จะได้มา คนชนชั้นธรรมอย่างพวกเราแค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้วล่ะ…
ทิว : แล้วครูได้เกราะอาวุธ ระดับสามนั่นมาได้ยังไงล่ะครับ
คำถามนั้นทำให้ธีระชงักไปในทันที และสีหน้าของเขาก็ดูกลุ้มใจ ก่อนที่เขาจะเงยบไป และนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เขาได้เกราะอาวุธส่วนนี้มา เขายืนเงียบอยู่ซักพักแล้วจึงกล่าวตอบทิว
ธีระ : เกราะของข้านั้นหรอ เฮ้อ...เรื่องมันน่าเศร้ามาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ข้าไม่อยากได้ เกราะอาวุธขั้นสามนี้เลยซักนิ
จากนั้นเขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาให้กล้าและทิวฟัง เรื่องราวย้อนไปในตอนที่เขาเองก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม ซึ่งในตอนนั้นเขามีเกราะอาวุธส่วนแขนซ้ายถึงระดับ 2 ขณะที่เขาและเพื่อนอีกจำนวน 5 คน ซึ่งเป็นทีมเดียวกัน ต่างได้รับการฝึกฝนจากครูฝึกประจำโรงเรียน เพื่อเตรียมพร้อมเป็นนักรบในการปกป้องหมู่บ้าน และในช่วงเวลานั้นเอง เขาได้ทะลวงระดับพลัง ซึ่งจำเป็นต้องหลอมเกราะอาวุธระส่วนแขนซ้านระดับ 3 เช่นเดียวกัน เพื่อนทั้ง 5 คน จึงตัดสินใจหยุดการฝึกชั่วคราว เพื่อช่วยธีระออกตามหาส่วนประกอบในการหลอมอาวุธ พวกเขาร่วมกันออกเดินทางไปหาส่วนประกอบในป่าใหญ่ที่ห่างไกล
เวลาล่วงเลยมานานพอสมควร ในที่สุดพวกเขาก็ได้ส่วนประกอบมาครบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงลูกไฟแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น พวกเขาจึงตัดสินใจเลือกใช้ลูกไฟจาก แมงมุมปีศาเงา ที่อาศัยอยู่ที่หน้าผาตะวันลับ ซึ่งศาสตราวุธของธีระที่เป็นแมงมุมแม่ม่ายอัสนี หากได้ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณจำพวกแมงมุมด้วยกันมาใช้ในการหลอมเกราะอาวุธ จะทำให้ความสามารถเกราะอาวุธของเขามีคุณสมบัติที่มีสกายภาพมากเป็นพิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังไว้ ด้วยความกังวลเรื่องความปลอดภัย ครูจากทางโรงเรียนอีก 2 คน ที่เป็นถึงนักรบขั้นสอง จึงอาสาเดินทางไปด้วย พวกเขาทั้งหมด 8 คนมุ่งหน้าไปยังหน้าผาตะวันลับ
แต่ในระหว่างทางระหว่างทางพวกเขากลับถูกโจมตีโดยอสูรศาสตราตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาดตัวที่สูงให้ใหญ่มหึมา ขาของมันมีมากว่าหกขาและสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งครูทั้งสองรู้ได้ทันทีว่ามันคือ จักพรรดิแมลงมุมโลกาวินาศ ซึ่งเป็น อสูรศาสตราระดับกลาง ตัวแรกที่พวกเขาเคยพบว่ามันมีระดับถึงจักพรรดิ ทำให้พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายทันที หวังจะใช้ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณของมันแทนเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นทันที
ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับอสูรศาสตราตัวนั้น พวกเขาเชื่อว่ามีโอกาสชนะ แต่ทั้งหมดกลับหลงกลของมันอย่างไม่รู้ตัว ใยแมลงมุมอันเป็นพิษถูกปล่อยออกมาปกคลุมทุกคนโดยไม่มีใครทันระวัง และเนื่องจากมันเป็นจักพรรดิแมงมุม ทำให้พิษของมันจึงรุนแรงกว่าแมงมุมปกติถึงร้อยเท่า
ไม่กี่นาทีต่อมา มันใช้ใยอันเหนียวแลถมีพิษแน่นพันตัวพวกเขาไว้ทีละคน ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ธีระถูกจับก่อนใครเพราะใยแมลงมุมอัสนีของเขาไม่อาจต้านทานสิ่งนั้นได้ เพื่อนๆและครูของเขาที่ติดพิษต่างเริ่มอ่อนแรงและหมดสติไปทีละคน เหลือเพียงเขาที่ยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่ ทำได้เพียงยืนมองเพื่อนรักที่กำลังจะจากไปอย่างไร้หนทางช่วยเหลือ
ขณะเดียวกัน เจ้าแมลงมุมเดินตรงเข้ามาหาเขา มันยกขาอันมีปลายที่แหลมคมขึ้นหมายจะปลิดชีพเขา ธีระไมาสามารถแม้แต่จะยับตัวได้ เขาได้แต่หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง แต่โชคชะตาก็ยังไม่ตัดขาดเขาจากชีวิต เมื่อหอกเล่มหนึ่งพุ่งทะลวงหัวของมัน ตามมาด้วยลูกธนูนับสิบที่กระหน่ำโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนปรากฏตัวพร้อมเหล่าคุณครูที่โรงเรียนที่มีศาสตาวุธ ได้เดินทางตามมาช่วยได้ทันเวลาพอดี พวกเขาร่วมกันสังหารจักพรรดิแมลงมุมตัวนั้นลงได้สำเร็จ หลังจากนั้นธีระได้รับลูกไฟแห่งจิตวิญญาณตามที่ต้องการ
หลังจากนั้น เขาเดินไปยังร่างของเพื่อนและครูที่นอนแน่นิ่ง พยายามปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้น จนกระทั่งในที่สุด ผู้อำนวยการของโรงเรียนเดินมาบอกเขาว่าทุกคนได้จากไปแล้ว... เมื่อรู้แบบนั้นแล้วธีระทรุดลงกับพื้น เขาแถบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะพยามปลุกเพื่อนๆของเขาอย่างสุดชีวิต เขาเขย่าตัวเพื่อนอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่ได้รับกาตอบรับใดๆ ก่อนจะยอมรับความจริงว่าเพื่อนๆของเขาได้จากไป ธีระจึงเดินโซเซออกมาด้วยความสิ้นหวังและมานั่งหลอมเกราะอาวุธระดับ 3 ทั้งน้ำตา เขารู้สึกว่าความสำเร็จนั้นไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไปเลยแม้แต่น้อย
ธีระ : ข้า..ข้า เสียใจกับวันนั้นมาก จนฝันร้ายกลับมาอีกครั้ง เมื่อข้าต้องต้องการจะเลื่อนขั้นเป็นนักรบขั้นสอง ซึ่งข้าต้องหลอมเกระอาวุธส่วนหัว ห้ได้ระดับสาม แต่ข้า…ก็ล้มเลิกไปในที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาตายเหมือนวันนั้นอีก
ธีระกล่าวด้วยน้ำเสียงของธีระสั่นสะท้านเมื่อเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำอันเจ็บปวด ราวกับบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย น้ำตาที่รื้นอยู่ในเบ้าตาเอ่อล้นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้เขาจะพยายามเก็บงำความรู้สึกไว้ก็ตาม ทิวและเด็กคนอื่นๆ ต่างก็เศร้าสะเทือนใจกับสิ่งที่ได้ยิน
ทิว : เสียใจด้วยนะครับ…
ธีระ : ชั่งมันเถอะ เรื่องมันผ่านมานานล่ะ อ้าว..นี่...หมดชั่วโมงเรียนแล้วนิ
เขากล่าวตัดบท ด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ พร้อมกับมองไปที่พระอาทิตย์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง
เด็กนักเรียนในห้อง : ครับ/ค่ะ
หลังจากนั้น ธีระก็เดินออกจากห้องไป ส่วนทิวและเด็กคนอื่นๆในห้องก็นั่งเรียนในคาบต่อไปอย่างปกติเหมือนในทุกๆวัน จนถึงช่วงเลิกเรียน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments
Zhunia Angel
รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครอยู่ในนิยายของแอดเลย! 🙌
2025-08-14
0